ช่วงเดือนตุลาคม – ธันวาคม ผมยุ่งจนไม่มีเวลาจะออกทริปไปเที่ยวเหมือนเคย อย่าว่าแต่ออกทริปใกล้ๆ เลย แค่คิดวางแผนจะเที่ยว ยังไม่มีเวลาเลยครับ จนคิดว่าปีใหม่นี้คงต้อง Countdown อยู่บ้านเหมือนปีที่แล้วอย่างแน่นอน
แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น... ผู้พูดปลายสายคือ พี่จอห์น รุ่นพี่ร่วมสถาบันที่เคยเรียนด้วยกันมา
พี่จอห์น : เฮ้ย ปีใหม่นี้มีโปรแกรมไปไหนหรือเปล่า
ผม : ไม่มีเลยครับพี่
พี่จอห์น : ไป Singapore กันไหม พาพี่น้ำ (ภรรยาพี่จอห์น) ไปช้อป พาหนูไข่ (ลูกสาวคนเล็ก) ไปดูน้ำพุกัน
ผม : ภาษาผมไม่แข็งนะครับพี่ แล้วจะไปกันรอดไหมเนี่ย
(Singapore เป็นประเทศแรกที่ผมเคยออกเที่ยวโดยไม่ง้อทัวร์ ซึ่งครั้งแรกที่ไปก็ไปกับครอบครัวพี่จอห์นนี่แหล่ะครับ และหลังจากนั้นก็ไม่เคยออกทริปต่างประเทศแบบที่ต้องดำเนินการเองทุกอย่างด้วยตัวเองอีกเลย จนเวลาผ่านพ้นมาเกือบ 20 ปี ก็มีทริปนี้แหล่ะครับ)
พี่จอห์น : ครั้งแรกเรายังไปกันรอดเลย แล้วครั้งนี้ทำไมจะไม่รอด เดี๋ยวช่วยๆ กัน ไม่น่ายาก
ผม : ครับๆ พี่
พี่จอห์น : จองตั๋วเลยนะ การบินไทย Business Class ส่วนโรงแรมดูที่ Hard Rock Hotel Sentosa
(แอบนึกในใจ "อุต๊ะ Business Class ด้วยแฮะ ชาตินี้จะมีวาสนานั่ง Business Class ก็ครั้งนี้ละว๊ะ")
ผม : ครับๆ พี่
จากนั้นกระบวนการจองตั๋วเครื่องบินก็เริ่มขึ้น ค่าตั๋วตอนนั้น ไป-กลับ ตกอยู่ที่คนละ 21,440 บาท ถือว่าแพงเอามากๆ แต่ก็ต้องหยวนเพราะเป็นช่วงเทศกาลหยุดยาว ที่สำคัญเป็นช่วงปีใหม่เสียด้วย
จองตั๋วเสร็จ ต่อไปเริ่มเล็งโรงแรมต่อ Hard Rock Hotel ตามคำสั่งพี่จอห์นซิครับ 3 คืน 2 ห้อง ตกประมาณ แสนสอง++ !! ตายๆ อะไรจะแพงขนาดนั้น ที่สำคัญไม่มีอาหารเช้าให้ด้วย ผมเลยหาตัวช่วยเพื่อลดค่าใช้จ่ายให้กับพี่จอห์น แล้วหวยก็ไปออกที่ Pan Pacific Singapore ครับ 3 คืน 2 ห้อง แถมอาหารเช้าและรถรับส่งสนามบิน รวมถึง city tour ครึ่งวัน ราคาอยู่ที่ 66,650 บาท ราคาถูกกว่าเกือบครึ่งต่อครึ่งเลยครับ
อ้อ สำหรับการจองตั๋วเครื่องบินและโรงแรม ผมเลือกจองผ่านเวป KTC World
http://www.ktc.co.th/ktcworld/Flight/FightBooking/...
เนื่องจากผมมีบัตรเครดิตของ KTC เมื่อจองตั๋วเครื่องบินและห้องพักผ่านเวปนี้จะได้ส่วนลดเพิ่มอีกนิดหน่อยครับ
ในส่วนของการจองห้องพัก ผมจองผ่าน Asiatravel.com ซึ่งจากที่โฆษณาอยู่หน้าเวป ให้ส่วนลดมากที่สุด คือ 12% (จริงๆ ช่วงก่อนปีใหม่ จะมีให้เลือกมากกว่านี้ครับ ทั้ง Agoda, Hotel.com, Booking.com, Asiatravel.com, Expedia, Traveloka, HotelCombined) จริงๆ แล้ว ราคาที่โชว์หน้าเวป ก่อนได้รับส่วนลด Asiatravel.com ราคาสูงกว่าเอเจนซี่รายอื่นๆ แต่เมื่อกดรับส่วนลดแล้ว ราคาจะถูกกว่าที่อื่นๆ ที่สำคัญบางโรงแรมที่ทำการจอง มีบริการรถรับส่งสนามบิน ฟรี 1 เที่ยว รวมถึง City tour ครึ่งวันอีกด้วย ซึ่งเอเจนซี่รายอื่นๆ ไม่มีครับ
ในช่วงที่พอจะมีเวลาว่างจากงาน ก็มานั่งวางแผนการท่องเที่ยวรวมถึงหาข้อมูลการเดินทางท่องเที่ยวในสิงคโปร์ โดยโปรแกรมคร่าวๆ ของผมคือ
วันแรก
- เดินทางถึงสิงคโปร์ช่วงบ่าย 3
- เก็บสัมภาระที่โรงแรม
- ซื้อบัตรเข้าชมสถานที่ต่างๆ ที่ Sea Wheel Travel ซึ่งตั้งอยู่ในห้าง People's Park
- ไปดูโชว์น้ำพุที่ Marina Bay Sands
- Countdown ที่ไหนสักจุดรอบอ่าว Marina Bay Sands
วันที่สอง
- Universal Studio Singapore
- S.E.A. Aquarium
- ชมโชว์ Songs of The Sea
วันที่สาม
- Duck tour
- Singapore Flyer
- ช้อปปิ้ง Orchard Road
- Garden by the Bay
วันที่สี่ เดินทางกลับ
สำหรับเรื่องการเดินทาง อ่านจากรีวิวของเพื่อนๆ แนะนำว่าให้ใช้บริการรถไฟฟ้าซึ่งจะสะดวกและประหยัดที่สุด แต่เนื่องจากทริปนี้มีเด็กเล็กไปด้วย พี่จอห์นเลยบอกว่า ใช้ Taxi จะเหมาะที่สุด โอเค ว่าไงว่าตามกันครับ
แล้ววันสุดท้ายของการทำงานในวันสิ้นปีก็มาถึง ผมเหมือนยกภูเขาออกจากอก ทิ้งภาระหน้าที่ทุกอย่างเพื่อเตรียมไปตักตวงความสุข รวมถึงประสบการณ์ดีๆ ที่จะเกิดขึ้นในอีก 4 วันข้างหน้า
เช้าวันเดินทาง ผมออกจากบ้านที่ลพบุรีตอนตี 3 ครึ่งโดยรถตู้ ปกติรถตู้รอบแรกจะมาถึงสนามบินดอนเมืองประมาณเกือบหกโมง แต่เช้านี้ รถตู้เร่งทำเวลาเพื่อวิ่งให้ได้รอบมากที่สุด ครั้งนี้ผมจึงมาถึงสนามบินดอนเมืองประมาณตีห้าสิบนาที จากนั้นต่อรถ Shuttle Bus เพื่อมายังสนามบินสุวรรณภูมิ ถึงสุวรรณภูมิราว 06.30 น. โอ้ว ถึงก่อนเวลานัดราว 2 ชั่วโมง ดีหน่อยที่พี่จอห์นมาถึงก่อนเวลานัด ทำให้ผมใช้เวลารอไม่นานนัก
มาถึงสนามบินเร็วก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการหาที่นั่งรอ เพราะผู้โดยสารที่เดินทาง Business Class จะมีที่นั่งพักระหว่างรอ Check in ที่นั่งพักผู้โดยสารจะอยู่บริเวณเคาเตอร์ A อยู่ตรงข้ามกับเคาเตอร์ Check in ครับ
สำหรับข้อดีข้อต่อไปของผู้โดยสาร Business Class ถึงแม้มาถึงสนามบินเร็ว ก็ไม่ต้องรอจนเคาเตอร์ Check in เปิด สามารถ Check in ได้ตลอดเวลา หลัง Check in เสร็จก็ผ่าน ตม.ส่วนตัวที่ไม่ต้องไปต่อแถวให้ยืดยาวครับ
จาก ตม. เดินลงบันไดเลื่อนมา 1 ชั้น ก็จะพบกับ Lounge ของการบินไทยครับ ผู้โดยสาร Business Class ขึ้นไป สามารถใช้บริการได้ฟรี เพียงยื่น Boarding pass เท่านั้นครับ
Lounge ออกแบบโทนสีม่วงตาม Concept ของการบินไทย พร้อมไฟที่ดูสลัวๆ ในความรู้สึกของผมมันดูขรึมจนออกมืดไปสักนิด ผิดกับที่เคยไปใช้ Lounge ของ Bangkok Airways ที่ให้โทนสีฟ้า ดูแล้วให้ความรู้สึกสบายๆ ครับ
แปลนของ Lounge ลักษณะเป็นแนวยาว จากทางเข้าจะผ่านพื้นที่นั่ง เดินเข้าไปช่วงกลางจะเป็นไลน์อาหาร และด้านในสุดก็จะเป็นพื้นที่นั่งเช่นกัน ด่านแรกที่เจอไลน์อาหารจะเป็นมุมสลัดและเครื่องดื่มครับ
เดินถัดเข้าไปหน่อยจะเป็นห้องน้ำ หลุดจากห้องน้ำจะเป็นไลน์อาหาร ซึ่งถือเป็นจุดศูนย์กลางของ Lounge ครับ พื้นที่ตรงนี้แบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกจะเป็นของทานจริง/ทานเล่น ไม่ว่าจะเป็นพาย พัพฟ์ แซนวิช ซาลาเปา ข้าวต้มมัด ที่ดูหน้าตาแล้วไม่ค่อยน่าทานเท่าของ Bangkok Airways สักเท่าไร แต่จากที่ได้ลองชิม รสชาติไม่แพ้กันเลยครับ นอกจากอาหารแล้ว ยังมีเครื่องดื่มที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นน้ำผลไม้ น้ำอัดลม ชา กาแฟ มีพร้อมสรรพครับ
ติดๆ กันจะเป็นไลน์ของคาว มีทั้งแฮม ไส้กรอก ไข่ แพนเค๊ก ผลไม้ รวมถึงมีโจ๊กด้วยครับ
ผู้โดยสารที่มาใช้บริการ ถือว่าเยอะเลยทีเดียวครับ เดินกันไม่ขาดสาย ผมเองก็ไม่กล้าถ่ายรูปมาเยอะ เกรงว่าจะรบกวผู้โดยสารท่านอื่นๆ ผมสาละวนอยู่ใน Lounge ราว 2 ชั่วโมง จริงๆ แล้วก็ไม่ได้ทานครบทุกชนิดหรอกครับ แต่นั่งรอ Gate เปิดครับ
ใกล้ถึงเวลา Boarding Time คงต้องไปรอที่ Gate แล้วครับ ช่วงเวลาที่รอ Gate เปิด รู้สึกไม่ค่อยจะพอใจกับการบริหารจัดการในเรื่องการเรียกผู้โดยสารขึ้นเครื่องของการบินไทยสักเท่าไร จริงๆ ทางสายการบินก็เรียกให้ผู้โดยสาร Business Class ขึ้นเครื่องก่อน แต่พอสิ้นเสียงประกาศเท่านั้น เหล่าผู้โดยสาร Economy Class ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกรุ๊ปทัวร์ต่างชาติที่ชอบส่งเสียงโช้งเช้งตามสไตล์ของเขา มายืนอออยู่ที่หน้า Gate จนทำให้ผู้โดยสาร Business Class ไม่สามารถเดินขึ้นเครื่องได้ก่อน จริงๆ จุดนั้นก็มี 2 ประตู น่าจะแยกประตูไปเลยว่าประตูนี้สำหรับ Business Class ประตูนี้สำหรับ Economy Class ซึ่งผมว่าน่าจะแก้ปัญหาตรงนี้ได้
Flight นี้ใช้เครื่อง Boeing 777 เบาะที่นั่งมันช่างกว้างขวางซะจริงๆ ครับ เมื่อนั่งประจำที่เรียบร้อย แอร์โฮสเตสนำผ้าอุ่นพร้อมเครื่องดื่มมาเสิร์ฟครับ
เมื่อเครื่องขึ้นไปได้สักพัก มีของขบเคี้ยวเล่นเป็นอัลมอนด์ พร้อมเครื่องดื่มเย็นๆ จริงๆ มีแชมเปญด้วย อยากลองก็อยาก แต่กลัวเมา อิอิ
อ้อ ก่อนเครื่องจะขึ้น แอร์โฮสเตสจะมารับออร์เดอร์อาหารด้วยครับ เมนูทำสวยดีครับ
หลังของว่างก็เป็นมื้อหนักครับ ภาพโดยรวมของอาหารดูน่าทานดีครับ
อาหารจานแรกเริ่มที่กุ้งและหอยเชลล์ปรุงรสซอสมะขาม ทานคู่กับสลัดมะเขือเทศเชอร์รี่ครับ กุ้งและหอยเชลล์ตัวใหญ่เบิ้ม แต่ซอสมะขามผมว่ายังอ่อนไปสักนิด แต่โดยรวม อร่อย อิอิ
อาหารจานหลักมีให้เลือก 3 เมนู โดยเมนูแรกเป็นชุด พะแนงไก่ ข้าวหอมมะลิไทย ผัดผักคะน้าน้ำมันหอย ซึ่งชุดนี้ผมว่าหาทานที่ร้านอาหารตามสั่งก็ได้ เลยข้ามไป ชุดที่สองเป็นปลากะพงทอดซอสเปรี้ยว ข้าวผัดผัก ผัดผักกาดไต้หวัน ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับชุดที่ 3 แล้ว ผมขอเลือกชุดที่ 3 ดีกว่า คือกุ้งและหอยเชลล์นึ่งซีอิ๊ว ข้าวผัดใส่ไข่ ผัดผักกาดไต้หวัน แครอทและเห็ดหอม ซึ่งจริงๆ อาหารจากแรกก็มีทั้งกุ้งและหอยเชลล์อยู่แล้ว แต่ผมคิดว่า ไม่บ่อยครั้งนักที่จะได้ทานหอยเชลล์ เลยจัดการสั่งชุดนี้มาแบบไม่ต้องคิดนานครับ ทั้ง 3 ชุดจะเสิร์ฟพร้อมขนมปังครับ
ตบท้ายด้วยของหวาน เป็นช็อกโกแลตมูส
ทุกครั้งที่ผมได้มีโอกาสใช้บริการของสายการบินที่มีเสิร์ฟอาหาร ผมว่ารสชาติของอาหารงั้นๆ ทานเพื่อรักษาสิทธิ์ แต่ไฟล์ทนี้ถือว่าโอเคกับรสชาติโดยรวม ซัดซะเกลี้ยงครับ
ใช้เวลาบินราวสองชั่วโมงครึ่ง ก็มาถึงสิงคโปร์อย่างปลอดภัย รู้สึกเหมือนเวลามันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ยังนั่ง Business Class ไม่เต็มอยากเลย ก็ต้องลงเสียแล้ว ไม่เป็นไร เดี๋ยวขากลับ ได้เจอกันอีกรอบ
หลังจากเครื่องลงเรียบร้อย ผ่านกรรมวิธีตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งกระบวนการไม่ยากเลยครับ ไม่มีการสอบถามอะไรสักคำเลย ผ่าน ตม.ก็รอรับกระเป๋าที่สายพาน โดยสัมภาระของผู้โดยสาร Business Class จะเป็น first priority ทำให้ไม่ต้องรอรับกระเป๋านานครับ
เครื่องบินของการบินไทย จะมาลงที่ Terminal 1 สำหรับผู้โดยสารที่จะใช้รถสาธารณะประเภทรถไฟฟ้า จะต้องนั่ง MRT ไปยัง Terminal 2 และจริงๆ Package ที่ผมจองโรงแรมผ่าน Asiatravel.com จะมีบริการ Free Shuttle bus ส่งโรงแรมด้วย โดยจะมีรอบการเดินรถ แต่เนื่องจากผมมาจังหวะไม่ดี ต้องรอเวลารถออกร่วม 1 ชั่วโมง จึงตัดสินใจใช้บริการ Taxi ซึ่งการเรียก Taxi ก็ไม่ยากครับ จาก Terminal 1 เดินลงชั้นล่าง จะมีคิวสำหรับรอ Taxi โดยจะมี Rate ราคาบอกไว้ ตามช่วงเวลาเร่งด่วนและเวลาปกติ Rate ราคาช่วงเร่งด่วนจะแพงกว่า Rate ราคาปกตินิดหน่อย สำหรับ Rate ราคาผมลืมถ่ายภาพมาให้ดูครับ
จากสนามบิน ผมใช้ Taxi เพื่อพามายังโรงแรม Pan Pacific Singapore เป็นจุดหมายแรก เพื่อจะเอาสัมภาระเก็บให้เรียบร้อยซะก่อน ก่อนที่จะออกตะเวนไปตามโปรแกรมที่วางไว้ ผมมาถึงโรงแรมราว 16.00 น. แต่ปรากฏว่าห้องพักยังไม่เรียบร้อย เลยนั่งวางแผนกันว่าจะเอาอย่างไรกันดี ผลสรุปคือ ฝากของไว้ที่โรงแรมก่อน แล้วไปซื้อบัตรเข้าชมสถานที่ต่างๆ ที่ People's Park แล้วกลับเข้าที่พัก เพื่อจัดแจงเรื่องห้องพักให้เรียบร้อย จากนั้นจะไปไหนต่อค่อยว่ากันอีกที
จากโรงแรม ผมใช้บริการ Taxi อีกตามเคยเพื่อไปยัง People's Park จุดประสงค์คือไปซื้อบัตรเข้าชมสถานที่ต่างๆ ที่ Sea Wheel Travel ซึ่งอยู่บนชั้น 3 ของห้าง ที่นั่นมีพนักงานคนไทยด้วย น้องให้คำแนะนำดีมากๆ ราคาบัตรที่ซื้อจากที่นี่จะถูกกว่าซื้อจากหน้างานครับ ซื้อหลายๆ บัตร คุ้มค่ามากๆ โดยผมได้ซื้อบัตรเข้าชม Universal Studio Singapore, S.E.A. Aquarium, Duck tour รวมถึงคูปองรับประทานอาหาร ที่มีมูลค่ามากกว่าจำนวนเงินที่ซื้อ และตอนแรกจะซื้อ Singapore Flyer ด้วย แต่ทางร้านไม่มีขายให้ไปหาซื้อที่หน้างานได้เลย เดิมทีเดียวผมจะซื้อบัตรเข้าชมโชว์Songs of The Sea บนเกาะเซนโตซา ซึ่งเป็นการแสดงกลางแจ้งด้วย แต่น้องพนักงานแนะนำว่าช่วงนี้มีฝนตกบ่อย เลยให้ผมไปซื้อบัตรที่หน้างานดีกว่า เพราะหากซื้อไป แล้ววันที่ผมจะไปชมเกิดฝนตก การแสดงไม่สามารถทำได้ ผมอาจจะเสียเงินค่าบัตรไปฟรีๆ ถึงแม้ว่าบางทีจะสามารถเอาบัตรที่ซื้อไว้ไปแลกของที่ระลึกแทนได้ แต่ปริมาณนักท่องเที่ยวที่มีมากถึงหลักพัน อาจทำให้ของที่ระลึกมีไม่เพียงพอ อาจจะทำให้เสียเงินไปฟรีๆ ครับ
สำหรับราคาค่าบัตรต่างๆ มีดังนี้ครับ
Universal Studio Singapore ผู้ใหญ่ $62 เด็ก $47
S.E.A. Aquarium ผู้ใหญ่ $23 เด็ก $16
Duck tour ผู้ใหญ่ $27 เด็ก $20
หลังจัดแจงเรื่องบัตรเรียบร้อยแล้ว ถึงคราวหาของใส่ท้องบ้าง ถามน้องพนักงานขายชาวไทยว่าแถวนี้มีร้านข้าวมันไก่อร่อยๆ บ้างไหม น้องบอกว่าเวลาเย็นขนาดนี้แล้ว ไก่คงหมดแล้ว เลยแนะนำให้ผมทานข้าวที่ชั้นล่างของห้างครับ น้องบอกว่า วันนี้คนเยอะมาก ร้านไหนๆ คงเต็มหมด ผมเลยเชื่อน้องครับ
ชั้นล่างสุดของ People's Park จะคล้ายๆ food court ขนาดเล็ก มีร้านอาหารประมาณ 2-3 ร้านครับ ถึงจะมีแค่ 2-3 ร้าน ก็ช่วยให้ผมคลายจากความหิวไปได้ครับ
หลังอาหาร ผมออกเดินเล่นย่าน China Town เพื่อเดินดูของทานเล่นต่อนิดหน่อย จากนั้นก็กลับที่พักเพื่อจัดแจงเรื่องสัมภาระของผมครับ
กลับมายังที่พักที่ผมใช้อาศัยนอนตลอด 3 คืนในสิงคโปร์ ครับ Pan Pacific เป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว ในสิงคโปร์มี Pan Pacific 3 แห่ง แต่โรงแรมที่ผมพักอยู่ในย่าน Marina Square
ทำเลที่ตั้งผมว่าค่อนข้างโอเคเลยครับ ใกล้จุดสำคัญๆ ของสิงคโปร์อย่าง Merlion, Singapore Flyer, Marina Bay Sands, Esplanade นอกจากนี้ยังแวดล้อมไปด้วยห้างต่างๆ ซึ่งจุดต่างๆ นี้ สามารถใช้การเดินเท้าได้ทั้งหมดครับ
Lobby ตกแต่งดูดีเลยทีเดียว โดยจะแบ่งเป็น 3 จุดซึ่งอยู่ติดๆ กัน แบ่งเป็น จุดที่ Check in แบบมาเดี่ยว, Check in แบบมาเป็นหมู่คณะ และ Check out
ตรงข้าม Lobby มีพื้นที่ให้แขกได้นั่งพักผ่อนด้วย ออกแบบเป็นซุ้มๆ ดูสวยดีครับ
ติดกับที่นั่งพัก เป็นมุมห้องอาหาร ATRIUM มีทั้งอาหารหนัก หรือจะเป็นของว่างอย่าง Afternoon tea รวมถึงเครื่องดื่มนานาชนิด
มุมสูงครับ พื้นที่ทางด้านซ้าย จะไม่มีน้ำล้อมรอบ จะเป็นที่นั่งพักของแขก ส่วนพื้นที่ด้านขวา มีน้ำล้อมรอบ เป็นพื้นที่ของห้องอาหาร ATRIUM ครับ
แหงนมองขึ้นด้านบน โอ้โห้ เห็นระเบียงห้องพักเต็มไปหมด เป็นสีขาว ระรานตาด้วยลายเส้น ดูสวยงามดีครับ การขึ้นห้องพักนี้จะต้องใช้ Key Card ในการขึ้นลิฟต์ด้วย โดยแขกอยู่ชั้นไหน ก็จะกดลิฟต์ได้เฉพาะชั้นนั้น เช่น ผมอยู่ชั้น 19 จะกดลิฟต์ได้เฉพาะชั้น 19 เท่านั้น จะกดลิฟต์ใช้ 15 ไม่ได้ เพราะทางโรงแรมตั้งโปรแกรมไว้ อ้อ ชั้น 1-4 ก็กดได้นะครับ เพราะชั้น 1-4 จะเป็นแหล่งรวมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทางโรงแรมจัดเตรียมไว้ให้ เช่นห้องอาหารที่อยู่ชั้น 3 รวมถึงสระว่ายน้ำและ Fitness and Recreation ที่อยู่ชั้น 4 ครับ
ห้องพักตลอด 3 คืนนี้เป็นแบบ Deluxe Balcony Room ห้องพักค่อนข้างกว้างขวางเลยทีเดียวด้วยขนาดห้อง 46 ตารางเมตร เตียง King Size มีเก้าอี้ให้นั่งเล่น และมุมสำหรับให้เขียนหนังสือด้วย แต่ผมว่าโต๊ะเขียนหนังสือมันเป็นทรงโค้ง ทำให้ไม่สามารถวางเข้ามุมได้ เลยต้องมาวางกินพื้นที่ห้องไปซะ จนทำให้ดูเกะกะ ที่สำคัญโต๊ะเป็นกระจกใสด้วย ผมยังกลัวว่าตัวเองจะเผลอเดินชนเสียด้วยซ้ำ
ห้องน้ำเป็นแบบ see through พื้นที่ค่อนข้างกว้างเลยทีเดียว แยกส่วนเปียกส่วนแห้งอย่างชัดเจน โถสุขภัณฑ์ไม่มีสายฉีดชำระ ห้องอาบน้ำทำเป็นเก้าอี้ยาวให้นั่ง มีทั้งฝักบัวแบบถือ และ Rain Shower ครับ
Mini bar ค่อนข้างหลากหลาย แต่ขอเตือนผู้ที่ชอบสำรวจ Mini bar หน่อยนะครับ หากเรายก Mini bar ขึ้นมา ภายใน 1 นาที หากไม่วางกลับที่เดิม คุณจะต้องชำระค่า Mini Bar นั้นๆ โดยอัตโนมัติ ไม่ว่าคุณจะดื่มหรือไม่ดื่ม หรือไม่ว่าคุณจะนำกลับตำแหน่งเดิมแล้วก็ตาม ทางที่ดี อย่าไปยุ่งกับของในตู้เย็นเลยครับ ถ้าไม่อยากเสียเงิน
ที่ระเบียงห้องมีเก้าอี้ให้นั่งชมวิวฝั่ง Marina Bay ด้วย โดยทางซ้ายจะมองเห็น Marina Bay Sands, Helix Bridge,Singapore Flyer, Garden by the Bay ส่วนด้านขวามองเห็น Esplanade, Merlion อยู่ไกลริบๆ แต่ที่บดบังสายตาเป็นอย่างมากเห็นจะเป็น โรงแรม Mandarin ที่บดบัง Marina Bay ไปซะนี่
หลังจากส่งพี่ๆ พักผ่อนแล้ว ช่วงเวลานี้เป็นเวลาสำหรับผมแล้ว หลังสิ้นแสงของวันผมเริ่มออกเดินเท้า สำรวจจุดที่จะใช้เป็นที่ตั้งในการเก็บภาพช่วง Countdown ครับ
จากโรงแรม ผมเดินเลาะไปตามถนน Raffles Boulevard จนเจอสี่แยก จากนั้นเลี้ยวขวาไปตามถนน Temasek Ave จนมาเจอ Helix Bridge ซึ่ง ณ ตอนนี้เริ่มเต็มไปด้วยผู้คนเป็นจำนวนมาก มองดูแล้วจุดนี้คงไม่เหมาะกับการถ่ายภาพตอน count down เป็นแน่ๆ เลยคิดว่าจะลองไปหามุมที่ Garden by the Bay ภาพในจินตนาการของผมคือ ฉากหน้าเป็น Supertree Garden Rhapsody มีฉากหลังเป็นตึก Marina Bay Sands รวมถึงมีพลุอยู่ด้านหลังอีกที
เดินข้าม Helix Bridge จนมาเจอ The Shoppes ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม Marina Bay Sands โดยมีถนน Bayfront Ave กั้นกลางอยู่ ผมพยายามมองหาจุดข้ามถนนอยู่ พลันสายตาก็ไปเห็นป้าย Garden by the Bay โดยให้ขึ้นลิฟต์ไป จากนั้นจะมีสะพานลอยเพื่อเดินทะลุตึก Marina Bay Sands ซึ่ง ณ จุดนี้จะมองเห็นบรรยากาศภายใน Marina Bay Sands ได้ด้วย เมื่อเดินตามสะพานลอยต่อออกมาอีกหน่อยจะข้ามถนน Sheares Ave และมีบันไดเลื่อนเพื่อลงมายัง Garden by the Bay ครับ จากที่หาข้อมูลและจากการสอบถามผู้รู้ บอกว่าบริเวณSupertree Garden Rhapsody สามารถเข้าชมได้ฟรี และช่วงเวลา 19.45 น. และ 20.45 น. จะมีการแสดงแสงสีเสียงฟรีด้วย แต่เอาเข้าจริงๆ ช่วงที่ผมไปคงมีการจัดเทศกาลโคมไฟเพิ่มเติมครับ เลยมีการเก็บค่าเข้าชม ด้วยการที่ไม่อยากเสียเงิน ผมเลยเดินสำรวจดูรอบๆ เพราะคิดว่าคงมีสักจุดซิน่าที่จะถ่ายภาพตามที่ผมจินตนาการไว้ได้ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เห็นมุมที่เปิดโล่งพอจะเห็น Supertree ได้เลย
เดินจนถอดใจ เพราะเมื่อยมากๆ ทันใดนั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นช่องเล็กๆ ที่พอจะมองเห็น Supertree เลยเดินเข้าไปดู ปรากฏว่ามีพื้นที่เล็กๆ ของเหล่าผู้นิยมของฟรีมากระจุกตัวอยู่บริเวณนี้เป็นจำนวนมากพอสมควร ภาพที่เห็นเบื้องหน้า คือภาพ Supertree Garden Rhapsody ที่มีฉากหลังเป็นตึก Marina Bay Sands คล้ายๆ กับที่ผมจินตนาการไว้เลย แต่ยังไม่โดนใจนักเนื่องจากมองเห็นตึก Marina Bay Sands ได้ไม่เต็มครับ
ก็เลยเดินสำรวจไปเรื่อยๆ จนเห็นมุม Supertree อีกจุดหนึ่ง แต่ก็ยังเป็นมุมที่ไม่โดนใจอยู่ดี เลยเดินสำรวจต่อครับ
เดินลัดเลาะไปตามทางเดินริมสระน้ำ ได้เงาสะท้อนน้ำของ Marina Bay Sands , Singapore Flyer และ Supertree ด้วยครับ การเดินใน Garden by the Bay คงต้องเดินตามทางเดินที่กำหนดไว้ แต่ในช่วงที่ผมไป มีการจัดแสดงแสงสีเสียงเพิ่มเติม เลยมีการปิดเส้นทางเดินหลายๆ จุด ทำให้ต้องเดินวนกลับตามเส้นทางที่เดินผ่านมาแล้ว
จากการที่เดินสำรวจมาแล้ว ผมว่าถ้าจุดนี้มองเห็นพลุ น่าจะเป็นจุดที่สวยงามมากๆ เลยครับ แต่ผมไม่ทันคิด เลยไม่ได้รอเก็บภาพช่วง Count down ที่นี่
จุดนี้ผมว่าเป็นจุดที่เหมาะสำหรับการชมแสดงแสงสีเสียงฟรี (กรณีที่มีการเก็บค่าผ่านประตูเช่นวันที่ผมไป) ผมมาเห็นจุดนี้ตอนที่ตัดสินใจออกจาก Garden by the Bay แล้ว จุดนี้อยู่บริเวณสิ้นสุดสะพานลอย ซึ่งจะมีบันไดเดินลงมาครับ
ผมมาถึงบริเวณสะพานลอยที่จะข้ามกลับไปยัง Marina Bay Sands อีกครั้งเพื่อจะเดินกลับโรงแรม เพราะตอนนี้ผมหมดสภาพแล้ว และยังคิดไม่ออกเลยว่าจะไปเก็บบรรยากาศ Count down ได้ที่ไหน คิดว่าคงกลับไปตายรัง นั่งถ่ายบริเวณระเบียงห้องพักจะดีกว่า เพราะอย่างน้อยก็ไม่ต้องไปแก่งแย่งพื้นที่กับฝูงชนมากมายมหาศาลครับ แต่เมื่อมาถึงบันไดเลื่อนเพื่อจะขึ้นไปยังสะพานลอย ปรากฏว่าบันไดเลื่อนปิด และไม่อนุญาตให้เดินผ่านได้แล้ว ทำให้ผมไม่สามารถเดินตัดกลับไปยัง The Shoppes ได้ ตอนนี้ใจเริ่มไม่ดีแล้ว เพราะเจ้าหน้าที่ชี้มือชี้ไม้ให้ไปตามป้ายสถานีรถไฟฟ้า แต่ผมไม่ต้องการไปที่สถานีรถไฟฟ้า แต่ต้องการจะหาจุดที่จะเดินข้ามไปยัง The Shoppes ครับ
ลองเดินดุ่มๆ ไปทั้งๆ ที่ขาแทบจะไม่มีแรงก้าวเท้าแล้ว แต่ยังไงก็ต้องพยายามกลับไปยังโรงแรมให้ได้ เวลาเริ่มใกล้เที่ยงคืนเท่าไร การจราจรก็เริ่มติดขัดมากขึ้นเท่านั้น ไม่รู้ว่าผู้คนหลั่งไหลมาจากไหนมากมาย ต่างเริ่มจับจองที่ยืน ผมเองก็พยายามหาเส้นทางที่จะเดินตัดเพื่อประหยัดแรงในการก้าวเท้า แต่ยิ่งเดินหาทางลัดกลับยิ่งต้องทำให้เดินมากขึ้นกว่าเดิม ประตูต่างๆ ถูกปิดหมด คาดว่าคงจะเป็นการบริหารจัดการเพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวาย จากจุดที่เคยข้ามถนนได้ ณ เวลานี้ไม่สามารถข้ามได้ เพราะถูกรั้วมาปิดไม่ให้ข้าม ต้องเดินอ้อมไปอ้อมมาเพื่อหาจุดที่อนุญาตให้ข้ามถนนได้
กลับมาถึงห้องแทบสลบเลยครับ แต่ก็ต้องกัดฟันทนอีกนิด เพราะใกล้ถึงเวลา Count down เต็มที ภาพจากระเบียงห้อง ด้านขวามองเห็น Esplanade, Merlion และป่าตึกที่ต่างอวดแสงสีกันใหญ่เลยครับ
ทางด้านขวามือ มองเห็น Marina Bay Sands และตึกของโรงแรม Mandarin ที่ตั้งบดบัง Marina Bay ซะงั้น
มองเห็น Supertree Garden Rhapsody และ Helix Bridge ด้วย
และช่วงเวลารอคอยก็มาถึง เสียงนับ Three… Two… One… ดังก้องกังวาน สิ้นสุดเสียงนับกลับถูกแทนที่ด้วยเสียงพลุและเสียงแตรรถที่เหล่าบรรดาคนขับรถที่ติดอยู่บนท้องถนนต่างบีบแตรดังเซ็งแซ่ไปหมด ช่วงเวลานี้ บอกเลยว่า ฟิน ครับ
สำหรับเพื่อนๆ ที่ต้องการมาเก็บบรรยากาศ Count down ที่สิงคโปร์ ขอบอกเลยว่าพลุจะจุดกลาง Marina Bay เลยนะครับ ตอนแรกผมเองก็คาดเดาไปเรื่อยว่า ยืนตรงตำแหน่งไหนจะได้เห็นพลุ เคียงคู่กับสิ่งก่อสร้างที่สำคัญ แต่ท้ายสุดยืนตรงไหนริมอ่าว ก็เห็นพลุได้ทั้งหมดครับ
คืนนี้ขอตัวเพื่อเก็บแรงไว้เดินลุยต่อในวันพรุ่งนี้ครับ
เช้าวันใหม่ เดิมทีเดียวตั้งใจจะไปเก็บแสงแรกที่ Merlion แต่พอถึงเวลาเข้าจริงๆ ไม่อยากลุกจากเตียงเอาเสียเลย ช่วงที่ผมไป หกโมงครึ่งแล้วฟ้ายังมืดอยู่เลยครับ ได้แต่ออกมายืนดูวิวที่ระเบียงห้อง แล้วกลับไปนอนต่อ
หลังจากหลับต่อได้อีกสักครึ่งชั่วโมง เกิดอาการหิวขึ้นมาทันที เมื่อคืนคงใช้พลังงานในการเดินเยอะไปหน่อย ผมจึงรีบอาบน้ำ และลงไปทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารครับ
ห้องอาหาร edge food theatre อยู่บนชั้น 3 ของโรงแรมครับ
ห้องอาหารค่อนข้างกว้างเลยทีเดียว แต่เมื่อเทียบกับปริมาณห้องพักที่มีอยู่ อาจจะคับแคบไปในกรณีที่แขกลงมาใช้บริการพร้อมๆ กัน แนะนำว่าให้ลงมาทานแต่เช้าครับ จะได้ทานแบบสบายๆ ไม่ต้องเร่งรีบและไม่ต้องรอต่อคิวใช้บริการครับ
Line Buffet แบบนานาชาติ อาหารจะแบ่งเป็นมุมๆ ตามสไตล์ของอาหารแต่ละชาติ มีทั้งอาหารจีน อินเดีย ฝรั่ง มาเลเซีย ส่วนขนมบางอย่างเหมือนเมืองไทยเลย อย่างขนมถ้วยฟู เฉาก๊วย ครับ
รสชาติอาหารถือว่าใช้ได้เลยครับ ทานได้ไม่ยากเลยจริงๆ
ภาพในห้องอาหารผมถ่ายแบบแอบๆ ถ่ายมาเพราะเกรงใจลูกค้าคนอื่นๆ ขนาดว่าผมลงเช้าแล้ว ยังมีคนมาใช้บริการก่อนหน้าเยอะพอควรครับ
หลังมื้อเช้า ผมเริ่มออกเดินทางตามโปรแกรมที่ตั้งไว้ โดยวันนี้โปรแกรมของผมอยู่ที่ Universal Studio Singapore, S.E.A. Aquarium และปิดท้ายด้วยการชมโชว์น้ำพุ Songs of The Sea ครับ สำหรับการเดินทางจากโรงแรมไปยังเกาะ Sentosa ยังคงใช้บริการ Taxi เหมือนเดิม แต่สภาพท้องถนนเช้านี้ ช่างผิดกับสภาพการจราจรเมื่อคืนอย่างสิ้นเชิง
ระหว่างทางที่นั่งรถเลยปรึกษากันว่าจะเที่ยวชม S.E.A. Aquarium กันก่อน เพราะคิดว่าการเข้าชม Universal Studio Singapore ไม่ว่าเวลาไหนก็ตาม คงจะเจอฝูงชนมากมาย แต่ถ้าเข้าชม S.E.A. Aquarium ก่อน ในช่วงเช้านักท่องเที่ยวน่าจะไม่เยอะครับ
นักท่องเที่ยวยังไม่ค่อยเยอะจริงๆ ครับ เมื่อมาถึง เราสามารถใช้บัตรที่ซื้อมาจาก Sea Wheel Travel ยื่นและเข้าชมได้เลย
เมื่อเข้ามาด้านใน จะพบกับเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ตั้งประจันหน้าแบบเต็มๆ เห็นว่าบริเวณนี้จะให้นักท่องเที่ยวได้มาชมวีดีทัศน์บอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ของที่นี่ครับ แต่เนื่องจากพี่จอห์นกลัวว่าถ้าสายไปกว่านี้ นักท่องเที่ยวใน Aquarium จะเยอะ เราเลยไม่ได้รอชมครับ
เส้นทางจากเรือเดินสมุทรไปยัง Aquarium จะผ่านนิทรรศการ บอกเล่าเรื่องราวของเส้นทางของการขนส่งสินค้า ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเทศ ผ้าไหม เครื่องปั้นดินเผา และอีกหลายสิ่งอย่าง จากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปยังแอฟริกาและพื้นที่อื่นๆ ครับ
ไม่แน่ใจว่าสมัยก่อนนั้นมีการขนส่งยีราฟ และแรดลงเรือเดินสมุทรด้วยหรือเปล่านะครับ
ถึงแล้วครับ Aquarium ไม่ใช่เพียงแค่เด็กๆ ที่ตื่นเต้น ผมเองก็ยังตื่นเต้นเลยครับ Aquarium แห่งนี้ถือว่าใหญ่ที่สุดในโลก ที่รวบรวมสัตว์น้ำกว่า 800 สายพันธุ์ รวมๆ แล้วประมาณ 100,000 ตัวเลยครับ
มีพนักงานลงไปทำความสะอาดในตู้ปลา ซึ่งมีฉลามว่ายโฉบไปมา เห็นแล้วเสียวแทนครับ
อุโมงค์น้ำขนาดใหญ่ ระยะทางยาวกว่าบึงฉวากบ้านเราอีกครับ ปลาที่เห็นที่เตะตามากๆ คงจะเป็นปลาฉลามอีกเช่นเคย
ช่วงเวลาให้อาหารปลา จะมีซานตาคลอส นำอาหารมาให้ปลาด้วย อาจะเป็นเพราะช่วงที่ผมไปยังคงอยู่ในช่วงเฉลิมฉลองคริสต์มาสครับ
ต้องยอมรับว่าปลาทะเลสีสดจริงๆ ครับ ในตู้มีการนำปะการังเทียมมาตกแต่ง ใส่สีสันที่หลากหลาย เพิ่มความน่าสนใจได้อีกเยอะเลยครับ
นอกจากปลา ก็ยังมีแมงกะพรุนหลากหลายชนิดเหมือนกันครับ
และที่เป็น Highlight เห็นจะเป็นตู้ปลาขนาดยักษ์ ที่มีขนาดใหญ่ประมาณ 2 จอภาพยนตร์ต่อกัน ด้านหลังแผ่นกระจกที่หนากว่า 70 เซนติเมตรเป็นที่อาศัยของฝูงปลากว่า 50,000 ตัวเลยทีเดียว และพระเอกของที่นี่นั่นคือกระเบนแมนตาหรือกระเบนราหู ซึ่งเป็นสายพันธุ์ของกระเบนที่ใหญ่ที่สุดในโลก คู่นี้แหล่ะครับ ที่โบกโบยบินดูอิสรเสรีมากๆ
เดินกันจนเหนื่อย ดูเวลาก็เที่ยงกว่าแล้วด้วย เลยขอเข้าไปทานมื้อเที่ยงกันใน Universal Studio Singapore ครับ บัตรเข้าชมที่ซื้อจาก Sea Wheel Travel สามารถยื่นให้เจ้าหน้าที่และเข้าด้านในได้เลย สิ่งแรกที่ทำคือ หาร้านอาหารครับ โดยผมใช้คูปองที่ซื้อมาจาก Sea Wheel Travel เช่นกัน มูลค่าหน้าคูปองมากกว่าเงินที่จ่ายเพื่อซื้อคูปองครับ
ทานข้าวเสร็จ ถึงเวลาหนูไข่เดินช้อปปิ้งตุ๊กตุ่นตุ๊กตาใน Shop Universal Studio ณ ตอนนี้ฝนเริ่มพรำ มองดูนาฬิกาเพิ่งจะบ่ายสองกว่าๆ เอง อีกตั้ง 3-4 ชั่วโมง ถึงจะมีการแสดงน้ำพุ ที่สำคัญไม่รู้ว่าช่วงเวลาดังกล่าว ฝนจะถล่มจนไม่สามารถเปิดการแสดง Song of The Sea ได้หรือเปล่า ผมเลยตัดสินใจกลับไปพักผ่อนที่โรงแรมก่อน รอดูทีท่าฝนก่อนว่ายังไง
เข้าโรงแรมยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ฝนก็ถล่มอย่างหนัก เราเลยเปลี่ยนโปรแกรมไปช้อปปิ้งกันที่ถนนออร์ชาร์ดแทน เพราะถึงฝนจะตกหนักแค่ไหน เราก็สามารถช้อปปิ้งกันได้ครับ จากที่เดินเข้าห้างตัวเปล่า แต่เวลาออกจากห้างฯ กลับมีกระเป๋าเดินทางแบบล้อเลื่อนงอกมาอีก 2 ใบ รวมถึงอีกสารพัดถุง หิ้วกันอีรุงตุงนัง บอกแล้วครับว่าเราสามารถ
หลังจากส่งพี่ๆ เข้าที่พักแล้ว โชคดีที่ฝนหยุดตก ช่วงเวลาของผมก็กลับมาอีกครั้ง ผมเลือกเดินไปเก็บบรรยากาศบริเวณ Helix Bridge อีกครั้ง เพราะเมื่อวานถ่ายรูปไม่ได้เลย เนื่องจากเขาปิดไม่ให้คนเข้า และคนก็มายืนอออยู่บริเวณสะพานเป็นจำนวนมาก
บรรยากาศวันนี้มันช่างผิดกับเมื่อวานอย่างสิ้นเชิง เมื่อวานทุกพื้นที่เต็มไปด้วยคน แต่วันนี้มีนักท่องเที่ยวมาจุดนี้ไม่น่าถึง 20 คนครับ
จาก Helix Bridge ผมเดินเลาะ Marina Bay ขึ้นมาทาง Esplanade ข้าม Jubilee Bridge ก็จะมาถึง Merlion ครับ Merlion ยามนี้ยังเต็มไปด้วยผู้คนอยู่เหมือนเดิม แต่ดูแล้วปริมาณคนยังน้อยกว่าช่วงเช้าถึงเย็นครับ
จาก Merlion มองออกไปเห็น Singapore Flyer อยู่ด้านซ้าย ขนาบข้างด้วย Marina Bay Sands อยู่ด้านขวา
มองทางด้านซ้าย เห็น Esplanade ซึ่งด้านหลังจะเห็นโรงแรมต่างๆ เต็มไปหมด รวมถึงโรงแรม Pan Pacific ที่ผมนอนด้วยครับ
ถ่ายรูปจนสมอยากแล้ว อันที่จริงต้องบอกว่าถ่ายรูปจนร่างแทบสลายมากกว่า ก็คงต้องเดินกลับโรงแรมครับ จริงๆ มีเส้นทางที่สามารถเดินลัดได้ใกล้กว่าเส้นทางที่ผมมา แต่ว่าเขายังปิดถนนตรงสี่แยกไม่ให้คนข้ามอยู่เลยครับ เลยต้องเดินอ้อมกลับทางเก่า เสียพลังงานในการก้าวเท้าอีกเยอะเลย กลับถึงห้อง ขอเวลาซึมซับกับบรรยากาศตรงหน้าระเบียงห้องพักให้คุ้มค่าห้องสักหน่อยครับ
เช้าวันใหม่ผมมีนัดกับ Duck tour หลังอาหารเช้า ผมมุ่งหน้าไปยังตึก Suntech City เพื่อทำการ Check in ก่อน จริงๆ แล้วตึก Suntech City อยู่ตรงข้ามกับโรงแรมที่ผมพักเลย ห่างกันเพียงแค่ข้ามถนน Duck tour เปิดให้บริการตั้งแต่ 10.00 – 18.00 น.ครับ
แนะนำว่าควรมาทำการ Check in ก่อนเวลาสักครึ่งชั่วโมงนะครับ สำหรับเคาเตอร์ Check in จะอยู่ด้านนอกของห้าง Suntech City ครับ
Duck tour คือโปรแกรมการท่องเที่ยวด้วยรถสะเทินน้ำสะเทินบก ที่จะพานักท่องเที่ยวได้ชมบรรยากาศของเมืองสิงคโปร์รอบๆ Marina Bay โดยรถคันนี้มีความสามารถพิเศษคือแล่นไปบนถนนก็ได้ หรือจะลอยน้ำเหมือนเรือก็ได้ ใครมาเที่ยวสิงคโปร์ก็ลองมาใช้บริการดูนะครับ ได้ความรู้สึกไปอีกแบบครับ
สำหรับเส้นทางทัวร์ จะเริ่มจากตึก Suntech City ผ่านหน้าโรงแรมผม ผ่าน Singapore Flyer จากนั้นจะลงน้ำ พาชม Garden by the Bay , Helix Bridge , Marina Bay Sands , ArtScience Museum , สนามฟุตบอลกลางน้ำ , Esplanade, Merlion และจะวนกลับเส้นทางเดิมเพื่อมาขึ้นบกอีกครั้ง พาชม Historic Civic District และกลับมาที่ตึก Suntech City ถือเป็นอันจบโปรแกรม ใช้เวลาเที่ยวประมาณ 1 ชั่วโมงครับ
สิงคโปร์เป็นเกาะเล็กๆ พื้นที่ทุกตารางเมตรจึงถูกใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ถึงแม้ว่าสิงคโปร์จะมีความเจริญมากมาย แต่ที่นี่ก็ยังให้ความสำคัญกับพื้นที่สีเขียวครับ สังเกตได้จากเส้นทางจากสนามบินสู่ใจกลางเมือง จะเห็นต้นไม้ใหญ่ ที่ให้ความร่มรื่นอยู่เต็มไปหมด รวมถึงการสร้างสวนสาธารณะอย่าง Garden by the Bay หรือแม้กระทั่งตามเสาตอม่อต่างๆ ก็ยังทำให้เกิดพื้นที่สีเขียวขึ้นมาได้
ช่วงที่รถ เอ้ย!! หรือ เรือ (ดีละ) กำลังแล่นอยู่บนน้ำ พนักงานขับรถก็จะสลับหน้าที่กัน คือ ถ้าอยู่บนถนน ก็จะมีคนทำหน้าที่ขับรถ พอรถลงน้ำ ก็จะมีพนักงานมาสลับเป็นพนักงานขับเรือครับ
ทริปนี้เสียดายจริงๆ ที่ไม่ได้ขึ้น Singapore Flyer เดิมทีเดียวตั้งใจว่าจะขึ้นแล้ว แต่พอเอาเข้าจริงๆ เกิดอาการขี้เกียจ เพราะผมดันเข้าไปพักผ่อนที่โรงแรม พอแผ่นหลังถึงเตียงนอน หัวถึงหมอน ก็ไม่อยากจะลุกไปไหนอีกแล้วครับ
Garden by the Bay
สนามบอลกลางน้ำ
ป่าตึก ผมว่าช่วงกลางคืนสวยกว่าช่วงกลางวันครับ
Merlion ช่วงกลางวันคนเยอะมากๆ เลยครับ
ผมใช้เวลากับ Duck tour ประมาณ 50 นาที รถมาจอดส่งลูกทัวร์ที่ตึก Suntech City หลังจากนั้นผมแวะหาขนมปังรองท้องก่อนที่จะไปยังจุดหมายต่อไป
จุดหมายต่อไปของผมอยู่ที่ย่านกัมโปงกลาม ย่านฮิปสเตอร์แห่งแรกของสิงคโปร์สองฝั่งของถนนสายเล็กๆ อัดแน่นไปด้วยร้านบูติกสวยๆ ร้านอาหาร ร้านกาแฟเก๋ๆ เต็มไปหมดครับ
เดิม "กัมโปงกลาม" เป็นที่อยู่ของชุมชนชาวมุสลิม รวมถึงพ่อค้าชาวอาหรับและชาวบูกิส แต่ปัจจุบันที่นี่กลายเป็นแหล่งช้อปปิ้งยอดนิยม มีร้านบูติกสวยๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มองหาแฟชั่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว หรือถ้าไม่ใช่ขาช้อป ก็สามารถมาหามุมเก๋ๆ ถ่ายรูปก็ได้ครับ
อารมณ์คล้ายๆ กับซอยรมณีย์+ถนนถลาง ที่ภูเก็ตบ้านเราเหมือนกันครับ
หลังจากเดินเที่ยวในกัมโปงกลามสัก 2 ชั่วโมง ผมก็กลับมาพักเหนื่อยที่โรงแรมก่อนครับ อย่างที่บอกตอนแรกวางแผนไว้ว่าสักห้าโมงเย็นจะไป Singapore Flyer แต่พอเอาเข้าจริงๆ เกิดอาการขี้เกียจ เลยนอนเอาแรงต่อยาวจนเกือบ 6 โมงเย็นครับ
เลยตัดสินใจมาเก็บแสงที่ Fountain of Wealth หรือ น้ำพุแห่งความมั่งคั่ง ซึ่งน้ำพุนี้อยู่ติดกับ Suntech City ฝั่งตรงข้ามโรงแรมที่ผมพักนั่นเองครับ
Fountain of Wealth เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์แห่งโชคลาภของสิงคโปร์ โดยน้ำพุแห่งนี้สร้างขึ้นพร้อมๆ กับตึก Suntech City ทั้ง 5 ตึก ซึ่งจำลองเป็นนิ้วทั้ง 5 นิ้ว โดยมีน้ำพุอยู่ตรงกลางเสมือนอยู่บนฝ่ามือ ตัวน้ำพุสร้างเป็นรูปวงแหวนทองแดงมีขาเป็นฐานสี่ข้าง ออกแบบตามความเชื่อของศาสนาฮินดู เพื่อเป็นตัวแทนจักรวาล ความเท่าเทียมและการหลอมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของสิงคโปร์ที่มาจากหลายเชื้อชาติครับ 2 ภาพนี้ ผมมาถ่ายตอนช่วงเช้า ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นรุ้งเล็กๆ ด้วยครับ
สำหรับช่วงเย็น จะเริ่มมีการเปิดไฟด้วยครับ ช่วงเวลาที่น้ำพุไม่ได้ไหลจากวงแหวนทองแดงเป็นม่านน้ำ จะอนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าไปสัมผัสน้ำพุซึ่งอยู่ตรงกลางด้านล่างได้ครับ
แต่ถ้าน้ำพุไหลจากวงแหวนทองแดงเมื่อไร ก็จะไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเดินเข้าไปด้านใน โดยเขาจะเปิด-ปิด ม่านน้ำเป็นเวลาครับ แนะนำว่ามาสิงคโปร์แล้ว อย่าลืมมาสัมผัสน้ำพุแห่งความมั่งคั่งนะครับ
จริงๆ คืนสุดท้ายผมก็อยากจะไปเดินถ่ายรูปซ่อมที่ Garden by the Bay นะครับ แต่ร่างกายไม่ไหวจริงๆ ความรู้สึกเหมือนร่างกายมันจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ลำพังเดินอย่างเดียวคงไม่เท่าไร แต่นี่ผมต้องแบกเป้กล้องซึ่งหนักกว่า 7 กิโลกรัมไปด้วยตลอดทาง คืนนี้เลยขอนอนถนอมร่างกายดีกว่าครับ
เช้าวันสุดท้ายผมไม่มีโปรแกรมไปไหนแล้ว และคงต้องรีบออกจากโรงแรมไปยังสนามบินเพื่อดำเนินการเรื่อง tax refund ครับ
เมื่อมาถึงสนามบิน ผู้โดยสาร Business Class ก็ไม่จำเป็นต้องรอจนเคาเตอร์ Check in จะเปิด สามารถเข้าทำการ Check in ได้ทันที โดยจุดที่ทำการ Check in จะเป็นห้อง อยู่ด้านท้ายเคาเตอร์ที่ Check in ปกติ (ผมลืมถ่ายภาพมาให้ชม) Check in เสร็จก็เข้า ตม.ได้เลย ค่อนข้างรวดเร็วครับ
Lounge มีเวลาเปิดให้บริการ โดยจะเปิดให้บริการก่อน Boarding time ประมาณ 1 ชั่วโมง 15 นาทีครับ
ภายในดูสว่างไสวกว่าบ้านเราเยอะเลยครับ อีกอย่างคนไม่พลุกพล่านด้วย
ไลน์อาหารครับ
ตู้นี้ประมาณอาหารหลัก มีทั้งไก่ทอด ไก่สะเต๊ ปอเปี๊ยะ พาย
มุมก๋วยเตี๋ยว (เนื้อ) และข้าวผัดครับ
แฮมเบอเกอร์และแซนวิช
ขนมชั้น บ้าบิ่น และข้าวเกรียบพร้อมน้ำพริกเผา ผมซัดข้าวเกรียบกุ้งไปกว่าครึ่ง เพราะยิ่งทานยิ่งเพลินครับ
มุมเครื่องดื่ม รวมถึงมีมาม่าด้วย
ชา กาแฟ พร้อม
มีมุมที่ให้บริการ internet ด้วยครับ
ผมใช้เวลาอยู่ใน Lounge เกือบชั่วโมง เลยไปรอที่ Gate สำหรับการบริหารจัดการในการเรียกผู้โดยสารขึ้นเครื่องผมว่าเป็นระเบียบกว่าบ้านเราเยอะเลยครับ ไฟล์ทกลับเมืองไทยนี้ เป็นเครื่องบินแบบ Airbus A350 เครื่องใหม่เลยทีเดียวครับ
ผมว่าเบาะนั่งสบายกว่าขามา ที่เป็นเครื่องบินแบบ Boeing 777 แถมหน้าจอยังกว้างกว่าด้วยครับ
สำหรับการให้บริการของว่างและเครื่องดื่มก็เหมือนขามาครับ แต่ขากลับได้อัลมอนด์มาเคี้ยวเล่นเยอะมาก ส่วนอาหารหลักมื้อนี้เป็นแซลมอนลมควัน ข้าวผัดผักกับกุ้งผัดเผ็ด ของหวานเป็นขนมฟักทอง อร่อยอีกเช่นเคยครับ
ใช้เวลาบินประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งก็มาถึงเมืองไทยโดยสวัสดิภาพครับ
หลายคนคงนึกสงสัยว่า เท่าที่อ่านรีวิวมาตั้งแต่ต้นจนจบ ก็เป็นทริปธรรมดา ที่ใครๆ ก็ไปเที่ยวตามโปรแกรมแบบนี้กัน ไม่เห็นมีอะไรน่าจะเป็นปาฏิหาริย์เหมือนชื่อรีวิวเลย แต่ขอบอกเลยครับว่า รีวิวนี้เป็นปาฏิหาริย์ของผมเพียงคนเดียว อะไรคือปาฏิหาริย์ ? คือการที่ผมไม่คิดไม่ฝันว่าปีใหม่จะมีทริปได้ออกเดินทาง ที่สำคัญเป็นทริปที่สุดหรูหรา บินดี อยู่ดี ในราคาที่ผมไม่เสียเงินสักบาทเดียว เพราะทั้งหมดทั้งมวลได้รับการอนุเคราะห์จากครอบครัวพี่จอห์นครับ กราบขอบคุณพี่จอห์น พี่น้ำ มา ณ ที่นี้ด้วยครับ
ท้ายสุดนี้ เพื่อนๆ สามารถเข้าไปให้กำลังใจและติดตามผลงานของผมเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/unclegreenshirt นะครับ
ลุงเสื้อเขียว
วันจันทร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2560 เวลา 19.14 น.