
Local Alike คือรูปแบบธุรกิจเพื่อสังคมที่เชื่อมโยงระหว่าง ‘การท่องเที่ยวโดยชุมชน’ กับ ‘นักท่องเที่ยวที่สนใจในเรื่องการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน’ เข้าด้วยกัน จนเกิดเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ที่นำเสนอเส้นทางท่องเที่ยววิถีชุมชน ที่มีทั้งแบบ One-day Trip หรือเป็นแพคเกจแบบค้างคืน โดยทริปนี้ผมได้ร่วมสนุกผ่านเพจ Local Alike (https://www.facebook.com/LocalAlike ) และโชคดีได้รับเลือกให้เข้าร่วมทริปภายใต้คอนเซป 'Perfect Strangers เที่ยวกับคนแปลกหน้าที่คุ้นเคย' เป็นการท่องเที่ยวกับคนที่เราไม่รู้จัก แต่เต็มไปด้วยการเรียนรู้และการเชื่อมโยงที่ลึกซึ้งผ่านการท่องเที่ยวในสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ไทย และสัมผัสกรุงเทพยามค่ำคืนแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ต้องบอกเลยว่าทริปนี้ถือเป็นอีกหนึ่งทริปที่เปิดประสบการณ์การท่องเที่ยวในกรุงเทพฯ ของผม เพราะโปรแกรมการท่องเที่ยวหลายแห่ง ผมยังไม่เคยไปและไม่เคยรู้จักมาก่อน บางสถานที่นักท่องเที่ยวไม่สามารถเข้าไปเที่ยวชมได้เนื่องจากเป็นสถานที่ส่วนบุคคล แต่ Local Alike พาผมเข้าชมแบบทุกซอกทุกมุม แถมยังได้รู้ประวัติของสถานที่นั้นๆ ด้วย ไปดูกันครับว่ามุมลับๆ สำหรับทริปนี้ มีอะไรบ้าง
ทีมงานนัดหมายในเวลา 16.00 น. ที่วัดประยุรวงศาวาส จริงๆ ผมก็ผ่านวัดประยูรฯ อยู่หลายครั้งทั้งทางบกและทางน้ำ แต่ก็ไม่คิดจะแวะเที่ยวชมเลย เพราะคิดว่าวัดแห่งนี้ไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่ผมเพิ่งมารู้ว่าผมพลาดอะไรเด็ดๆ ก็จากการเที่ยวชมวัดในครั้งนี้ครับ
วัดประยุรวงศาวาส สร้างโดยสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยุรวงศ์ (ดิศ บุญนาค) เมื่อ พ.ศ.2371 ใช้เวลาในการก่อสร้างนานถึง 8 ปี โดยชาวฝั่งธนบุรีดั้งเดิมรู้จักกันในนาม ‘วัดรั้วเหล็ก’ เหตุเพราะสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ท่านได้สั่งรั้วเหล็กสีแดงมาจากอังกฤษเพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายรัชกาลที่ 3 สำหรับใช้เป็นกำแพงในพระบรมมหาราชวัง แต่ด้วยรั้วมีลวดลายเป็นอาวุธ พระองค์ไม่โปรด สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์จึงขอรับพระราชทานนำกลับมาทำเป็นกำแพงวัดแทน
สิ่งที่โดดเด่นของวัดประยูรฯ เห็นจะเป็น ‘พระบรมธาตุมหาเจดีย์’ เจดีย์ทรงลังกา สีขาวขนาดใหญ่ ที่ตั้งโดดเด่นสะดุดตา รายล้อมด้วยเจดีย์องค์เล็กอีก 18 องค์

นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปชมความงดงามของพระบรมธาตุมหาเจดีย์ได้ โดยทางเข้าจะอยู่บริเวณพรินทรปริยัติธรรมศาลา พิพิธภัณฑ์พระ ประยูรภัณฑาคารครับ
สิ่งของมีค่าที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นพระเครื่องและพระกรุนับพันองค์ ขุดพบตอนที่ได้มีการบูรณปฏิสังขรณ์พระบรมธาตุมหาเจดีย์ครั้งใหญ่ที่สุดเมื่อ พ.ศ.2550 โดยพบอยู่ในกรุ 2 กรุ บนองค์พระเจดีย์ครับ




ภายในพิพิธภัณฑ์พระยังเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่นำมาจากประเทศศรีลังกา และยังมีพระพุทธรูปที่ญาติโยมได้นำมาให้ทางวัดเก็บรักษาด้วย

เมื่อเดินออกมาจากพรินทรปริยัติธรรมศาลา พิพิธภัณฑ์พระ เราจะพบกับพระพุทธรูปหินหยกขาวปางปฐมเทศนาครับ

องค์พระบรมธาตุมหาเจดีย์ มีทรงกลมสัณฐานรูปโอคว่ำ สูง 60.525 เมตร ฐานล่างส่วนนอก วัดโดยรอบได้ 162 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 50 เมตร มีช่องคูหาเรียงรายล้อมรอบชั้นล่างพระเจดีย์ 54 คูหา
ยังไม่ทันที่องค์พระบรมธาตุมหาเจดีย์จะสร้างแล้วเสร็จ สมเด็จเจ้าพระยาพระบรมมหาประยูรวงศ์ก็ถึงแก่พิราลัยเสียก่อน ต่อมาสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุญนาค) บุตรชายคนโต จึงดำเนินการสร้างต่อจากผู้เป็นพ่อ จนองค์พระบรมธาตุมหาเจดีย์แล้วเสร็จสมบูรณ์ในสมัยรัชกาลที่ 4 และบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ในองค์เจดีย์ และยังใช้เป็นที่เก็บอัฐิของคนในสายสกุลบุญนาคด้วย



บันไดทางขึ้นไปยังด้านบนพระบรมธาตุมหาเจดีย์ เป็นบันไดแคบๆ ขนาดพอดีตัวครับ

ด้านบน สามารถชมวิวโดยรอบได้แบบ 360 องศาเลยครับ

เมื่อ พ.ศ. 2414 พระบรมธาตุมหาเจดีย์ถูกฟ้าผ่าจนยอดพระเจดีย์หัก ไม่ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์เป็นเวลานานถึง 47 ปี จนกระทั่งพระธรรมไตรโลกาจารย์ (อยู่ อุตฺตรภทฺโท) เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหารในขณะนั้น ได้จัดการบูรณปฏิสังขรณ์ยอดพระเจดีย์ขึ้นอีกครั้งในปี พ.ศ.2461
ภายในพระบรมธาตุมหาเจดีย์เราจะได้เห็นโครงสร้างการก่อสร้างแบบในสมัยอยุธยาดั้งเดิม ที่กลางเจดีย์มีลักษณะกลวงและมีเพียงเสาแกนกลางหรือ “เสาครู” ขนาด 144 ตันค้ำยันไว้ ซึ่งในประเทศไทยเหลือเพียงที่วัดประยูรฯ แห่งเดียวเท่านั้นที่ยังคงอนุรักษ์เทคนิคการก่อสร้างแบบช่างอยุธยาพร้อมด้วยอิฐก้อนเดิมที่ยังคงอยู่ครับ


พระบรมธาตุมหาเจดีย์ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมอันดับ 1 หรือ Award of Excellence จากการประกวดโครงการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม ในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ประจำปี 2556 จากยูเนสโก ด้วยการบูรณปฏิสังขรณ์พระบรมธาตุมหาเจดีย์และพรินทรเปรียญปริยัติธรรมศาลา (ห้องพิพิธภัณฑ์ของโบราณ) สะท้อนความเข้าใจทางเทคนิค และเป็นโครงการอนุรักษ์ที่สร้างความตระหนักในคุณค่าของมรดกทางวัฒนธรรมในชุมชนรอบข้างครับ
โปรแกรมต่อมา ทางทีมงาน Local Alike ได้เตรียมกิจกรรมการเพ้นท์หมูกระดาษออมสินไว้ให้ครับ โดยผมมานั่งเพ้นท์หมูกระดาษกันริมแม่น้ำเจ้าพระยา กับบรรยากาศสะพานพุทธครับ
ในอดีตบริเวณชุมชนวัดประยูรฯ มีหมูอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่หมูค่อยๆ หายไปทีละตัว เพราะถูกขโมย ทำให้เจ้าอาวาสตัดสินใจย้ายหมูไปอยู่ที่อื่น ด้วยความที่ระลึกถึงหมู คุณพ่อของป้าน้อยผู้ที่เติบโตในชุมชนแห่งนี้ได้ประดิษฐ์หมูกระดาษตัวแรกขึ้นจากการนำความสามารถด้านศิลปะและความคิดสร้างสรรค์ของตัวเองใส่ลงไป ทำให้เกิดเป็นหมูกระดาษออมสิน สัญลักษณ์คู่วัดประยุรวงศาวาสวรวิหารครับ



กิจกรรมเพ้นท์หมูกระดาษออมสินนี้ นอกจากจะทำให้สมาชิกในทริปได้แสดงความสามารถทางศิลปะของแต่ละคนออกมา แล้ว ยังเป็นช่วงเวลาที่ทำให้สมาชิกแต่ละคนได้ทำความรู้จักกันมากยิ่งขึ้นด้วย และท้ายสุดก็แลกเปลี่ยนฝีมือการเพ้นท์หมูกระดาษออมสินให้แก่กันและกันครับ
จากนั้นไกด์โอ๋พาเดินลัดเลาะไปยังเก๋งจีน 200 ปี ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับอุทยานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือสวนสมเด็จย่า ผ่านชุมชนเก่า มี Street Art เก๋ๆ ที่มีกลิ่นอายความเป็นชุมชนจีนครับ

แล้วก็มาถึง ‘บ้านอากงอาม่า’ เก๋งจีน 200 ปี ซึ่งเคยเป็นบ้านของคหบดีจีนโบราณที่มีอายุประมาณ 200 กว่าปี สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในช่วงปลายรัชสมัยของรัชกาลที่ 2 หรือต้นรัชสมัยของรัชการที่ 3 ซึ่งตรงกับรัชสมัยของสมเด็จจักรพรรดิชิงซวนจงของประเทศจีน เป็นสถาปัตยกรรมของจีนทางตอนใต้ โดยสกุลช่างชาวฮกเกี้ยน ลักษณะเป็นบ้านล้อมลานครับ

คุณพูนศักดิ์ ทังสมบัติ เจ้าของบ้านอากงอาม่า เล่าให้ฟังว่า “ เจ้าของบ้านเดิมเป็นใครไม่ทราบ แต่ปู่ของอากงได้เข้ามาอาศัย ตั้งแต่ พ.ศ.2460 สมัยแรกๆ อากงมาจากเมืองจีน และมาพักกับญาติที่หัวเวียง อยุธยา และได้ขายข้าวแกงอยู่ที่นั่น ตอนหลังมีเพื่อนชวนมาทำน้ำปลาขาย จึงย้ายมาอยู่ที่ตลาดพลู น้ำปลานำมาจากเมืองจีนและนำมาทำที่ตลาดพลู พอตอนหลังกิจการเริ่มดีจึงได้มาเช่าบ้านหลังนี้เพื่อประกอบกิจการน้ำปลา นานถึง 39 ปี พอมีเงินเก็บจึงได้ซื้อบ้านหลังนี้เอาไว้ ก่อนที่อากงจะมาเช่าบ้านหลังนี้ บ้านเคยเป็นศาลเจ้ามาก่อน สมัยที่อากงมาใหม่ๆ บ้านหลังนี้อยู่ริมแม่น้ำ เวลาที่จะขนน้ำปลาลงเรือก็จะลงตรงนี้ วัตถุดิบที่จะนำมาทำน้ำปลาก็จะอยู่ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำ ด้านในท่าน้ำจะมีโรงทำปลาทูนึ่งเยอะมาก เศษของปลาทูที่คัดทิ้งจะถูกส่งมาทำน้ำปลาที่นี่ ต่อมาวัตถุดิบเริ่มมีปัญหา ในปี พ.ศ.2500 อากงจึงได้ไปซื้อที่ที่แม่กลองเพื่อทำโรงงานน้ำปลาใหม่ เพราะอยู่ใกล้แหล่งวัตถุดิบ”
หากหันหน้าเข้าอาคาร บ้านจะมีอาคารหลักตั้งเด่นอยู่ตรงกลางสูง 2 ชั้น และมีอาคารชั้นเดียวขนาบข้างทั้งด้านซ้ายและขวา โดยมีลานโล่งอยู่ตรงกลาง ด้านซ้าย ณ ปัจจุบันได้จำลองเป็นห้องครัว ส่วนด้านขวาเป็นที่นั่งพักผ่อนครับ



คุณพูนศักดิ์ เล่าอีกว่า “บ้านหลังนี้มีทั้งหมด 7 ห้อง มีทั้งห้องนอน ห้องทำงาน ห้องเก็บของ รวมถึงห้องนี้เป็นที่รวมของคนในครอบครัว ส่วนด้านบนเป็นห้องพระ ห้องเสมียน เวลาที่ญาติอากงมาจากเมืองจีน ก็จะมาพักที่บ้านหลังนี้ อาศัยร่วมกันกว่า 50 คน”

ปัจจุบันห้องด้านข้างขวาทำเป็นพิพิธภัณฑ์โรงน้ำปลาเก่าที่ยังมีของสะสมเกี่ยวกับการผลิตน้ำปลาในสมัยก่อนให้ได้ชมกัน มีโฉนดที่ดินใบแรกดั้งเดิมของบ้านหลังนี้ด้วย


ส่วนห้องด้านข้างซ้ายเป็นห้องทำงาน ยังคงมีโต๊ะทำงานของอากงอยู่ครับ

หลังจากที่คุณพูนศักดิ์นำชมบ้านแล้ว ก็ไปนั่งชิลกินบรรยากาศริมแม่น้ำเจ้าพระยา พร้อมชิมอาหารว่างยามบ่าย ที่ทางบ้านอากงอาม่าจัดเตรียมไว้ให้ มีทั้งหมูสโร่ง ไก่ย่างซอสน้ำปลารวงทอง แตงโมปลาย่าง และของหวานอย่างทองหยอด เม็ดขนุน ฝอยทอง ดับร้อนด้วยน้ำเก๊กฮวยเย็นๆ ครับ




บ้านอากงอาม่าเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล หากจะมาเที่ยวชมด้วยตนเอง คงไม่มีโอกาสได้เยี่ยมชม ต้องติดต่อผ่าน Local Alike หรือติดต่อตรงกับบ้านอากงอาม่าครับ
จากบ้านอากงอาม่า ทีมงานพานั่งรถสามล้อไฟฟ้า เพื่อชมแสงสีของกรุงเทพยามเย็น ผ่านปากคลองตลาด


ประตูศักดิ์ไชยสิทธิ์

แวะถ่ายบรรยากาศด้านนอกของวัดพระศรีรัตนศาสดาราม


วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร


จากนั้นไปทานมื้อค่ำที่ร้านพรละมัย ร้านอาหารสูตรกระทะร้อนชื่อดังย่านเยาวราช ที่เปิดบริการมาแล้วกว่า 20 ปีครับ

เมนูเด็ดคือราดหน้าภูเขาไฟกระทะร้อน น้องพนักงานจะนำน้ำราดหน้ามาราดกันที่โต๊ะเลย ควันโขมงโฉงเฉง เส้นราดหน้าจะเป็นเส้นใหญ่ทอดกรอบ ทอปปิ้งมาด้วยไข่แดง น้ำราดหน้ามีทั้งกุ้ง ปลาหมึก ปลาหมึกกรอบ ไก่ ชิ้นใหญ่ๆ รสชาติดีแบบไม่ต้องปรุงอะไรเพิ่มแล้ว คำแรกที่ได้ชิมคือหอมกลิ่นกระทะ ดีงามมากครับ

เส้นทาโร่ผัดขี้เมา รสชาติกลิ่นขี้เมาอาจจะอ่อนไปนิดสำหรับผม แต่รสชาติถือว่าดี ผัดรวมมิตรมาทั้งกุ้ง ไก่ ปลาหมึกและปลาหมึกกรอบครับ

หอยจ๊อทอด

ต้มยำรวมมิตรทะเลน้ำข้น รสชาติดีเลยทีเดียว

ตบท้ายด้วยไอศกรีมทอด ร้านจะนำไอศกรีมใส่ไว้ในขนมปัง แล้วนำไปทอด ขนมปังจะกรอบไม่อมน้ำมัน แปลกและอร่อยดีครับ

ปิดโปรแกรมที่ Ang Yi บนถนนพาดสาย ย่านเยาวราช ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าด้านหลังประตูบานนี้จะมีบาร์ลับๆ ซ่อนอยู่ ว่าแต่ทางเข้ามันอยู่ตรงไหนเนี่ย ลับเกิ๊น..
พยายามยกไม้ตรงกลางขึ้นเพื่อจะเปิดประตูเข้าไปด้านใน แต่เปิดยังไงก็เปิดไม่ออก จนน้องพนักงานคงกลัวว่าประตูจะพัง เลยต้องมาเปิดประตูลับซึ่งอยู่ด้านหลังเครื่องบูชาออกมารับเรา 555


ที่นี่นำเอาคอนเซปความเป็นจีนเยาวราชมาเล่าผ่านเครื่องดื่มของร้าน โดยทางร้านจะมีเซียมซี ให้เราสุ่มเพื่อเลือกเมนูค็อกเทลครับ
บรรยากาศชั้นล่าง แขกสามารถนั่งดริ้งตรงหน้าเคาเตอร์บาร์ได้เลย หรือจะนั่งตรงชุดโซฟาด้านข้างเคาเตอร์บาร์ก็ได้

ส่วนใครที่มากับเพื่อนๆ สามารถขึ้นไปสนุกแบบส่วนตัวบนชั้น 2 ก็ได้ครับ

เครื่องดื่มมีทั้งค็อกเทลและม็อกเทล ผมไม่ดื่มแอลกอฮอล์ เลยสั่งม็อกเทลข้าวเหนียวมะม่วงมาลอง รสชาติดี ดื่มแล้วสดชื่น ดีจริงๆ ครับ

ช่วงเวลานั้น ผมและสมาชิกร่วมทริป ได้มีโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์การท่องเที่ยวกัน มันดีแค่ไหนที่ได้ออกทริปกับคนที่มีความชอบแบบเดียวกัน ถึงแม้จะเป็นคนแปลกหน้ากันในช่วงต้นทริป แต่หลังจากนี้ เราจะเป็นคนคุ้นเคยกันแล้วครับ

ทริปนี้ต้องขอขอบคุณ Local Alike ที่มอบโอกาสดีๆ ให้ผมได้มาสัมผัสกับการท่องเที่ยวชุมชน ในมุมลับของกรุงเทพ นอกจากจะได้ประสบการณ์ใหม่ๆ แล้ว ผมยังได้มิตรภาพดีๆ กลับไปด้วย ใครที่อยากสัมผัสการท่องเที่ยวชุมชน สามารถเข้าไปดูโปรแกรมการท่องเที่ยวได้ที่ Local Alike ( https://localalike.com/ ) ในนั้นมีโปรแกรมการท่องเที่ยวแยกตามกิจกรรมให้เลือกทำมากมายเลยครับ
ลุงเสื้อเขียว
วันจันทร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2568 เวลา 14.16 น.