
ทุกครั้งที่ผมอยากจะหนีความวุ่นวาย ผมมักจะหาสถานที่เงียบ ๆ ผู้คนไม่พลุกพล่าน ไม่ต้องทำอะไรแข่งกับเวลา แล้ว ‘อุทัยธานี’ นี่แหล่ะ ที่จะแว๊บขึ้นมาในหัวผมอยู่เสมอ และก็ไม่ผิดหวังเลย ไปอุทัยฯ ทีไร สุขใจกลับไปทุกที
ถึงแม้ว่าอุทัยธานีจะเป็นจังหวัดที่หลายคนมองข้าม แต่ถ้าได้ทำความรู้จักกับอุทัยธานีอย่างลึกซึ้งแล้ว บอกเลยว่า อุทัยธานี ไม่ธรรมดานะครับ อุทัยธานีเป็นเมืองเก่าที่มีหลักฐานยืนยันว่าเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ เมื่อประมาณ 3,000 ปีมาแล้ว อุทัยธานีมีประเพณีตักบาตรเทโวที่โด่งดังไปทั่วประเทศ อุทัยธานีเป็นที่ตั้งของหมุดโลก 1 ใน 3 ของเอเชียหมุดสำคัญที่สร้างขึ้นเพื่อใช้คำนวณและแบ่งเขตแนวในการลงพิกัดแผนที่โลกครับ
ผมมาเปิดทริปที่วัดจันทาราม หรือที่รู้จักกันในชื่อ วัดท่าซุง ครับ (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/AxL3bcrE8jygPNeZ7 )
วัดท่าซุง เดิมเป็นวัดโบราณที่สร้างตั้งแต่สมัยอยุธยา มีเพียงโบสถ์ขนาดเล็ก ต่อมาในสมัยพระราชพรหมยาน หรือที่รู้จักกันดีในนาม หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ได้มีการพัฒนาขึ้นมากมาย ทำให้วัดท่าซุงเป็นที่รู้จักของคนไทยทั่วประเทศครับ


จุดเที่ยวชมวัดท่าซุงหลัก ๆ จะมี 2 จุดที่ห้ามพลาดนะครับ จุดแรกคือวิหารแก้ว 100 เมตร ซึ่งจะเปิดให้เข้าชมในวิหาร วันละ 2 รอบ คือ รอบเช้า ตั้งแต่เวลา 09.00 – 11.45 น. และรอบบ่าย เวลา 14.00 – 16.00 น. ครับ


วิหารแก้ว 100 เมตร เป็นวิหารที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำสร้างไว้ก่อนมรณภาพ ภายในวิหาร 100 เมตร ประดับด้วยกระจกใสเกือบทั้งหลัง ปัจจุบันใช้เป็นที่รักษาสังขารร่างของหลวงพ่อฤาษีลิงดำที่ไม่เน่าไม่เปื่อยในโลงแก้ว




ภายในวิหารมีการสร้างเสาที่ประดับด้วยโมเสกสีขาวดูระยิบระยับ ยามต้องแสงไฟยิ่งส่องเป็นประกายงดงามยิ่ง ด้านบนเพดานประดับด้วยช่อไฟระย้าทั้งเล็กและใหญ่กว่า 119 ช่อ นอกจากนี้ยังเป็นที่ประดิษฐานพระประธาน (ทรงพุทธชินราช) ด้วยครับ



อีกหนึ่งจุดที่ไม่ควรพลาดชมนั่นคือ ปราสาททองคำ (ปราสาทกาญจนาภิเษก) สร้างขึ้นในวโรกาสที่รัชกาลที่ 9 ครองสิริราชสมบัติเป็นปีที่ 50 เมื่อปี พ.ศ.2539 ก่อสร้างด้วยการก่ออิฐฉาบปูน มี 3 ชั้นครับ




ลวดลายที่ปรากฏอยู่บนประตู ผนังวิหาร วิจิตรบรรจงมาก

สำหรับชั้น 2 ตกแต่งเป็นตู้กระจก ใช้เป็นสถานที่เก็บพระพุทธรูปที่ญาติโยมนำมาถวาย มีทั้งพระพุทธรูปเก่าและใหม่ หลายปางเลยครับ



มุมนี้งดงามมาก ทั้งพระพุทธรูปจริงและภาพพระพุทธรูปที่สะท้อนกระจก ดูแล้วละลานตาเลยครับ



ชั้น 3 ก็เช่นกัน เป็นที่เก็บรักษาพระพุทธรูปที่ญาติโยมนำมาถวาย
ปราสาททองคำเปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 08.00 – 16.00 น. ครับ
จากวัดท่าซุง ไปกันต่อที่วัดอุโปสถาราม (วัดโบสถ์) อีกหนึ่งวัดสำคัญของอุทัยธานีครับ


เพื่อน ๆ ที่จะไปเยี่ยมชมวัดอุโปสถาราม ผมแนะนำให้ปักพิกัด GPS ไปที่ ลานสะแกกรัง (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/NBRXsgJNhoeHZDq96 ) จอดรถไว้แล้วเดินข้ามสะพานวัดโบสถ์ ข้ามแม่น้ำสะแกกรังไป จะสะดวกที่สุด เพราะหากเราตั้งพิกัดไปที่วัดอุโปสถาราม GPS จะพาเราขับรถอ้อมไปยังเกาะเทโพ ซึ่งจะเสียเวลาขับรถอ้อมเป็นอย่างมากครับ


วิวที่มองออกไปจากสะพานวัดโบสถ์ จะเห็นเรือนแพที่อยู่ในลำน้ำสะแกกรัง อีกหนึ่งเอกลักษณ์ของจังหวัดอุทัยธานีครับ


วัดอุโปสถารามเป็นวัดเก่าแก่คู่เมืองอุทัยธานีมาตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ตั้งอยู่บนเกาะเทโพ ริมแม่น้ำสะแกกรัง เดิมชื่อวัดโบสถ์มโนรมย์ แต่ชาวบ้านนิยมเรียกกันว่า ‘วัดโบสถ์’ เคยเป็นสถานที่รับเสด็จรัชกาลที่ 5 เมื่อครั้งเสด็จประพาสมณฑลฝ่ายเหนือในปี พ.ศ.2449 ด้วยครับ
สิ่งที่น่าสนใจภายในวัดมี 4 จุดหลัก ๆ คือ มณฑปแปดเหลี่ยม ที่มีลักษณะสถาปัตยกรรมผสมแบบตะวันตก มีลายปูนปั้นคล้ายไม้เลื้อยที่กรอบหน้าต่างและมีพระพุทธรูปปูนสลักนูนสูงอยู่ด้านนอกอาคาร สร้างขึ้นราวปี พ.ศ.2442 โดยมณฑปแปดเหลี่ยมตั้งเคียงคู่กับเจดีย์สามสมัย เจดีย์ที่มีรูปแบบที่แตกต่างกันทั้งสามองค์ ตั้งเรียงรายอยู่ในแนวระนาบเดียวกัน ได้แก่ เจดีย์ทรงระฆังศิลปะแบบอยุธยา เจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองศิลปะแบบรัตนโกสินทร์ และเจดีย์ทรงระฆังเหลี่ยมศิลปะแบบผสมผสานระหว่างอยุธยาและรัตนโกสินทร์ สันนิษฐานว่าเจดีย์ทั้งสามองค์ถูกสร้างขึ้นพร้อมกันในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นครับ

จุดที่ 3 วิหารซึ่งอยู่ด้านซ้าย และจุดที่ 4 อุโบสถซึ่งอยู่ด้านขวา ตั้งอยู่เคียงคู่กัน

ตัววิหารก่อด้วยอิฐถือปูน ด้านหน้ามีจิตรกรรมฝาผนังเป็นภาพถวายพระเพลิงและวิถีชีวิตชาวบ้านสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ผมไม่เคยเห็นการเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังที่เขียนไว้ด้านนอกอาคารแบบนี้มาก่อนเลยครับ




ภายในวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปยืนปางห้ามญาติ ขนาบซ้ายขวาด้วยพระพุทธรูปฝั่งละหนึ่งองค์ มีภาพจิตรกรรมฝาผนังแสดงเรื่องราวของพระมาลัย พระอสีติมหาสาวก และพระอสุภกรรมฐาน 10 ด้านบนเป็นภาพชุมนุมพระสงฆ์สาวกสลับพัดยศลายต่าง ๆ ครับ




ในส่วนของอุโบสถนั้น ด้านในเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปศิลปะสุโขทัยปางมารวิชัย มีภาพจิตรกรรมฝาผนังฝีมือช่างหลวงเขียนในตอนปลายของสมัยรัชกาลที่ 3 บอกเล่าเรื่องราวพุทธประวัติเริ่มตั้งแต่ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานครับ


ฝั่งตรงข้ามกับวัดอุโปสถาราม ตรงจุดที่ผมแนะนำให้จอดรถ นั่นคือลานสะแกกรัง จุดนี้หากสังเกตดี ๆ จะเห็นตัวอาคารถูกทาด้วยสีม่วง สีประจำพระองค์ของสมเด็จพระเทพฯ เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีและเฉลิมพระเกียรติเนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมายุ 60 พรรษา ดูสวยงามเลยทีเดียวครับ

ไม่ไกลจากลานสะแกกรังมากนักเป็นที่ตั้งของตรอกโรงยา เดิมที่นี่เป็นชุมชนที่อยู่อาศัยของชาวจีนและเป็นแหล่งสูบฝิ่นที่ถูกต้องตามกฎหมาย บรรยากาศภายในตรอกโรงยาจะเป็นบ้านไม้โบราณเรียงรายกว่า 150 เมตร ที่ยังคงสภาพเดิมไว้ทุกอย่าง ปัจจุบันทางจังหวัดอุทัยธานีได้ปรับเปลี่ยนพื้นที่ในวันเสาร์ ช่วงเวลา 16.00 – 20.00 น. ให้ตรอกโรงยาเป็นถนนคนเดินกลางเมืองครับ ใครที่อยากจะมาเดินเล่นหาของกินของฝากเมืองอุทัยธานีก็ลองวางแผนการเดินทางกันให้ดี ๆ แต่ถ้าหากใครต้องการจะมาชมวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวชุมชนตรอกโรงยาแบบดั้งเดิม ก็เลือกมาในช่วงเวลาที่ไม่มีการจัดถนนคนเดินดูครับ จะได้ชมกันแบบ 2 บรรยากาศเลย
จากวัดอุโปสถารามผมมุ่งหน้าไปยังวัดสังกัสรัตนคีรี (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/DjbDzFAwmNkWvgvt5 )

วัดสังกัสรัตนคีรีตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาสะแกกรัง ภายในวิหารประดิษฐาน ‘พระพุทธมงคลศักดิ์สิทธิ์’ พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองอุทัยธานี ว่ากันว่าภายในพระเศียรของพระพุทธมงคลศักดิ์สิทธิ์เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุครับ

เมื่อเดินออกจากวิหาร เราจะได้เห็นบรรยากาศที่คุ้นตาตามสื่อออนไลน์ต่าง ๆ กับภาพพระสงฆ์ราว 500 รูป พากันเดินลงมาจากยอดเขาสะแกกรังเพื่อมารับบิณฑบาตในประเพณีตักบาตรเทโวโรหณะนั่นเอง ซึ่งบันไดทั้ง 449 ขั้นนั้น จะพาเราขึ้นไปยังยอดเขาสะแกกรัง ซึ่งด้านบนเป็นที่ตั้งของมณฑปประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลองครับ แต่.. ถ้าใครคิดว่าสังขารตัวเองไม่ไหวแน่ ให้ขึ้นรถแล้วปักพิกัด GPS ไปที่ https://maps.app.goo.gl/DT1Q9Zn5e9ahVaUVA ครับ



ใครใคร่เดินขึ้นบันได เดิน ส่วนใครที่เดินไม่ไหวก็ขึ้นรถไป ท้ายสุดจุดหมายปลายทางก็อยู่ที่เดียวกันนั่นคือ มณฑปสิริมหามายากุฎาคาร มณฑปทรงไทย ที่สร้างเมื่อปี พ.ศ.2448 ภายในเป็นที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลอง 4 รอย ที่มีพระพุทธรูปประดิษฐานตั้งอยู่สี่ทิศ ซึ่งเปรียบให้เป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปเทศนาแสดงธรรมโปรดพระพุทธมารดาบนสรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แล้วจึงเสด็จกลับสู่โลกมนุษย์
ด้านหน้ามณฑปมีระฆังโบราณใบใหญ่ที่สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2443 ในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยพระปลัดใจและชาวอุทัยธานี ถือกันว่าเป็นระฆังศักดิ์สิทธิ์ เชื่อกันว่าเสียงระฆังนั้นจะดังกังวานไปถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ทำการใดก็จะเป็นที่รู้จักและสำเร็จ

ติดกับมณฑปเป็นที่ตั้งของวิหารพุทธรัตนมุนี สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2446 ลักษณะสถาปัตยกรรมจีน ภายในวิหารประดิษฐานพระประธานปูนปั้นนามว่า ‘พระพุทธรัตนมุนี’ ภายในบรรจุพระแก้วมรกตที่นำมาจากเมืองจีน และยังมีพระพุทธรูปอื่น ๆ อีก 6 องค์ รวมเป็น 7 องค์ ด้านหน้าองค์พระเป็นเจดีย์หล่อด้วยทองเหลือง หรือที่เรียกว่า ‘จุฬามณีจำลอง’ อีก 5 องค์ ภายในเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ นับว่าเป็นวิหารที่มีคุณค่ายิ่ง


ด้านบน สามารถชมวิวเมืองอุทัยธานีได้แบบสุดลูกหูลูกตาเลยครับ

ติดกับลานจอดรถจะเป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนกจักรี ซึ่งพระองค์เป็นชาวอุทัยธานี เดิมชื่อ ‘ทองดี’ เป็นพระราชบิดาของรัชกาลที่ 1 โดยรูปหล่อจะตั้งอยู่ภายในพลับพลาจัตุรมุข ประดิษฐานอยู่บนยอดเขาสะแกกรัง หน้าพระพักตร์หันไปทางเข้าเมือง เปรียบเสมือนพระองค์ท่านคอยปกปักษ์รักษาเมืองจากสิ่งไม่ดี ชาวเมืองอุทัยธานีมีความเคารพเป็นอย่างยิ่ง สังเกตได้จากตราสัญลักษณ์ประจำจังหวัดอุทัยธานีจะเป็นภาพสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนกจักรี ประทับอยู่ในพลับพลาจตุรมุขแห่งนี้ รวมถึงคำขวัญประจำจังหวัดที่ว่า “เมืองพระชนกจักรี” ครับ


จริง ๆ แล้วบนยอดเขาสะแกกรังยังมีอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญนั่นคือ หมุดโลก 1 ใน 3 ของเอเชีย โดยหมุดโลกทั้ง 3 แห่ง ได้แก่ จุด 1 จุดศูนย์กำเนิด หลักหมุดที่ 90 อยู่ที่เขากาเรียนเปอร์ ประเทศอินเดีย จุดที่ 2 หลักหมุดที่ 91 อยู่ที่เขาสะแกกรัง จ.อุทัยธานี และจุดที่ 3 หลักหมุดที่ 92 อยู่ที่ประเทศเวียดนาม ซึ่งเราต้องเดินเท้าจากพลับพลาจัตุรมุขที่ประดิษฐานรูปหล่อของพระปฐมบรมมหาชนกจักรีไปอีกประมาณ 400 เมตร แต่เนื่องจากผมมีเวลาไม่พอ จึงไม่ได้เดินขึ้นไปชมหมุดหลักฐานดังกล่าวครับ
จากยอดเขาสะแกกรัง ผมย้อนกลับเข้ามาในตัวเมืองอุทัยธานีอีกครั้งและมุ่งหน้าสู่ศาลหลักเมืองอุทัยธานีครับ (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/yqCFFyRLDPLtrZgWA )


ศาลหลักเมืองอุทัยธานีตั้งอยู่ด้านหน้าศาลากลางจังหวัดอุทัยธานี เป็นศาลาจัตุรมุขทรงไทย มีประตูเข้าออกทั้ง 4 ด้าน หลังคาเป็นยอดปรางค์ และได้มีการสร้างเสาหลักเมืองใหม่ขึ้นมา โดยแกะสลักจากไม้ชัยพฤกษ์ซึ่งเป็นไม้มงคล ยอดเสาแกะเป็นรูปบัวแก้ว พอสร้างเสาหลักเมืองเสร็จก็ประกอบพิธียกตัวเสาหลักเมืองมาไว้ในศาลหลักเมือง ในวันที่ 23 สิงหาคม 2521 ครับ ด้านข้างศาลหลักเมืองจะมีเสาหลักเมืองโบราณตั้งอยู่ด้วยครับ
เที่ยวกันจนหมดแรง วันนี้ผมคงต้องเข้าที่พักแล้ว คืนนี้ผมเลือกเข้าพักที่ TJ Boutique Hotel ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากศาลหลักเมืองครับ





TJ Boutique Hotel ให้บริการห้องพักทั้งแบบรายวันและรายเดือนครับ ห้องพักสะอาดสะอ้าน ห้องอาจจะเล็กไปสักนิด แต่ก็ไม่ได้อึดอัดอะไร มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งตู้เย็น กาต้มน้ำร้อน ไมโครเวฟ ไดร์เป่าผม นอกจากนี้ยังมี Welcome fruit ที่มาแบบจริงจัง ทั้งสาลี่ แอปเปิลลูกโต ๆ แถมยังมีส้มหวาน ๆ ให้อีก 1 ลูก

ราคาห้องพักจะรวมอาหารเช้าแล้ว อาหารเช้าจะมีให้เลือก 4 เมนู คือ ข้าวต้มกุ้ง ข้าวต้มหมู ไข่กระทะ และ ขนมปัง+ไส้กรอก+ไข่ดาว ให้เลือกได้ห้องละ 2 เมนู นอกจากนี้ยังมีขนมเปียกปูนและขนมเค้กไต้หวันให้อีกรวมห้องละ 2 ชิ้น เสริมด้วยกาแฟและน้ำดื่มด้วย โดยเราจะต้องแจ้งเวลาที่เราจะทานมื้อเช้ากับเจ้าหน้าที่ตอนเช็คอิน เนื่องจากพื้นที่ทานอาหารเช้ามีจำกัด เลยจะต้องจัดคิวของลูกค้าให้ไม่ชนกันครับ แล้วอีกหนึ่งสิ่งที่ประทับใจผมคือ ทางโรงแรมจะมอบของที่ระลึกเป็นที่รองแก้วแบบไม้ให้อีก 2 ชิ้นครับ ที่พักโดยรวมถือว่าดีงามเลยทีเดียว พนักงานน่ารัก ที่พักอยู่ในตัวเมือง ห่างจากลานสะแกกรังราว ๆ 2 กม. ครับ
หากพักในตัวเมืองอุทัยธานีแล้ว ผมไม่อยากให้พลาดการไปเดินชมวิถีชีวิตยามเช้าของชาวอุทัยธานีที่ตลาดเช้า ซึ่งพ่อค้าแม่ค้าจะมาเปิดแผงขายของบริเวณลานสะแกกรังกันนะครับ



ผมไปถึงตลาดเช้าตั้งแต่ 6 โมงเช้า พ่อค้าแม่ค้าตั้งร้านกันแล้ว ผู้คนเริ่มพลุกพล่าน ผิดกับเมื่อเย็นวานที่ค่อนข้างเงียบสงบเลยทีเดียว

ผมมองข้ามฟากแม่น้ำสะแกกรังเห็นหลวงพ่อกำลังพายเรือออกมารับบิณฑบาตแล้ว ผมมีโอกาสมาพักค้างคืนอยู่ริมแม่น้ำสะแกกรังครั้งหนึ่ง จำได้ว่าตอนเช้าท่านจะพายเรือมารับบิณฑบาตตามแพที่พักด้วย แต่ปัจจุบันท่านบอกว่าพายไม่ไหวแล้ว เลยพายมาแค่ฝั่งตรงข้าม บริเวณท่าน้ำที่ติดกับลานสะแกกรังครับ

กลางแม่น้ำสะแกกรังบริเวณด้านหน้าวัดอุโปสถารามจะพบเห็นแพโบสถ์น้ำ อีกหนึ่งจุดสำคัญที่สร้างขึ้นเพื่อรับเสด็จรัชกาลที่ 5 เมื่อครั้งเสด็จประพาสมณฑลฝ่ายเหนือในปี พ.ศ.2449 เดิมเป็นแพแฝด 2 หลัง มีช่อฟ้า ใบระกา หน้าบันมีป้ายวงกลมจารึกภาษาบาลี “สุ อาคต เต มหาราช” แปลว่า มหาราชเสด็จฯ มา ต่อมาในปี พ.ศ.2519 ได้ซ่อมแซมบูรณะใหม่เป็นหลังเดียวยกพื้น 2 ชั้น หลังคาทรงปั้นหยา และย้ายป้ายวงกลมมาไว้ที่หน้าจั่วตรงกลางแทนครับ

ท่านจะมารอรับบิณฑบาตอยู่บริเวณท่าน้ำตั้งแต่เวลา 06.00-07.00 น. โดยประมาณครับ เพื่อน ๆ สามารถมาใส่บาตรทางน้ำหรือจะเลือกใส่บาตรกับพระที่เดินบิณฑบาตบริเวณลานสะแกกรังก็ได้นะครับ










ผมว่าการได้มาเดินตลาดเช้าแบบนี้เป็นการได้มาสัมผัสวิถีชีวิตของชาวบ้านแบบใกล้ชิด มาดูว่าเขากินอยู่กันอย่างไร ผมแทบจะไม่ได้เห็นบรรยากาศของตลาดเช้าแบบนี้จากที่ไหนแล้ว ที่ที่พ่อค้าแม่ค้าจะมานั่งบนเก้าอี้เตี้ย ๆ วางแผงขายของกันบนลานกว้าง ที่ที่สินค้าราคาเริ่มต้นไม่ถึงสิบบาท ที่ที่หาของกินของอร่อยได้แบบราคาถูกมาก ๆ แอบนึกในใจว่าตั้งราคาขายแบบนี้ เขาจะได้กำไรกันเหรอ คือแบบว่าเราซื้อของจับจ่ายกันได้อย่างสบายกระเป๋ากันเลยครับ


ก่อนจะออกจากตลาดเช้า ผมแวะสักการะเจ้าพ่อหลักเมือง (ปุงเถ่ากง) ที่ตั้งอยู่ตรงปากทางเข้าตลาดเช้า เดิมศาลแห่งนี้เป็นศาลไม้ สร้างแบบไทยมาก่อน สันนิษฐานว่ามีอายุนับร้อยปี เรียกกันว่าศาลเจ้าพ่อท่าช้าง เนื่องจากมีท่าน้ำของช้างริมแม่น้ำสะแกกรัง ต่อมาในปี พ.ศ.2477 จึงได้สร้างศาลเจ้าปุงเถ่ากงขึ้นมาแทนหลังเดิม



ด้านในมีรูปเคารพเทพองค์ประธานของศาลเจ้า ที่มีความแตกต่างเพราะมีลักษณะเป็นเจว็ดหรือแผ่นไม้สักสลักรูปคล้ายเทวดาทรงเครื่อง นุ่งโจงกระเบน ทรงชฎา มือถือดอกบัว มีกระบี่ แสดงถึงการผสมผสานศิลปกรรมไทยจีน ซึ่งก่อนหน้านี้ลวดลายจะผันเปลี่ยนไปตามฝีมือช่างยุคหลัง จนหลังน้ำท่วมในปี พ.ศ.2554 พบว่าปลวกได้ไปกินองค์เจ้าพ่อ จึงเกิดการซ่อมแซมด้วยการลอกองค์ไปจนถึงชั้นในสุด เผยให้เห็นถึงงานฝีมือของช่างจีนโบราณครับ

มีร่องรอยของภาพวาดเรื่องปรัมปราอยู่ภายในศาลเจ้า



มีภาพเขียนสีอยู่โดยรอบนอกของศาลเจ้าด้วยเช่นกันครับ

บรรยากาศแถว ๆ ตลาดเช้า ดูคลาสิกมากเลย เหมือนเราได้นั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลากลับไปเลย
จากอำเภอเมืองผมมุ่งหน้าสู่อำเภอลานสัก เพื่อแวะเที่ยวที่หุบป่าตาดครับ (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/2XaHi8zVMXLEzhYb7 )


หุบป่าตาดอยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของเขตห้ามล่าสัตว์ป่าถ้ำประทุน การเข้าชมหุบป่าตาดมีค่าธรรมเนียมในการเข้าชม ผู้ใหญ่คนละ 20 บาท เด็กคนละ 10 บาทครับ จากจุดเก็บค่าธรรมเนียมเราจะต้องเดินขึ้นบันไดไปตามทางลาดชัน เรียกเสียงหอบได้พอสมควร ระยะทางไปกลับราว 700 - 800 เมตร ครับ


จากนั้นเราจะต้องเดินผ่านอุโมงค์แห่งกาลเวลาที่ภายในมืดสนิท ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเดินย้อนเวลากลับไปหาอดีต จนเมื่อถึงปลายอุโมงค์เราจะค่อย ๆ เห็นแสงสว่างเผยภาพอันน่ามหัศจรรย์ของป่าตาดครับ




หุบป่าตาดมีลักษณะเป็นโถงถ้ำขนาดใหญ่ที่มีหินงอกหินย้อยและมีผืนป่าอันน่าพิศวง เหมือนได้ย้อนกลับไปยังโลกยุคดึกดำบรรพ์เลยครับ ลักษณะของป่าคล้ายป่าดงดิบ มีความชุ่มชื้นสูง หากมาในช่วงกลางวันจะมีแสงจากดวงอาทิตย์สาดส่องลงมากลางหุบที่ล้อมรอบด้วยภูเขาหินปูนสูงชัน ยิ่งทำให้บรรยากาศภายในป่าตาดน่าตื่นเต้นเข้าไปอีก





ภายในหุบป่าตาดมีสภาพภูมิศาสตร์ที่แปลกตาด้วยพันธุ์ไม้หายากมากมาย ไม่ว่าจะเป็นต้นตาด เต่าร้าง เปล้า คัดค้าวเล็ก ขนุนดิน และถ้าหากใครโชคดีจะได้พบกับสัตว์หายากอย่างกิ้งกือสีชมพู ซึ่งในประเทศไทยพบกิ้งกือสีชมพูได้ที่หุบป่าตาดแห่งนี้แห่งเดียวเท่านั้น เสียดายที่รอบนี้กิ้งกือสีชมพูไม่ปรากฏกายให้ผมได้เห็นครับ
จากหุบป่าตาดไปต่อที่ถนนใต้ดินบ้านนาตาโพ ในเขตอำเภอบ้านไร่ครับ (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/Ay9gBQ2NESeR9eUb6 )



ถนนใต้ดินบ้านนาตาโพ ถนนสายเดียวที่ไม่เหมือนใคร เพราะเป็นได้ทั้งคลองและถนน (ใต้ดิน) อีกด้วย จากถนนที่อยู่ในระนาบเดียวกัน แต่พอเราขับรถไปเรื่อย ๆ เอ๊ะ ทำไมเหมือนมีกำแพงอยู่สองข้างทางซะอย่างนั้น ยิ่งขับเข้าไป กำแพงสองข้างทางก็ยิ่งสูงขึ้นจนระดับสูงกว่าหลังคารถไปซะแล้ว ถนนใต้ดินบ้านนาตาโพมีความยาวประมาณ 2 กม. เป็นเส้นทางที่ชาวบ้านที่อาศัยในละแวกนั้นใช้ลำเลียงผลผลิตทางการเกษตรออกมาจากไร่ แต่พอถึงช่วงฤดูน้ำหลาก น้ำก็จะไหลมาตามถนนสายนี้กลายเป็นคลองโดยอัตโนมัติ
ถนนใต้ดินเกิดจากการทรุดตัวของพื้นดินที่ทรุดตัวลงจากการกัดเซาะของน้ำที่ไหลผ่าน ตามเส้นทางน้ำไหลเป็นระยะเวลานานต่อเนื่อง ทำให้ดินทรุดตัวลงตามลำดับ พื้นดินบริเวณที่ถูกน้ำกัดเซาะทรุดตัวลงอย่างต่อเนื่องจนต่ำกว่าระดับพื้นดินปกติ กลายเป็นช่องขนาดใหญ่ที่สามารถใช้สัญจรไปมาได้
จากถนนใต้ดินบ้านนาตาโพไปต่อที่ต้นไม้ยักษ์ ในอำเภอบ้านไร่ครับ (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/69pdg6fHQS9ivVmq6 )



ต้นไม้ยักษ์ที่ว่า คือต้นเซียง หรือต้นผึ้ง ที่มีอายุกว่า 400 ปี ตั้งตระหง่านท่ามกลางป่าหมาก ที่ล้อมรอบต้นไม้ยักษ์ให้ดูน่าเกรงขามมากขึ้น ต้นผึ้งเป็นไม้เนื้ออ่อน มีพูพอนไว้ค้ำยันลำต้นให้คงอยู่ จากการที่ใช้คนกางแขนโอบ เห็นว่าประมาณ 40 คนโอบเลยครับ แล้วถ้าหากแหงนหน้าขึ้นไปดูบนต้นผึ้ง จะพบเห็นผึ้งป่ามาทำรังอยู่บนต้นผึ้ง มีอยู่หลายรังเลยทีเดียว ใกล้ ๆ กับต้นผึ้ง ยังมีต้นไทรย้อยใบแหลมที่มีความใหญ่ไม่น้อยหน้าต้นผึ้งเลย ลำต้นดูสวยงามแตกต่างจากต้นผึ้งครับ
จากต้นไม้ยักษ์ผมมาปิดโปรแกรมที่วัดถ้ำเขาวงครับ (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/fuiFsUDAh9zXpbtD8 )



วัดถ้ำเขาวงอยู่ติดริมเขา สร้างเป็นอาคารทรงเรือนไทย 4 ชั้น สร้างขึ้นด้วยไม้สัก ไม้มะค่า และไม้เก่าจากเรือนไทย ด้านหน้าวัดมีสระน้ำขนาดใหญ่และสะพานไม้ที่ประกอบขึ้นจากไม้ตามธรรมชาติที่ไม่ได้ผ่านการปรับแต่งรูปร่างแล้วนำมาประกอบเข้าด้วยกัน ทอดยาวข้ามสระน้ำ ฉีกความเป็นวัดที่ผมเคยเห็นมาตลอดทั้งชีวิตอย่างสิ้นเชิง ในความคิดผม ตัววัดให้อารมณ์เหมือนรีสอร์ทเลยครับ

ภายในอาคารเรือนไทย ชั้นที่ 1 เป็นลานอเนกประสงค์ รวมทั้งร้านขายของ ชั้นที่ 2 เป็นวิหาร ประดิษฐานรอยพระพุทธบาท ชั้นที่ 3 เป็นกุฏิ ชั้นที่ 4 เป็นโบสถ์ครับ

บริเวณเชิงเขาเป็นที่ประดิษฐาน ‘พระพุทธอุทัยธรรมพินิต’ พระพุทธไสยาสน์องค์ใหญ่ ปางโปรดสุรินทราหู มีความยาว 21 เมตร ออกแบบโดยช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร ที่มีพุทธลักษณะศิลปะแบบร่วมสมัยสุโขทัย ซึ่งตอนที่ผมไป ช่างกำลังก่อสร้างยังไม่แล้วเสร็จสมบูรณ์ครับ
หากร่างกายกำลังจะหมดไฟ ลองเลือก ‘อุทัยฯ’ เป็นที่ชาร์จพลัง สุขใจทุกครั้งที่ได้มา
ลุงเสื้อเขียว
วันเสาร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2568 เวลา 21.04 น.