ทริปนี้ถือเป็นทริปที่รอคอยมานาน และถือเป็นทริปที่รู้ตัวว่าต้องไปแบบจริงๆ โดยไม่ทันตั้งเนื้อตั้งตัว อย่างไรนั้นเหรอครับ เรื่องมีอยู่ว่า ฟลุ๊ค เพื่อนเก่าสมัยเรียน ชวนไปเที่ยวมาเก๊าตั้งแต่ช่วง ตุลาคม 58 แต่เนื่องจากติดโน่นติดนี่กัน จึงต้องขยับทริปมาเรื่อยๆ เรื่อยจนลืมไปแล้วว่าเรามีโปรเจคนี้กัน

จนเมื่อกลางเดือนธันวาคม 59 ระหว่างนั่งกินข้าวกับฟลุ๊ค อยู่ๆ มันก็โพล่งขึ้นมา

ฟลุ๊ค : ไปมาเก๊ากันไหม

ผม : เห็นมึงชวนมาเป็นปีแล้ว ยังคิดจะไปอยู่อีกเหรอ

ฟลุ๊คได้ยินดังนั้น มันเลยหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ผมเห็นมันจิ้มๆ โทรศัพท์อยู่พักนึงแล้วก็เอ่ยขึ้นว่า

ฟลุ๊ค : ชื่อมึง ภาษาอังกฤษสะกดยังไง

ผมก็สะกดให้มันไปโดยคิดว่ามันคงจะขอชื่อเราไว้ก่อน เผื่อมีตั๋วโปรฯ มันถึงค่อยจองตั๋วให้ เพียงไม่ถึง 5 นาที มันบอกว่า

ฟลุ๊ค : เรียบร้อยแล้วนะ

ผม : อะไรเรียบร้อย

ฟลุ๊ค : กรูก็จองตั๋วไปมาเก๊าให้เรียบร้อยแล้วไง

ผม : เอ้า มึงจะทำไรมึงไม่ถามกรูก่อนเลยเหรอว่ากรูจะไปหรือป่าว ว่าแต่ไปเมื่อไร

ฟลุ๊ค : หลังปีใหม่ 1 อาทิตย์

ผมนึกในใจ โชคดีนะที่จองไปหลังปีใหม่ 1 อาทิตย์ เพราะถ้าจองช่วงปีใหม่ ผมติดไปสิงคโปร์ด้วย

ผม : เออๆ วันหลังจะทำอะไรบอกด้วย เกิดจองแล้วกรูติดออกทริป ไปไม่ได้ ต้องทิ้งตั๋วฟรี ช่วยไม่ได้นะเว้ย (แต่ตอนนั้นดีใจจนเนื้อเต้นแล้วครับ)

ทริปนี้ทุกอย่างฟลุ๊คเป็นคนจัดการหมด ไม่ว่าจะเป็นการจองตั๋วโรงแรม จองที่พัก รวมถึงโปรแกรมท่องเที่ยวในมาเก๊าตลอด 2 วัน1 คืน (เพราะฟลุ๊คเคยไปมาเก๊ามาแล้วหลายรอบ) ผมทำหน้าที่เพียงหาข้อมูลของสถานที่ที่อยากไปให้ฟลุ๊ค เพื่อให้มันจัดไว้ในโปรแกรมให้ โดยทริปนี้มีสมาชิกร่วมเดินทางทั้งสิ้น 6 คน คือ ฟลุ๊ค จอย น้องบีม (ครอบครัวฟลุ๊ค) ป้าหน่อย ป้าญา และ ผม

ก่อนไปผมเองก็ได้หาข้อมูลเกี่ยวกับการแลกเงินเพื่อใช้ที่มาเก๊า สรุปได้ความว่า สามารถใช้เงินดอลล่าฮ่องกงหรือสกุลเงินมาเก๊า (MOP) ได้ทั้ง 2 สกุลนะครับ

แล้ววันเดินทางก็มาถึง เรามาถึงสนามบินดอนเมืองกันตั้งแต่ 05.00 น. จัดการ Check in และผ่านกระบวนการตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อย วันนี้คนไม่เยอะเท่าที่ควร เลยผ่านขั้นตอนทุกอย่างค่อนข้างรวดเร็วครับ

ทริปนี้ผมเดินทางกับสายการบินแอร์เอเชีย ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งก็มาถึงสนามบินนานาชาติมาเก๊า เวลาที่มาเก๊าเร็วกว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมง ขอบอกเลยว่ากระบวนการตรวจคนเข้าเมืองที่นี่ง่ายมากๆ ไม่มีแม้แต่การเขียนใบตรวจคนเข้าเมือง เราเพียงแค่ยื่น Passport ให้กับ ตม.เท่านั้น เพียงไม่ถึง 1 นาทีก็เสร็จสิ้นกระบวนการครับ

มาทำความรู้จักกับมาเก๊ากันก่อนดีกว่า มาเก๊าเป็นเขตบริหารพิเศษของประเทศจีน ตั้งอยู่บนพื้นที่ชายฝั่งทางตอนใต้ของประเทศจีน เดิมปกครองโดยประเทศโปรตุเกส และเป็นอาณานิคมของยุโรปที่เก่าแก่ที่สุดในจีน สิ่งดึงดูดให้นักท่องเที่ยวหลั่งไหลกันเข้ามาที่มาเก๊าคือ อุตสาหกรรมการพนันและกาสิโนครับ สภาพภูมิประเทศของมาเก๊าแบ่งเป็น 3 ส่วน

ส่วนแรกอยู่ตอนบน ชื่อ มาเก๊า เกาะนี้จะเป็นที่ตั้งของโรงแรม คาสิโน และสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย

ส่วนที่สอง อยู่ตอนกลาง ชื่อ ไทปา สถานที่เด่นๆ คือ สนามบิน, The Venetian, Wynn Palace, Studio City

ส่วนที่สาม อยู่ตอนล่าง ชื่อ โคโลอาน สถานที่เด่นคือ หาดทรายดำ ฮัก ซา

การเดินทางจากสถานที่สำคัญๆ อย่างสนามบิน ไปยังโรงแรมต่างๆ สามารถใช้บริการ Free Shuttle Bus ได้นะครับ โดยหลังออกจากสนามบิน ให้เดินไปทางขวามือ จะพบกับลานจอดรถคล้ายๆ กับสถานีขนส่งบ้านเราครับ บริเวณลานจอดรถนี้จะเป็นที่จอดรถของเหล่าบรรดาโรงแรมมากมาย เราพักโรงแรมไหนก็สามารถขึ้นได้เลย หรือไม่ได้พักก็สามารถขึ้นได้ โดยโปรแกรมแรกของผม ผมตั้งใจจะไปเที่ยวที่ The Venetian ก่อน เพราะตามโปรแกรมที่ฟลุ๊ควางไว้นั้น ตั้งใจจะเก็บจุดสำคัญที่ฝั่งไทปาให้เรียบร้อยซะก่อนถึงจะข้ามฝั่งไปยังมาเก๊าซึ่งเป็นฝั่งที่ผมจะใช้เป็นที่พักและเดินเที่ยวตลอดทริปนี้

การขึ้น Free Shuttle Bus ก็ง่ายมากๆ ไม่ต้องแสดงบัตรอะไรเลยครับ แค่เอากระเป๋าเดินทางเข้าใต้ท้องรถ แล้วเดินขึ้นรถ ทำหน้าแบบสวยๆ หล่อๆ แล้วเลือกที่นั่งได้ตามชอบเลย ขึ้นรถปุ๊บ รถออกปั๊บ บนรถมี Free Wifi ให้ใช้ด้วยนะเออ

ไม่ถึง 10 นาที รถก็มาจอดส่งด้านหน้าบริเวณประตูทางเข้า The Venetian ครับ ผมจัดแจงฝากกระเป๋าให้เรียบร้อย ก่อนที่จะเดินเที่ยวด้านใน (จุดนี้มีค่าฝากกระเป๋าด้วยนะครับ ใบละ 10 MOP)

ฝากกระเป๋าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เลยเดินมาเก็บบรรยากาศด้านนอกของ The Venetian กันก่อนเลยครับ ผมแอบนึกในใจ "ความรู้สึกเหมือนไปเที่ยวหัวหินยังไงก็ไม่รู้" อาจเป็นเพราะผมยังไม่เคยไปเที่ยวที่ The Venetian ที่อิตาลีจริงๆ เคยก็แต่เที่ยว The Venetian ที่หัวหินบ้านเรา แต่ The Venetian ที่หัวหิน เทียบไม่ติดกับที่มาเก๊าเลยครับ ที่นี่อลังมากๆ

เข้ามาชมด้านในกันบ้าง บริเวณ Lobby สำหรับ Check in ครับ แค่จุดนี้ก็ทำเอาผมตาค้างไปชั่วขณะ

บริเวณโถงกลางและทางเดิน ทำเอาผมถึงกับตะลึงอีกเช่นกัน สวยงามมากๆ บริเวณด้านล่างจะเป็นที่ตั้งของบ่อนคาสิโน ด้านในไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพครับ

สำหรับชั้น 3 เป็นสวรรค์ของนักช้อป บริเวณนี้คือ Great Hall จุดนี้เพดานสวยงามมากๆ ส่วนด้านล่างมองเห็นบรรยากาศของบ่อนคาสิโนครับ

โซนนี้คือ The Grand Canal Shoppes ซึ่งได้จำลองเวนิสให้มาปรากฏอยู่เบื้องหน้า ส่วนที่ได้อารมณ์เวนิสมากๆ เห็นจะเป็นเรือ Gondola ที่พายไปมาอยู่ตามคลอง พร้อมกับเสียงเพลงที่ขับขานโดยฝีพาย เสียงดังกังวานมากๆ อีกสิ่งที่ชอบมากๆ คือ บริเวณเพดาน มีการเขียนสีเป็นท้องฟ้า ซึ่งผมว่ามันไม่ธรรมดาอย่างที่เห็น เพราะทุกย่างก้าวที่เดินไป เหมือนเมฆมันเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา ต้องยกนิ้วให้กับผู้วาดจริงๆ ครับ

โซน The Grand Canal Shoppes นี้ มีร้านค้ามากมาย ไม่ว่าจะเป็นร้านรองเท้า ร้านเครื่องสำอาง ร้านเสื้อผ้า รวมถึงร้านอาหารมากมายให้เลือกจับจ่ายได้ตามต้องการครับ ราคาบางอย่างลดแล้วก็ยังแพงอยู่ แต่บางอย่างลดราคาแล้วก็ถูกกว่าบ้านเราครับ อย่างเสื้อขนเป็ด Uniqlo ผมเคยซื้อตอนที่ลดราคา ตัวประมาณ 2,000 บาท แต่ที่นี่ราคาลดแล้วไม่ถึง 1,400 บาท เสียดายที่สีที่ชอบไม่มี Size ที่ต้องการ เลยไม่เสียเงินเลย เสียใจจริงๆ

เห็นคนต่อแถวยาว เลยไปสำรวจว่าเขาต่อคิวซื้ออะไรกัน ที่ไหนได้ เป็นทาร์ตไข่ ร้าน LORD STOW'S ฟลุ๊คจัดการไปต่อคิวซื้อมาให้สมาชิกได้ชิมกันคนละชิ้น ชิ้นละ 10 MOP ขอบอกเลยว่ารสชาติคุ้มค่ากับการต่อคิวจริงๆ ครับ

บ่ายนี้ผมมาฝากท้องไว้ที่ Food Court สิ่งแรกที่เดินเข้ามาใน Food Court ก็แว๊บไปเห็นรูปเมนูหอยทอด พร้อมป้ายราคา $80 ผมนี่รีบแอบคูณ 4.6 (บาท) ทันที ในใจก็นึก หูย... หอยทอดจานนึงราคากว่า 360 บาท เชียวเหรอ แพงจัง!! เดี๋ยวไปหาเมนูอื่นๆ ดูดีกว่าเผื่อจะได้ราคาถูกกว่านี้ เดินไปเดินมาก็มาหยุดอยู่ที่หน้าร้านข้าว เพราะคิดว่าทานข้าวน่าจะหนักท้องและอยู่ท้องที่สุด จัดการสั่งซิครับ อ่านเมนูแล้วก็นึกหน้าตาอาหารไม่ถูกว่าจะเป็นอย่างไร เกิดสั่งไปแล้วทานไม่ได้ งานจะเข้าอีก เลยตัดสินใจชี้ๆ ตามอาหารของลูกค้าคนอื่นๆ ดีกว่า กินได้ชัวร์แน่นอน แม่ค้ากดเครื่องชำระเงิน แล้วบอกราคา $100 ผมงี้ควักเงินออกจากกระเป๋ามือไม้สั่นเลยครับ ไม่เคยทานข้าวจานเดียวราคามหาโหดขนาดนี้ มื้อนี้ผมได้เป็นข้าวหมูอบ หมูชิ้นโตเสิร์ฟพร้อมน้ำซุปจืดๆ ถ้วยใหญ่ม๊ากกก โดยรวมแล้วรสชาติดีเลยทีเดียว

มื้อนี้แอบสงสารป้าหน่อยจังครับ เพราะป้าหน่อยทานหมู รวมถึงส่วนประกอบที่มีหมูอย่างน้ำซุปต้มกระดูกหมูก็ไม่ได้ เลยต้องเดินหาร้านอาหารที่ปลอดหมูอยู่นาน กว่าจะได้ทาน

หลังอาหาร คงต้องเคลื่อนขบวนเพื่อข้ามไปยังฝั่งมาเก๊ากันแล้วครับ เพราะจะได้ไปเที่ยวยังจุดอื่นๆ บ้าง

ผมได้สอบถามพนักงานของ The Venetian ว่ามี Free Shuttle Bus ไปส่งแถวๆ Lisboa Hotel หรือไม่ พนักงานบอกว่าไม่มี และก็ยังอุตส่าห์แนะนำวิธีการเดินทางให้เราพร้อมสรรพ ว่าถ้าไปรถเมล์ ให้เดินไปตรงนี้ ขึ้นรถสายนี้ หรือถ้าจะไป Taxi ให้ไปขึ้นรถตรงนี้ แต่... เรามีวิธีที่ดีกว่านั้นครับ

ผมนั่ง Free Shuttle Bus กลับไปยังสนามบิน แล้วหา Free Shuttle Bus ของ Lisboa Hotel แต่รออยู่นานรถไม่มาสักที เลยนั่งรถของ Wynn Hotel แทนครับ

Lisboa Hotel อยู่ฝั่งตรงข้ามกับ Wynn Hotel เมื่อรถมาจอดที่หน้า Wynn Hotel ก็เดินเท้าต่อนิดหน่อยเพื่อลงอุโมงค์ข้ามถนนไปไปยัง Lisboa Hotel ซึ่งเป็นที่พักของผมในคืนนี้ครับ

เดินเข้ามาด้านใน แอบอึ้งนิดๆ ครับ

เดินต่อมาอีกนิดหน่อย อารมณ์เหมือนเดินเข้ามาในวัง เห็น Chandelier ขนาดใหญ่ห้อยระย้าลงมาท่ามกลางบันไดโค้ง พื้นกระเบื้องหินอ่อนสีดำขับกับสีทอง ดูมลังเมลืองอย่างบอกไม่ถูก เสาโมเสคขนาดใหญ่ เสริมทำให้ดูหรูหราขึ้นไปอีกครับ

บริเวณ Lobby เท่าที่สังเกตโรงแรมที่นี่จะไม่มีที่นั่งให้แขกได้นั่งพักผ่อนเลย

บริเวณโดยรอบมีของสวยๆ งามๆ ประดับให้ชมมากมาย ดูไม่ต่างอะไรกับพิพิธภัณฑ์เลยครับ

ทางโรงแรมจะให้ Key Card มา 2 ใบครับ สำหรับการขึ้นลิฟต์ก็ง่ายนิดเดียว เมื่อลิฟต์เปิด ก็เอา Key Card ไปแตะที่ตัวอ่าน เพียงเท่านี้ตัวเลขของชั้นที่เราพักก็จะปรากฏขึ้นเองโดยไม่ต้องกดหมายเลขชั้นครับ ส่วนเวลาลงไม่จำเป็นต้องใช้การ์ด แต่สามารถกดลงชั้น L ได้เลย

มาดูห้องพักกันบ้าง ห้องพักค่อนข้างกว้างมากๆ แบ่งเป็น 3 ส่วนหลักๆ คือ ส่วนนั่งเล่น กะจะสายตาแล้วผมว่าพื้นที่ส่วนนี้มีขนาดใหญ่ที่สุด ทางโรงแรมจัดชุดโซฟาสำหรับให้นั่งทำกิจกรรมร่วมกัน มีโต๊ะทำงาน และมีตู้ขนาดใหญ่ ซึ่งภายในตู้เมื่อเปิดประตูออกมา ด้านบนจะเป็นจอทีวีขนาดใหญ่ ส่วนด้านล่างจะมีตู้เย็น ภายในตู้เย็นมี Minibar ให้ดื่มฟรี มีเยอะด้วยครับ ด้านข้างตู้เย็นมีกาน้ำร้อนสำหรับไว้ชงชาหรือกาแฟครับ

พื้นที่ในส่วนของห้องนอนก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนจากห้องนั่งเล่นเลย ตกแต่งอย่างหรูหรา ในส่วนของห้องนอนมีตู้เสื้อผ้า มีโต๊ะเครื่องแป้ง และจอทีวีขนาดใหญ่ให้อีก 1 เครื่องครับ

สำหรับห้องน้ำ แนวการตกแต่งดูแพรวพราวมากๆ ครับ มีอ่างล้างหน้า 2 อ่าง แยกพื้นที่ส่วนเปียกส่วนแห้งด้วยตู้กระจก ในส่วนของสุขภัณฑ์ไม่มีสายฉีดชำระให้ครับ สำหรับในตู้อาบน้ำดูทันสมัยมาก มากจนแอบหาที่เปิดน้ำไม่เจอ มีฝักบัวสำหรับนวดหลังพร้อมที่นวดเท้าให้ด้วย นอกจากนี้ยังมีเกลือสำหรับขัดตัว รวมถึง Amenity มากมายครับ

หลังเก็บสัมภาระและพักผ่อนกันเล็กน้อยแล้ว ก็ออกเดินสำรวจมาเก๊ากันครับ จุดแรกที่ผมอยากไปคือ Rua da Felicidade หรือย่านโคมแดง

ฟลุ๊คมีหน้าที่ดูแผนที่และพาเดินลัดเลาะไปตามเส้นทางที่คิดว่าจะไปได้ มีหลงบ้างนิดหน่อยแต่ก็มาโผล่ยังย่าน Rua da Felicidade จนได้ เดิมย่านโคมแดงนี้เป็นแหล่งรวมหญิงบริการและบ่อนการพนัน แต่ปัจจุบันกลายเป็นย่านที่มีร้านค้าประเภทของชำ ร้านอาหาร ร้านขาย Milk Tea ผมว่าสิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาที่นี่ น่าจะเป็นการตกแต่งบ้านเรือนในย่านนี้ที่ต่างทาสีประตูและหน้าต่างเป็นสีแดงเกือบทั้งหมดครับ ถือว่าเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่เลยก็ว่าได้

ระหว่างทางแอบเห็นร้านขายของว่าง หน้าตาน่าทาน เลยลองแวะเข้าไปชิม ลักษณะคล้ายเต้าฮวยและมีท็อปปิ้งเป็นเม็ดบัว หรือถั่วแดง มีทั้งแบบร้อนและเย็น ผมว่าแบบร้อนจะให้รสชาติของกลิ่นนมชัดกว่าแบบเย็น แต่ถึงแบบเย็นจะไม่ค่อยได้กลิ่นของนมสักเท่าไร แต่ผมว่าให้ความสดชื่นได้มากกว่าแบบร้อนครับ แต่สรุป อร่อยทั้งแบบร้อนและแบบเย็นครับ สนนราคาถ้วยละ 35 MOP

จากย่าน Rua da Felicidade เดินย้อนกลับมาทางโรงแรม จะผ่านย่าน Senado Square แต่ผมขอเดินผ่าน Square ไปก่อน เพราะ ณ เวลานั้นฟ้าเริ่มมืดแล้ว ผมอยากจะไปเก็บบรรยากาศที่ซากวิหารเซนต์พอล (Ruins of St.Paul's) ก่อนครับ

เดิมวิหารเซนต์พอล เคยเป็นที่ตั้งของ St. Paul's College and the Cathedral of St. Paul และได้รับการขนานนามว่าเป็นโบสถ์คาทอลิกที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ต่อมาเกิดการพังทลายลงมาจากเหตุการณ์เพลิงไหม้ขณะพายุไต้ฝุ่นเข้าถล่มเมื่อปี ค.ศ.1835 จากนั้นกองทัพโปรตุเกสจึงได้ปล่อยทิ้งร้างไว้ จนในปี ค.ศ.1620-1627 จึงได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่ แต่เป็นการบูรณะเพียงด้านหน้าของวิหารเท่านั้น ที่นี่ถือเป็นจุดแลนด์มาร์คของมาเก๊าเลยก็ว่าได้ เพราะนักท่องเที่ยวที่มามาเก๊า ถ้าไม่แวะมาที่นี่เหมือนมาไม่ถึงมาเก๊าครับ วิหารแห่งนี้ได้รับการยกย่องเป็นหนึ่งใน 29 มรดกทางวัฒนธรรมของมาเก๊าด้วยครับ

ตลอดสองข้างทางของเส้นทางที่เข้ามายังวิหารแห่งนี้เต็มไปด้วยร้านรวงมากมาย ที่สะดุดตาเห็นจะเป็นร้านขายของฝากประเภทหมูแผ่น มีให้เลือกชิมเลือกดูหลายร้านมากๆ ครับ

ต้องยอมรับว่านักท่องเที่ยวมาที่ซากวิหารแห่งนี้กันมากจริงๆ ครับ ขนาดเย็นย่ำค่ำแบบนี้ นักท่องเที่ยวยังไม่บางตาลงเลยครับ

ถ้าหันหน้าเข้าหาซากวิหาร แล้วเดินเลาะไปทางขวามือ ช่วงกึ่งกลางทางจะมองเห็นบันไดที่ทอดยาวขึ้นไปยังเนินเขาลูกเล็กๆ ชื่อ Fortaleza do Monte ซึ่งอดีตใช้เป็นป้อมปราการของมาเก๊า หากใครพอมีพละกำลังเหลือเฟือ แนะนำให้ขึ้นไปด้านบนดูนะครับ

ด้านบนนั้นเป็นที่ตั้งของ Museum of Macau ครับ แต่ผมมาถึงมืด พิพิธภัณฑ์ปิดไปแล้ว แต่ไม่เป็นไร เพราะเรายังสามารถเดินชมวิวมุมสูงของมาเก๊ารอบๆ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้ครับ

ผมใช้เวลาอยู่บน Museum of Macau นานพอสมควร จนเจ้าหน้าที่เริ่มปิดประตูป้อมปราการผมจึงได้เดินลงกลับมายังเส้นทางเดิม ช่วงนี้เลยเดินดูบรรยากาศเรื่อยเปื่อยครับ

จุดนี้คือ St. Dominic's Church เป็นโบสถ์ในนิกายโรมันคาธอลิค สร้างขึ้นด้วยศิลปะแบบ Baroque นับเป็นหนึ่งใน 29 แห่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมของมาเก๊าเช่นกันครับ

Senado Square นับเป็นศูนย์กลางของสถานที่สำคัญหลายแห่ง โดยรอบจัตุรัสเป็นตึกเก่าซึ่งถูกแปลงโฉมเป็นร้านค้าแบรนด์เนมต่างๆ มากมาย จัตุรัสแห่งนี้น่าจะเป็นจุดนัดพบของคนมาเก๊ารวมถึงนักท่องเที่ยวครับ เพราะคนมากมายจริงๆ

ค่ำแล้ว คงต้องหาอะไรรองท้องกันก่อน ค่ำนี้ผมฝากท้องที่ร้าน Chan Kong Kei Casa De Pasto ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมที่เราพักครับ

ร้านนี้เด่น เป็ดย่าง ไก่สับ พนักงานบางคนพูดภาษาไทยได้นิดหน่อยด้วย สงสัยคงไทยมาทานที่นี่กันเยอะครับ

เป็ดอร่อย น้ำราดเป็ดเอามาราดข้าวก็อร่อยมากๆ เช่นกัน กลิ่นพริกไทยหอมเตะจมูกเลยครับ

ไก่ โรยหน้าด้วยต้นหอมผัด รสชาติโอเคเลยเช่นกันครับ รีบถ่ายไปหน่อยเพราะสมาชิกจ้องจะคีบไก่กันแล้ว ภาพเบลอเลย

หมูกรอบ ผมว่ามันชิ้นโตไปสักนิด ทำให้เหนียว และรสเค็มไปหน่อยครับ จานนี้ผมยังไม่ให้ผ่าน

เลือดเป็ด เห็นแล้วขนลุก ผมเองไม่ได้ชิมเพราะไม่ทานเลือดครับ แต่เห็นสมาชิกคนอื่นๆ คีบกันไม่หยุดหย่อน ดูแล้วน่าจะอร่อยแหล่ะครับ ร้านนี้มีน้ำชาร้อนบริการฟรีด้วยนะครับ

มื้อนี้ทานแบบไม่ค่อยผวาเรื่องราคาเหมือนกับทานที่ The Venetian ครับ

หลังจากเติมพลังกันแล้ว โปรแกรมวันนี้ยังไม่จบแค่นี้ จุดหมายต่อไป ผมตรงไปที่ Wynn Hotel เพราะดูจากเวลาแล้วน่าจะเป็นเวลาทองของฟลุ๊ค จอย และ 2 ป้า บ้างแล้วที่จะไปหาค่าตั๋วเครื่องบินฟรี หาค่าห้องฟรี จะฟรีไม่ฟรี สุดที่ดวงใครดวงมันแล้วครับงานนี้

กฎของทุกบ่อนคือ ห้ามคนที่อายุต่ำกว่า 20 ปีเข้าไปด้านใน ดังนั้น น้องบีมซึ่งอายุยังไม่ถึง เลยไม่สามารถเข้าได้ น้องบีมจึงต้องมาเป็นไกด์จำเป็นแทนพ่อฟลุ๊คพาผมเที่ยวโดยอัตโนมัติครับ


จริงๆ แล้วจุดถ่ายรูปก็อยู่ตรงหน้า Wynn Hotel นั่นแหล่ะครับ ทุกๆ 15 นาที จะมีการแสดงของน้ำพุประกอบดนตรี ที่จะแสดงรอบละประมาณ 5 นาที การแสดงแต่ละรอบก็จะไม่เหมือนกัน บางรอบดูแล้วก็เร้าใจ บางรอบก็ดูสบายๆ บางรอบมีพ่นไฟอีกต่างหาก ผมเองนั่งชมอยู่หลายรอบครับ

ฝั่งตรงข้าม Wynn Hotel มองเห็น Lisboa Hotel ซึ่งเป็นที่พักของผมในคืนนี้ และ Grand Lisboa ซึ่งอยู่ติดๆ กันครับ

อีกด้านหนึ่งของ Wynn Hotel จะติดกับ Nam Van Lake ครับ สีสันยามค่ำคืนของ Nam Van Lake สวยงามมากๆ มองออกไปเบื้องหน้าเห็น Macau Tower เคียงคู่ไปกับสะพานข้ามไปยังฝั่งไทปา สวยงามมากๆ ครับ

มุมนี้ก็สวยงามไม่น้อย ได้มุมสะท้อนน้ำของ Grand Lisboa ด้วย

เมื่อถึงเวลานัด 22.30 น. ฟลุ๊คออกมาบอกผมว่า ให้พาบีมกลับไปพักผ่อนที่โรงแรมก่อนได้เลย เพราะพ่อและป้าๆ ขอแก้มืออีกสักหน่อยครับ

ผมเลยเดินลอดอุโมงค์เพื่อข้ามฟากมายังที่พักครับ ก่อนขึ้นพักผ่อนเลยขอเก็บบรรยากาศหน้า Grand Lisboa สักนิดหน่อย ผมว่าตัวอาคารออกแบบคล้ายกับสับปะรดเหมือนกันครับ

และนี่คือที่พักของผมครับ Lisboa Hotel ที่พักจะอยู่ตรงปีกซ้าย ตึกเหลี่ยมๆ ครับ

ฟลุ๊ค จอย และ 2 ป้า แก้มือกันจนถึงตี 4 เห็นว่าเปิดประตูบ่อนออกมาจาก Wynn Hotel พนักงานโรงแรมกล่าว Good Morning กันเลยทีเดียว นึกแล้วก็เสียดายค่าห้องมากๆ ใช้ไม่คุ้มค่ากันเลย

จริงๆ ทางโรงแรมมีอาหารเช้าให้ด้วยนะครับ แต่เนื่องจากผมลงสาย แขกเริ่มมาใช้บริการห้องอาหารกันเยอะแล้ว ผมเลยไม่ได้เก็บภาพบรรยากาศห้องอาหารมาให้ชมครับ

เช้าวันใหม่ ผมจะพาเข้าไปชมบรรยากาศของโรงแรมแต่ละแห่งกันครับ เริ่มที่ Grand Lisbao

ผมว่าโรงแรมที่นี่ ต่างต้องพยายามสร้างเอกลักษณ์หรือจุดเด่นให้กับตัวเอง เพื่อเป็นการเรียกให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการแต่ผมไม่แน่ใจว่า รายได้หลักจะมาจากห้องพักหรือรายได้จากบ่อนกันแน่ อย่าง Grand Lisbao เตะตาตั้งแต่รูปทรงของตัวอาคารแล้วครับ ส่วนบรรยากาศด้านใน หากเทียบกับบรรยากาศของโรงแรมอื่นๆ ผมว่ายังดูเบสิคไปสักนิด สำหรับบรรยากาศในบ่อนแต่ละแห่ง ไม่สามารถถ่ายมาให้ชมได้นะครับ

ต่อไปคือ Wynn Hotel ครับ

จุดเรียกแขกของ Wynn Hotel น่าจะอยู่ที่น้ำพุเต้นระบำด้านหน้าโรงแรมครับ

บรรยากาศด้านในสวยดีครับ

มี Shop แบรนด์หรูๆ เต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็น Louis Vitton,Christian Dior, Gucci, Versace, Chanel, Prada นี่ถ้าไม่บอกว่าเป็นโรงแรม ผมยังนึกว่าที่นี่เป็นห้างสรรพสินค้าขนาดย่อมๆ เลยครับ


และอีกหนึ่งจุดเรียกแขกน่าจะเป็นจุดนี้ครับ บริเวณนี้จะมีโชว์ต้นไม้แห่งความมั่งคั่ง และ โชว์มังกรแห่งโชคลาภ เสียดายที่ผมไม่ได้ดูเพราะไม่รู้เวลาโชว์ นี่ขนาดยังไม่มีการโชว์ พื้นที่โชว์ยังดูอลังการมาก ถ้าหากมีโชว์ ไม่รู้ว่าจะอลังการขนาดไหนครับ

โรงแรมต่อไปคือ MGM ครับ

ตึกรูปร่างทรงแปลกตา คล้ายตู้คอนเทนเนอร์ที่มีลักษณะพริ้วไหวขนาดใหญ่วางซ้อนกัน 3 ตู้ สวยงามไปอีกแบบครับ

บริเวณ Lobby ครับ เดินทะลุทางเดินด้านขวาเข้าไป ด้านในก็มี Shop หรูๆ สินค้าแบนด์ดังเช่นเดียวกับ Wynn Hotel ครับ

เมื่อยืนอยู่ตรงหน้า Lobby จะมองเห็นห้องโถงขนาดใหญ่ ตรงกลางของโถงได้ยกโลกใต้ท้องทะเล โดยทำเป็นตู้ปลาทรงกระบอก ด้านในตู้ปลามีปลาทะเลหลากหลายชนิดสีสันสวยงามมากๆ พื้นที่โดยรอบรายล้อมด้วยห้องอาหาร ร้านน้ำชากาแฟ ด้านในสุดเป็นอาคารทรงยุโรป ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นอาคารอะไร เพราะไม่กล้าเดินเข้าไปข้างในครับ

ออกจาก MGM ผมเดินต่อนิดหน่อยเพื่อมายังอนุสาวรีย์เจ้าแม่กวนอิมครับ

จาก MGM เดินชมบ้านชมเมืองมาเรื่อยๆ ไม่นานก็มาถึงองค์เจ้าแม่กวนอิมแล้วครับ

องค์เจ้าแม่กวนอิมสูง 20 เมตร หล่อด้วยสัมฤทธิ์ ตั้งอยู่บนฐานรูปโดมลักษณะคล้ายดอกบัว ดูเด่นเป็นสง่าอยู่ริมทะเล บริเวณฐานรูปโดมเป็นศูนย์ส่งเสริมศาสนาที่มีข้อมูลเกี่ยวกับพุทธศาสนา ลัทธิเต๋า และลัทธิขงจื้อ ดูท่าผมจะมาผิดเวลาไปสักหน่อย เลยได้ภาพเจ้าแม่กวนอิมแบบย้อนแสงเต็มๆ ช่วงเวลาที่เหมาะที่จะแวะมาสักการะเจ้าแม่กวนอิม คงเป็นช่วงบ่ายไปแล้วครับ

จากองค์เจ้าแม่กวนอิม มองเห็นอาคารทรงประหลาดๆ คาดว่าน่าจะเป็นศูนย์วิทยาศาสตร์มาเก๊าครับ

ใกล้เวลาที่จะต้องเดินทางกลับแล้ว ก่อนกลับเลยแวะซื้อทาร์ตไข่กลับไปฝากคนที่บ้านสักหน่อยครับ

ร้าน Margaret's Café NATA อยู่ไม่ไกลจากที่พักผม ขอบอกว่าคนเยอะ ต้องต่อคิวพอๆ กับที่ร้าน LORD STOW'S ใน The Venetian เลยครับ ที่หน้าร้านจะมีที่นั่งให้นั่งทานด้วย นอกจากทาร์ตไข่แล้ว ยังมีชา กาแฟ และขนมปังแบบอื่นๆ ให้เลือกชิมด้วยนะครับ ร้านเปิดตั้งแต่เวลา 08.00-20.00 น. ปิดวันพุธครับ

แล้วฟลุ๊คก็ทำหน้าที่ที่ดีโดยการไปยืนต่อแถวให้ครับ ได้มา 8 กล่อง กล่องหนึ่งมี 6 ชิ้น (ขายปลีกชิ้นละ 10 MOP ถ้าซื้อยกกล่อง ตกกล่องละ 55 MOP ครับ) จากที่ได้ชิมมาทั้ง 2 ร้าน ผมว่ารสชาติของตัวไข่ คล้ายกันมาก จะแตกต่างตรงที่แป้งครับ แป้งที่ร้าน Margaret's Café NATA ผมว่าแอบเหนียวไปหน่อย เลยเทคะแนนให้กับร้าน LORD STOW'S ครับ (ความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ)

หลังจากเสร็จสิ้นภาระกิจการหาของฝากเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มองดูเวลา ยังมีเวลาเหลืออีกสัก 1 ชั่วโมงครึ่ง จะไปเดินเที่ยวต่อก็คงไม่ทัน เลยตัดสินใจไปนั่งรถเล่นดีกว่า ตอนแรกคิดว่าจะไปเดินเล่นที่ Studio City แต่คนเข้าคิวรอขึ้น Shuttle bus เยอะมากๆ เลยเปลี่ยนแผนไปที่ Wynn Palace ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ สนามบินแทนครับ

Shuttle Bus ขับผ่านด้านหน้า Wynn Palace ผมภาวนาขอให้รถจอด เพราะด้านหน้าจะมีทะเลสาบขนาดใหญ่ ซึ่งมีการโชว์น้ำพุเต้นระบำด้วย และยิ่งไปกว่านั้น ยังมีบริการ SkyCab กระเช้าไฟฟ้าปรับอากาศ ที่มีความสูงเหนือทะเลสาบกว่า 90 ฟุต เท่าที่อ่านจากป้ายโฆษณาแบบเร็วๆ เหมือนกับว่าเป็น Complementary ด้วยครับ

Shuttle Bus พามาจอดด้านหลัง ซึ่งเป็นคนละฝั่งกับทะเลสาบเลยครับ การที่จะเดินกลับมายังทะเลสาบคงไม่ต้องคิด เพราะขนาดนั่งรถยังใช้เวลาร่วม 3 นาทีเลย ถ้าเดินมาคงไม่ทันเวลาแน่ๆ เลยเลือกเดินเล่นด้านใน โซนใกล้ๆ กับที่ลงรถนั่นเองครับ เท่าที่สำรวจ ด้านในมีร้านค้าแบรนด์เนมมากมาย แต่ละร้านตกแต่งกันอย่างหรูหราเลยครับ

ผมเองมานั่งทานไอศกรีมที่ร้าน Sweets ครับ อร่อยดีทีเดียว

จวนเจียนเวลาเต็มที ผมกลับไปขึ้น Shuttle Bus บริเวณจุดที่ลงรถนั่นเอง จาก Wynn Palace ใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที Shuttle Bus ก็มาจอดส่งที่ประตูทางเข้าสนามบินเลยครับ

ถึงเวลาคงต้องอำลามาเก๊าแล้วครับ ถ้าหากมีโอกาสเมื่อไร สัญญาว่าจะกลับมาเที่ยวใหม่อย่างแน่นอนครับ เที่ยว 2 วัน ยังเก็บจุดท่องเที่ยวได้ไม่ครบเลย

มาเก๊า หลายคนอาจจะมาเพราะต้องการมาเล่น มาเข้าบ่อน แต่ขอบอกเลย นอกจากบ่อน ก็สามารถมาเดินเที่ยว มาหามุมถ่ายรูปสวยๆ ได้นะครับ

ท้ายสุดนี้ เพื่อนๆ สามารถเข้าไปให้กำลังใจและติดตามผลงานของผมเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/unclegreenshirt นะครับ

ลุงเสื้อเขียว

 วันอังคารที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2560 เวลา 12.21 น.

ความคิดเห็น