แดดรอนๆ เมื่อทินกรจะลับเหลี่ยมเมฆา
ทอแสงเรืองอร่ามช่างงามตา
ในนภาสลับจับอัมพร
แดดรอนๆ เมื่อทินกรจะลาโลกไปไกล
ยามนี้จำต้องพรากจากดวงใจ
ไกลแสนไกลสุดห่วงยอดดวงตา
.
.
.
ผมเชื่อว่าทันทีที่หลายคนได้ยินเสียงเพลงนี้ลอยเข้าหูมา ภายใต้สมองก็จะเกิดการประมวลผลภาพท่านทูตสุดหล่อที่กำลังหาวิธีจีบสาวจอมแก่นสุดน่ารักในโลเคชั่นสวยๆ ไสตล์โคโลเนียลขึ้นมาด้วยความรวดเร็วอย่างแน่นอน เพราะด้วยความหล่อ ความสวย และเคมีที่เข้ากันของคู่พระนางคู่นี้ ประกอบกับโลเคชั่นที่สวยงามเข้ากับบทของภาพยนต์ได้อย่างลงตัว ทำให้คนไทยจำนวนมาก.....รวมทั้งผม ต่างก็ฟิน และอินไปกับมันมากๆ ครับ
และถ้าถามว่าผมอินกับมันขนาดไหน ก็เอาเป็นว่าผมอินกับมันมากๆ มากจนถึงขนาดต้องหาว่าสถานที่ในการถ่ายทำภาพยนต์เรื่องนั้นคือที่ไหน และเมื่อผมทราบว่ามันคือ The House on Sathorn ซึ่งอยู่ในการดูแลของ W Bangkok แล้ว ผมก็ไม่รอช้ารีบหาโอกาส เคลียร์วันว่างของตัวเอง แล้วมาลองทานอาหารในสถานที่แห่งนี้เลยครับ ^^
ก่อนจะไปดูเรื่องอาหาร เราไปทำความรู้จักกับประวัติและความเป็นมาของ The House on Sathorn กันก่อนดีกว่าครับ The House on Sathorn นั้นคือบ้านสีเหลืองสุดสวยไสตล์โคโลเนียลที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่บน ถ.สาทร ใกล้ๆ กับสี่แยกที่ตัดกับ ถ.นราธิวาส โดยอาคารหลังนี้เด่นเป็นสง่าชนิดที่ว่าใครที่ผ่านไปผ่านมาแถวนั้นต้องหันไปมองและเกิดความรู้สึกที่อยากจะเดินเข้าไปใกล้ๆ เพื่อไปถ่ายรูปคู่กับมันเลยล่ะครับ
เป็นยังไงล่ะครับ เรื่องราวของอาคารแห่งนี้ไม่ธรรมดาใช่มั้ยล่ะครับ และด้วยความไม่ธรรมดาในหลายๆ ด้านนี่แหละ ประกอบกับวิสัยทัศน์ของผู้บริหารของ W Bangkok ทาง W Bangkok จึงได้ทำการติดต่อและขอเช่าอาคารแห่งนี้จากกรมศิลปากร และดัดแปลงเป็นร้านอาหารที่สวยงามขึ้นมา โดยทาง W Bangkok ได้ร่วมมือกับกรมศิลปากรอย่างใกล้ชิดในการบูรณะอาคารหลังนี้ให้กลับมาสวยสง่าดังเช่นในอดีต รวมทั้งยังได้มีการปรับปรุงครั้งใหญ่ด้วยการสร้างตึก 2 ข้าง เพื่อเชื่อมตึกหน้าและตึกหลังเข้าไว้ด้วยกัน และโอบล้อมสนามหญ้าตรงกลางเอาไว้อย่างลงตัว รวมทั้งในการบูรณะนั้นยังได้รักษาโครงสร้างเดิมของตึกไว้ได้อย่างครบถ้วน เช่นเดียวกับรายละเอียดภายในตึก แนวทางการใช้สี ราวบันไดไม้ที่สลักลวดลายต่างๆ จนไปถึงรูปปูนเปียกนูนต่ำลวดลายประจำตระกูลของหลวงสาทรราชายุกต์ก็ได้รับการบูรณะไว้ตามแบบเดิมชนิดไม่ผิดเพี้ยนแต่ประการใด
แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายสำหรับผมจริงๆ เนื่องจากวันที่ผมไปทานอาหารนั้น พื้นที่ส่วนใหญ่ของ The House on Sathorn โดยเฉพาะชั้น 2ได้มีการจัดงานอยู่ ทำให้ผมอดดูมุมสวยๆ ภายในอาคารไปหลายจุดเลย และก็เหลือจุดที่ผมพอจะถ่ายรูปได้แค่บริเวณชั้น 1 ของอาคารเท่านั้นเอง T_T
ผมกับภรรยาใช้เวลานั่งรอไม่นาน ชนิดที่ว่าผมหยิบกล้องออกมาถ่ายรูปได้ยังไม่ถึง 10 รูปเลย กาน้ำชาสวยๆ ก็ถูกลำเลียงมาเสิร์ฟที่โต๊ะ และหลังจากที่เราทั้งสองลองชิมดูก็สรุปรสชาติออกมาได้ดังนี้
Grand Wedding : สีของชาเข้ม รสชาติหวาน หอมกลิ่นผลไม้ ทานลื่นคอดี
Sakura! Sakura! : สีของชาจาง หอม และรสหวานกว่า Grand Wedding แต่ทั้งรสและกลิ่นจะเป็นแนวดอกไม้นะครับ เรียกว่าหวานและหอมกันคนละแบบ รสชาติไม่เข้มมาก สามารถทานได้เรื่อยๆ
โดยส่วนตัวจึงขอสรุปว่า สำหรับผู้ชายผมแนะนำให้ทาน Grand Wedding จะดีกว่า ส่วนผู้หญิงหวานๆ ซอฟท์ๆ ก็จัด Sakura! Sakura! ไปน่าจะลงตัวเหมาะสมกันดีครับ
ปล. ตัวไอศครีมนั้นจะมาเสิร์ฟแรกๆ เลยครับ เพราะเค้าตั้งใจให้เป็น Refreshing menu สำหรับเรา ดังนั้นพอได้มาแล้วให้รีบทานนะครับ อย่ามัวแต่ถ่ายรูปนานเดี๋ยวมันจะละลายหมดไปซะก่อน
มินิแซนด์วิชไส้แกงไก่และสับปะรด : สอดไส้ไก่มาเยอะดี รสชาติไม่จัดมาก ทานแล้วไม่เลี่ยน แต่อาจจะมีกลิ่นฉุนของผักมากไปนิดนึง
ครัวซองก์เห็ดทรัฟเฟิลและมาสคาโปเน่ชีส : เป็นเมนูที่อร่อยมากกกก ชอบมากกกกกกก แป้งครัวซองก์หอม กรอบ อร่อย ตอนที่ใช้มีดหั่นหรือใช้ปากกัดนี่ได้ยินเสียงกรอบๆ เลย โดนใจมากๆ เมนูนี้ให้ผมกินซัก 10 ชิ้นก็ยังได้เลยครับ
แป้งซาลาเปาเบอเกอร์สอดไส้ปูอลาสก้าผัดพริก : ตัวแป้งเก๋ดี เพราะเป็นแป้งซาลาเปา เนื้อปูก็อร่อย เป็นอีกเมนูที่ชอบครับ
สโคน : แป้งนุ่ม หอม และมีรสชาตินมเนย เป็นสโคนที่อร่อยสุดตั้งแต่ผมกิน Afternoon Tea มาเลยครับ ส่วนแยมที่เค้าให้มานั้นผมได้ลองอยู่ 2 อัน คือ มะม่วง และสตรอเบอรี่ ตัวมะม่วงนั้นถึงจะไม่ค่อยเหมือนมะม่วงเท่าไหร่แต่ก็อร่อยดีครับ ส่วนสตรอเบอรี่ก็อร่อยเหมือนกันและเค้ายังให้เนื้อสตรอเบอรี่ชิ้นใหญ่ๆ มาด้วยครับ
โดยรวมๆ ผมว่าที่นี่เค้าทำเมนูพวกแป้งของอาหารคาวออกมาได้ดีมากครับ ประทับใจทุกอันเลย
มาการอง (2 ชิ้น) : เป็นมาการองรสสละ รสชาติไม่หวานมาก ความอร่อยอยู่ในระดับกลางๆ
เค้กมะพร้าวฟินองเซียสไตล์ฝรั่งเศส (2 ชิ้น) : รสชาติกลางๆ เช่นเดียวกัน ไม่ค่อยรู้สึกถึงความเป็นมะพร้าวเท่าไหร่
เอแคลร์คาราเมล (2 ชิ้น) : เป็นเอแคร์ที่เด็ดมากเลยทีเดียว เพราะนอกจากจะรูปร่างหน้าตาเรียวยาวไม่เหมือนใครแล้ว ยังสอดไส้คาราเมลตรงกลาง ทำให้รสชาติที่ได้หวานมันมาก เมนูนี้ชอบเลยครับ
มัฟฟินนูเทลล่า : ตรงกลางของมัฟฟินนี่นูเทลล่าไหลเยิ้มเลยครับ ใครที่ชอบทานนูเทลล่าน่าจะถูกใจเมนูนี้มาก
เค้กช็อกโกแลตรสเข้มข้น : ข้างบนเป็นช็อคแลตเข้ม ส่วนข้างล่างเป็นถั่ว กินแล้วกรุบกรอบดี
ทาร์ตไข่ : แป้งกรอบ หอม ไม่หวานมาก เป็นอีกหนึ่งเมนูแป้งที่เค้าทำออกมาได้ดีอีกแล้วครับ
ทาร์ตคาราเมลช็อกโกแลต : รสชาติกลางๆ ออกเค็มเล็กน้อย เมนูนี้ต้องรีบทานเลย เพราะหากทิ้งไว้นานมันจะละลายจนไม่คงรูป
เครมบูเล่ส้มแมนดาริน : เมนูนี้รสชาติกลางๆ ไม่ได้มีอะไรเด่นเป็นพิเศษ
ทาร์ตถั่วอบ : เป็นอีกเมนูที่ผมประทับใจมาก แป้งกรอบ ถั่วเยอะสุดๆ เคี้ยวแล้วหนึบมันปากมากๆ เหนียวๆ กรุบเหมือนน้ำตาลที่เคี่ยวมาอย่างดีจนทำเอาหยุดเคี้ยวไม่ได้เลย รสชาติโดยรวมจะออกหวานนิดๆ นะครับ
ชีสเค้กงาดำ : รสชาติกลางๆ งาไม่ได้เข้มมากนัก
จริงๆ แล้วการทาน Afternoon Tea ของ The House on Sathorn นั้น เราสามารถเลือกที่จะนั่งทานใน The Courtyard ที่เป็นพื้นที่ Outdoor ก็ได้ หรือจะเลือกเข้าไปนั่งทานในตัวตึกที่เป็นส่วนของห้องอาหาร The Dining Room กับ The Bar ก็ได้ ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคนว่าอยากได้บรรยากาศแบบไหน โดยพื้นที่ของ The Courtyard นั้น จะมีโต๊ะประมาณ 12 โต๊ะ จุได้ประมาณ 50 คน มีร่มกางบังแดดและมีพัดลมในบางจุด บรรยากาศการทานก็จะโล่งและโปร่งกว่าการทานในตึก ที่สำคัญยังรู้สึกสงบเงียบจนลืมคิดไปว่าเรากำลังนั่งอยู่ที่แยกสาทรที่แสนจะวุ่นวาย จนกระทั่งเราเงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้าและเห็นตึกมหานคร ตึกที่สูงสุดในประเทศไทยที่ตั้งอยู่ข้างๆ กันนั้นแหละครับจึงจะพอรู้สึกตัว ผมว่ามันเป็นความแตกต่างที่ลงตัวอย่างบอกไม่ถูกเลย ให้ความรู้สึกที่ดีมากๆ และเหมือนได้พักผ่อนชาร์จแบตให้กับตัวเองครับ
รสชาติอาหาร : ดีมาก ถูกปากผมและภรรยาทั้งชาและอาหารคาวหวาน โดยเฉพาะอาหารที่มีส่วนประกอบของแป้งเป็นหลัก ผมว่าเค้าทำออกมาได้ดี อร่อยถูกปากมากๆ ครับ อย่างครัวซองก์นี่ให้กิน 10 ชิ้นก็กินหมดจริงๆ นะครับ
ความหลากหลายของอาหาร : เป็น Afternoon Tea Set ที่น่าจะมีความหลากหลายของอาหารมากที่สุดตั้งแต่ที่ผมเคยกินมาเลย ด้วยความที่หลายๆ เมนูจัดมาเพียงแค่ชิ้นเดียวทำให้ได้เปรียบในข้อนี้สุดๆ ที่สำคัญยังมีเมนูไอศครีมเชอร์เบทมาในเซ็ตด้วย ถือเป็นเอกลักษณ์และแตกต่างจากที่อื่นมากครับ
ความสะอาดของร้าน : ดีงาม แม้จะเป็นพื้นที่ outdoor แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไรในข้อนี้เลย สะอาด ดูสบายตาดี
การบริการของพนักงาน : สอบผ่านสบายๆ แม้จำนวนพนักงานจะไม่ได้เยอะมาก แต่ด้วยจำนวนแขกที่ไม่ได้มากมายอะไร ทำให้สามารถบริการได้อย่างรวดเร็ว และทุกครั้งที่สอบถามอะไรไปก็ได้รับการบริการที่ดีและรวดเร็วครับ
ความสะดวกของการเดินทาง : ถือว่าตั้งอยู่ในทำเลที่สะดวกและดีเลย เพราะถึงแม้ The House on Sathorn จะไม่ได้อยู่ติดกับรถไฟฟ้าชนิดที่ก้าวแค่ไม่กี่ก้าวถึง แต่ก็ไม่ได้อยู่ไกลมากจนทำให้เดินแล้วเหนื่อยครับ โดยคนที่เดินทางมาด้วย BTS ก็ให้ลงที่สถานีช่องนนทรี จากนั้นก็เดินผ่าน Sathorn Square มาแล้วก็จะเห็น The House on Sathorn ครับ โดยคร่าวๆ แล้วน่าจะใช้เวลาในการเดิน 5-10 นาทีเท่านั้น หรือสำหรับคนที่ถนัดเดินทางด้วยรถเมล์ ถนนเส้นนี้ก็มีรถเมล์ผ่านหลายสายเลย ส่วนใครที่ชอบขับรถ ก็สามารถจอดรถที่ W Bangkok ได้เลย และไม่ต้องกังวลเรื่องที่จอดเพราะที่จอดรถเค้าเยอะใช้ได้ แถมเมื่อเรามาใช้บริการที่ห้องอาหารก็จะสามารถประทับตราจอดรถได้ทั้งวันเลยครับ
ความคุ้มค่า : เมื่อเทียบราคากับปริมาณ คุณภาพอาหาร รสชาติและบรรยากาศแล้ว สำหรับผมคิดว่าราคา 1,250 ++ บาท ต่อ Set 2 คนนั้น คุ้มค่าดีนะครับ สิ่งที่ดีและทำให้รู้สึกประทับใจก็คือคุณภาพชา และขนมในหลายๆ เมนู เมื่อประกอบกับบรรยากาศสวยๆ ที่หาจากที่อื่นได้ยากมากๆ แล้ว ทำให้ที่นี่กลายมาเป็นอีกหนึ่งสถานที่จิบชายามบ่ายที่ผมประทับใจไปเลยครับ
สรุป : หากคุณกำลังหาสถานที่เก๋ๆ สวยๆ เอาไว้คุยกับแฟน จีบหญิงที่กำลังชอบ หรือนัดคุยงานกันแบบเบาๆ โดยเฉพาะกับชาวต่างชาติและเราอยากให้เค้าประทับใจเป็นพิเศษ สถานที่ของ The House on Sathorn เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมาก ไม่ว่าจะเลือกกินอาหาร Main Course, Bar หรือว่า Afternoon Tea เพราะนอกจากคุณจะได้ใช้เวลาคุยกันในบรรยากาศสบายๆ แล้ว ก็ยังมีมุมถ่ายรูปเก๋ๆ ให้เราได้ถ่ายอีกเยอะแยะมากมาย โดยเฉพาะสำหรับคนที่ชื่นชอบบ้านสไตล์นี้ หรือคนที่กำลังอินกับท่านทูตสุดหล่อในภาพยนต์เรื่องพรจากฟ้าแบบผม สำหรับเรื่องเดียวที่น่าจะเป็นห่วงของสถานที่แบบนี้ก็คือเรื่องของสภาพอากาศครับ เพราะหากวันไหนที่แดดแรงหรือฝนตกเราก็คงจะอดนั่งในสวนและต้องย้ายไปนั่งในส่วนของตัวอาคารแทนครับ
สำหรับท่านใดที่สนใจอยากจะไปทานชายามบ่ายดีๆ ในบรรยากาศเก๋ๆ แบบนี้ ก็สามารถโทรไปสอบถามโปรโมชั่นหรือสำรองที่นั่งได้ที่ The House on Sathorn เบอร์ 02-344-4025 ได้เลยครับ โดยชุด Afternoon Tea นั้น จะเปิดบริการทุกวันในช่วงเวลา 14.30 – 17.30 น. แต่หากว่าเราต้องการทานอาหารประเภทอื่นๆ ในบรรยากาศแบบนี้เราก็สามารถไปได้ตั้งแต่เวลา 12.00 น. จนถึง 24.00 น. เลยครับ เพราะห้องอาหาร The Courtyard นั้นเค้ามีอาหารอีกหลายประเภทไว้คอยบริการเราอยู่ครับ ^^
ก็จบลงแล้วสำหรับรีวิวนี้ แล้วพบกันใหม่ในรีวิวหน้านะครับ ทั้งนี้หากผมรีวิวขาดตกบกพร่องประการใดต้องขออภัยด้วยและการรีวิวนี้เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของผมจากวันที่ไปใช้บริการเท่านั้น แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสไปใช้บริการอาจจะได้รับการบริการหรือรสชาติที่แตกต่างจากนี้ออกไปครับ
สำหรับใครที่ชอบการรีวิวของผม ก็สามารถไปติดตามหรือแนะนำข้อมูลต่างๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่เลยครับ https://www.facebook.com/amazingcouples
ปล. ผมขอทิ้งท้ายด้วยมุมถ่ายรูปเก๋ๆ ใน W Bangkok ที่ผมไปถ่ายมาในวันเดียวกันนะครับ โรงแรมเค้ามีมุมสวยๆ ไม่แพ้ The House on Sathon เลย ทำเอาผมอดใจถ่ายรูปไม่ได้จริงๆ ^^
ภรรยาหา สามีใช้
วันศุกร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2560 เวลา 14.45 น.