แดดรอนๆ เมื่อทินกรจะลับเหลี่ยมเมฆา

ทอแสงเรืองอร่ามช่างงามตา

ในนภาสลับจับอัมพร



แดดรอนๆ เมื่อทินกรจะลาโลกไปไกล

ยามนี้จำต้องพรากจากดวงใจ

ไกลแสนไกลสุดห่วงยอดดวงตา



.

.

.

ผมเชื่อว่าทันทีที่หลายคนได้ยินเสียงเพลงนี้ลอยเข้าหูมา ภายใต้สมองก็จะเกิดการประมวลผลภาพท่านทูตสุดหล่อที่กำลังหาวิธีจีบสาวจอมแก่นสุดน่ารักในโลเคชั่นสวยๆ ไสตล์โคโลเนียลขึ้นมาด้วยความรวดเร็วอย่างแน่นอน เพราะด้วยความหล่อ ความสวย และเคมีที่เข้ากันของคู่พระนางคู่นี้ ประกอบกับโลเคชั่นที่สวยงามเข้ากับบทของภาพยนต์ได้อย่างลงตัว ทำให้คนไทยจำนวนมาก.....รวมทั้งผม ต่างก็ฟิน และอินไปกับมันมากๆ ครับ



และถ้าถามว่าผมอินกับมันขนาดไหน ก็เอาเป็นว่าผมอินกับมันมากๆ มากจนถึงขนาดต้องหาว่าสถานที่ในการถ่ายทำภาพยนต์เรื่องนั้นคือที่ไหน และเมื่อผมทราบว่ามันคือ The House on Sathorn ซึ่งอยู่ในการดูแลของ W Bangkok แล้ว ผมก็ไม่รอช้ารีบหาโอกาส เคลียร์วันว่างของตัวเอง แล้วมาลองทานอาหารในสถานที่แห่งนี้เลยครับ ^^



ก่อนจะไปดูเรื่องอาหาร เราไปทำความรู้จักกับประวัติและความเป็นมาของ The House on Sathorn กันก่อนดีกว่าครับ The House on Sathorn นั้นคือบ้านสีเหลืองสุดสวยไสตล์โคโลเนียลที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่บน ถ.สาทร ใกล้ๆ กับสี่แยกที่ตัดกับ ถ.นราธิวาส โดยอาคารหลังนี้เด่นเป็นสง่าชนิดที่ว่าใครที่ผ่านไปผ่านมาแถวนั้นต้องหันไปมองและเกิดความรู้สึกที่อยากจะเดินเข้าไปใกล้ๆ เพื่อไปถ่ายรูปคู่กับมันเลยล่ะครับ



นอกจากหน้าตาของอาคารหลังนี้จะสวยงามมากๆ แล้ว อาคารหลังนี้ยังมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานเกือบ 130 ปีอีกด้วย โดยตัวอาคารนั้นถูกสร้างขึ้นใน พ.ศ. 2432 ซึ่งตรงกับสมัยรัชกาลที่ 5 โดยถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นบ้านพักของหลวงสาทรราชายุกต์ ผู้ริเริ่มขุดคลองสาทร หลังจากที่หลวงสาทรได้เสียชีวิต อาคารแห่งนี้ก็ตกเป็นของหลวงจิตร์จำนงค์วานิช ซึ่งเป็นบุตรเขย แต่แล้วกิจการโรงสีของหลวงจิตร์จำนงค์วานิชก็เกิดล้มละลายขึ้นมา อาคารหลังนี้จึงถูกจำนองและตกเป็นของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และต่อมาก็ได้ถูกเปลี่ยนสภาพเป็นโรงแรมที่ชื่อ “Hotel Royal" จนกระทั่งในปีพ.ศ. 2491 ก็ได้กลายเป็นสถานเอกอัคราชทูตรัสเซียประจำประเทศไทย ซึ่งก็ได้เป็นสถานทูตอยู่ยาวนานถึง 51 ปีเลยทีเดียว จนท้ายที่สุดในปี 2543 กรมศิลปากรก็ได้เข้ามาทำการสำรวจและจัดให้อาคารแห่งนี้เป็นอาคารอนุรักษ์สถาปัตยกรรมที่มีค่าแห่งหนึ่งของประเทศไทย



เป็นยังไงล่ะครับ เรื่องราวของอาคารแห่งนี้ไม่ธรรมดาใช่มั้ยล่ะครับ และด้วยความไม่ธรรมดาในหลายๆ ด้านนี่แหละ ประกอบกับวิสัยทัศน์ของผู้บริหารของ W Bangkok ทาง W Bangkok จึงได้ทำการติดต่อและขอเช่าอาคารแห่งนี้จากกรมศิลปากร และดัดแปลงเป็นร้านอาหารที่สวยงามขึ้นมา โดยทาง W Bangkok ได้ร่วมมือกับกรมศิลปากรอย่างใกล้ชิดในการบูรณะอาคารหลังนี้ให้กลับมาสวยสง่าดังเช่นในอดีต รวมทั้งยังได้มีการปรับปรุงครั้งใหญ่ด้วยการสร้างตึก 2 ข้าง เพื่อเชื่อมตึกหน้าและตึกหลังเข้าไว้ด้วยกัน และโอบล้อมสนามหญ้าตรงกลางเอาไว้อย่างลงตัว รวมทั้งในการบูรณะนั้นยังได้รักษาโครงสร้างเดิมของตึกไว้ได้อย่างครบถ้วน เช่นเดียวกับรายละเอียดภายในตึก แนวทางการใช้สี ราวบันไดไม้ที่สลักลวดลายต่างๆ จนไปถึงรูปปูนเปียกนูนต่ำลวดลายประจำตระกูลของหลวงสาทรราชายุกต์ก็ได้รับการบูรณะไว้ตามแบบเดิมชนิดไม่ผิดเพี้ยนแต่ประการใด



แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายสำหรับผมจริงๆ เนื่องจากวันที่ผมไปทานอาหารนั้น พื้นที่ส่วนใหญ่ของ The House on Sathorn โดยเฉพาะชั้น 2ได้มีการจัดงานอยู่ ทำให้ผมอดดูมุมสวยๆ ภายในอาคารไปหลายจุดเลย และก็เหลือจุดที่ผมพอจะถ่ายรูปได้แค่บริเวณชั้น 1 ของอาคารเท่านั้นเอง T_T



โดยหลักๆ แล้ว The House on Sathorn จะแบ่งการบริการออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นห้องจัดเลี้ยง และส่วนที่เป็นห้องอาหาร โดยส่วนที่เป็นห้องอาหารจะมีบริการทั้งหมด 3 ห้อง 3 สไตล์ได้แก่ The Dining Room ที่เน้นอาหารเก๋ไก๋ สไตล์เอเชียสมัยใหม่ และมีหัวใจสำคัญคือ “ฟันไดน์นิ่ง (Fun Dining), The Bar บาร์เก๋ๆ ที่มีเครื่องดื่มให้เราเลือกดริงก์ได้มากมายทั้งคอร์กเทล, ไวน์, วิสกี้ และสุดท้ายคือ The Courtyard สวน outdoor ที่อยู่ใจกลางของหมู่ตึกทั้ง 4 โดยสวนแห่งนี้จะเป็นสถานที่ทาน Afternoon Tea พระเอกของเราในวันนี้นั่นเองครับ



Afternoon Tea ของที่นี่นั้น จะเปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 14.30 น. จนถึงเวลา 17.30 น. โดยจำหน่ายในราคาเซ็ทละ 1,250++ บาท (1 Set สามารถทานได้ 2 คน) สามารถเลือกเครื่องดื่มได้ 2 ชนิด ซึ่งเครื่องดื่มที่มีให้เลือกนั้นก็มีทั้งชา กาแฟ (ร้อน-เย็น) โดยชาที่มีบริการนั้นก็เป็นชาเกรดดีอย่าง TWG เลยครับ



สำหรับวันนี้ผมเลือกสั่งชา Grand Wedding ซึ่งเป็น Black Tea base ส่วนภรรยาผมเลือกสั่งเป็น Sakura! Sakura! ซึ่งเป็น Green Tea base โดยตัวหลังนี่จะมีโลโก้ของ The House on Sathorn กำกับไว้ด้วย บ่งบอกว่าเมนูนี้คือของดี ที่ไม่ควรพลาดนั่นเอง ^^



ผมกับภรรยาใช้เวลานั่งรอไม่นาน ชนิดที่ว่าผมหยิบกล้องออกมาถ่ายรูปได้ยังไม่ถึง 10 รูปเลย กาน้ำชาสวยๆ ก็ถูกลำเลียงมาเสิร์ฟที่โต๊ะ และหลังจากที่เราทั้งสองลองชิมดูก็สรุปรสชาติออกมาได้ดังนี้



Grand Wedding : สีของชาเข้ม รสชาติหวาน หอมกลิ่นผลไม้ ทานลื่นคอดี

Sakura! Sakura! : สีของชาจาง หอม และรสหวานกว่า Grand Wedding แต่ทั้งรสและกลิ่นจะเป็นแนวดอกไม้นะครับ เรียกว่าหวานและหอมกันคนละแบบ รสชาติไม่เข้มมาก สามารถทานได้เรื่อยๆ



โดยส่วนตัวจึงขอสรุปว่า สำหรับผู้ชายผมแนะนำให้ทาน Grand Wedding จะดีกว่า ส่วนผู้หญิงหวานๆ ซอฟท์ๆ ก็จัด Sakura! Sakura! ไปน่าจะลงตัวเหมาะสมกันดีครับ



ในส่วนของอาหารคาวหวานของที่นี่นั้น ถือว่ามาแปลกมาก เพราะแม้ว่าจะมาจำนวน 24 ชิ้น เท่ากับหลายๆ ที่ แต่ขนมบางชนิดมาแค่ชิ้นเดียวเท่านั้น ทำให้เป็นการทาน Afternoon Tea ที่ได้ทานเมนูที่หลากหลายกว่าที่ไหนๆ ที่สำคัญเค้ายังมีไอศครีมมาใน Set ด้วยครับ โดยไอศครีมที่ให้มานั้นเป็น Mix Berry Sherbet รสชาติอร่อยเลย ไม่หวานมาก และเป็นเมนูที่เรียกน้ำย่อยได้อย่างดีเลยทีเดียว



ปล. ตัวไอศครีมนั้นจะมาเสิร์ฟแรกๆ เลยครับ เพราะเค้าตั้งใจให้เป็น Refreshing menu สำหรับเรา ดังนั้นพอได้มาแล้วให้รีบทานนะครับ อย่ามัวแต่ถ่ายรูปนานเดี๋ยวมันจะละลายหมดไปซะก่อน



ตัวไอศครีมนี้เค้าจะให้มา 2 ถ้วยนะครับ ดังนั้นสบายใจได้ว่าเมนูนี้เราไม่ต้องแย่งชิงตบตีกัน >< รวมไปถึงพวกเมนูอาหารคาวอย่าง มินิแซนด์วิชไส้แกงไก่และสับปะรด, ครัวซองก์เห็ดทรัฟเฟิลและมาสคาโปเน่ชีส, แป้งซาลาเปาเบอเกอร์สอดไส้ปูอลาสก้าผัดพริก และสโคน เค้าก็ให้มาอย่างละ 2 ชิ้น โดยเสิร์ฟในภาชนะสวยๆ เก๋ๆ แบบนี้ครับ



ทีนี้ ไปดูที่รสชาติกันดีกว่าครับ



มินิแซนด์วิชไส้แกงไก่และสับปะรด : สอดไส้ไก่มาเยอะดี รสชาติไม่จัดมาก ทานแล้วไม่เลี่ยน แต่อาจจะมีกลิ่นฉุนของผักมากไปนิดนึง

ครัวซองก์เห็ดทรัฟเฟิลและมาสคาโปเน่ชีส : เป็นเมนูที่อร่อยมากกกก ชอบมากกกกกกก แป้งครัวซองก์หอม กรอบ อร่อย ตอนที่ใช้มีดหั่นหรือใช้ปากกัดนี่ได้ยินเสียงกรอบๆ เลย โดนใจมากๆ เมนูนี้ให้ผมกินซัก 10 ชิ้นก็ยังได้เลยครับ

แป้งซาลาเปาเบอเกอร์สอดไส้ปูอลาสก้าผัดพริก : ตัวแป้งเก๋ดี เพราะเป็นแป้งซาลาเปา เนื้อปูก็อร่อย เป็นอีกเมนูที่ชอบครับ

สโคน : แป้งนุ่ม หอม และมีรสชาตินมเนย เป็นสโคนที่อร่อยสุดตั้งแต่ผมกิน Afternoon Tea มาเลยครับ ส่วนแยมที่เค้าให้มานั้นผมได้ลองอยู่ 2 อัน คือ มะม่วง และสตรอเบอรี่ ตัวมะม่วงนั้นถึงจะไม่ค่อยเหมือนมะม่วงเท่าไหร่แต่ก็อร่อยดีครับ ส่วนสตรอเบอรี่ก็อร่อยเหมือนกันและเค้ายังให้เนื้อสตรอเบอรี่ชิ้นใหญ่ๆ มาด้วยครับ



โดยรวมๆ ผมว่าที่นี่เค้าทำเมนูพวกแป้งของอาหารคาวออกมาได้ดีมากครับ ประทับใจทุกอันเลย



ไปดูของหวานกันบ้างดีกว่า โดยเซ็ตนี้ทางพนักงานจะนำมาเสิร์ฟให้ทีหลัง และอย่างที่ผมบอกไว้ในตอนแรกว่าบางเมนูจะมีแค่ชิ้นเดียวเท่านั้น ดังนั้นเราต้องเจรจาและแบ่งหน้าที่กันให้ดีๆ จะได้ไม่มีปัญหาทะเลาะเพราะแบ่งของกินกันไม่ลงตัวต่อหน้าธารกำนัล ><



ไล่รสชาติกันไปทีละเมนูเลยนะครับ



มาการอง (2 ชิ้น) : เป็นมาการองรสสละ รสชาติไม่หวานมาก ความอร่อยอยู่ในระดับกลางๆ

เค้กมะพร้าวฟินองเซียสไตล์ฝรั่งเศส (2 ชิ้น) : รสชาติกลางๆ เช่นเดียวกัน ไม่ค่อยรู้สึกถึงความเป็นมะพร้าวเท่าไหร่

เอแคลร์คาราเมล (2 ชิ้น) : เป็นเอแคร์ที่เด็ดมากเลยทีเดียว เพราะนอกจากจะรูปร่างหน้าตาเรียวยาวไม่เหมือนใครแล้ว ยังสอดไส้คาราเมลตรงกลาง ทำให้รสชาติที่ได้หวานมันมาก เมนูนี้ชอบเลยครับ



เมนูของหวานก่อนหน้านี้ 3 รายการ จะมีอย่างละ 2 ชิ้น แต่เมนูหลังจากนี้จะมีเพียงเมนูละชิ้นเท่านั้น ส่วนหน้าตาและรสชาติก็ตามนี้เลยครับ



มัฟฟินนูเทลล่า : ตรงกลางของมัฟฟินนี่นูเทลล่าไหลเยิ้มเลยครับ ใครที่ชอบทานนูเทลล่าน่าจะถูกใจเมนูนี้มาก

เค้กช็อกโกแลตรสเข้มข้น : ข้างบนเป็นช็อคแลตเข้ม ส่วนข้างล่างเป็นถั่ว กินแล้วกรุบกรอบดี

ทาร์ตไข่ : แป้งกรอบ หอม ไม่หวานมาก เป็นอีกหนึ่งเมนูแป้งที่เค้าทำออกมาได้ดีอีกแล้วครับ

ทาร์ตคาราเมลช็อกโกแลต : รสชาติกลางๆ ออกเค็มเล็กน้อย เมนูนี้ต้องรีบทานเลย เพราะหากทิ้งไว้นานมันจะละลายจนไม่คงรูป



สตรอว์เบอร์รี่พานาคอตต้า : รสชาตินมเข้มข้นและมันมาก ผสมผสานกับความหวานของสตรอเบอรี่ที่อยู่ด้านบนได้ลงตัวดี ตัวสตรอเบอรี่หวานมากๆ ครับ


เครมบูเล่ส้มแมนดาริน : เมนูนี้รสชาติกลางๆ ไม่ได้มีอะไรเด่นเป็นพิเศษ

ทาร์ตถั่วอบ : เป็นอีกเมนูที่ผมประทับใจมาก แป้งกรอบ ถั่วเยอะสุดๆ เคี้ยวแล้วหนึบมันปากมากๆ เหนียวๆ กรุบเหมือนน้ำตาลที่เคี่ยวมาอย่างดีจนทำเอาหยุดเคี้ยวไม่ได้เลย รสชาติโดยรวมจะออกหวานนิดๆ นะครับ

ชีสเค้กงาดำ : รสชาติกลางๆ งาไม่ได้เข้มมากนัก



เอาล่ะครับ ตอนนี้เราก็ชิมอาหารคาวหวานกันครบทุกเมนูแล้ว ก่อนที่จะเข้าสู่บทสรุป ผมอยากจะพูดถึงบรรยากาศโดยรวมของสถานที่แห่งนี้อีกหน่อยนะครับ



จริงๆ แล้วการทาน Afternoon Tea ของ The House on Sathorn นั้น เราสามารถเลือกที่จะนั่งทานใน The Courtyard ที่เป็นพื้นที่ Outdoor ก็ได้ หรือจะเลือกเข้าไปนั่งทานในตัวตึกที่เป็นส่วนของห้องอาหาร The Dining Room กับ The Bar ก็ได้ ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคนว่าอยากได้บรรยากาศแบบไหน โดยพื้นที่ของ The Courtyard นั้น จะมีโต๊ะประมาณ 12 โต๊ะ จุได้ประมาณ 50 คน มีร่มกางบังแดดและมีพัดลมในบางจุด บรรยากาศการทานก็จะโล่งและโปร่งกว่าการทานในตึก ที่สำคัญยังรู้สึกสงบเงียบจนลืมคิดไปว่าเรากำลังนั่งอยู่ที่แยกสาทรที่แสนจะวุ่นวาย จนกระทั่งเราเงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้าและเห็นตึกมหานคร ตึกที่สูงสุดในประเทศไทยที่ตั้งอยู่ข้างๆ กันนั้นแหละครับจึงจะพอรู้สึกตัว ผมว่ามันเป็นความแตกต่างที่ลงตัวอย่างบอกไม่ถูกเลย ให้ความรู้สึกที่ดีมากๆ และเหมือนได้พักผ่อนชาร์จแบตให้กับตัวเองครับ



เอาล่ะครับ ทีนี้เรามาดูบทสรุปของการทาน Afternoon Tea มื้อนี้กันดีกว่า โดยผมขอแยกเป็นเรื่องๆ ตามเดิมนะครับ



รสชาติอาหาร : ดีมาก ถูกปากผมและภรรยาทั้งชาและอาหารคาวหวาน โดยเฉพาะอาหารที่มีส่วนประกอบของแป้งเป็นหลัก ผมว่าเค้าทำออกมาได้ดี อร่อยถูกปากมากๆ ครับ อย่างครัวซองก์นี่ให้กิน 10 ชิ้นก็กินหมดจริงๆ นะครับ



ความหลากหลายของอาหาร : เป็น Afternoon Tea Set ที่น่าจะมีความหลากหลายของอาหารมากที่สุดตั้งแต่ที่ผมเคยกินมาเลย ด้วยความที่หลายๆ เมนูจัดมาเพียงแค่ชิ้นเดียวทำให้ได้เปรียบในข้อนี้สุดๆ ที่สำคัญยังมีเมนูไอศครีมเชอร์เบทมาในเซ็ตด้วย ถือเป็นเอกลักษณ์และแตกต่างจากที่อื่นมากครับ



ความสะอาดของร้าน : ดีงาม แม้จะเป็นพื้นที่ outdoor แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไรในข้อนี้เลย สะอาด ดูสบายตาดี



การบริการของพนักงาน : สอบผ่านสบายๆ แม้จำนวนพนักงานจะไม่ได้เยอะมาก แต่ด้วยจำนวนแขกที่ไม่ได้มากมายอะไร ทำให้สามารถบริการได้อย่างรวดเร็ว และทุกครั้งที่สอบถามอะไรไปก็ได้รับการบริการที่ดีและรวดเร็วครับ



ความสะดวกของการเดินทาง : ถือว่าตั้งอยู่ในทำเลที่สะดวกและดีเลย เพราะถึงแม้ The House on Sathorn จะไม่ได้อยู่ติดกับรถไฟฟ้าชนิดที่ก้าวแค่ไม่กี่ก้าวถึง แต่ก็ไม่ได้อยู่ไกลมากจนทำให้เดินแล้วเหนื่อยครับ โดยคนที่เดินทางมาด้วย BTS ก็ให้ลงที่สถานีช่องนนทรี จากนั้นก็เดินผ่าน Sathorn Square มาแล้วก็จะเห็น The House on Sathorn ครับ โดยคร่าวๆ แล้วน่าจะใช้เวลาในการเดิน 5-10 นาทีเท่านั้น หรือสำหรับคนที่ถนัดเดินทางด้วยรถเมล์ ถนนเส้นนี้ก็มีรถเมล์ผ่านหลายสายเลย ส่วนใครที่ชอบขับรถ ก็สามารถจอดรถที่ W Bangkok ได้เลย และไม่ต้องกังวลเรื่องที่จอดเพราะที่จอดรถเค้าเยอะใช้ได้ แถมเมื่อเรามาใช้บริการที่ห้องอาหารก็จะสามารถประทับตราจอดรถได้ทั้งวันเลยครับ



ความคุ้มค่า : เมื่อเทียบราคากับปริมาณ คุณภาพอาหาร รสชาติและบรรยากาศแล้ว สำหรับผมคิดว่าราคา 1,250 ++ บาท ต่อ Set 2 คนนั้น คุ้มค่าดีนะครับ สิ่งที่ดีและทำให้รู้สึกประทับใจก็คือคุณภาพชา และขนมในหลายๆ เมนู เมื่อประกอบกับบรรยากาศสวยๆ ที่หาจากที่อื่นได้ยากมากๆ แล้ว ทำให้ที่นี่กลายมาเป็นอีกหนึ่งสถานที่จิบชายามบ่ายที่ผมประทับใจไปเลยครับ



สรุป : หากคุณกำลังหาสถานที่เก๋ๆ สวยๆ เอาไว้คุยกับแฟน จีบหญิงที่กำลังชอบ หรือนัดคุยงานกันแบบเบาๆ โดยเฉพาะกับชาวต่างชาติและเราอยากให้เค้าประทับใจเป็นพิเศษ สถานที่ของ The House on Sathorn เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมาก ไม่ว่าจะเลือกกินอาหาร Main Course, Bar หรือว่า Afternoon Tea เพราะนอกจากคุณจะได้ใช้เวลาคุยกันในบรรยากาศสบายๆ แล้ว ก็ยังมีมุมถ่ายรูปเก๋ๆ ให้เราได้ถ่ายอีกเยอะแยะมากมาย โดยเฉพาะสำหรับคนที่ชื่นชอบบ้านสไตล์นี้ หรือคนที่กำลังอินกับท่านทูตสุดหล่อในภาพยนต์เรื่องพรจากฟ้าแบบผม สำหรับเรื่องเดียวที่น่าจะเป็นห่วงของสถานที่แบบนี้ก็คือเรื่องของสภาพอากาศครับ เพราะหากวันไหนที่แดดแรงหรือฝนตกเราก็คงจะอดนั่งในสวนและต้องย้ายไปนั่งในส่วนของตัวอาคารแทนครับ



สำหรับท่านใดที่สนใจอยากจะไปทานชายามบ่ายดีๆ ในบรรยากาศเก๋ๆ แบบนี้ ก็สามารถโทรไปสอบถามโปรโมชั่นหรือสำรองที่นั่งได้ที่ The House on Sathorn เบอร์ 02-344-4025 ได้เลยครับ โดยชุด Afternoon Tea นั้น จะเปิดบริการทุกวันในช่วงเวลา 14.30 – 17.30 น. แต่หากว่าเราต้องการทานอาหารประเภทอื่นๆ ในบรรยากาศแบบนี้เราก็สามารถไปได้ตั้งแต่เวลา 12.00 น. จนถึง 24.00 น. เลยครับ เพราะห้องอาหาร The Courtyard นั้นเค้ามีอาหารอีกหลายประเภทไว้คอยบริการเราอยู่ครับ ^^



ก็จบลงแล้วสำหรับรีวิวนี้ แล้วพบกันใหม่ในรีวิวหน้านะครับ ทั้งนี้หากผมรีวิวขาดตกบกพร่องประการใดต้องขออภัยด้วยและการรีวิวนี้เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของผมจากวันที่ไปใช้บริการเท่านั้น แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสไปใช้บริการอาจจะได้รับการบริการหรือรสชาติที่แตกต่างจากนี้ออกไปครับ



สำหรับใครที่ชอบการรีวิวของผม ก็สามารถไปติดตามหรือแนะนำข้อมูลต่างๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่เลยครับ https://www.facebook.com/amazingcouples



ปล. ผมขอทิ้งท้ายด้วยมุมถ่ายรูปเก๋ๆ ใน W Bangkok ที่ผมไปถ่ายมาในวันเดียวกันนะครับ โรงแรมเค้ามีมุมสวยๆ ไม่แพ้ The House on Sathon เลย ทำเอาผมอดใจถ่ายรูปไม่ได้จริงๆ ^^


ความคิดเห็น