ห่างหายจากการขึ้นเหนือมาเกือบปี ประกอบกับผมได้ส่งผลงานรีวิวเข้าไปประกวดกับ www.painaidii.comแล้วโชคดีได้รับรางวัลเป็น Voucher ที่พักฟรีที่ Narittaya Resort and Spa หรือชื่อไทยเขียนยากพอควรว่า “นฤตยะ" ซึ่งตั้งอยู่ที่เชียงใหม่ จำนวน 3 วัน 2 คืนครับ 2 เหตุผลนี้ จึงเป็นแรงบังดาลใจให้เกิดทริปนี้ขึ้นมา ผมเลยยกโทรศัพท์กริ๊งกร๊าง ชวนพี่เพอะ พี่ร่วมสถาบันที่เรียนจบมาด้วยกัน แกก็ไม่ปฏิเสธคำชวนเลยครับ จริงๆ แล้วทริปนี้ไม่ได้ตั้งใจจะไปเที่ยวอะไรมากมาย เพียงแต่อยากจะไปใช้ voucher ซะมากกว่า สถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่ในทริปนี้จึงเลือกเฉพาะจุดเด็ดๆ ที่เป็นที่เที่ยวใหม่ๆ สำหรับผม แต่อาจจะเก่าสำหรับใครหลายๆ คน หลังจากกลับจากการออกทริปแล้ว นับไปนับมาปรากฎว่าผมไปเที่ยวอยู่หลายแห่งเหมือนกัน เลยเอามาแบ่งปันให้เพื่อนๆ ได้ติดตามกันครับ
ผมออกจากบ้านช่วงสายๆ เพราะวันนี้ผมไม่มีโปรแกรมที่ไหน เลยไม่ต้องเร่งรีบอะไร จุดหมายปลายทางของวันแรกอยู่ที่ จ.ลำปาง เพราะจุดแรกที่ผมจะเที่ยวในวันรุ่งขึ้นอยู่ใน อ.แจ้ห่ม จ.ลำปาง เย็นนี้ผมเลยตรงเข้าที่พักที่โรงแรมเวียงลคอรครับ
ยอมรับว่าผมไม่ได้เตรียมข้อมูลเกี่ยวกับที่พักในลำปางเลย เพราะพี่เพอะมีเพื่อนอยู่ที่ลำปาง เลยคิดว่าเพื่อนพี่เพอะคงจะแนะนำที่พักให้ครับ
โรงแรมเวียงลคอรเดิมเคยเป็นโรงแรมที่เรียกว่าติดลำดับต้นๆ เรื่องความหรูหราในลำปางครับ ผมเคยมีโอกาสได้เข้าพักที่นี่เมื่อกว่า 20 ปีก่อนแล้ว จำได้ว่าตอนนั้นหรูหรามากๆ ครับ
บรรยากาศภายใน Lobby เน้นงานไม้ สไตล์เมืองเหนือ ดูโอ่โถงและหรูหราครับ ด้านข้าง Lobby มีพื้นที่สำหรับให้แขกได้มานั่งพักผ่อนครับ
ภายในห้องพักค่อนข้างเก่า มีกระจกแต่ไม่สามารถเปิดได้ครับ
ภายในห้องน้ำมีอ่างอาบน้ำ แยกส่วนเปียก-แห้งด้วยผ้าม่านครับ
บรรยากาศของห้องอาหารโรงแรมครับ สำหรับอาหารเช้าที่นี่จะสั่งเป็นเมนู ผมเลือกเป็นชุดข้าวต้มครับ
จริงๆ แล้วโรงแรมในตัวเมืองลำปาง มีที่ใหม่ๆ ราคาถูกเยอะพอสมควร ไม่ว่าจะเป็น B2 , HOP inn ครับ นี่ถ้าผมรู้ว่าพี่เพอะเป็นคนเลือกเข้าพักที่เวียงลคอรเอง ผมคงจะแนะนำให้มาพักที่ HOP Innเพราะผมเคยเข้าพักที่ HOP Inn อุดรธานีมาครั้งนึงแล้ว รู้สึกคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป ในราคาไม่แพงด้วยครับ
เช้าวันใหม่ผมมุ่งหน้าสู่ อ.แจ้ห่ม เพื่อไปชมพลังแห่งศรัทธาของชาวบ้านที่ช่วยกันสร้างเจดีย์บนยอดเขา ที่วัดเฉลิมพระเกียรติพระจอมเกล้าราชานุสรณ์ครับ
จากตัวเมืองลำปางใช้ทางหลวงหมายเลข 1035 ที่จะมาทาง อ.แจ้ห่ม และ อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อนเมื่อถึง อ.แจ้ห่ม ขับรถเลยไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตร จะมีทางแยกซ้ายมืออยู่ตรงทางโค้งพอดี ซุ้มประตูเขียนว่าเข้าหมู่บ้านใหม่เหล่ายาว ให้เลี้ยวเข้าไปประมาณ 200 เมตร จะมีแยกซ้ายมือเขียนว่าไปวัดเฉลิมพระเกียรติพระจอมเกล้าราชานุสรณ์ ระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร เป็นทางคอนกรีตอย่างดีไปจนถึงวัด มองออกไปไกลๆ เบื้องหน้าจะเห็นกลุ่มเจดีย์สีขาวอยู่บนยอดเขาซึ่งมีลักษณะเป็นหน้าผาสูงชันครับ
วัดเฉลิมพระเกียรติพระจอมเกล้าราชานุสรณ์ เดิมชื่อว่าวัดพระพุทธบาทปู่ผาแดง ตั้งอยู่ในพื้นที่ของเขตห้ามล่าสัตว์ป่าดอยพระบาท สร้างขึ้นโดยหลวงพ่อไพบูลย์ สุมังคโล เจ้าอาวาสวัดอนาลโยทิพยาราม จ.พะเยา ในวโรกาสที่ ร.4 พระราชสมภาพครบ 200 ปี เมื่อวันที่ 18 ต.ค.2547 ภายในวัดแบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 ส่วนหลักๆ โดยชั้นแรกเป็นที่ตั้งของตัววัด ชาวบ้านเรียกกันว่า “วัดล่าง" บริเวณนี้จะเป็นที่ตั้งของพระอุโบสถและเจดีย์ครับ
ด้านหน้าพระอุโบสถ มีสิงห์คู่ยืนเฝ้าอยู่บริเวณทางเข้า ตัวพระอุโบสถมีลักษณะเหมือนวัดทางล้านนา หลังคาลดหลั่นสองชั้น ซุ้มประตูทางเข้าประดับประดาด้วยลวดลายที่งดงาม สีเงินครับ
ด้านนอกว่างดงามแล้ว ด้านในงดงามไม่แพ้กัน ด้วยโครงอาคารสีแดง ภายในเป็นที่ประดิษฐานของพระนิรันตรายองค์จำลอง ซึ่งเป็นพระพุทธรูปประจำพระองค์ของ ร.4 ครับ
เดินทะลุพระอุโบสถออกไปจะพบพระบรมเจดีย์องค์ใหญ่ ที่ด้านในเจดีย์เป็นที่ประดิษฐานพระประธาน 4 ทิศ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย 4 องค์ผินพระพักตร์ไปทิศต่างๆ 4 ทิศครับ
ใกล้ๆ กับพระอุโบสถ เป็นที่ตั้งของวิหารพระสมปารถนา ไม่รู้ว่าทางวัดตั้งใจเขียนคำว่า “ปารถนา" แบบนี้หรือเปล่า ดูจากภายนอกเป็นวิหารทรงสูง กึ่งปูน กึ่งไม้ ภายในวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่บนบุษบกที่สูงและสวยงาม รอบๆ ของวิหารจะเป็นลานประทักษิณ สามารถชมวิวโดยรอบได้ครับ
ด้านหน้าของวิหารมีดอก "ทองกวาว" สีเหลือง ผมเพิ่งจะเคยเห็นดอกสีเหลืองที่นี่เป็นครั้งแรก ปกติจะเห็นแต่ดอกสีส้มครับ
สำหรับพื้นที่ในส่วนที่ 2 และ 3 อยู่บนยอดเขา ซึ่งเราต้องจอดรถไว้ที่ลานจอดรถด้านล่าง แล้วเปลี่ยนไปขึ้นรถรับจ้างที่มีไว้คอยบริการนักท่องเที่ยวในอัตราไป-กลับ คนละ 60 บาท วันธรรมดารถรับจ้างจะให้บริการตั้งแต่ 08.00 น. เป็นต้นไป สำหรับวันหยุด จะเริ่มให้บริการกันตั้งแต่ 06.00 น.เลยครับ
เราจะต้องนั่งรถสองแถวขึ้นไปอีกประมาณ 3 กิโลเมตร ใช้เวลาไม่ถึง 15 นาที สภาพเส้นทางเป็นทางคอนกรีตเสริมเหล็ก 1 ช่องจราจร รถสวนกันค่อนข้างลำบากเลยทีเดียว ต้องคอยหลบกันให้ดีๆ สภาพเส้นทางบางช่วงจะเป็นซ้ายผาขวาเหว เพียงไม่นานนักรถสองแถวก็จะมาจอดส่งเราบริเวณลานจอดรถบนภูผาหมอกครับ
ติดกับลานจอดรถมีศาลาให้นั่งพัก จุดนี้สามารถชมวิวมุมสูงของเมืองปานได้ครับ
สำหรับพื้นที่ในส่วนที่ 2 ของวัดเป็นที่ประดิษฐานของรอยพระพุทธบาท จากจุดจอดรถต้องเดินเท้าต่อประมาณ 300 เมตรครับ
ศาลาด้านซ้ายมือจะมีรอยพระพุทธบาทจำลองครับ ติดกับรอยพระพุทธบาทจำลอง จะเป็นพื้นที่ที่เป็นหิน ซึ่งจะพบรอยพระพุทธบาททั้งหมด 3 รอย รอยหนึ่งจะอยู่ที่ข้างองค์พระพุทธรูปปางลีลา มีขนาดค่อนข้างใหญ่ ส่วนอีกสองรอยจะอยู่ต่ำลงมาจากรอยใหญ่ มีขนาดเล็กกว่ารอยพระพุทธบาทรอยแรกครับ รอยพระพุทธบาทแห่งนี้เป็นที่เคารพศรัทธาของชาวแจ้ห่มเป็นอย่างมาก ในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 8 จะมีการจัดงานนมัสการรอยพระพุทธบาทขึ้นเป็นประจำทุกปีครับ
สำหรับพื้นที่ในส่วนที่ 3 คือ ยอดดอยภูผาหมอก ซึ่งเราต้องเดินเท้าต่อเพื่อขึ้นไปบนยอดเขาครับ
จากจุดจอดรถ จะต้องเดินเท้าต่อไปอีกประมาณ 1,100 เมตร โดยเป็นพื้นที่ราบ 300 เมตร และเดินขึ้นเขาตามเส้นทางบันไดที่ทางวัดทำไว้อีก 800 เมตร ตรงจุดทางขึ้นมีป้ายเขียนบอกไว้ให้บริกรรมพุทโธ พุทโธ ระหว่างเดินขึ้น ผมคิดว่าทางวัดให้เราบริกรรมเพื่อให้เราลืมความเหนื่อยครับ
ระหว่างเส้นทาง มีจุดให้พักเหนื่อยและยังเป็นจุดชมวิวเมืองปานได้อีกด้วย ช่วงที่ผมไปดอกเสี้ยวกำลังบานครับ
สภาพเส้นทางสูงชันเอาเรื่องเลย ดีที่ทางวัดทำบันไดไว้ให้เลยเดินขึ้นได้สะดวกครับ
กัดฟันเดินอีกนิดหน่อย ก็ถึงยอดภูผาหมอกแล้วครับ เบื้องหน้ามองเห็นศาลาที่ขนาบข้างด้วยเจดีย์ใหญ่ 2 องค์ ผมหาข้อมูลมาว่าศาลานี้เป็นพลับพลารับเสด็จครับ
ภายในพลับพลารับเสด็จครับ
เจดีย์ 2 องค์ที่อยู่เคียงข้างพลับพลารับเสด็จ องค์แรกคือเจดีย์กตปุญโญนุสรณ์ครับ
และด้านหลังของพลับพลารับเสด็จ จะมีบันไดเหล็กเพื่อพาขึ้นไปยังเจดีย์สีทองอีกองค์หนึ่งครับ
จากยอดเจดีย์องค์นี้ สามารถมองเห็นศาลาสวดมนต์และกลุ่มเจดีย์องค์สีขาวองค์เล็กองค์ใหญ่อยู่เบื้องหน้า
มองเห็นกลุ่มเจดีย์สีขาวอยู่ริมชะง่อนผาแล้วแอบสงสัยไม่ได้ว่าใครหนอช่างกล้าหาญมาสร้างเจดีย์ไว้บนชะง่อนผาแบบนี้ หากมองเลยกลุ่มเจดีย์ไปจะเห็นเส้นทางรถที่มาจากลานจอดรถครับ
มองลงไปเบื้องล่าง เห็นพื้นที่ของอำเภอแจ้ห่ม และพระบรมเจดีย์องค์ใหญ่ รวมถึงลานจอดรถที่เราขึ้นรถสองแถวกันมาจากด้านล่าง ซึ่งตอนนี้ปกคลุมไปด้วยหมอก แต่คาดว่าหมอกที่เห็นน่าจะเป็นหมอกควันจากการเผาป่ามากกว่าครับ
จากเจดีย์สีทอง ผมเดินลงบันไดมาถึงพลับพลารับเสด็จ แล้วเดินเท้าต่อเพื่อมายังศาลาสวดมนต์ บริเวณศาลาสวดมนต์สามารถมองเห็นกลุ่มเจดีย์สีขาวได้อย่างชัดเจนครับ
เจดีย์องค์น้อยใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นบนยอดภูเขาสูงจากแรงศรัทธาของญาติโยมภายใต้อ้อมกอดของผืนป่ากว้างไกลสุดสายตา มันช่างเป็นภาพที่น่าประทับใจมากๆ คุ้มค่าความเหนื่อยที่ได้ฝ่าฟันขึ้นมาเสียจริงๆ ฐานขององค์เจดีย์บางองค์ตั้งอยู่บนผาหินซึ่งไม่ได้วางอยู่ในแนวระนาบด้วยซ้ำ เจดีย์บางองค์ก็ยังเอียงๆ อยู่เลย เห็นแล้วต้องทึ่งกับพลังศรัทธาของญาติโยมที่ช่วยกันสร้างขึ้นมาจริงๆ ลำพังแค่เดินมือเปล่าขึ้นมาบนยอดเขาก็ว่าลำบากแล้ว แต่นี่ยังขนวัสดุอุปกรณ์ขึ้นมาก่อสร้างบนยอดเขาได้สุดยอดจริงๆ ครับ
มองย้อนกลับไปยังเจดีย์องค์ทอง วิวเบื้องหน้าผม ณ ขณะนี้สวยงามมากๆ ได้บรรยากาศคล้ายๆ เมืองจีนเลยครับ
หลังจากตักตวงความสุขบนยอดดอยภูผาหมอกแล้ว ผมมุ่งหน้าสู่เชียงใหม่ โดยใช้เส้นทาง อำเภอเมืองปาน ตัดเข้าทางอำเภอแม่ออนครับจากแจ้ห่ม ถ้าจะไปเชียงใหม่ สามารถทะลุผ่านอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อนไปได้เลยนะครับ เส้นนี้จะลัดกว่าที่จะตีเข้าตัวเมืองลำปาง ผ่านลำพูนและเข้าเชียงใหม่ครับ
เมื่อไปถึงด่านเก็บเงินของอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อนแล้วบอกว่าไปเชียงใหม่ จะไม่เสียค่าเข้าอุทยานนะครับ แต่พอดีผมบอกไปว่าผมจะไปบ้านป่าเหมี้ยง เจ้าหน้าที่ถามว่าจะไปทำอะไร ผมบอกว่าผมจะไปดูดอกเสี้ยว (ผมทราบมาว่าดอกเสี้ยวกำลังบานช่วงเดือน ก.พ.) เลยต้องเสียค่าเข้าอุทยานครับ เพราะบ้านป่าเหมี้ยงถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวภายในอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อนครับ
ไหนๆ ก็เสียค่าเข้าอุทยานแล้ว ผมเลยแวะยืดเส้นยืดสายกันที่บ่อน้ำแร่ก่อนเป็นอันดับแรกครับ
บ่อน้ำแร่แต่ละบ่อมีสีสันที่แตกต่างกัน บางบ่อน้ำใส มองเห็นสีเขียวของหินที่คาดว่าเกิดจากตะไคร่น้ำ บางบ่อหินจะอมสีฟ้า หรือบางบ่อน้ำเป็นสีขาวเหมือนบ่อน้ำนมครับ นักท่องเที่ยวนิยมเอาไข่มาต้มในบ่อน้ำแร่กัน ผมเคยมาพักค้างคืนที่นี่ 2 ครั้ง การมาถึงบ่อน้ำแร่ในช่วงเช้าตรู่ก็ได้อีกบรรยากาศหนึ่ง อากาศที่หนาวเมื่อมาปะทะความร้อนของบ่อน้ำแร่ ทำให้เกิดควันลอยขึ้นเหนือบ่อน้ำแร่ ไม่ต่างกับการปล่อย Dry ice บนเวทีคอนเสิร์ตเลยครับ
สีขาวที่เห็นไม่ทราบว่าเป็นตะไคร่น้ำหรือเปล่า มันพัดพลิ้วไปตามกระแสน้ำ ดูแล้วก็คล้ายๆ กับดอกไม้ทะเลเหมือนกันครับ
บริเวณบ่อน้ำแร่นี้ ทางอุทยานได้สร้างห้องให้นักท่องเที่ยวได้แช่น้ำแร่กันด้วยมีทั้งบ่อรวม และบ่อส่วนตัวครับ
หลังจากเก็บบรรยากาศที่บ่อน้ำแร่เรียบร้อยแล้ว ผมก็มุ่งหน้าสู่บ้านป่าเหมี้ยงครับ เมื่อเริ่มเข้าเขตบ้านป่าเหมี้ยง ก็เริ่มเห็นดอกเสี้ยวเริ่มทยอยบานกันเยอะแล้ว กลีบที่อ่อนช้อยของดอกเสี้ยว ที่เติมแต่งด้วยสีชมพูกลางกลีบดอก ดูสวยงามมาก แล้วยิ่งบานพร้อมกันเต็มต้น ทำให้เวลามองออกไปบนยอดทิวเขา จะเห็นทิวเขากลับกลายเป็นสีขาวเลยครับ ทุกๆ ปีช่วงปลายเดือน ก.พ. ทางอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อนจะจัดงานดอกเสี้ยวบานที่บ้านป่าเหมี้ยงครับ
โปรแกรมต่อไปของผมคือตั้งใจจะไปทานอาหารกลางวันที่ The Giant Chiangmai ผมหาข้อมูลมาว่าที่นี่เปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 11.00-15.00 น. จะรับลูกค้าเพียง 20 คน/วัน และจะรับเฉพาะลูกค้าที่จองมาเท่านั้น แต่เนื่องจากผมไม่สามารถกะเวลาที่จะมาถึงร้านได้ ผมเลยไม่โทรจอง หากผมมาแล้วเกินโคว์ต้าที่ร้านจะรับลูกค้าได้ ผมคงขออนุญาตเขาเก็บภาพบรรยากาศแต่เพียงภายนอกเท่านั้น
จากบ้านป่าเหมี้ยงขับรถตามเส้นทางมาเรื่อยๆ ก็จะมาเข้าเขตหมู่บ้านแม่กำปอง อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ครับ สภาพเส้นทางสูงชัน ค่อนข้างแคบ และไม่ค่อยมีรถผ่านสักเท่าไร ผมมาถึงแม่กำปองเกือบจะเที่ยงแล้ว เลยไม่ได้แวะเดินชมบรรยากาศที่แม่กำปองเลย ผมเคยมาพักที่โฮมสเตย์แม่กำปองครั้งนึง รู้สึกประทับใจมาก วันนี้แม่กำปองก็ยังมีเสน่ห์เหมือนเดิม มองเห็นมีร้านเก๋ๆ ผุดขึ้นมาบ้าง แต่ผมว่ามันก็ยังไม่ทำลายความเป็นแม่กำปองลง เสียดายถ้าผมมีเวลาอีกสักนิด+ท้องผมไม่ร้อง ผมคงจะเดินเล่นที่หมู่บ้านแม่กำปองก่อนที่จะเข้าไปยัง The Giant Chiangmai ครับ
เลยหมู่บ้านแม่กำปองมาสักนิด จะพบแยกขวามือ เพื่อมายังบ้านป๊อก ขับมาเรื่อยๆอีกประมาณ 7-8 กม. ก็จะพบป้ายบอกทางพามายัง The Giant Chiangmai สภาพถนนไม่ค่อยดี เส้นทางค่อนข้างแคบ และคดเคี้ยว เลยใช้เวลาในการเดินทางนานพอสมควรครับ
เมื่อมาถึง The Giant Chiangmai ผมรู้ได้ทันทีว่าผมเป็นลูกค้าที่มาเกิน 20 คนอย่างแน่นอน เนื่องจากเห็นรถจอดกันเยอะมาก ไม่คิดเลยว่าเดินทางมายากขนาดนี้ ยังมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการกันเยอะพอสมควร ผมถามเจ้าหน้าที่ที่คอยอำนวยความสะดวกบริเวณที่จอดรถว่า ผมไม่ได้โทรจองมา สามารถเข้าไปชมได้หรือไม่ เจ้าหน้าที่บอกได้ ผมเลยไม่รอช้าครับ
ลักษณะของร้านจะเป็นสิ่งก่อสร้างที่สร้างขึ้นโอบต้นไม้ใหญ่ จากจุดจอดรถถ้าจะเดินเข้าไปยังร้านต้องเดินข้ามสะพานแขวน ซึ่งสามารถเดินได้ครั้งละ 2 ท่านเท่านั้น ช่วงเวลาที่เดินอยู่กลางสะพานก็ระทึกใจไม่น้อย เพราะสะพานโยกมากๆ ขนาดผมเดินข้ามเพียงคนเดียวยังต้องหยุดรอกลางสะพานเพื่อให้สะพานหายโยกก่อนแล้วถึงเดินต่อครับ
บริเวณร้านกาแฟ ยามนี้เต็มไปด้วยลูกค้าเต็มไปหมด ผมว่าหมดเสน่ห์ไปเยอะเลย มันดูวุ่นวายมากๆ ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมร้านถึงได้กำหนดให้บริการลูกค้าเพียง 20 คนเท่านั้น
นอกจากเป็นร้านกาแฟแล้ว ที่นี่ยังเป็นที่พัก และมีกิจกรรมโรยตัวจากต้นไม้ด้วยครับ
สรุปแล้วผมหิ้วท้องมาเก้อ กะจะมาฝากท้องที่นี่แต่ก็ต้องผิดหวังกลับไป ผมนึกถึงร้านอาหารแม่กำปองมากๆ ทีแรกพี่เพอะบอกให้แวะทานมื้อเที่ยงที่แม่กำปองก่อนเพื่อที่ผมจะได้มีโอกาสเดินถ่ายรูปเล่นที่แม่กำปองด้วย แต่ผมอยากมานั่งกินบรรยากาศที่ The Giant Chiangmai มากกว่าเลยตัดสินใจตัดโปรแกรมที่แม่กำปองออกครับ
จาก The Giant Chiangmai ย้อนกลับออกมาทางเดิม เมื่อถึงทางแยกผมเลี้ยวขวาเพื่อจะออกมาทาง อ.สันกำแพง จากสามแยกเลี้ยวขวามาไม่นาน ก็จะพบร้านโครงการหลวงตีนตก ผมสบตากับพี่เพอะเป็นอันรู้กัน พี่เพอะจอดรถทันทีครับ
ร้านโครงการหลวงตีนตกจำหน่ายทั้ง อาหาร เครื่องดื่ม รวมถึงผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรครับ
บรรยากาศโดยรอบของร้าน มีจุดชมวิวที่มองเห็นบ้านพักสำหรับให้นักท่องเที่ยวได้มาพัก บ้านพักหันหน้าให้ลำธารด้วยครับ
เมนูอาหารน่าทานทั้งนั้น มื้อนี้ผมได้รายการอาหารตามนี้เลยครับ
คอหมูย่างโรสแมรี่ หมูนุ่ม หอมกลิ่นโรสแมรี่ เมนูนี้เป็นจานแนะนำของทางร้านครับ
หมูผัดเบซิล เบซิลจะคล้ายๆ กับใบกะเพรา จานนี้รสชาติคล้ายหมูผัดพริกแกงใส่ใบกะเพรา เผ็ดนิ่มๆ ครับ
น้ำพริกเห็ดหอม จานนี้ไม่ค่อยได้รสชาติของเห็ดหอมสักเท่าไร ไม่เผ็ดมากนัก ทานกับผักแกล้มอร่อยดีครับ
ปิดท้ายด้วยปลาเทร้ารมควัน หอมกลิ่นรมควันดีครับแต่เนื้อแห้งไปนิดครับ
โดยรวมแล้วอาหารอร่อยใช้ได้ ทานกันจนหมดทุกจาน แถมบรรยากาศดีด้วยครับ
อิ่มท้องแล้วเดินทางกันต่อสู่เชียงใหม่ ผ่าน อ.สันกำแพง มองเห็นป้ายน้ำพุร้อนสันกำแพง ผมเลยขอพี่เพอะแวะที่น้ำพุร้อนสันกำแพงเพื่อระลึกถึงความหลังเมื่อกว่า 20 ปี++ที่แล้วซะหน่อยครับ
ที่นี่เสียค่าเข้าชมครับ ตรงบริเวณทางเข้ามีร้านค้าขายของที่ระลึกมากมาย ล่อตาล่อใจมากๆ ใครเดินเฉียดผ่านแถวๆ นี้ระวังทรัพย์สินด้วยนะครับ
ภายในมีการตกแต่งด้วยไม้ดอกไม้ประดับนานาพันธุ์อย่างสวยงาม ดูแล้วร่มรื่นมากๆ ครับ
เมื่อเดินเข้าไปด้านในสุด จะพบกับแหล่งน้ำพุที่มีอุณหภูมิสูงถึง 100 องศาเซลเซียส พุ่งขึ้นจากใต้พิภพสู่ท้องฟ้าสูงถึง 15 เมตรกันเลยทีเดียว
ด้านหน้าของน้ำพุ จะมีบ่อสำหรับให้ต้มไข่ด้วยครับ
นอกจากนี้ที่นี่ยังทำเป็นร่องน้ำแร่เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้มาแช่น้ำแร่กัน ร่องน้ำกินบริเวณกว้างเลยครับ ในวันหยุด เสาร์ อาทิตย์ นักท่องเที่ยวมาใช้บริการที่นี่กันเป็นจำนวนมาก บ้างก็มาปิคนิคกับครอบครัว บ้างก็ควงคู่กันมาเที่ยว จึงทำให้บรรยากาศครึกครื้นมากๆ
ได้เวลาที่ผมจะต้องเข้าที่พักแล้วครับ เพราะเกรงว่าหากเย็นกว่านี้จะใช้ห้องพักไม่คุ้มค่า ผมมุ่งหน้าเข้าสู่ตัวเมืองเชียงใหม่ ที่พักผมถึงแม้จะอยู่ในเขตอำเภอหางดง แต่ก็ไม่ไกลจากสนามบินมากนัก เรียกได้ว่าเดินทางค่อนข้างสะดวก และไม่ไกลจากตัวเมืองเชียงใหม่ครับ
เห็นป้ายแบบนี้แปลว่าถึงที่พักแล้วครับ
Narittaya Resort and Spa ภายใต้ Concept : Healthy food, all day long cook splendidly,eat smart ครับ
มาถึงแล้วแวะ Check in กันที่ Lobby ก่อนครับ Lobby ออกแบบมาง่ายๆ เป็นอาคารหลังเล็กๆ แบบเปิดโล่งหลังคามุงหญ้า รอบๆ Lobby ออกแบบให้มีร่องน้ำล้อมรอบ เพื่อเลี้ยงปลาตัวสีขาวด้วยครับ
ห้องพักที่นี่แบ่งเป็น 3 แบบด้วยกัน แบบแรกเป็นแบบ Garden Cottage บ้านพักที่ออกแบบเป็นกระท่อมสไตล์ล้านนา แบบที่ 2 เป็นแบบ Pool Villa 1 Bedroom เป็นห้องพักแบบวิลล่าสไตล์โมเดิร์น และแบบสุดท้ายเป็นแบบ Pool Villa 2 Bedroom ห้องพักแบบวิลล่าที่มีศาลาส่วนตัวครับ บ้านพักแต่ละแบบปลูกอยู่ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ ทำให้รู้สึกร่มรื่น กระจายอยู่ทั่วทั้งพื้นที่ของรีสอร์ทที่ค่อนข้างกว้างขวาง ทำให้ดูไม่อึดอัดครับ
มีสระว่ายน้ำส่วนกลางด้วย แต่เป็นสระเล็กๆ รูปทรงของสระจะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่เน้นความยาวซะมากกว่า ความกว้างของสระไม่น่าจะเกิน 1.50 เมตรครับ
ตามคอนเซปของรีสอร์ทที่ว่า Healthy food ที่นี่จึงมีแปลงปลูกผักนานาชนิดปลอดสารพิษอยู่โดยรอบรีสอร์ท ที่เห็นได้ชัดเจนคือบริเวณด้านหน้าของห้องอาหารครับ
มีแปลงปลูกสตอเบอรี่ด้วย ไม่ได้ปลูกไว้โชว์นะครับ แต่มีลูกผลโตๆ ให้เก็บด้วย
ที่นี่เตรียมจักรยานไว้ให้แขกได้ปั่นออกกำลังกายด้วย กิจกรรมนี้ฟรีครับ
ช่วงที่ผมไปดอกสุพรรณิการ์กำลังเบ่งบานเลยครับ
เดินชมรอบๆ บริเวณรีสอร์ทกันแล้ว มาดูในส่วนของห้องพักของผมบ้างดีกว่า ห้องพักของผมเป็นแบบ Pool Villa 1 Bedroom ครับ
เป็นวิลล่าส่วนตัวตั้งอยู่ท่ามกลางป่าต้นสักครับ ช่วงที่ผมไปเป็นช่วงใบสักเริ่มผลัดใบ ทำให้ดูไม่ค่อยสดชื่นสักเท่าไร
เมื่อเปิดประตูห้องเข้าไปจะพบเตียงนอน ชุดโซฟา โต๊ะทำงาน อยู่ในส่วนของพื้นที่ห้องนอน พื้นที่ค่อนข้างกว้างขวาง ผนังห้องข้างหนึ่งเป็นกระจก ทำให้ห้องดูกว้างขึ้นไปอีก สามารถมองออกไปในส่วนของสระว่ายน้ำได้ครับ เฟอร์นิเจอร์จะออกสไตล์ไม้แบบโบราณครับ
ที่ปลายเตียง จะมีประตูบานเฟี้ยม เพื่อแยกส่วนที่เป็นห้องนอนและห้องน้ำ ห้องน้ำถือว่ากว้างขวางเลยทีเดียว แบ่งเป็นพื้นที่แต่งตัว อ่างล้างหน้า ส่วนเปียกและส่วนแห้งแยกจากกันอย่างชัดเจนครับ
เฟอร์นิเจอร์ภายในห้องน้ำก็ยังคงเน้นความเป็นไม้ด้วยโต๊ะเครื่องแป้ง และหีบสำหรับเก็บของครับ
เมื่อเปิดประตูกระจกที่อยู่ข้างเตียง จะพบกับสระว่ายน้ำจากุชชี่ส่วนตัว พร้อมศาลาสำหรับให้แขกได้มานั่งเล่น นอนเล่น เพื่อสูดอากาศภายนอกห้องพักครับ ผมว่าสระว่ายน้ำใน Pool Villa ยังดูใหญ่กว่าสระว่ายน้ำส่วนกลางเสียอีก
นอกจากนี้ยังมีอ่างอาบน้ำอยู่ด้านนอกด้วยครับ
หลังจากที่ได้พักผ่อนในห้องสักแป๊บ เจอแอร์เย็นๆ เตียงนุ่มๆ เรี่ยวแรงก็เริ่มกลับมาอีกครั้ง ดูจากเวลาก็ใกล้ถึงเวลาพระอาทิตย์จะตกแล้ว ผมเลยชวนพี่เพอะไปชมเชียงใหม่มุมสูงที่วัดดอยคำ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากนฤตยะรีสอร์ทครับ
วัดพระธาตุดอยคำตั้งอยู่บนเกาะเทือกเขาเล็กๆ ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเชียงใหม่ การเดินทางใช้เส้นทางเดียวกับอุทยานหลวงราชพฤกษ์เลยครับ เมื่อถึงอุทยานหลวงราชพฤกษ์ให้เลี้ยวขวาแล้วตรงไปเรื่อยๆ จะพบทางขึ้นวัดพระธาตุดอยคำอยู่ด้านซ้ายมือ จากนั้นขับรถขึ้นเขาต่อไปอีกนิดหน่อยก็จะถึงวัดพระธาตุดอยคำครับ
วัดพระธาตุดอยคำเป็นปูชนียสถานที่เก่าแก่มีอายุมากกว่า 1,300 ปี สร้างขึ้นในสมัยพระนางจามเทวีกษัตริย์แห่งหริภุญชัยครับ
เจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าครับ ทุกๆ ปีทางวัดจะจัดงานเตียวขึ้นดอยคำ เพื่อสรงน้ำพระราชทานองค์พระธาตุด้วยครับ
ด้านข้างของเจดีย์จะพบพระเจ้าทันใจซึ่งเป็นพระพุทธรูปเก่าแก่ อายุกว่า 500 ปี เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของชาวเชียงใหม่และทักท่องเที่ยวเป็นอย่างมากครับ สังเกตได้จากพวงมาลัยดอกมะลิที่นำมาแก้บนมีจำนวนเยอะมากๆ
วิหารที่นี่ดูเล็กกะทัดรัดดีครับ ผมไม่ทันได้เข้าไปเนื่องจากวิหารปิดแล้ว
ด้านหลังของวัดจะเป็นลานโล่ง สามารถชมวิวมุมสูงของเมืองเชียงใหม่ได้ มองเห็นอุทยานหลวงราชพฤกษ์ และสนามบินเชียงใหม่ได้อย่างชัดเจนครับ
ก่อนฟ้าจะมืด ขอถ่ายกับเจดีย์ช่วงฟ้าบลูซะหน่อยครับ
หลังจากชมแสงสีเมืองเชียงใหม่ยามค่ำคืนแล้ว ก่อนที่จะกลับไปพักผ่อนที่รีสอร์ท ผมแวะหาอะไรทานกันก่อนที่ตลาดแม่เหี่ยะ ริมคลองชลประทานก่อน ตลาดแห่งนี้มีของให้เลือกทานมากมาย และยังสามารถตุนเสบียงกลับไปทานต่อที่รีสอร์ทได้ด้วย
เช้าวันใหม่ตื่นมาพร้อมกับความสดชื่น อากาศยามเช้ากำลังสบายครับ ไม่ร้อนไม่หนาวจนเกินไป ผมเลยตื่นมาสูดอากาศบริสุทธิ์รอบๆ ห้องอาหาร เพื่อเป็นการรอห้องอาหารเปิดด้วย ห้องอาหารที่นี่เปิดให้บริการตั้งแต่ 07.30-10.00 น. ครับ
บรรยากาศของห้องอาหาร มองเห็นแปลงปลูกผักปลอดสารพิษด้วยครับ
ห้องอาหารของนฤตยะรีสอร์ท ให้บริการทั้งอาหารแบบฟิวชั่นไทย จีน และตะวันตกครับ อาหารทุกจานจะไม่ใส่ผงชูรสเลย ผักที่ใช้ก็จะเป็นผักปลอดสารพิษ ที่ปลูกอยู่โดยรอบรีสอร์ทนั่นเอง
เช้านี้แขกคงเข้าพักน้อย เลยให้บริการอาหารเช้าแบบให้สั่งจากเมนูครับ
ไข่กวนกับเห็ดสามอย่างผัดกระเทียม ผมชอบเมนูนี้ อร่อยดี เห็ดผัดได้หอมกระเทียมมากๆ ผักสดและกรอบ ไข่ก็ไม่เค็มจนเกินไป ถือว่าผ่านครับ
เกี๊ยวน้ำหมูเม็ดบัว เมนูนี้พี่เพอะทาน มองจากเกี๊ยวแล้วอัดแน่นด้วยเนื้อหมู เมนูนี้ชื่อเกี๊ยวน้ำหมูเม็ดบัว แต่ผมหาเม็ดบัวไม่เจอ เจอแต่รากบัวครับ อิอิ
ผลไม้เสริฟพร้อมโยเกิร์ตและน้ำผึ้ง
ผลไม้ตามฤดูกาลครับ
โกโก้ร้อน ทานคู่กับขนมปังครับ
ขนมปังและแยมของที่นี่ทำขึ้นเอง วันที่ผมไปเป็นแยมสับปะรด และแยมกระเจี๊ยบ ผมว่าแยมมันออกเหลวไปหน่อย และไม่ค่อยมีความหวาน เซ็ตนี้ไม่ค่อยถูกปากผม เพราะผมเคยชินกับขนมปังแบบแผ่นบางๆ มากกว่า ส่วนแยมจะติดรสชาติแบบ Best Foods ครับ แต่เซตนี้ผมว่าน่าจะถูกใจคนรักสุขภาพอย่างแน่นอน
หลังอาหารเช้าผมรีบออกจากที่พัก เพราะจุดหมายต่อไปของผมอยู่ที่ผาช่อ หากไปสาย แดดจะแรงมากครับ จากเชียงใหม่มาตามทางหลวงที่ 108 เพื่อมุ่งหน้าไปทางอำเภอจอมทอง สังเกตหลักกิโลเมตรที่ 38 ให้กลับรถ จากนั้นสังเกตป้ายดีๆ จะมีแยกซ้ายมือเข้าไปที่ผาช่อ จากปากทางเข้าไปผาช่อ ประมาณ 13 กม. มีป้ายบอกไปตลอดทาง สภาพเส้นทางเป็นทางลาดยาง แต่ช่วงที่ใกล้จะถึงผาช่อจะเป็นถนนลูกรังครับ ผาช่ออยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติแม่วาง ดังนั้นการที่จะเข้าไปเที่ยวในผาช่อต้องเสียค่าธรรมเนียมด้วยครับ
จากลานจอดรถ มองเห็นศาลาเอนกประสงค์ตั้งอยู่อย่างเด่นชัด ข้างๆ ศาลาเอนกประสงค์จะเป็นจุดชมวิวครับ
ติดกับจุดชมวิว จะเป็นจุดที่เราจะต้องเดินเท้าลงไปยังผาช่อ ด้วยระยะทางประมาณ 400 เมตรครับ
ตลอดเส้นทาง จะพบกับความหลากหลายของระบบนิเวศน์และลักษณะทางธรณีวิทยาที่สวยงาม แปลกตา แต่ละจุดจะมีป้ายสถานีบอกเล่ารายละเอียดสิ่งที่น่าสนใจรวม 10 สถานีครับ
เส้นทางช่วงแรก ต้องเดินลงไปตามบันได ขาลงยังคงกระปรี้ประเปร่าอยู่ครับ แต่ไม่อยากนึกถึงตอนเดินขึ้นเลย จากนั้นจะเดินไปตามทางเดินที่ดูจากสภาพแล้วน่าจะเป็นลำห้วยที่แห้งขอดจนเป็นทางเดินครับ
มีป้ายแนะนำว่าพบหินแม่น้ำบริเวณนี้ เป็นประติมากรรมธรรมชาติที่มีความสวยงามไม่แพ้ผาช่อครับ ธรรมชาติใช้เวลาห้าล้านกว่าปีเพื่อสรรสร้างความงดงามเพื่อให้ได้ชมและเพลิดเพลิน ตลอดสองข้างทางเดินจะเป็นชั้นดินตะกอนที่มีหินแม่น้ำแทรกตัวอยู่ หินแม่น้ำเกิดจากการกร่อนทางน้ำ เป็นตะกอนที่ไหลไปตามการพัดพาของทางน้ำ เมื่อหน้าดินตะกอนถูกชะล้างด้วยปัจจัยทางธรรมชาติ หินแม่น้ำที่แทรกตัวอยู่ก็จะโผล่ขึ้นมาเรียงตัวอยู่บนชั้นตะกอนอย่างเป็นระเบียบครับ
ตลอดเส้นทางจะพบกับป้ายเตือนอยู่แทบทุกย่างก้าวเลย เตือนห้ามปีนป่าย ห้ามเดินลัด ห้ามขีดเขียน ห้ามสูบบุหรี่ครับ เราเดินลัดเลาะไปตามร่องน้ำเรื่อยๆ จนถึงม่อนลองแฮง จุดนี้เราต้องออกแรงเพื่อเดินขึ้นบันไดไปยังด้านบน เพื่อจะเดินลงไปยังผาช่ออีกที จุดนี้เรียกเหงื่อผมได้เยอะ พร้อมอาการหายใจเร็ว แรง และทำให้ผมขาสั่นได้พอประมาณครับ
ตรงม่อนลองแฮง จะเป็นเส้นทาง One way แบบวงกลม ครับ คือเข้าทาง ออกทาง สำหรับบริเวณทางออกเห็นเป็นช่องทางเล็กๆ ขนาดพอดีตัว คดไปคดมาครับ
เมื่อขึ้นมาถึงด้านบนของม่อนลองแฮง จะพบจุดชมวิวผาช่อ มองเห็นเสาโรมันตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหลังเสาโรมันเป็นผาช่อครับ
จากจุดชมวิวต้องเดินลงบันไดมาอีก จะผ่านเสาโรมันขนาดใหญ่ เดินเลยจากเสาโรมันก็จะถึงผาช่อครับ
ผาช่อเป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติที่เกิดจากการกัดเซาะของ ลม ฝน จนทำให้แผ่นดินบริเวณนี้ที่เชื่อกันว่าเมื่อหลายร้อยปีหรือพันปีก่อนเคยเป็นทางเดินของแม่น้ำปิง จนกระทั่งแม่น้ำปิงได้เปลี่ยนสายย้ายทิศไหลผ่านไปที่อื่น บริเวณนี้ก็ถูกยกตัวเป็นเนินเขาสูง ตะกอนแม่น้ำปิงก่อตัวทับถมกันเป็นชั้นๆ ผ่านกาลเวลาและถูกกัดเซาะจนกลายเป็นหน้าผาและเสาดินขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างแปลกตา สูงใหญ่ราว 30 เมตร เป็นบริเวณกว้างนับร้อยเมตร ภูมิประเทศแบบนี้จะคล้ายๆ กับแพะเมืองผี จ.แพร่ ,เสาดินนาน้อย จ.น่าน หรือ ละลุ จ.สระแก้ว แต่ผมว่าทั้ง 3 ที่ สู้ความใหญ่โตอลังการของที่ผาช่อไม่ได้ ที่นี่ได้รับการขนานนามให้เป็นแกรนด์แคนยอนเมืองไทยด้วยครับ
เส้นทางนี้เรียก ฮ่อมกองกีด มีลักษณะเป็นร่องน้ำที่แห้งแล้ว ซึ่งเป็นเส้นทางเดินออกของเราครับ บางช่วงแคบมากๆ จนต้องเอียงตัวเดินกันเลยทีเดียว
สำหรับการท่องเที่ยวผาช่อ ผมแนะนำให้มาช่วงเช้านะครับ อากาศจะไม่ร้อนจนเกินไป นี่ขนาดผมมาช่วงเช้าเสื้อผมยังชุ่มไปด้วยเหงื่อ ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าหากมาช่วงสายๆ จนบ่ายแก่ๆ จะร้อนขนาดไหน และข้อดีของการมาช่วงเช้าคือ ในวันที่ฟ้าเปิดเมื่อถ่ายรูปที่ผาช่อแล้วจะได้ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าเข้มในทิศทางตามแสง ตัดกับสีเหลืองทองของผาช่อ สวยสดใสจริงๆแต่หากมาช่วงบ่าย ถ่ายภาพออกมาจะย้อนแสงครับ
ผู้ที่จะมาเที่ยวที่นี่ หากจะนำขวดน้ำติดตัวเข้าไปดื่มด้วยก็ดีนะครับ เพราะด้านในบริเวณผาช่อไม่มีน้ำขาย แต่เมื่อดื่มหมดแล้วให้นำขวดเปล่าออกมาทิ้งข้างนอกด้วยนะครับ และอยากให้มีจิตสำนึกในการท่องเที่ยวด้วย ควรปฏิบัติตัวตามป้ายเตือนต่างๆ ที่ไม่ให้สัมผัส ไม่ให้เดินลัดออกนอกเส้นทาง ไม่ให้เก็บหิน เพื่อที่ผาช่อจะได้อยู่คู่กับเราไปอีกนานๆ ครับ
จบโปรแกรมผาช่อแล้ว จุดหมายของผมอยู่ที่ดอยอินทนนท์ครับ ก่อนขึ้นดอยอินทนนท์ แวะสักการะพระธาตุประจำปีเกิดของผมสักนิดหน่อย ที่วัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหารครับ
วัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหารเป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร เป็นสถานที่ประดิษฐานของพระทักขิณโมลีธาตุหรือพระธาตุส่วนที่เป็นพระเศียรเบื้องขวาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งตั้งอยู่ภายในพระวิหารจัตุรมุข ก่ออิฐถือปูนทั้งองค์ครับ
ภายในพระวิหารดูมลังเมลืองเป็นอย่างมากครับ
ด้านในสุดของวิหารเป็นที่ประดิษฐานของพระทักขิณโมลีธาตุ ซึ่งมีขนาดโตประมาณเมล็ดข้าวโพด สัณฐานกลมเกลี้ยง สีขาวนวลเหมือนดอกบวบครับ ผมคิดว่าที่ผมถ่ายมานี้คือพระทักขิณโมลีธาตุนะครับ เพราะอยู่ในจุดที่ทางวัดทำการป้องกันการถูกโจรกรรมเป็นอย่างดี
มองลอดหน้าต่างวิหารไปพบพระบรมธาตุเจดีย์ครับ
พระบรมธาตุเจดีย์ศรีจอมทองนี้เป็นวิหารประจำปีเกิดของคนเกิดปีชวดครับ
สำหรับการเดินทางมายังวัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหารนั้น จากตัวเมืองเชียงใหม่ให้มาตามทางหลวงหมายเลข 108 จากนั้นจะพบสามแยกเพื่อเลี้ยวขวาขึ้นดอยอินทนนท์ แต่เรายังไม่เลี้ยว ให้ตรงไปสักเล็กน้อย จะพบวัดอยู่ทางซ้ายมือครับ
หลังจากไหว้พระเป็นศิริมงคลแล้ว จุดหมายต่อไปของผมอยู่ที่ยอดดอยอินทนนท์ครับ
สำหรับจุดหมายแรกของผมในอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์นั้นอยู่ที่น้ำตกแม่กลาง ผมมาเที่ยวที่ดอยอินทนนท์เกินกว่า 10 รอบแล้ว แต่เชื่อไหม ผมไม่เคยแวะน้ำตกแม่กลาง ซึ่งอยู่บริเวณทางขึ้นยอดดอยอินทนนท์เลย งวดนี้เลยขอแวะสักหน่อยครับ
น้ำตกแม่กลางเป็นน้ำตกที่ไหลผ่านหน้าผาขนาดใหญ่ น้ำตกจากหน้าผาสูงประมาณ 100 เมตรลงสู่แอ่งน้ำที่ชื่อว่า วังน้อย และ วังทองหลาง ซึ่งอยู่เบื้องล่าง ผมเห็นป้ายเขียนเตือนห้ามเล่นน้ำ แสดงว่าช่วงฤดูน้ำหลาก คิดว่าปริมาณน้ำคงเยอะและไหลแรงมาก แต่น้ำตกแม่กลางยามที่เข้าใกล้ฤดูแล้งนี้ ก็ยังพอมีน้ำให้ผมได้เห็นอยู่บ้าง แสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของป่าไม้ครับ
บริเวณลานจอดรถของน้ำตกแม่กลาง มีร้านอาหารรวมถึงของฝากมากมาย ใครคิดจะมาฝากท้องที่นี่ก็ได้นะครับ
จุดหมายต่อไปของผมอยู่ที่น้ำตกวชิรธารครับ น้ำตกแห่งนี้มีขนาดใหญ่ เดิมชื่อตาดฆ้องโยง ผมเคยมาที่นี่ช่วงที่มีน้ำมาก มายืนถ่ายรูปคู่กับป้ายน้ำตก ซึ่งอยู่ห่างจากตัวน้ำตกพอประมาณ ละอองของน้ำตกสาดกระเซ็นมากระทบตัวจนเปียกชุ่มเลยครับ
ถ้าใครมาถึงน้ำตกวชิรธารตั้งแต่ช่วงเช้าถึงก่อนบ่าย ผมแนะนำให้เดินขึ้นไปด้านบนด้วยนะครับ ด้านซ้ายมือของป้ายจะมีทางเดินขึ้นไปนิดหน่อย บริเวณนี้จะสามารถมองเห็นละอองน้ำซึ่งหักเหกับแสงอาทิตย์จนเกิดเป็นสายรุ้งตัวอ้วนครับ
จากน้ำตกวชิรธาร ผมตั้งใจจะไปถ่ายรูปคู่กับป้าย สูงสุดแดนสยาม เพื่อบอกให้รู้ว่าผมได้มาถึงดอยอินทนน์แล้ว ระหว่างเส้นทางขึ้นไปยังยอดดอย เห็นรถจักรยานเสือภูเขาปั่นขึ้นลงกันเป็นจำนวนมาก ทีแรกก็คิดว่าเขาคงมาปั่นกันเล่นๆ แต่พอผมผ่านที่ทำการอุทยาน ก็ชักเริ่มแปลกใจ เพราะเห็นนักปั่นจักรยานอยู่เต็มไปหมด ผมไม่ได้จอดแวะและยังคงมุ่งหน้าต่อไปจนมาถึงลานจอด ฮ หน้าทางเข้ากิ่วแม่ปาน ถึงได้รู้ว่าวันนี้เขามีการจัดปั่นจักรยานขึ้นยอดดอยครับ ผมเห็นคนเยอะ ก็เลยไม่ได้จอดแวะเลย และคิดว่าจุดนี้คงเป็นเส้นชัยของการปั่นจักรยานแล้ว เพราะจุดนี้เต็มไปด้วยคนและจักรยานครับ
ความตั้งใจผมยังไม่สิ้นสุด ยังคงมุ่งหน้าสู่ยอดดอย ยิ่งใกล้ถึงยอดการจราจรก็เริ่มติดขัดเป็นอย่างมาก เนื่องจากช่องการจราจรของรถยนต์ถูกแบ่งให้เป็นช่องของจักรยานด้วย มีรถยนต์จอดอยู่ริมไหล่ทาง ประกอบกับมีรถวิ่งสวนทางกันด้วย ทำให้การจราจรตรงนั้นเคลื่อนตัวไม่ได้เลย รถค่อยๆ ขยับตัวทีละน้อยๆ จนผมสามารถขึ้นไปถึงยอดดอยได้ เมื่อไปถึงยอดดอยผมถึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วเส้นชัยนั้นอยู่บนดอยนี่เอง บริเวณลานจอดรถของนักท่องเที่ยวยามนี้กลายเป็นลานจัดกิจกรรมของนักปั่นรถจักรยานไปซะแล้ว ไม่มีที่จอดรถสำหรับนักท่องเที่ยวเลย ผมคงได้แต่ทำใจแล้วกลับรถเพื่อลงจากดอยอย่างผิดหวัง
ผมว่าหากทางอุทยานมีการบริหารจัดการที่ดี ควรจะมีการแจ้งให้นักท่องเที่ยวได้ทราบด้วยว่าการท่องเที่ยวบนยอดดอยในวันนี้มีสภาพเป็นเช่นไร นักท่องเที่ยวจะได้ตัดสินใจได้ว่าจะขึ้นยอดดอยหรือไม่ แต่นี่ไม่มีการแจ้งเตือนใดๆ เลย ผมยังนึกสงสารนักท่องเที่ยวที่มาจากแดนไกล ที่ยังไม่เคยมาเที่ยวที่นี่และตั้งใจจะมาสัมผัสความสูงสุดในสยามที่นี่ หากเขาขึ้นมาถึงยอดแล้วไม่มีที่จอดรถ เขาก็คงต้องจำใจกลับรถและลงจากยอดดอยเหมือนผมเป็นแน่ๆ ครับ เสียทั้งน้ำมัน เสียทั้งเวลา เสียความตั้งใจ ที่สำคัญเสียความรู้สึกมากๆ ครับ
ระหว่างทางที่ลงจากยอดดอย ผมแวะซื้อของฝากจากอินทนนท์ซักนิดหน่อย สินค้ามีทั้งของสดและของแห้ง มีทั้งผัก ผลไม้ หลากหลายมากๆ ครับ
หมดโปรแกรมที่ดอยอินทนนท์ ผมมุ่งหน้ากลับที่พัก ระหว่างทางแวะวัดต้นแกว๋น ซึ่งอยู่ในเส้นทางที่จะไปรีสอร์ทครับ
กว่าจะมาถึงวัดก็บ่ายแก่ๆ แล้ว พระอาทิตย์ใกล้ตก ทำให้เวลาถ่ายภาพบริเวณหน้าวิหาร ย้อนแสงเต็มๆ ครับ
เดิมวัดต้นแกว๋นตั้งชื่อตามต้นมะเกว๋น หรือต้นตะขบป่า ต่อมาภายหลังเปลี่ยนชื่อมาเป็นวัดอินทราวาส ซึ่งตั้งชื่อตามเจ้าอาวาสผู้สร้างวัดนี้คือ ครูบาอินทร์ ครับ
สิ่งที่น่าสนใจในวัดต้นแกว๋นมีหลายจุดครับ จุดแรกคือมณฑปจัตุรมุข เป็นมณฑปจัตุรมุขแบบพื้นเมืองของล้านนา มีลักษณะเป็นศาลาที่มีมุขยื่นออกมาทั้งสี่ด้าน
ส่วนกลางของศาลามีจั่วซ้อนอยู่สองชั้น
มุงกระเบื้องดินขอ ซึ่งเป็นกระเบื้องดินเผา
ที่กลางสันหลังคามีซุ้มมณฑปเล็กๆ ที่ทางภาคเหนือเรียกว่า ปราสาทเฟื้อง ลักษณะเดียวกับที่พบในภาคอีสานและประเทศลาว
บริเวณช่อฟ้าของหลังคาหลังนี้ช่างโบราณได้ออกแบบให้เป็นนกที่มาเกาะอยู่บนหลังคาครับ
จุดนี้จะเป็นศาลาประกอบวิหารวัดต้นแกว๋นครับ สร้างล้อมรอบวิหารของวัด เวลาที่ทางวัดมีงานบุญ บริเวณนี้จะใช้เป็นที่พักผ่อนนอนหลับของญาติโยมครับ
วิหารของวัดต้นแกว๋นจะเป็นวิหารแบบล้านนาโบราณ หน้าบันประดับกระจกแก้วสีแบบฝาตาฝ้าหรือฝาประกน โก่งคิ้วจำหลักไม้ลายเครือเถาสอดสลับรูปเศียรนาค มีลายปูนปั้นรูปเทพพนมและดอกไม้อยู่หัวเสา ด้านหน้าบันปีกนกจะแกะสลักเป็นเศียรนาคในเครือลายเถาผสมกนก ตีเป็นช่องตารางเพื่อระบายอากาศ ปั้นลมและหางหงส์แกะรูปมกรคายนาคอย่างงดงาม คันทวยหูช้างจำหลักไม้เป็นรูปกินนรฟ้อนรำครับ
มาดูภายในวิหารกันบ้าง เสาวิหารมีการลงรักปิดทองอย่างสวยงาม และเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปประจำพระวิหาร
มีจิตรกรรมฝาผนังที่เหลืออยู่เพียงภาพเดียวในวิหาร แสดงการเสด็จปรินิพพานของพระพุทธเจ้าครับ
ต้นมะเกว๋น หรือต้นตะขบป่า ซึ่งเป็นที่มาของชื่อวัดแห่งนี้ ช่วงที่ผมไปต้นมะเกว๋นกำลังออกดอกพอดีครับ
วัดต้นแกว๋นมีสถาปัตยกรรมที่แสดงออกถึงแบบแผนทางศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมล้านนาที่งดงามและทรงคุณค่ายิ่ง แม้จะได้รับการบูรณะซ่อมแซมมาหลายหนแต่ก็ยังคงไว้ซึ่งศิลปะแบบดั้งเดิม ที่นี่จึงได้รับการประกาศยกย่องจากสมาคมสถาปนิกสยามประกาศให้เป็นอาคารอนุรักษ์ดีเด่นเมื่อปี พ.ศ.2532 และวิหารแห่งนี้ยังเป็นต้นแบบหอคำหลวงที่สร้างอยู่ในอุทยานหลวงราชพฤกษ์ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานพืชสวนโลกด้วยครับ
ผมรออยู่ที่วัดจนพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไป จึงออกไปหาอะไรทานที่ตลาดแม่เหี่ยะเช่นเคย ก่อนจะกลับไปพักผ่อนที่รีสอร์ทครับ
เช้าวันใหม่ตื่นมาพร้อมกับแสงเช้ารับอรุณครับ
เมื่อวานแขกคงเข้าพักที่นี่เยอะ เช้านี้ทางห้องอาหารเลยจัดเป็นไลน์ Buffet ครับ
เป็นไลน์อาหารเพื่อสุขภาพอีกเช่นเคย แต่อาหารยังไม่หลากหลายเท่าที่ควร มีเพียงสลัดผัก ข้าวผัด (รสชาติดีทีเดียว) ต้มจืด และเมนูไข่ที่สามารถออเดอร์ได้ตามใจชอบ นอกจากนี้มีโยเกิร์ตและขนมปังครับ
จากการเข้าพักที่ นฤตยะ รีสอร์ทแอนด์สปา ตลอด 3 วัน 2 คืน ผมว่าผมได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ รีสอร์ทมีพื้นที่กว้างขวาง ห้องพักไม่มากเกินไป การวางห้องพักกระจายทั่วทั้งพื้นที่ ทำให้รู้สึกถึงความเป็นส่วนตัว ห้องพักกว้างขวาง สำหรับอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในห้องพักก็จะคล้ายๆ กับโรงแรมหรือรีสอร์ทหลายๆ แห่ง คือมีทีวี เคเบิลทีวี เครื่องเล่น DVD ชากาแฟพร้อมกาน้ำร้อน เสื้อคลุม ไดร์เป่าผม ตู้เย็น ตู้เซฟ โทรศัพท์ เครื่องปรับอากาศ ตู้เสื้อผ้า รองเท้าแตะ Free wifi ครับ
ในเรื่องของการเดินทางก็สะดวก ตั้งอยู่ในทำเลที่ดี อยู่ไม่ห่างจากตัวเมืองและยังใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นวัดต้นแกว๋น เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี อุทยานหลวงราชพฤกษ์ วัดพระธาตุดอยคำ
จุดขายของที่นี่ผมว่าน่าจะเป็นเรื่องอาหารเพื่อสุขภาพครับ คนที่รักสุขภาพและต้องการพักผ่อนอย่างสงบ คงจะชอบที่นี่เป็นอย่างมาก
สำหรับจุดด้อยของที่นี่ เห็นจะเป็นสัญญาณเคเบิ้ลทีวีครับ ช่อง 3 5 7 9 มีไม่ครบทุกช่อง สัญญาณบางช่องก็ไม่ค่อยชัด,เต้าเสียบปลั๊กไฟมีกระจายอยู่หลายจุด แต่ในส่วนของห้องพักเท่าที่ผมหาเจอมีอยู่เพียง 1 จุด (2 เต้าเสียบ) คือตรงชั้นวางทีวี ดีที่ผมเอาปลั๊กส่วนตัวไปด้วย เลยสามารถนั่งชาร์จ Notebook รวมถึงอุปกรณ์หลายๆ อย่างได้พร้อมๆ กัน , สวิทซ์ไฟภายในห้องมีค่อนข้างเยอะ เวลาตั้งใจจะเปิดปิดไฟบางดวง ต้องตะเวนเปิดปิดจนทั่วห้อง ถึงจะเปิดปิดไฟในจุดที่ต้องการได้
ก่อนเดินทางกลับ ผมขอพี่เพอะแวะที่วัดต้นแกว๋นอีกครั้ง เนื่องจากเมื่อวาน ผมมาถึงวัดช่วงพระอาทิตย์อยู่ด้านหลังวิหาร ทำให้ถ่ายภาพออกมาย้อนแสง เก็บรายละเอียดวิหารได้ไม่มาก เช้านี้เลยมาขอเก็บบรรยากาศตามแสงสักเล็กน้อยครับ
บรรยากาศยามเช้าสวยงามไม่แพ้ยามเย็นครับ แสงสีทองทาทาบไปทั่ววัดเลย หลังจากเก็บภาพแล้วผมอธิษฐานขอให้เดินทางกลับบ้านโดยสวัสดิภาพ ถือเป็นการจบทริปลำปางเชียงใหม่ของผมอย่างสมบูรณ์ครับ
ทริปนี้ต้องขอขอบคุณนฤตยะรีสอร์ทแอนด์สปา ที่ให้การดูแลเป็นอย่างดี
และที่จะลืมไม่ได้ ขอขอบคุณพี่เพอะที่อุตส่าห์ขับรถจากหาดใหญ่เพื่อมาเที่ยวเป็นเพื่อนผมถึงเชียงใหม่ ผมจะไปไหนมาไหนขอให้บอก พี่เพอะจัดให้ทุกที่ ผมถ่ายรูปนานก็ไม่บ่นครับ...แล้วเจอกันทริปหน้าครับ...
ลุงเสื้อเขียว
วันศุกร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 15.22 น.