จากมาไกลที่เคยพักพิง


ยิ่งห่างไกลก็ยิ่งรู้ตัว


ที่จากมานั้นอบอุ่นเท่าใด



บันทึกการเดินทางเปิดประสบการณ์กาญจนบุรี - สังขละบุรี



Kanchanaburi Sangkhla-Buri

5-9 Apr.2016



สวัสดีค่าาาาาา กราบงามๆแบบเบญจางคประดิษฐ์ อยู่ๆก็อยากไปอยู่ๆก็ตกลงปลงใจจะไปด้วยกัน ชาย 1 หญิง 3 ทริปในตำนานจึงเกิดขึ้นเป็นทริปที่ไม่มีแพลนอะไรเลย แม้กระทั่งที่พักก็ตามที รู้อย่างเดียวคือขึ้นรถแล้วไปต่อยังไง รู้แค่นั้นจริงๆ5555+



คำแนะนำ : สำหรับท่านที่ยาวขี้เกียจอ่านให้เลื่อนลงไปท้ายทริป จะมีสรุปทริปและงบประมาณ


ติดตามหรือสอบถามข้อมูลเพื่อมเติม IG : nompracharot

Page : https://www.facebook.com/wanttotravel01/



เที่ยงของวันที่ 5 พี่ชายพี่สาวของเพื่อน จขกท.ไปส่งที่สถานีรถไฟขอนแก่น นี่คือแบบ ประหยัดไปอี๊กกกกกกก (ต้องขอบคุณผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการมา ณ. ที่นี้ด้วยนะคะ ) ก่อนถึงสถานนีรถไฟนี่มีเรื่องให้เซอร์ไพรส์กันเลย รถ!! เครื่องยนต์ร้อน ปัญหามาจากหม้อน้ำ นี่ก็ต้องจอดรถข้างทางหาน้ำมาเติมกันพักใหญ่ ถึงไปต่อได้ (เกือบไปแว้ววววว)



และแล้วก็มาถึง เห้ยยย!! ถึงแล้ว นี่เป็นครั้งแรกกับการที่จะได้นั่งรถไฟ มันคือเจ้าตู้เหล็กเคลื่อนที่ได้ ที่ตอนเด็กๆเล่นจับไหล่ต่อๆกันหลายคนแล้วร้องเพลงยอดฮิตในวัยนั้น รถไฟจะไปโคราช ตดปาดๆถึงราชบุรี ปู๊นๆ ฉึกฉักฉึกฉัก ก่อนอื่นก่อนใดนั่นคือจองตั๋ว ตั๋วฟรี!!! ฟังอีกครั้ง ตั๋วฟรี!!! นี่ของฟรีมีในโลกจริงๆนะ แค่ยื่นบัตรประชาชนให้เจ้าหน้าที่ ให้เขารู้ว่าเราเป็นคนไทย แค่นี้ก็ได้มาแล้ว



นึกขึ้นได้ว่ายังไม่กินข้าวเที่ยง นี่เลยปลาทอดกร๊อบกรอบ + น้ำ 30 บาท รอสักพักใหญ่ๆรถไฟของเราก็มา ถือว่าออกตรงเวลามาก ป้ายแรกนี่คือปลื้มค่ะ



ระหว่างที่รถไฟข้ามน้ำจะเกิดเสียงดังกว่าปกติ เพราะฉนั้นเสี้ยง วู๊วววว ว๊าววว จึงดังให้ได้ยินบ้างในช่วงแรกและเงียบลงในเวลาต่อมาเมื่อโดนสายตาของผู้โดยสารคนอื่นมองมาด้วยความสนใจ อภัยด้วยเพคะ กระหม่อมพึ่งเคยขึ้นครั้งแรก 5555+



ทุกอย่างดูตื่นตาตื่นใจไปหมดเมื่ออยู่บนรถไฟ แต่ขอย้ำว่าเวลากลางวันไม่ควรนั่งฝั่งขวาเด็ดขาดค่ะ เพราะแดดส่องและร้อนสัสสัส ร้อนแบบไม่น่าให้อภัย จาก15.36 น. ตอนนี้ถึงโคราชเป็นไปได้ว่าไม่หลับเลยแม้แต่น้อย 19.00 น. รถไฟเข้าเทียบชานชลา 4 ผู้กล้าเดินลงมาอย่างมั่นใจ มุ่งตรงไปที่จุดขายตั๋วจุดหมายต่อไปคือหัวลำโพง ป๊าบ!!!เข้าให้........ได้ความว่ารถออกรอบเร็วสุดคือ 22.34 น. สอยตั๋วมาในราคาใบละ 100 บาท แล้วเดินออกไปหาข้าวตบท้อง



อ่าาาาา เดินมาไม่กี่ก้าวก็ได้เจ้านี่ตบท้อง ร้านข้างสถานีรถไฟชามละ 35 บาท กินเสร็จนั่นๆ เห็นไฟเซเว่นเป็นไม่ได้แสงมันแยงตา ต้องไปสักหน่อยซละ



ได้ออกมาคือชูชิ 27 บาท บวก Spy 30 บาท



แบตหมดเราก็อย่าได้หวั่น เพราะที่นี่คือ ประเทศไทย ลุงๆป้าๆที่นั่นใจดี บอกชาร์จได้เลย (ขอบพระคุณค่าาา)



สามทุ่มกว่า เดินกลับไปยังสถานีรถไฟเช่นเดิม เชี่ยยยยย!!!!! เรื่องเซอร์ไพรส์ยังไม่หมดเมื่อเจอมนุยษ์ป้าคนนึงขณะนั่งรอรถไฟ นั่งปุ๊บป้าก็ถามเป็นใครมาจากไหน แล้วโยงเข้าเรื่องโสเภณี ผู้หญิงขายบริการทันที ป้าบอกพวกที่เดินๆอยู่ในที่นี่เป็นพวกโสเภณีกันทั้งนั้น ดูที่เล็บจะทาเล็บ (อ่า จขกท. นี่รีบชักมือตัวเองขึ้นมาดูทันที โล่งออกไป ไม่ได้ทาเล็บมา คงไม่ใช่โสเภณีในอุดมคติของป้าแก แต่เดี๋ยว!!! หัวนี่พึ่งจะย้อมน้ำตาลอ่อนประกายทองมาสดๆร้อนเมื่อเช้านี้นี่น่า อ่าาาาาา ให้ตายสิ!) แล้วป้าก็เริ่มพูดดังขึ้นเรื่อยๆเกี่ยวกับผู้หญิงขายบริการและเมียน้อย คนแถวนั้นเริ่มหันมามอง ใจคอเริ่มไม่ดีละ เริ่มกลัว กรูเริ่มกลัว ดูท่าป้าน่าจะมีปมเรื่องนี้ และ ท่าออกไปทางจิตๆ นี่นั่งหน้าแกด้วยถ้าแกคุ้มคลั่งแล้วชักมีดขึ้นมาปาดคอ จขกท. คงดับเป็นคนแรก ดีที่รถไฟขบวนที่แกจะขึ้น มาช่วยชีวิตไว้ทัน เก้าอี้ว่างด้านหลังคือที่ๆป้าแกนั่ง สีหน้าท่าทางในขณะพูดคุยดูแกจริงจังมาก



เมื่อป้าจากไป จขกท.และเพื่อนก็รีบชิ่ง ไปยืนรอรถไฟอีกชานชลาหนึ่ง รถไฟป้ายนี้ช้าเหลือเกินเลทไปนานมาก ยืนรอนั่งรอจนเหน็บกิน และแล้วก็มาสักที พอรถไฟจอดเทียบชานชลาก็ต้องวิ่งหาโบกี้ของตัวเองที่เขียนระบุไว้ในตั๋ว ทั้งเหนื่อยทั้งตื่นเต้น ความรู้สึกแรกที่ก้าวขึ้นไปเหยีบบนโบกี้ โอ้วววววววว!!! แม่เจ้า! เซอร์ไพรส์(กรุณาใช้เสียงสูง) เซอร์ไพรส์อีกแล้ว...ตื่นเต้นจนไม้รู้จะตื่นเต้นยังไงแล้วเนี่ย ทริปในตำนาน เหมือนไม่ได้ซื้อตั๋ว เหมือนขอขึ้น นึกภาพตามนะคะ ณ. จุดๆนี้ (ลากเสียงยาว) เด็กวัยรุ่นทั้ง 4 คนพร้อมด้วยรูปร่างหน้าตาที่ออกไปทางดีมากสะพายกระเป๋าเป้และสัมภาระพะรุงพะรังเดินฝ่าช่องทางเดินบนรถไฟที่แคบถนัดไปด้วยผู้คนมากมาย เพื่อหาที่สักที่ให้สามารถหย่อนก้นลงนั่งได้หวังเพียง เพื่อช่วยบรรเทาความเมื่อยล้าจากการเดินทางมาหลายชั่วโมง และใชัเป็นที่หลับนอนในค่ำคืนนี้เดินตามกันตั้งแต่โบกี้ที่ 3 จนเกือบจะโบกี้สุดท้าย ผ่านมาโบกี้แล้วโบกี้เล่าก็ยังหาทีนั่งไม่ได้ อะไรจะคนเยอะเบอร์นั้น แล้วต้องกลับมานั่งระหว่างทางเชื่อมของโบกี้รถไฟ



สภาพคือบริเวณนี้เป็นอ่างล้างมือ



เพราะความจนมันบีบบังคับ ทำให้หลายคนบนรถไฟขบวนนี้ต้องดั้นด้นมาหางานทำไกลบ้าน



ไม่รู้จะสงสารใครก่อนดี ระหว่างตัวเองกับคุณตา และเพื่อนร่วมชะตากรรม



อะเมซิ่งกิงกาเบลมากค่ะ 7 ชั่วโมงต่อจากนี้ไปคือความท้าทายของชีวิตที่บรรยากาศราวกับสงครามโลกก็ไม่ปาน แล้วแบบไม่มีที่นั่งไงต้องนั่งและนอนบนทางเดิน ลุงป้าผู้ขายของต่างเดินกันให้ควัก แล้วมีบ่นให้ด้วยนะว่าเกะกะทางเดิน อ่าตลกไปอีก เป็นเรื่องตลกที่ขำไม่ออก คือไม่ต้องบ่นได้มั้ย นี่ก็ไม่รู้จะนั่งไหนแล้วครัช บนรถไฟขบวนนี้เราได้เจอกับสองพี่สาววิศวะด้วยนะ จะไปกาญเหมือนกันมาร่วมเผชิญกับชะตากรรมเดียวกัน



7 ชั่วโมงอันโหดร้าย เหมือนผ่านสมอรภูมิรบมาได้ เนื้อตัวนี่มีความเหนียว เหนียวแบบเชี่ยๆ ตีห้ากว่ารถไฟเข้าเทียบชานชลา สถานีหัวลำโพง แล้วมาขึ้นตุ๊กๆให้คุณลุงไปส่งที่สถานีธนบุรี ในราคาค่าโดยสารคนละ 50 บาท และนี่คือเรื่องประทับใจที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เมื่อเพื่อนชายทำตังค์หล่นแล้วคุณลุงตุ๊กๆ(คนร้อยเอ็ด)นำตังค์มาคืนให้ถึงจุดขายตั๋ว ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะ เก็บตังแล้วกลับรถออกไปเลยก็ได้ แต่นี่เป็นลุงไง ถึงตังค์จะไม่ได้มากมายอะไร แต่ก็นับถือใจคุณลุงจริงๆ(ขอบคุณมากนะคะ ที่ทำให้รู้ว่าคนดียังมีอยู่จริง)



หลังจากยื่นบัตรประชาชนรับตั๋วฟรีมาแล้วก็ไปอาบน้ำกันในตลาดรถไปซึ่งค่าบริการ คนละ 10 บาท ซื้อข้าวไปอีก 45 บาท กลับมานั่งกินรอรถไฟ



เริ่มสว่าง 7.50 น. รถไฟเราก็มา ถือว่าคนเยอะพอสมควร กับรถไฟขบวนนำเที่ยวที่ขับผ่านเส้นทางสายมรณะ เส้นทางรถไฟที่ได้ชื่อว่าเป็นเส้นทางที่สวยที่สุด และถูกรายล้อมไปด้วยแม่น้ำและภูเขา



วิวหลักล้าน


และแล้วเราก็ถึงสะพานข้ามแม่น้ำแคว แต่ไม่ได้ลงนะแค่ผ่าน นี่คือแลนด์มาคที่น่าตื่นตาตื่นใจอีกแห่งของเมืองกาญ



และถัดมา คือเส้นทางรถไฟสายมรณะ



เมื่อสุดสถานีต้องนั่งสองแถวคนละ 20 บาท เพื่อไปยังจุดรอรถบัส แหม่....ไอ้เราก็คิดว่าถึงสังขละบุรีแล้วที่ไหนได้ พระเจ้า!!! อีก 200 กิโลเมตร งื้ออออ นี่ไม่เรียกไกลธรรมดาแล้ว แต่แม่_โคตรไกล รอรถบัสนานได้อี๊กกกกก แต่พอเข้าไปซื้อข้าวกระเพราเซเว่นเท่านั้น อ้าว!!! รถมา กระเพรานี่อย่างเย็นดีเท่าไหร่แล้วที่ไม่จับตัวกันเป็นน้ำแข็ง (รสชาติสุนัขไม่รับประทานมาก แต่ จขกท. ก็ทาน ) กระโดดขึ้นอย่างไว ด้วยราคาค่ารถ 130 บาท



*******จอดพักรถที่ร้านอาหารเล็กๆ นี่ถือโอกาสชาร์จแบตโทรศัพท์เลย แม่ค้าคิดค่าชาร์จ 10 บาท บอกเลยว่ารถจอดนานมาก มาก และมากกกก พอไปต่อนี่มีแบบขึ้นเขาลงเขาบ้างประปราย เดินทาง 2 วัน 1 คืนเต็ม ถึงสักที สังขละบุรี ซ้อนท้ายพี่วินมอไซด์ ไปหาที่พัก ได้นี่เลย P Guest House Resort อันดับแรกลงขันกันคนละ 1,000 บาท 4 คน เช่ามอเตอร์ไซด์ 2 คัน คันละ 200 บาท มัดจำอีก 200 เปิดสองห้อง ห้องละ 300 บาท 2 คืน เป็นห้องพัดลม และห้องน้ำรวม จ่ายค่ามัดจำเพิ่มอีก 500 อันนี้บอกเลยว่าพี่เจ้าของรีสอร์ทใจดีมาก




ที่พักหลักร้อยวิวหลักล้านเห็นสะพานมอญในระยะสายตา คือมันใกล้มากกกก


วางกระเป๋าแล้วไม่มีการเปลี่ยนเสื้อผ้าใดๆทั้งนั้น เป้าหมายเราอยู่ที่น้ำ ใช่!!ได้เวลาเล่นน้ำกันแล้ว เช่าชูชีพตัวละ 20 บาท แต่พี่เจ้าของรีสอร์ทผู้ใจดี๊ดี จ่าย 120 บาท เอาไปเลยเรือสองลำ และชูชีพสำหรับ 4 คน แต่ต้องเอาเรือลงน้ำเองนะ แล้วเล่นเสร็จเก็บให้ด้วย ได้เลยค่ะไม่มีปัญหา


เมื่อมาถึงท่าน้ำแล้ว ไอ้เรือนี่หนักชิปเป๋งเลยนะคะลวกเพ่!! หลังจากช่วยกันลากเรือลงน้ำเสร็จนี่แบบหันมากระโดดน้ำต่อ เมื่อเล่นจนหนำใจก็ต้องปีนป่ายขึ้นเรือแล้วพายออกไปบนพื้นผิวของแม่น้ำซองกาเรียอันเวิ้งว้าง



อ่าาาาาาาาาา นี่พายยากเหมือนกันนะ มีเคว้งคว้างไปมา น้ำก็ลึกขนาดนี้ถ้าเรือพลิกคว่ำเนี่ย!! ไม่รอดแน่นอนเลยจ๊อชชชช



นั่นๆ สะพาน ก็สะพานไง ต้องพายไปให้ถึง โอ้วโน้ววววววว


ด้วยความลำบากและกลัวเรือคว่ำแต่ก็ดั้นด้นพายมาจนถึงใต้สะพานมอญ


เมื่อความมืดเข้าครอบงำจำใจต้องพายเรือกลับ เก็บเรือเสร็จสรรพ ขึ้นไปอาบน้ำแล้วออกไปหาข้าวกิน


อะแฮ่มม หมูจิ้มจุ่มหน้าเซเว่นสังขละบุรี ไม้ละ 1 บาท ต้องมาลอง นะจ๊ะ


น้ำจิ้มรสเด็ดล่อไป 100 ไม้ +ช้าง2ขวด +โค้ก+ฟูมูล+โรตี+ใส้กรอก7-11 +เมล็ดทานตะวัน +มะม่วง ต่อด้วยการแว้นชมบรรยากาศยามค่ำคืนของสะพานมอญ ไปนอนเอื่อยๆปล่อยเวลาหมุนไปเรื่อยๆก็สบายใจดีเหมือนกันนะ ตอนกลางคืนนี่ไม่ค่อยจะมีคนมากัน


กลับมาก็ดึก แวะเซเว่นต่อ ติดมือมาอีก 2 ขวด พร้อมกับครีมนวดและสบู่ ใช้ด้วยกัน 4 คน ถึงวันกลับนี่ยังไม่หมดเลย



Day 3



ก่อนจะออกไปเที่ยว ต้องนี่เลยพี่เจ้าของรีสอร์ทสุดแสนใจดีของเราคนเก่าเจ้าเดิม ให้แผนที่มาหนึ่งแผ่น แนะนำนู่นนี่นั่นเสร็จให้กินกล้วยคนละลูกเติมพลังก่อนออกไปผจญภัย

แว้นฟ้อสวยเฟี้ยวออกมาได้สักพักเจอด่าน!!! ด่านตรวจของคุณตำรวจ โอ้วตายแล้วคุณตำรวจเรียกหาหมวกกันน็อก บอกออกไปอย่างมั่นใจว่าเช่ารถมาแต่เขาไม่ได้ให้หมวกพวกหนูมานี่คะ คุณตำรวจถามว่าเช่าที่ไหนมา นี่ก็บอกออกไปอย่างเต็มเสียงP Guest House ค่าาาา ไหนลองเปิดใต้เบาะรถดิ เสียงคุณตำรวจบอก อ่าาาาารีบทำตามคำสั่งอย่างไวเนื่องจากถ้าโดนจับนี่ไม่มีตังค์กลับบ้านแน่นอน ผ่างงงงงงง เปิดเบาะรถออกมา เห้ยยยย!!! นี่มันหมวกกันน็อกนี่มาอยู่นี่ได้ไง แหะๆ ก็นู๋ไม่รู้ เมื่อใส่เสร็จเรียบร้อยคุณตำรวจก็ปล่อยไป แล้วมีบอกขอมองกล้องก่อนถ่ายรูปอีก เพอร์เฟคค่าาาา


แดดก็ร๊อนร้อน เป้าหมายแรกของวันนี้น้ำตกตะเคียนทอง


ไกลพอสมควร เมื่อเลี้ยวแล้วระหว่างทางไม่มีป้ายบอกใดๆทั้งสิ้น


ค่าเข้าคนละ 20 บาท + รถคันละ 20 ฿ =120 บาท ในนี้ไม่มีขนมหรือข้าวน้ำขายค่ะ


เมื่อเห็นป้าย เดินเท้าเข้าไปอีกประมาณ 500 เมตร เริ่มได้ยินเสียงน้ำละ


น้ำตกที่นี่ไม่เหมาะกับการเล่นน้ำนะ หินเยอะ ไม่มีที่ให้ว่ายน้ำเล่นได้



ฟึ๊ปฟั๊บหิวมากทนไม่ไหวแล้วววววว ว๊าปออกมาหาข้าวกิน เข้าไปแล้วร้านนึ่งปิดเฉยเลย สุดท้ายมาจบร้านนี้ กระแซะนิดๆ กับข้าวน้ำมันเยิ้มเยอะไปหน่อย

ข้าว 4 จาน 185 บาท + น้ำ 45บาท อิ่หนำสำราญเชิญไปต่อได้ที่ ด่านเจดีย์สามองค์


ที่นี่มีของปลอดภาษีขายกันเยอะแยะ สิ่งแรกที่ต้องซื้อนี่เลย แป้งทานาคา ที่คนแถบนี้เขาใช้กัน กลิ่นหอมมาก


มีร้านกาแฟร้านหนึ่ง กลิ่นกาแฟนี่โชยออกมาข้างนอกช่างหอมเย้ายวลใจจริงแท้ ปล.แต่ไม่ได้เข้า


ด้วยความที่มาถึงแล้วก็อยากข้ามไปประเทศเพื่อนบ้านบ้างอะไรบ้าง นี่เลยสามารถติดต่อคุณป้าที่ร้านตรงเราชื้อแป้งได้เลยจ้า 200 บาท พาเที่ยว 4 ที่ 300 บาท พาเที่ยว 6 ที่ ปาเงินออกจากกระเป๋ารัวๆค่ะ คนละ 200 บาท ได้พี่ชายขับรถมาคนนึง และน้องไกด์ผู้ชายอีกหนึ่งคน ก็เอาบัตรประชาชนให้เขาไปถ่ายเอกสารทำหนังสือผ่านแดนชั่วคราวหพร้อมกับเซ็นชื่อ + เบอร์โทรศัพท์ ทีนี้จบเลย สามารถนั่งรถชมเมืองพม่าได้สบายๆ ถ่ายรูปได้ แต่ห้ามติดทหารนะน้องบอก


จะบอกให้ว่าน้องไกด์ของเรานี่กวนโอ๊ยมาก ชี้ที่ลูกประคำเมื่อเข้ามาวัดเสาร้อยต้น (ที่หลวงพ่อเอาให้พร้อมกับทำบุญตามศรัทธา)แล้วถามน้องว่านี่คืออะไร น้องตอบว่าลูกประคำไง พี่ไม่รู้จักหรอ?? เอ่อไม่...คือพี่จะถามว่าที่นี่เขาเรียกว่าอะไร โถ่เอ้ย ชี้ที่ข้างล่างเป็นขั้นบันได ข้างบนมีหลังคามุง กะจะถามน้องว่ามันคืออะไร น้องตอบมาว่าหลังคาไงพี่ไม่รู้จักหรอ?? เอิ่มจ้าาาา ขอบคุณค่ะ


ออกมาจะมีน้องเด็กผู้ชายมาจัดเรียงรองเท้าไว้ให้ และให้สินน้ำใจน้องไปตามระเบียบ อ่าขึ้นรถแล้วไปกันต่อที่กำแพงพระ


เหยีบคันเร่งขึ้นไปอีก


น้องชาวพม่าร้อยดอกไม้ขาย


จากนั้นไปตลาดพม่า


ก็ไม่ได้แตกตากจากตลาดสดแถวชนบทของบ้านเราสักเท่าไหร่ สินค้าบางอย่างก็นำเข้าจากไทย


นี่คือที่แลกเงินในตลาด เล่นวางกันเป็นปึกๆ แบบนี้เลย


ก่อนกลับนี่ต้องแวะดิวตี้ฟรี มันคืออะไร? ร้านเหล้าปลอดภาษีนั่นเอง ยกกลับๆ และแล้วเราก็กลับถึงผืนแผ่นดินไทยอย่างปลอดภัย น้องไกด์นี่รู้ชื่อตอนอยู่ตลาด ชื่อน้องนัด อาจกวนโอ๊ยไปหน่อยแต่ข้อมูลน้องก็แน่นไม่เป็นลองใคร แวะไปทักทายนางได้ นางอยู่เต้นท์กลาง



ขากลับนี่ต้องมาสัมผัส แม่น้ำซองกาเรีย ห่วงยางมีให้เช่าค่ะ 10 บาท 20 บาท ตามขนาด

เมื่อตะวันลาลับได้เวลากลับเอารถไปคืน แต่ก่อนคืนต้องเติมน้ำมันให้เต็มถังเหมือนเดิมและกลับเข้ารีสอร์ทไปพักผ่อน


ร้านกาแฟหน้าทางเข้ารีสอร์ท


กินข้าวกินปลาเสร็จสรรพ ต้องมานั่งรวมหัวดื่มด่ำกับบรรยากาศยามค่ำคืนนอกระเบียงห้อง แสงไฟระยิบระยับมันช่างดีงาม


Day 4



เช้าของวันสุดท้าย วันนี้ตื่นเช้าพอสมควร(เพื่อนปลุก) รีบอาบน้ำแต่งตัวด้วยมีความมุ่งมั่นว่าจะไปตักบาตรและถ่ายรูปสะพานมอญตอนเช้าๆ พระอาทิตย์กำลังจะขึ้น สะพายกล้องแล้วโบกวินมอไซด์ไปอย่างดี ข้ามสะพานไปถึงฝั่งมอญแล้วด้วย แต่เซอร์ไพรส์ แบตกล้อง! แบตกล้องไปหนายยยยย อ่อ...ลืมไว้บนห้อง ไม่ส่งไม่ใส่ละ ได้ชุดชาวดอยตัวเดียวแล้วกลับ กลับไปแล้วคือไม่ล้มเลิกความตั้งใจนะคะ กลับไปเอาแบตกล้องแล้วเช็คเอาท์กลับมาที่สะพาญมอญใหม่ (ได้เงินมัดจำคืน 500 บาท) ตอนนี้ถึงจะไม่เห็นพระอาทิตย์ขึ้นก็เถอะ แต่ก็ยังจะถ่าย

จ๊ะ....


อารมณ์ส่งโปรสการ์ดให้ตัวเองก็มา...


ชาเขียว จากร้านหน้าสะพานมอญ เหมาะกับคนที่ไม่ชอบหวานมาก (แต่นู๋อยากกินหวานค่าาาาาา)


กินข้าวเสร็จก็บ๊ายบายกลับได้ ฝากลาพี่เจ้าของรีสอร์ทเสื้อขาว บรั๊ยยยย นะคะ


ซ้อนท้ายพี่วินมาคนละ 20 บาท มารอขึ้นรถตู้ที่คิวในตลาดถัดจากเซเว่นมา ค่ารถ 175 บาท


พอถึงตัวเมืองกาญก็เป็นอันว่าได้แยกกับเพื่อนอีก สองคน เพราะสองคนนั้นจะขึ้นรถทัวร์กลับ แต่ จขกท. กับเพื่อนอีกคนขึ้นรถไฟกลับเหมือนเดิม ให้คุณลุงสองแถวมาส่งที่สถานี จ่ายคุณลุงไปคนละ 50 บาท


และยังมีรถไฟรฟรีให้ขึ้นอีกเช่นเคย


เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก ถึงสถานีรถไฟธนบุรี ซื้อแป๊บซี่ดูดซะหน่อยนี่ร้อนมาก ถามทางป้าเจ้าของร้านซะเลย ว่ามีวิธีไหนไปหัวลำโพงได้บ้าง ป้าบอกใชึ้ขึ้นรถแดงไปลงหน้าโลตัส แล้วขึ้นรถเมล์สาย 40 ไปลงหัวลำโพง แล้วแกก็ย้ำว่าลงจากรถแดงหน้าโลตัสไม่ต้องข้ามนะ ระขึ้นสาย40เลย ตอนแรกกะจะไปตุ๊กๆที่จอดเข้าคิวแถวนั้นละ แค่โอ้ววววแพงหูฉี่ คนละ 150 บาท โอ้วตายๆไม่ไหวๆ อ่ารถแดงมาแล้วขึ้นรถแดงนี่และถูกดี คนละ 7 บาท พอรถจอดหน้าโลตัสปุ๊บรีบวิ่งขึ้นเมล์สาย 40 ทันที แต่ป้ากระเป๋ารถบอกหนูต้องข้ามไปขึ้นอีกทางเพราะถ้าขึ้นทางนี้มันเสียเวลาและได้อ้อมไกลมาก อ่อขอบคุณค่ะหนูนี่กระโดดลงรถแทบไม่ทัน(ก็ป้าร้านขายแป๊บซี่บอกไม่ต้องข้ามนี่เนอะ) ข้ามก็ข้ามมาแล้วขึ้นถูกสักทีนะทีนี้ ค่ารถคนละ15 บาท พอมาถึงหัวลำโพงนี่ก็ประหยัดไปอี๊กกกก รถไฟฟรีมั้ยล่าาา


จองตั๋วเสร็จสรรพเดินเข้า KFC อย่างไว ที่ดึงดูดใจต้องหนีไม่พ้นแอร์ กินเสร็จเดินออกมา คุณลุงคนนึงเดินเล่นโทรศัพท์แล้วมาชนเพื่อน จขกท. แล้วยังมีหน้ามาด่าเพื่อนนู๋อีก คืออะไรคะ อายุอานามก็มากแล้วนะ โถ่วววว แล้วนี่แบตก็หมดอีก เอิ่ม... ทำไงดีๆ


นี่เลยขอชาร์จกับคุณน้าขายตั๋วฝั่งของตั๋วคนพิการ ให้ชาร์จได้ 20 นาที ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ หลังจากเกิดเหตุการณ์มนุษย์ลุงเดินมาชนเพื่อนสาว นางก็ไม่ไว้ใจใครอีกเลยถึงขนาดถือไว้กับมือตลอดระยะเวลาที่ชาร์จ


จะกลับแล้วยังมีเรื่องเซอร์ไพรส์ ให้ขี้เกียจตกใจเล่น ป้ายสีแดงคือโบกี้ที่ชำรุจ และนั่นคือโบกี้ ที่เราต้องนั่ง อ่าน่ารักจังเล๊ย ก็ต้องรอเจ้าหน้าที่ไปเปลี่ยนโบกี้ใหม่มาอีก


รอและรอ นานพอสมควรถึงเสร็จและรถไฟเข้ามาจอดที่เดิม เอ้า!!! ขึ้นได้ แล้วกลับบ้านอย่างปลอดภัย



สรุปทริป

เราว่าทุกๆการเดินทางต่างก็มีเรื่องราวให้จดจำกันทั้งนั้น ในความแย่ก็มีความดีปะปนอยู่ ทุกอย่างต่างมีสองด้านอยู่ที่เราจะเลือกมองด้านไหน ทริปนี้ถ้าตัดความลำบากในการอดหลับอดนอนบนรถไฟออกไป เราว่ามันมีแต่ประสบการณ์ใหม่ๆ และความสนุกนะ ผู้คนที่ได้พบเจอทำให้เราได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างดี



สรุปค่าใช้จ่าย



Day 1

ค่ารถนครพนม-กาฬสินธุ์ 167 บาท

ข้าว+น้ำ 30 บาท

รถไฟขอนแก่น-โคราช ฟรี!!!! 0 บาท

รถไฟนครราชสีมา- หัวลำโพง 100 บาท

หมี่เหลืองต้มยำ 35 บาท

ชูชิ 27 บาท

Spy 30 บาท

น้ำ 14 บาท


Day 2

ตุ๊กๆ 50 บาท

อาบน้ำ 10 บาท

ข้าว+น้ำ 45 บาท

รถไฟธนบุรี-กาญจนบุรี ฟรี!!!! 0 บาท

สองแถว 20 บาท

ข้าวกระเพรา7-11 35 บาท

รสบัสไปสังขละบุรี 130 บาท

มอไซด์ไปที่พัก 20 บาท

***ลงขันเป็นเงินกองกลางคนละ 1000 บาท จบทริปได้ตังคืนคนละ 195 บาท = 805 บาท



Day 3

สตรอเบอรี่ปั่น 45 บาท

แป้งพม่า 50 บาท

ลีโอ 20 บาท

เบียร์พม่า 20 บาท

แป๊ปซี่พม่า 10 บาท

เบียร์ Hoegaarden พม่า 60

ค่าข้ามไปประเทศพม่าจ่ายครึ่งๆกับเงินกองกลาง 100 บาท

ทำบุญวัดเสาร้อยต้น 20 บาท

ทริปน้องจัดรองเท้า 10 บาท

มะปรางคลุกพริกเกลือที่ตลาดพม่า 20 บาท



Day 4

ค่ามอไซด์ไปสะพานมอญ 15 บาท

ชุดชาวดอย 220 บาท

ส่งโปรสการ์ด 25 บาท

ชาเขียว 45 บาท

ข้าวผัดหัวสะพานมอญ 30 บาท

มอไซด์ไปคิวรถตู้ 20 บาท

ค่ารถตู้ 175 บาท

สองแถวไปสถานีรถไปขากลับ 50 บาท

รถไฟกาญจนบุรี-ธนบุรี ฟรี!!!! 0 บาท

รถแดงไปลงหน้าโลตัส 7 บาท

รถเมล์ไปหัวลำโพง 15 บาท

รถไฟหัวลำโพง-ขอนแก่น ฟรี!!!! 0 บาท

Kfc 101 บาท



***** เงินจากกองกลาง*****

-เงินส่วนนี้จ่ายค่าข้าว เครื่องดื่ม น้ำมันรถมอไซด์ ค่าที่พัก ค่าเช่ามอไซด์ ค่าเข้าน้ำตก ค่าข้ามไปพม่า และอื่นๆ ซึ่งคิดรวมในคนละ 805 บาท ในเบื้องต้นแล้ว



Note

- รวมเป็นเงินที่ใช้ในทริปทั้งสิน 2,531 บาท



Nom Pracharot

 วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 เวลา 20.16 น.

ความคิดเห็น