"ครั้งหนึ่งในชีวิต เราคือผู้พิชิตภูกระดึง" ทุกครั้งที่อ่านเจอหรือเห็นป้ายนี้มันยิ่งทำให้เราสองคนอยากไปที่นั่นมาก เพราะเคยคุยกันไว้ว่าเราต้องไปให้ได้สักครั้ง เริ่มหาข้อมูลความอยากยิ่งทวีคูณขึ้นไปเรื่อยๆ โทรไปบอกแฟน ไปภูกระดึงกันไหม เธอตอบ ไป!! เราเลยจัดการจองตั๋วรถทัวร์เป็นอันดับแรก ครั้งนี้เราจองเป็น VIP ของซันบัส กรุงเทพฯ-เลย แต่เราลงที่จุดจอดรถผานกเค้า ราคาที่นั่งละ 582 บ. เราจองไป-กลับ 2 คน อยู่ที่ 2408 บ. จองล่วงหน้าไว้ 3 เดือน จากนั้นก็จองเต็นท์จากเว็บของสำนักอุทยานแห่งชาติ อันนี้ครับ http://nps.dnp.go.th//reservation.php?option=tent เราจองเต็นท์ คืนละ 225 บ. 2 คืน 450 บ. แล้วไปชำระค่าจองที่ ธ.กรุงไทย เก็บใบเสร็จไว้ไปยื่นกับอุทยานฯ ในวันที่เข้าพัก ในระหว่าง 3 เดือนนี้ก็ออกกำลังกายโดยการวิ่ง เพราะจากที่ศึกษาหาข้อมูลดูแล้ว เข้าใจว่าร่างกายเราต้องฟิตพอสมควร ระยะทางในการเดินนั้นค่อนข้างไกล ฟิตไว้ก่อนอาจจะได้เปรียบ ฮ่าๆๆ พร้อมแล้ว ไปกันเล้ยยย...


25 ม.ค. 60 หลังเลิกงาน เราก็กลับไปที่ห้องกันก่อน กลับไปเอาเป้กันคนละใบแบกไปสนามบินนานาชาติหมอชิต เพื่อขึ้นรถที่นั่น รถออก 22.00 น. แต่เอาเข้าจริงเลทไป 16 นาที ไม่เป็นไรให้อภัยได้นิดหน่อย ตอนแรกก็เดาๆว่ามันจะออกมาเป็นยังไงเนอะซันบัส ไม่เคยใช่บริการสักครั้ง ครั้งนี้ครั้งแรกเลย ขึ้นรถปุ๊บ โอ้โห.. กว้าง นั่งสบาย เราให้ผ่าน!!! จากนั้นก็นอนยาวจนถึงผานกเค้า


26 ม.ค. 60 ลงจากรถ 05.30 น. ก็เดินข้มถนนมาร้านเจ๊กิม ซึ่งเป็นร้านขายอาหารและของที่ระลึก มีห้องน้ำให้ทำธุระส่วนตัวกันตามอัธยาศัย จากนั้นก็ไปขึ้นรถแดง เป็นรถสองแถวที่รับส่งนักท่องเที่ยวจากผานกเค้าไปอุทยานแห่งชาติภูกระดึง รถจะจอดด้านหน้าอุทยานฯ เราต้องเดินไปติดต่อเจ้าหน้าที่แจ้งเรื่องที่พักและจำนวนคนที่ขึ้นไปก่อน เสร็จเรียบร้อยแล้วเดินไปทางด้านหลังจะเป็นทางขึ้นภู ใครที่จะใช้บริการพี่ลูกหาบ หาบของขึ้นไปให้ ต้องไปติดต่อตรงก่อนทางขึ้น จะมีคล้ายๆศาลา พี่ๆเขาก็จะชั่งน้ำหนักและคิดราคา กก.ละ 30 บ. ส่วนเราสองคนต้องการวัดใจ แบกเป้ขึ้นไปกันเองคนละ 9 กก.(ฟังดูเทพเนอะ) พร้อม……ลุย!!! (ดูฟิตมาก)


เดินไปได้สักหน่อยจะมีผู้ช่วยผู้พิชิต(ไม้เท้า)วางเรียงรายให้เลือกขนาดให้เหมาะมือได้ตามใจชอบเลย เลือกอันเบาๆนะ เดี๋ยวมันจะกลายเป็นภาระไป 555+ ขึ้นไปสักพักจากที่คิดมาตั้งแต่กรุงเทพฯว่า เห็นแต่คนที่ไปมาบ่นว่ามันเหนื่อยนะ เราก็คิดว่า จะสักแค่ไหน เราก็อยากลอง พอ 500 ม. แรกแค่นั้นแหละ ลิ้นห้อยกันละ 555555555 เป็นไงล่ะพ่อหนุ่ม แทบคลาน

ระหว่างทางก็แหงนมองท้องฟ้า สูดหายใจลึกๆ

ผ่านมา 1 กม. แรก ซำแฮก!!! นั่งหอบแฮกๆกันเลยทีเดียว 555+

ระหว่างทางเราเจอพี่ลูกหาบที่เห็นผู้หญิง สุดยอดจริงๆ ยอมใจเลย

ทางขึ้นเริ่มจะมีหลายรูปแบบไปเรื่อยๆ

ระหว่างทางก็แวะถ่ายรูปเล่นกันไป เจอใบเมเปิ้ลแดงตกอยู่กลางทาง หายเหนื่อยก็ไปต่อ

แต่ละซำจะมีร้านค้าขายอาหาร น้ำ และที่เป็นไฮไลท์คือแตงโม เราสองคนได้ไปคนละชิ้น สดชื่นขึ้นมาเลยทีเดียว

ถึงตรงนี้แล้วรู้สึกว่าทางเริ่มยากขึ้นไปอีกละ เอ้า!! สู้โว้ย

ระหว่างช่วงใกล้จะถึงหลังแป เวลาเจอเพื่อนๆพี่ๆน้องๆที่เดินสวนลงมา เกือบทุกคนจะให้กำลังใจคนที่เดินสวนทางขึ้นไป ณ ตอนนั้นรู้สึกว่าที่แห่งนี้มิตรภาพช่างสวยงามจริงๆ ทุกคนเหมือนจะรู้จักกันมาก่อนยังไงอย่างงั้น เราเจอพี่ผู้ชายคนนึงมากับแฟน พี่สองคนนี้ทักเราเป็นกลุ่มแรกๆเลย รู้สึกดี^^ ถึงแล้วหลังแป ผ่านมา 5.5 กม. เราใช้เวลากันไป 3 ชม.!!

จากนี้ต้องเดินทางพื้นราบไป จุดกางเต็นท์ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวางอีก 3.5 กม.

ถึงแล้วจุดกางเต็นท์ จากนั้นเราก็ต้องไปติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อเช่าเครื่องนอน ราคาเครื่องนอน ดังนี้

หมอน 10 บ./คืน/คน

แผนรองนอน 20 บ./คืน/คน

ถุงนอน 30 บ./คืน/คน

ผ้าห่ม 30 บ./คืน/คน

ผ้าห่มใหญ่(โตโต้) 50 บ./คืน/คน

เราเลือกเช่าเฉพาะ หมอน แผ่นรองนอนและผ้าห่มใหญ่มา ส่วนเต็นท์นั้น ยื่นใบยืนยันการชำระเงินให้กับเจ้าหน้าที่ เขาจะให้เราเลือกเอาเลยตามใจชอบ เราเลือกเต็นท์ที่ไม่ไกลจากห้องน้ำมาก เพราะจะได้สะดวกในการจะไปทำธุระส่วนตัว เดินเลือกอยู่สักพัก มาเจอน้องกวาง เจ้าถิ่นของที่นี่

จัดที่นอนในเต็นท์กันเสร็จแล้ว เริ่มหิว เดินไปกินข้าวกันที่ร้านอาหาร เหมือนเดิมครับเมนูสิ้นคิด กระเพราหมูสับ ราคาอาหารบนนี่ก็สมน้ำสมเนื้อครับ ตามสั่งจานละ 60 บ. ที่ร้านอาหารเกือบทุกร้านจะให้บริการชาร์จแบตฟรีนะครับ เราสามารถขอพี่เขาชาร์จได้เลย อ่อ จะบอกว่าที่นี่มีหมูกระทะด้วยนะครับ ขายเป็นชุด ชุดละ 500 บ. หอมมาก!! แต่สั่งตามสั่งไปแล้วกะว่าจะมากินพรุ่งนี้ ฮ่าๆๆ กินเสร็จก็กลับไปนอนเอาแรงกันสักพัก เพราะเดี๋ยวจะต้องเดินไปดูพระอาทิตย์ที่ผาหมากดูกกันต่ออีก 2.2 กม. (เดินอีกแล้วววว) ประมาณสัก 16.00 น. เราก็สะพายกล้องกับของที่จำเป็นออกจากเต็นท์เดินหาทางที่จะไปผาหมากดูก ตอนนี้ฮามาก มี 2 คนยังหาทางไปผาหมากดูกไม่เจอ ขนาดปริ้นท์แผนที่ไปด้วย ยังหาไม่เจอ 55555 เหลือบไปเห็นน้องๆกลุ่มนึงเดินกันไปที่กลางลานกางเต็นท์ เดินตามซิครับงานนี้ พี่ไม่รู้ทาง พี่ขอไปด้วย 55555 ตามกลุ่มน้องๆไปสักพักนึงเราก็เจอต้นเมเปิ้ลครับ

ระหว่างทางไปผาหมากดูกจะเป็นป่าสนทั้ง 2 ข้างทาง เดินผ่านแล้วได้อารมณ์ประมาณอยู่เกาหลี 55555

ใช้เวลาประมาณ 40 นาที ก็ถึงผาหมากดูก รอดูพระอาทิตย์ตก ช่วงเวลานี้เหมือนได้พักไปในตัว นั่งคุยกันว่าพรุ่งนี้เราจะเอายังไง ไปไหนก่อนดี เพราะตอนแรกจากที่คิดมาเราจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น แล้วตอนเย็นจะไปดูพระอาทิตย์ตกที่ผาหล่มสัก คุยกันแล้วได้ข้อสรุปว่าเราจะไม่รอดูพระอาทิตย์ตกที่ผาหล่มสักละ เพราะไม่อยากเดินกลับมาตอนมืดๆ กลัว 555 วางแผนการเดินกันไปสักพักพระอาทิตย์ก็เริ่มคล้อยต่ำลงมาตรงขอบฟ้า

เรานั่งมองจนมันลับตาไปจากนั้นก็กลับไปจุดกางเต็นท์ อาบน้ำกินข้าว อัพรูปในเฟซ แล้วก็นอนเลยกะว่าพรุ่งนี้จะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น กลางคืนหนาวมาก ผ้าห่มโตโต้ที่เราเช่ากันมาช่วยได้น้อยมาก หนาวจนนอนไม่ค่อยหลับ รู้สึกตัวตลอดคืน


27 ม.ค. 60 รู้สึกตัวตอนนาฬิกาปลุกตี 4 ครึ่ง ตื่นนะ แต่ตื่นมาคุยกันว่า ไปพรุ่งนี้เอาเนอะ วันนี้ไม่ไหว 5555 เช้ามายิ่งหนาวมากกว่าเมื่อคืนอีก คราวนี้ก็ผิดแผนสิครับ ผานกแอ่นเป็นอันล้มเลิกไป จากนั้นก็สลบกันยาวยัน 9 โมง ถึงจะตื่นไปอาบน้ำแปรงฟัน แล้วไปกินข้าว วางแผนกันใหม่อีกสุดท้ายตกลงกันว่าเป้าหมายคือผาหล่มสักอันดับแรก ระหว่างทางเจออะไรค่อยแวะ จากนั้นก็...ลุย!!!

สถานที่แรกที่เราเจอระหว่างทางคือโซนน้ำตกครับ เอาที่พวกเราผ่านจะมีน้ำตกเพ็ญพบใหม่ น้ำตกโผนพบ และน้ำตกเพ็ญพบ เจอพี่ผู้ชายที่มากับแฟนอีกแล้ว เราทักทายกันนิดหน่อยแล้วก็ขอตัวเดินไปต่อ


จากนั้นเราเดินตัดขึ้นมาที่ทางแยกที่จะไปพระพุทธเมตตา ทางเดินเส้นนี้ต้นสน 2 ข้างทางสวยมากและต้นไม้ดอกไม้แปลกๆที่เราไม่เคยเห็นเยอะเลย


ไหว้พระกันเสร็จก็ออกเดินทางกันต่อ เหนื่อยก็พักบ้างไรบ้าง(พักหรือแวะถ่ายรูป)

เดินมาได้สักพักก็แวะกันที่น้ำตกถ้ำใหญ่ ว้าววว..ที่นี่มีใบเมเปิ้ลแดงให้เก็บภาพกันด้วย

เดินมาเรื่อยๆ ผ่านสระอโนดาต ใจนี่อยากลงเล่นน้ำมาก ได้แค่เอามือจุ่ม น้ำเย็นมากกก

สักพักเริ่มหิว แกะห่อข้าวที่ห่อมาจากที่พักกินกันกลางทาง ตรงนี้ต้องบอกนิดนึงนะครับว่าระหว่างทางไปผาหล่มสักเส้นทางที่พวกเราไปนี้ไม่มีร้านค้านะครับ ต้องห่อข้าวจากที่พักจุดกางเต็นท์ไปเอง เราได้ข้าวเหนียวหมู่ทอดกันคนละชุด อิ่มแล้วก็ไปกันต่อ ตอนนี้เริ่มคิดละ ทำไมมันไกลจังอ่ะ 555 เดินกันยาวๆ เส้นทางเป็นทรายบ้างดินบ้าง ช่วงที่เป็นทราย เม็ดทรายจะขาวละเอียดมากเหมือนเราเดินอยู่ริมชายหาดที่ไหนสักที่ มาที่นี่คุ้มเลยครับ ทั้งเกาหลี ทั้งทะเล 55555 เดินจนเพลิน เงยหน้าไปเห็นเป็นเพิงพัก เห้ย!! ถึงแล้วหรอ นั่น ทำเป็นชิล ถามว่าถึงละหรอ เดินมาขาแทบพังยังมาปากดีกันอีกนะเรา แวะซื้อน้ำก่อนเลยอันดับแรก ขอน้ำแข็งเย็นๆให้ชื่นใจ แล้วไปจัดกาแฟกับบราวนี่ที่ร้านกาแฟชมพู่มะเหมี่ยวกันต่อ ร้านนี้จะว่าเป็นอีกหนึ่งซิกเนเจอร์ขอที่นี่เลยก็ว่าได้นะครับ ส่วนใหญ่คนที่มาที่ผาหล่มสักก็จะแวะกันร้านนี้ พี่เจ้าของร้านใจดี เป็นกันเองมากครับ

หายเหนื่อยแล้ว เราก็เดินไปที่หน้า ไปถ่ายรูปกันตรงมุมมหาชนผาหล่มสัก คุยกันเปลี่ยนกันถ่ายนะ ได้รูปตัวเองเสร็จแค่นั้นแหละ อยู่ดีๆนางแบบผมก็กลัวความสูงขึ้นมากระทันหัน ไม่กล้าไปถ่ายให้ผม โถ่...เธอ เรามากันไกลขนาดไหนเนี่ย จะไม่ให้ฉันมีรูปเลยหรอ คุยไปสักพักก็ยอมถ่ายให้ แต่มีข้อแม้ให้ใช้ขาตั้งกล้องนะ และเขาจะกดชัตเตอร์เท่านั้น ไม่กล้าลงไปตรงหินที่เห็นมุมหน้าผา ตรงนี้ขอบอกไว้นิดนึงนะครับว่าเราไม่ได้ตั้งขาตั้งกล้องนาน เพราะเกรงใจเพื่อนๆที่เขาก็อยากจะถ่ายที่มุมนี้เหมือนกัน เคยเห็นบางคนในเพจๆนึง ตั้งไว้จนคนอื่นเข้าไปถ่ายไม่ได้ จริงๆแล้วทุกคนก็อยากจะมีรูปที่ประทับใจกับสถานที่นั้นๆ ใจเขาใจเราครับ แบ่งๆกันถ่าย มีน้ำใจให้คนอื่น เที่ยวแบบมิตรภาพกันดีกว่านะครับ

ได้รูปที่ต้องการแล้ว กลับละครับ อย่างที่บอกเราไม่รอพระอาทิตย์ตกที่นี่ กลัวมืด เดินกลับอีกทางนึง เป็นทางเลียบหน้าผาครับ ดูในแผนที่แล้วจะผ่านผาแดง ผาเหยียบเมฆ ผานาน้อย ผาจำศีลและผาหมากดูก แล้วเลี้ยวซ้ายไปจุดกางเต็นท์ ระยะทาง 9 กม. จุดที่ชอบที่สุดคือ ผาเหยียบเมฆ เดินจนมามืดตรงผาหมากดูกเหมือนกับวันแรกที่เรามา ตรงนี้เริ่มมีเพื่อนเดินกลับ หลังจากที่เดินกันสองคนมานาน 555

ถึงเต็นท์ก็ปาไปทุ่มกว่า รีบไปอาบน้ำ น้ำเย็นมาก ยังกะน้ำแข็ง อาบไปชาไปเหมือนจะไม่รู้สึกตัว 555 เสร็จแล้วไปกินหมูกระทะตามที่ตั้งใจไว้ ชุดนึงกิน 2 คนไม่หมด ได้เยอะมาก อิ่มแล้วง่วงทีนี้ แทบหลับคากะทะ วันนี้ไม่ไหวจริงๆ เดินไปเช่าถุงนอนมาเพิ่มอีกคนละถุง เอาผ้าห่มยัดใส่ในถุงนอนซุกตัวนอนในนั้น คืนนี้หลับสนิท หมดเรี่ยวหมดแรงกันไปเยอะ


28 ม.ค. 60 ตื่นขึ้นมาตี 4 ครึ่งเหมือนเมือวาน ใจก็ขี้เกียจนะ แต่มาแล้วอ่ะ มันต้องไปดิ รีบไปทำธุระส่วนตัวกันเสร็จแล้วเดินไปที่ศูนย์อำนวยการ ตรงนั้นจะเป็นจุดรวมพล จะมีเจ้าหน้าที่นำขบวนเดินไปผานกแอ่น เพราะช่วงเวลาที่เราออกเดินกันไปยังเป็นช่วงเวลที่สัว์ป่ายังออกหากินอยู่ รวมถึงช้างด้วย จึงจำเป็นต้องเจ้าหน้าที่ไปด้วย เจ้าหน้าที่เขาจะประกาศตั้งแต่เมื่อคืนก่อนวันไปครับว่าจะต้องไปรวมตัวกันที่ศูนย์อำนวยการ ห้ามไปกันเองเด็ดขาด อันตรายครับ จากจุดกางเต็นท์ไปผานกแอ่นระยะทางประมาณ 2 กม. เดินฝ่าลมหนาวกับความมืดกันไปไม่นานก็ถึงผานกแอ่น เลือกสถานที่ถ่ายรูปกันได้ตามใจชอบเลยครับ รอเวลาพระอาทิตย์โผล่ขึ้นมาจากขอบฟ้า ช่วงเวลานี้สวยมากครับ แสงสว่างค่อยๆทอแสงออกมาจากขอบฟ้าจนเห็นพระอาทิตย์โผล่พ้นมาเต็มดวง


ฟ้าสว่าง ตลาดก็วายครับ คนเริ่มทะยอยเดินกลับที่พักกันแล้วรวมถึงเราสองคนด้วย กลับมาถึงเต็นท์เจอเจ้าเก่าครับมาเฝ้าเต็นท์ให้หรือยังไงก็ไม่รู้ แอคชั่นให้ถ่ายรูปด้วย ง้อววว

ถึงเต็นท์ก็เก็บข้าวเก็บของ เอาชุดเครื่องนอนไปคืนตามจุดที่เราไปเช่า แวะกินข้าวให้มีแรง แล้วก็ถึงเวลาที่เราต้องลาภูกระดึงกันแล้ว ระยะทางก็เท่าเดิมครับ 9 กม. เอง(หรออ) เดินมาถึงหลังแปถ่ายรูปกับป้ายไว้สักนิดนึงเพื่อให้รู้ว่าเราสองคนพิชิตมาแล้ววว (จะกลับละ โม้ได้ 55555)

เราใช้เวลาลงกันประมาณ 5 ชม. โดยระหว่างทางลงนี่แวะพักบ่อยมากกว่าตอนขึ้นเสียอีก เพราะตอนลงเราหมดแรงจากการเดินมา 2 วันเต็มแล้ว เรี่ยวแรงมันก็ไม่เหมือนเดิมประกอบกับต้องใช้แรงขาค้ำยันตอนลงเยอะกว่าตอนขึ้น สำหรับเรา เราคิดว่าตอนลงเหนื่อยกว่าตอนขึ้น 2 เท่านะ สภาพก็.....อย่างที่เห็นครับ ลงมาก็เห็นซุ้มผู้ช่วยผู้พิชิตที่ทางเจ้าหน้าที่เขาน่าจะทำใหม่ ตอนขึ้นไปยังไม่มีเลย

ในอุทยานฯมีห้องน้ำและห้องอาบน้ำไว้คอยบริการนักท่องเที่ยวด้วยนะครับ เราสองคนอาบน้ำกันที่นี่ก่อน แล้วค่อยไปขึ้นรถแดงที่เดิมตรงที่มาส่งเราตอนขามา กลับไปผานกเค้าแล้วรอซันบัสเที่ยวเวลา 19.30 น. ออกจากเลย มาถึงผานกเค้าก็ประมาณ 20.20 น. กลับกรุงเทพฯโดยสวัสดิภาพ

จากการเดินทางครั้งนี้เราได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างเลย เช่น ร่างกายคนเราควรจะออกกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเตรียมพร้อมกับทุกสถานการณ์ในชีวิต มิตรภาพอันสวยงามจากคนที่เราไม่รู้จัก ที่ให้กำลังกันตลอดระหว่างทางขึ้นและลง เห็นวิถีชีวิตของชาวบ้านที่รับจ้างหาบของขึ้นไปบนภู งานของพวกเขาหนักกว่าเรามาก เขายังไหว เราก็ต้องไหวกับงานที่เราทำอยู่ สถานการณ์บางอย่างไม่ได้เป็นดั่งใจเราเสมอไปหรอก เราก็ต้องรู้จักปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์นั้นๆ ความสุขของคนเราไม่จำเป็นต้องใช้เงินมากก็มีความสุขได้ การออกเดินทางคือความสุขของเราสองคนอย่างแท้จริง สุดท้ายนี้ หวังว่าการเดินทางครั้งนี้ของพวกเราคงจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ ไม่มากก็น้อยนะครับ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านครับ สวัสดีครับ.

Panu Mongkonputtipak

 วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 เวลา 09.28 น.

ความคิดเห็น