.
.
ทริปนี้ได้มีโอกาสตามคณะไปเที่ยวที่เขาค้อ ภูลมโลมาครับ ถ้าถามผมว่ามาเขาค้อกี่ครั้งแล้ว ขอบอกเลยว่ากางนิ้วมือขึ้นมาทั้ง 2 ข้าง นิ้วมือไม่พอนับครับ ประทับใจอะไรเขาค้อนะเหรอ ขอตอบว่า ที่เขาค้อ อากาศดี บรรยากาศดี และเป็นจุดชมทะเลหมอกที่อยู่ใกล้บ้านผม (ลพบุรี) ที่สุด ส่วนที่ภูลมโลนั้น ผมยังไม่เคยไปเลย แต่ได้ยินชื่อมานานแล้วกับสถานที่แห่งนี้ ภูลมโล
ผมขอเท้าความประวัติความเป็นมาของ “เขาค้อ" สักเล็กน้อยนะครับ เดิมทีเขาค้อเป็นดินแดนแห่งคอมมิวนิสต์ เป็นพื้นที่สีแดงที่เต็มไปด้วยการสู้รบจากผู้ที่มีแนวคิดทางการเมืองที่แตกต่างกัน ย้อนหลังไปในช่วงปี 2511-2525 เขาค้อถือเป็นดินแดนที่อันตรายสุดๆ คนทั่วไปไม่ควรเฉียดกายเข้าไปใกล้แม้แต่น้อย แต่เมื่อความขัดแย้งได้ยุติลง เขาค้อได้เปลี่ยนจากสนามรบเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจเป็นอันดับต้นๆ ของเพชรบูรณ์เลยครับ
ผมออกเดินทางจากลพบุรีช่วงสายๆ ไปถึงเพชรบูรณ์ก็ช่วงบ่ายแล้วครับ หลังจากตุนเสบียงใส่ท้องเรียบร้อยแล้วก็มุ่งหน้าสู่ อ.เขาค้อ คณะใช้เส้นทางบ้านแคมป์สนครับ
ก่อนจะเข้าแคมป์สน แวะไหว้พระเพื่อเป็นสิริมงคลกันที่วัดพระธาตุผาซ่อนแก้วครับ
ผมเคยมาวัดแห่งนี้ตั้งแต่ที่เริ่มสร้างองค์เจดีย์พระธาตุผาซ่อนแก้วเลยก็ว่าได้ และทุกครั้งที่มาเขาค้อ ก็ไม่พลาดที่จะมาชมความงดงามของเจดีย์แห่งนี้ ได้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงทุกๆ ครั้งที่ได้มาสัมผัสครับ
พื้นที่ตั้งของผาซ่อนแก้ว โอบล้อมไปด้วยทิวเขาสลับซับซ้อนและมีถ้ำอยู่บนปลายยอดเขา มีชาวบ้านได้เห็นลูกแก้วลอยเหนือฟากฟ้าแล้วหายเข้าไปในถ้ำบนยอดผา ชาวบ้านแถวนั้นเชื่อว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุเสด็จมา เลยเรียกตามๆ กันว่า “ผาซ่อนแก้ว"
เจดีย์พระธาตุผาซ่อนแก้วสิริราชย์ธรรมนฤมิต ออกแบบให้เลียนแบบดอกบัวที่ซ้อนกัน 7 ชั้น เพื่อถวายแด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ส่วนยอดเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุครับ
เจดีย์พระธาตุผาซ่อนแก้ว ถูกออกแบบได้อย่างสวยงาม มีการนำกระเบื้องสีจากถ้วยโถโอชามเครื่องเบญจรงค์ ลูกปัด แก้วแหวนเงินทอง รวมถึงสิ่งมีค่าต่างๆเข้ามาประดับประดาตกแต่งองค์พระเจดีย์ ทำให้เกิดความสวยงามวิจิตรบรรจงเป็นอย่างมาก จน ททท.ได้จัดให้ที่นี่ติด 1 ใน 10 Dream Destination กาลครั้งหนึ่ง..ต้องไป ครับ
เมื่อหันหลังให้เจดีย์พระธาตุผาซ่อนแก้ว ด้านซ้ายมือจะมองเห็นอาคารสัจปารมี กุฏิที่พักเรือนไทยและหอฉัน ส่วนขวามือจะมองเห็นพระพุทธเจ้าห้าองค์ ปัจจุบันได้ดำเนินการก่อสร้างคืนหน้าไปได้เยอะแล้วครับ
ฐานของพระพุทธเจ้า 5 องค์ จะเป็นพระมหาอุโบสถ โดยชั้นที่ 1 และ 2 จะจัดให้เป็นที่พักของผู้เข้าร่วมปฏิบัติธรรม และในส่วนบริเวณอื่นใช้เป็นที่ประกอบศาสนกิจ สวดมนต์ ฟังธรรม และปฏิบัติธรรมครับ
สำหรับผู้ที่จะมาเยี่ยมชมที่วัดแห่งนี้ ควรแต่งกายให้สุภาพเรียบร้อย ควรถ่ายรูปในกิริยาที่เหมาะสม รักษาความสงบ ไม่ส่งเสียงดัง ไม่ควรเดินเข้าไปในพื้นที่ของผู้ปฏิบัติธรรม ช่วยกันรักษาความสะอาด ไม่นำสัตว์เลี้ยงเข้าไปในวัด และที่สำคัญเลย ดูแต่ตา มืออย่าต้อง ถ้าทุกคนสัมผัสกับกระเบื้องที่ใช้ตกแต่งองค์พระธาตุ อาจทำให้วัสดุที่ตกแต่งหลุด เกิดความเสียหายได้ครับ
จากนั้นมุ่งหน้าสู่ อ.เขาค้อ จุดหมายแรกของผมในเขาค้อคือ พระบรมธาตุเจดีย์กาญจนาภิเษกครับ
เจดีย์สีขาว สูงเด่นตั้งตระหง่านอยู่ริมถนน คือพระบรมธาตุเจดีย์กาญจนาภิเษก เป็นสถาปัตยกรรมผสมผสานทั้งแบบสุโขทัย อยุธยา และรัตนโกสินทร์ ยอดเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พระอัฐิธาตุของพระพุทธเจ้าที่อัญเชิญมาจากศรีลังกา ภายในเจดีย์เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์มากมายครับ ใครมาเที่ยวเขาค้อแล้ว แนะนำให้แวะสักการะพระธาตุแห่งนี้เพื่อความเป็นสิริมงคลนะครับ
จุดหมายต่อไปผมตั้งใจจะไปเก็บแสงสุดท้ายที่อนุสรณ์สถานผู้เสียสละเขาค้อครับ ระยะทางจากพระบรมธาตุเจดีย์กาญจนาภิเษกไปยังอนุสรณ์สถาน ประมาณ 10 กิโลเมตร แต่ช่วงใกล้ๆ ถึงอนุสรณ์สถาน เส้นทางค่อนข้างสูงชัน คงต้องขับรถกันด้วยความระมัดระวังนะครับ
สภาพสองข้างทางจากพระบรมธาตุเจดีย์กาญจนาภิเษกไปยังอนุสรณ์สถานผู้เสียสละเขาค้อ
ผมแวะพักชมวิวกันบริเวณด้านข้างของพิพิธภัณฑ์อาวุธฐานอิทธิ จุดดังกล่าวจะทำเป็นระเบียงให้ขึ้นไปชมวิวมุมกว้างของเขาค้อได้ครับ สวยงามเลยทีเดียว
บริเวณใกล้ๆ ทางเข้าพิพิธภัณฑ์อาวุธฐานอิทธิ ได้ปลูกต้นค้อ ที่มาของชื่อ “เขาค้อ" ไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ชมด้วยครับ
ภายในพิพิธภัณฑ์อาวุธฐานอิทธิ เคยเป็นฐานปืนใหญ่ยิงสนับสนุนการสู้รบ ปัจจุบันกลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง ที่จัดแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ใช้สู้รบในสมัยนั้น มีห้องจัดนิทรรศการแสดงเกี่ยวกับอุปกรณ์ เครื่องใช้ เสื้อผ้า อาวุธของคอมมิวนิสต์ด้วย ที่นี่เปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 07.00-17.00 น. แต่เนื่องจากผมมาถึงที่นี่เกือบ 17.45 น.แล้ว เลยไม่ได้เข้าชมครับ
จากพิพิธภัณฑ์อาวุธฐานอิทธิไปไม่ไกล ก็จะมาถึงอนุสรณ์สถานผู้เสียสละเขาค้อแล้วครับ
แท่งหินอ่อนรูปทรงสามเหลี่ยมขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขาถูกสร้างขึ้นเพื่อเตือนใจคนไทยทั้งชาติว่า “ยามใดที่คนไทยขัดแย้งกัน จะต้องมีการสูญเสียอย่างผู้กล้าหาญ 1,171 ชีวิต ที่จากรึกไว้กับองค์อนุสรณ์ จงอย่าให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก"
สำหรับรูปทรงสามเหลี่ยมนั้น ออกแบบให้มีความหมายตามขนาดและรูปร่าง รูปทรงสามเหลี่ยมหมายถึงการปฏิบัติการร่วมกันระหว่างพลเรือน ตำรวจ และทหาร , ฐานอนุสรณ์สถานกว้าง 11 เมตร หมายถึง พ.ศ.2511 อันเป็นปีเริ่มการปฏิบัติการรุนแรงของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ในพื้นที่เขาค้อ, ความสูงจากแท่นบูชาถึงยอดอนุสรณ์สถาน 24 เมตร หมายถึง พ.ศ.2524 อันเป็นปีที่เปิดยุทธการครั้งใหญ่, ความสูงจากฐานถึงยอดอนุสรณ์สถาน 25 เมตร หมายถึงปี 2525 อันเป็นปีสิ้นสุดการต่อสู้ด้วยอาวุธ ความกว้างฐานสามเหลี่ยมด้านละ 2.6 เมตร หมายถึงปี 2526 อันเป็นปีเริ่มการก่อสร้างอนุสรณ์สถานผู้เสียสละแห่งนี้ครับ
ด้านข้างของอนุสรณ์สถานผู้เสียสละเขาค้อ มีการจำลองฐานการสู้รบ เป็นเนินเตี้ยๆ มีหลุมหลบภัย มีกระสอบทราย บังเกอร์ ซึ่งในอดีตที่แห่งนี้เป็นฐานแห่งแรกที่ทหารไทยยึดคืนมาได้จากการสู้รบกับคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยครับ
บริเวณฐานการสู้รบจำลองนี้ยังเป็นจุดชมวิวเมืองเขาค้อได้อย่างสวยงามจริงๆมองเห็นพระบรมธาตุเจดีย์กาญจนาภิเษกด้วยครับ
นอกจากนี้ยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกได้อีกด้วย
บรรยากาศหลังพระอาทิตย์ตกไปแล้ว แสงสุดท้ายเริ่มปรากฎให้เห็นครับ
ยามพลบค่ำ บริเวณฐานการสู้รบจำลองสามารถมองเห็นดาวบนดินในตัวเมืองเขาค้อได้ด้วย สวยงามมากๆ ครับ
หลังจากหมดแสงสุดท้ายของวันแล้ว ผมมุ่งหน้ากลับที่พัก คืนนี้ผมพักริมอ่างเก็บน้ำรัตนัยครับ
ช่วงค่ำๆ อากาศเย็นมากๆ แต่ก็อดใจไม่ได้ที่จะมาชมกลุ่มดาวบริเวณอ่างเก็บน้ำรัตนัย อยู่บ้านที่ลพบุรีไม่มีโอกาสได้เห็นดาวเต็มท้องฟ้าแบบนี้ เพราะมีแต่แสงไฟรบกวน มาที่นี่เลยขอทนความหนาวกับอุณหภูมิประมาณ 15 องศาครับ
ทนความหนาวเพื่อมาฝึกถ่ายดาวร่วมชั่วโมง เห็นทีจะไม่ไหวครับ ทั้งน้ำมูกที่เริ่มไหล ทั้งตะคริวที่เริ่มกินขา อีกทั้งยังกลัวงูอีกด้วย เลยต้องกลับไปนอนหาไออุ่นใต้ผ้าห่ม เก็บแรงไว้ตื่นเช้ามาดูทะเลหมอกดีกว่า
เช้านี้ผมตื่นมาประมาณ 6 โมง เพื่อมาสังเกตการณ์ประกอบการตัดสินใจว่าจะขึ้นไปชมทะเลหมอกบนจุดชมวิวด้านบน หรือจะมาชมแสงแรกที่อ่างเก็บน้ำรัตนัยดี
เดินจากที่พักไม่ถึง 5 นาทีเห็นว่าบริเวณอ่างเก็บน้ำรัตนัยไม่มีหมอก ก็เลยเลือกที่จะเก็บบรรยากาศยามเช้าที่อ่างเก็บน้ำดีกว่า เพราะถึงขึ้นไปยังจุดชมวิวด้านบน ก็ไม่มีหมอกให้เห็นอย่างแน่นอน แล้วอีกอย่างผมเองก็เคยไปชมวิวทะเลหมอกที่จุดชมวิวมาก่อนแล้วด้วย แต่ยังไม่เคยมาเก็บบรรยากาศยามเช้าริมอ่างเก็บน้ำ เลยขอเก็บวิวชิวๆ ริมอ่างเก็บน้ำนี่แหล่ะครับ
ถ้าขึ้นไปยืนบนจุดชมวิวเขาค้อ หากมองลงมายังเบื้องล่างจะเห็นอ่างเก็บน้ำอยู่หนึ่งอ่าง นั่นแหล่ะครับคืออ่างเก็บน้ำรัตนัย ยามเช้าบรรยากาศที่อ่างเก็บน้ำรัตนัยดีมากๆ มีสายหมอกบางๆ ลอยขึ้นมาจากผิวน้ำ ไม่ต่างอะไรกับ Dry ice เลย เบื้องหลังโอบล้อมไปด้วยทิวเขา บรรยากาศดูไม่ต่างอะไรกับปางอุ๋งเลย บริเวณอ่างเก็บน้ำสามารถกางเต้นท์ได้ครับ แต่ต้องขออนุญาตกับเจ้าหน้าที่ก่อนนะครับ
ผมได้ข้าวต้มเป็นเสบียงในเช้านี้ครับ หลังอาหารก็เริ่มออกเดินทางสู่จุดหมายปลายทางที่ผมตั้งตารอ นั่นคือ “ภูลมโล"
คณะผมเดินทางโดยใช้เส้นทางด่านซ้ายครับ ก่อนจะถึง อ.ด่านซ้าย จะพบทางแยกซ้ายมือที่บ้านน้ำพุง ให้เลี้ยวซ้ายไปเรื่อยๆ อีกประมาณ 19 กม. ก็จะถึงด่านทางเข้าของอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า เส้นทางเป็นถนนลาดยางที่สภาพผิวจราจรเริ่มชำรุด เส้นทางบางช่วงสูงชันสลับกับทางราบครับ
จากที่เคยรู้มาว่า ทางเข้าอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า มี 2 จุดคือ จุดที่เข้าจาก อ.นครไทย และอีกจุดหนึ่งเข้าจาก อ.หล่มเก่า เส้นทางเดียวกับภูทับเบิก ผมเพิ่งมาได้ความรู้ใหม่เพิ่มเติมว่า ยังมีจุดที่เข้าอุทยานได้อีกจุดหนึ่งคือ ทาง อ.ด่านซ้าย (หน่วยฯ ตูบค้อ) จุดที่ผมกำลังจะผ่านไปนี่แหล่ะครับ
เมื่อชำระค่าธรรมเนียม ที่หน่วยฯ ตูบค้อเรียบร้อยแล้ว ก็มุ่งหน้าเข้าสู่ ภูลมโล ตลอดระยะทาง 14 กิโลเมตรจากหน่วยฯ ตูบค้อจนถึงภูลมโล ต้องใช้รถปิคอัพสถานเดียว เพราะสภาพเส้นทางบางช่วงโหดพอตัว นั่งหัวสั่นหัวคลอนกันไปตลอดทาง บางช่วงต้องข้ามสะพานไม้ไผ่ด้วย ช่วงกำลังข้ามฟังเสียงเอี๊ยดอ๊าดของไม้แล้วหวั่นใจไม่น้อยเลยครับ กลัวสะพานจะพังลงมาขณะรถอยู่กลางสะพาน ระหว่างทางที่จะมาถึงภูลมโลเริ่มจะเห็นแปลงปลูกต้นนางพญาเสือโคร่ง กระจัดกระจายแปลงใหญ่บ้าง เล็กบ้างครับ
ระยะทาง 14 กิโลเมตร เราต้องใช้เวลาเดินทางกันถึง 1 ชั่วโมง ก็มาถึงภูลมโลครับ สามารถแวะพักรถ พักคน ให้มายืดเส้นยืดสาย มีของว่าง ไม่ว่าจะเป็นลูกชิ้นปิ้ง ไข่ลวก มาม่าต้ม ชา ไว้คอยให้บริการด้วย ผมเองก็ได้มาม่ามาช่วยชีวิตไว้เหมือนกัน บริเวณจุดพักตรงนี้มองออกไปก็เห็นแปลงปลูกต้นนางพญาเสือโคร่งอยู่เต็มไปหมดครับ
อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า มีพื้นที่ครอบคลุมถึง 3 จังหวัด คือ บางส่วนของจังหวัดพิษณุโลก, เพชรบูรณ์ และ เลย ภูลมโล ตั้งอยู่ใน ต.กกสะทอน อ.ด่านซ้าย จ.เลยครับ สำหรับที่มาของภูลมโลนั้น แม่ค้ามาม่าเล่าให้ผมฟังว่ามาจากยอดภูเขาด้านบนมีลักษณะคล้ายถ้ำ เมื่อมีลมแรงๆ พัดผ่านก็จะมีเสียง เลยเป็นที่มาของชื่อภูลมโลครับ
แม่ค้าเล่าให้ฟังอีกว่า แต่เดิมภูลมโลเป็นป่าเสื่อมโทรม มีไฟไหม้ป่าทุกปี ทางอุทยานฯ ร่วมกับ การไฟฟ้าและ ปตท. ได้เข้ามาร่วมปลูกป่าต้นน้ำ รวมถึงปลูกต้นนางพญาเสือโคร่ง ต้นนางพญาเสือโคร่งจะเริ่มผลิดอกครั้งแรกเมื่อต้นมีอายุราว 7-8 ปีครับ
ด้วยพื้นที่ปลูกต้นนางพญาเสือโคร่งกว่า 1,000 ไร่ ยามที่ดอกนางพญาเสือโคร่งเบ่งบาน จะทำให้ยอดเขาที่อยู่เบื้องหน้าเปลี่ยนเป็นสีชมพู มองออกไปสุดลูกหูลูกตา ที่นี่จึงเป็นที่รู้จักมากขึ้นในหมู่นักท่องเที่ยวที่นิยมชมชอบดอกนางพญาเสือโคร่งครับ
ช่วงเวลาที่เหมาะสมกับการมาชมดอกนางพญาเสือโคร่งที่ภูลมโล ดอกจะเริ่มบานช่วงกลางเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ของทุกปี แต่จะระบุชัดแน่นอนไม่ได้ว่าจะบานช่วงใด ขึ้นอยู่กับสภาพความหนาวของพื้นที่ หากใครตั้งใจมาชมแล้วไม่อยากเสียเที่ยว ให้เช็คกับทางอุทยานดีๆ ก่อนว่าดอกเริ่มบานแล้วหรือยังนะครับ ไม่งั้น ไม่คุ้มค่ากับการเข้ามาชมแน่นอนครับ
จริงๆ แล้วการเดินทางมาเที่ยวที่ภูลมโล สามารถเดินทางได้ 2 เส้นทาง คือเข้าทางด่านซ้าย เหมือนเส้นทางที่ผมเดินทาง และอีกเส้นทางคือ เข้าทางบ้านร่องกล้า ซึ่งระยะทางจะใกล้กว่าเข้าทางด่านซ้ายครับ
ลุงเสื้อเขียว
วันศุกร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 15.23 น.