ผมเคยแอบฝันเล็กๆ ว่าสักวันจะหาโอกาสมาสัมผัสกับบรรยากาศที่เขาหลักให้ได้ เพราะได้ยินชื่อเสียงของที่นี่มานานแล้วถึงความสวยงาม แต่ก็คงทำได้แค่เพียงฝัน เพราะรู้มาว่าที่พักแถวนี้แพงเหลือเกิน จนวันหนึ่ง ผมได้ร่วมสนุกกับกิจกรรมทางแฟนเพจThailand Circle of Love เพื่อชิงรางวัลเป็น voucher ที่พัก จำนวน 7 รางวัล และผมโชคดีเป็น 1 ใน 7 ผู้ที่ได้รับรางวัล และยิ่งไปกว่านั้น รางวัลที่ผมได้รับคือที่พักที่เขาหลักครับ

ผมเริ่มวางแผนการเดินทางตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน เริ่มตั้งแต่จองที่พัก จองตั๋วเครื่องบิน จองรถเช่า และจองแพคเกจทัวร์สิมิลันไว้ จากนั้นก็รอเวลาจนถึงวันที่กำหนดการเดินทางไว้

ทริปนี้ผมได้รับ Voucher ที่ RAMADA KHAO LAK RESORT จำนวน 3 วัน 2 คืน รวมอาหารเช้าฟรี แต่เพียงอย่างเดียว ค่าใช้จ่ายนอกเหนือจากนี้ ไม่ว่าจะเป็นตั๋วเครื่องบิน รถเช่า แพคเกจทัวร์ อาหาร ผมเป็นผู้รับผิดชอบเองทั้งหมดครับ

ทริปนี้ผมเลือกเดินทางกับสายการบิน Bangkok Airways ระยะหลังผมมีโอกาสได้เดินทางกับทางสายการบินนี้อยู่หลายครั้ง อาจจะเนื่องมาจากผมจองตั๋วล่วงหน้านาน เลยทำให้ได้ราคาใกล้เคียงกับสายการบิน Low Cost ครับ

และทุกๆ ครั้งก่อนวันเดินทาง 1 วัน ผมจะทำการ Check in ผ่านเวปไซด์ http://www.bangkokair.com ไปล่วงหน้าเลย เพราะวันที่เดินทางจะได้ไม่ต้องไปต่อแถว Check in หน้าเคาเตอร์ให้เสียเวลานาน มาถึงสนามบินก็แค่แวะ Drop สัมภาระแป๊บเดียว เพราะคิวของผู้โดยสารที่ Drop สัมภาระจะสั้นกว่าผู้ที่ยังไม่ได้ Check in มากๆ ครับ

หลัง Check in เสร็จ ปฏิบัติการต่อไปที่เฝ้ารอมานานคือการไปใช้บริการที่ Boutique Lounge ของ Bangkok Airways ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับประตูทางออก A3 ครับ

การมาใช้บริการที่ Boutique Lounge ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกของผมหลังจากมีการปรับปรุง ผมเคยมีโอกาสใช้ Lounge ก่อนปรับปรุง 1 ครั้ง นอกนั้นเป็นการใช้ Lounge ชั่วคราวมาโดยตลอด

ก่อนเข้าไปใช้บริการ ต้องแสดง Boarding Pass ตรงหน้าเคาเตอร์ พนักงานจะตรวจสอบและให้รหัส wifi เพื่อนำมาใช้งานใน Lounge ครับ

ด้านหน้ามีมาสคอตเป็นหมีตัวใหญ่และมาสคอตตัวการ์ตูนรูปเครื่องบิน ชื่อ Sky รอต้อนรับผู้โดยสารอยู่ครับ

เดินเข้าไป ด้านซ้ายมือจะเป็นบริเวณที่แสดงถึงรางวัลประกาศเกียรติคุณต่างๆ ที่ทางสายการบินได้รับครับ

ด้านขวามือจะเป็นสนามเด็กเล่นของเด็กๆ อยู่ในตู้กระจกครับ

มี Internet ไว้คอยบริการด้วยครับ

บริเวณที่นั่งพักผ่อน รองรับผู้โดยสารได้เยอะเลยทีเดียว จุดนี้ผมเห็นปลั๊กไฟสำหรับชาร์จแบตเตอรี่อยู่เต็มไปหมด แสดงถึงความใส่ใจเล็กๆ ที่ทางสายการบินเตรียมไว้ให้กับผู้โดยสารครับ

มาดูพื้นที่ของการให้บริการอาหารว่างกันบ้างครับ

จุดนี้เป็นไลน์อาหารว่างครับ

ตรงนี้จะเป็นเครื่องดื่มประเภท ชา กาแฟเย็น และมี Popcorn ด้วยครับ

ตรงนี้จะเป็นกาแฟ โกโก้ร้อนครับ

มาดูอาหารว่างกันบ้างดีกว่าครับ

พระเอกของที่นี่คือ ข้าวต้มมัด แนะนำว่าไม่ควรพลาด ผู้โดยสารของ Bangkok Airways ที่ไม่ได้ทานข้าวต้มมัด เหมือนใช้สิทธิ์ไม่คุ้มค่าโดยสารนะครับ

นอกจากนี้ยังมี mini muffin พาย แซนวิชทูน่า คุกกี้ ข้าวเกรียบ เผือกฉาบ ฝักทองฉาบ ครับ

สำหรับผม จัดเบาะๆ เพียงเท่านี้ เพราะต้องเผื่อกระเพาะไว้สำหรับลิ้มลองเมนูเด็ดๆ ของคุณหมึกแดงบนเครื่องด้วยครับ

ผมเผื่อเวลาสำหรับใช้บริการใน Lounge นานพอสมควร เมื่อใกล้เวลา Gate เปิดเล็กน้อย เลยมานั่งรออยู่หน้า Gate ครับ

“SAMUI" จะพาผมทะยานสู่สนามบินภูเก็ตครับ

เมื่อเครื่องบินบินไปได้สักพัก ก็มีบริการอาหารว่างบนเครื่องครับ

เห็นว่าสายการบินมีการปรับเปลี่ยนอาหารบนเครื่องใหม่ให้เป็นคอนเซปของคุณหมึกแดง สำหรับเที่ยวบินที่ผมบินนี้เป็นบะหมี่เย็นกับอะไรสักอย่าง จะสลัดก็ไม่ใช่ เสริฟพร้อมผลไม้ ผมทานแล้วรู้สึกผิดหวังกับรสชาติที่คาดหวังเอาไว้เยอะ กับการเอาคุณหมึกแดงมาการันตี เมนูเย็นมันก็ยังคงเป็นเมนูที่ผมว่ามันจืดชืดอยู่ตามเดิมครับ

ตลอดเส้นทางการบิน ท้องฟ้าเปิดมาเกือบตลอดเส้นทางบิน จะมีบ้างบริเวณที่บินผ่านอ่าวไทย เนื่องจากช่วงที่ผมเดินทางมีพายุเข้าบริเวณอ่าวไทย อาจจะส่งผลบ้างต่อทะเลฝั่งอันดามัน สำหรับเที่ยวบินนี้ใช้เวลาบินประมาณ 1 ชั่วโมงครับ

ผมว่าสนามบินภูเก็ตเป็นสนามบินที่สวยที่สุดของเมืองไทยครับ เพราะเป็นสนามบินที่ติดทะเล

หลังจากรับสัมภาระเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมได้ออกมารอรถที่เช่าไว้กับ Blue Beetle car rent ซึ่งได้ติดต่อจองรถกันล่วงหน้าไว้นานแล้ว เมื่อได้รถเรียบร้อยแล้วก็มุ่งหน้าสู่เขาหลักกันเลยครับ

ระหว่างทางที่มุ่งหน้าสู่เขาหลัก ผ่านสวนยางมากมาย อดใจไม่ได้ที่จะขอจอดถ่ายรูปสักหน่อยครับ จุดนี้ให้อารมณ์ประมาณสวนสนบ่อแก้ว จ.เชียงใหม่เลยครับ

ระหว่างทางผมเกิดเปลี่ยนแผนนิดหน่อย เดิมทีว่าจะเข้าที่พักที่เขาหลักก่อนแล้วถึงจะเริ่มท่องเที่ยวละแวกใกล้ๆ แต่คิดไปคิดมากลัวว่าจะเสียเวลา เลยมุ่งหน้าสู่สถานที่ท่องเที่ยวที่ผมวางแผนไว้ในอำเภอตะกั่วป่าครับ

เที่ยงกว่าแล้ว กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ผมเลยแวะมาทานผัดไท ที่ร้านผัดไทยใจเย็นเย็นครับ

จากเขาหลักมุ่งหน้าสู่ อ.ตะกั่วป่าก่อนที่จะถึงตัวอำเภอสักเล็กน้อยจะเห็นทางแยกเข้าบ้านพรุเตียว เลี้ยวซ้ายเข้าไปประมาณ 100 เมตรก็จะมองเห็นป้าย ผัดไทยใจเย็นเย็นอยู่ด้านซ้ายมือครับ

บรรยากาศภายในร้าน มีป้ายรูปคนดังต่างๆ ที่เคยมาลิ้มลองเมนูที่นี่หลายท่านเลยทีเดียว

เฉพาะผัดไทก็มีหลายเมนูครับ แต่ผมเลือกทานผัดไทกุ้งเสียบ

นอกเหนือจากผัดไทแล้วก็ยังมีอาหารอีกหลายอย่าง จริงๆ ผมอยากลองชิมบะหมี่ต้มยำไข่แซบ เพราะดูจากหน้าตาในเมนูแล้ว น่าทานมาก สีสันจัดจ้าน น่าจะแซบสมชื่อครับ แต่บังเอิญว่าวันนั้นไม่ขาย ผมเลยได้เล็กแห้งมาแทนครับ

นอกจากอาหารคาวแล้ว ยังมีขนมหวานตบท้ายด้วย ไม่ว่าจะเป็นทับทิมกรอบหรือจะเป็นบัวลอยไข่หวาน แต่ตอนที่ผมสั่ง ทับทิมกรอบหมดแล้วครับ เหลือแต่บัวลอยไข่หวานที่โรยหน้าด้วยมะพร้าวอ่อนครับ

หลังจากอิ่มหนำกันแล้ว ผมเริ่มเดินทางต่อสู่จุดหมายแรกที่ตั้งใจไว้คือ การล่องเรือในคลองสังเหน่ หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ Little Amazon ครับ

จากร้านผัดไทยใจเย็นเย็น ผมย้อนออกมาทางแยกบ้านพรุเตียวเหมือนเดิม จากนั้นเลี้ยวซ้ายมุ่งหน้าสู่ตัวอำเภอตะกั่วป่าอีกครั้ง เมื่อเจอสามแยกไฟแดง ด้านซ้ายเป็นโรงเรียน ขวามือเป็นโรงพยาบาล ให้ตรงไปก่อนจากนั้นจะเจอสี่แยกพระนารายณ์ จะสังเกตเห็นองค์พระนารายณ์อยู่ด้านซ้ายมือ ด้านขวามือเป็นเทศบาลตะกั่วป่า ให้เราเลี้ยวซ้าย ตรงไปอีกนิดจะเห็นสถานีตำรวจ ให้เลี้ยวซ้ายข้างสถานีตำรวจ ไม่ไกลนักจะเห็นจุดที่จะล่องเรือชม Little Amazon อยู่ทางด้านขวามือครับ

จากจุดจอดรถจะมองเห็นศาลาท่าเรือ สำหรับอัตราค่าเหมาเรือจะแบ่งเป็น 2 ราคา คือถ้าหากล่องเรือชมภายใน Little Amazon เพียงอย่างเดียว ราคาอยู่ที่ 300 บาท แต่ถ้าต้องการนั่งชมรอบใหญ่ ซึ่งเรือจะพาไปยังป่าชายเลนด้วย ราคาจะอยู่ที่ 600 บาท (แต่สามารถลดได้ เหลือ 500 บาท) โดยเรือหนึ่งลำ นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นได้เพียง 2 คนครับ

เนื่องจากผมมีเวลาจำกัด ผมเลยเลือกที่จะชมเฉพาะภายใน Little Amazon เพียงเท่านั้น โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ภายใน Little Amazon จะเต็มไปด้วยต้นไทรอายุนับร้อยๆ ปี ที่แผ่กิ่งก้านสาขาห้อยลงมายังผืนน้ำ ให้อารมณ์วังเวงเชียวครับ นอกจากต้นไทรแล้ว ยังพบเห็นต้นสังหลา หรือต้นตีนเป็ดน้ำ ต้นหวาย และพันธุ์ไม้แปลกๆ อีกหลายชนิดเลยทีเดียว

ถ้ามาล่องเรือที่นี่แล้ว ไม่เห็นงู ผมว่าเหมือนมาเสียเที่ยวครับ งูที่เห็นส่วนใหญ่จะเป็นงูปล้องทอง งูเขียวหางไหม้ ที่นอนขดตัวอยู่บนกิ่งไม้ ดูแล้วก็เสียวๆ มันจะร่วงใส่เวลาที่นั่งเรือผ่าน งูทั้งสองจะออกหากินในเวลากลางคืน ส่วนกลางวันก็จะนอนขดตัวกันแบบนี้ ครั้งนี้ผมเห็นงูปล้องทองหลายตัวเลยทีเดียวครับ ต้องยอมรับว่าเจ้าของเรือตาดีจริงๆ ที่จะคอยชี้ให้เราดูงูอยู่ตลอดเส้นทาง ขนาดเขาชี้ให้ผมดูงู ผมยังแทบมองไม่เห็นงูเลยครับ

ความน่าสนใจของที่นี่ ผมให้คะแนน 6/10 ครับ คือถ้าใครมาเที่ยวพังงาบ่อยๆ แล้วอยากหาที่ท่องเที่ยวใหม่ๆก็โอเคอยู่บ้างสำหรับ Little Amazonมาเพื่อให้รู้ว่ามันเป็นยังไง แต่ถ้าใครมาพังงาเป็นครั้งแรก แล้วตั้งใจที่จะมาชมที่นี่ ผมว่ายังไม่ค่อยคุ้มค่าเท่าที่ควร เพราะในพังงามีอีกหลายสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ เช่น ถ้ำพุงช้าง ผมเคยไปเที่ยวที่ถ้ำพุงช้างเป็นครั้งแรก แล้วรู้สึกติดใจ ผมให้คะแนน 9/10 เลยครับ

หลังจากนั่งเรือชม Little Amazon แล้ว ขอเที่ยวแบบชิวๆ ย้อนยุคกันหน่อย ผมมุ่งหน้าสู่เมืองตะกั่วป่าเก่าครับ

ก่อนจะถึงเมืองตะกั่วป่าเก่าสัก 2 กิโลเมตร ทางด้านซ้ายมือจะพบเห็นสะพานเหล็กโคกขนุน ซึ่งเป็นสะพานเหล็กที่สร้างข้ามแม่น้ำตะกั่วป่า แต่เท่าที่ผมเห็น บริเวณนี้ไม่เห็นถึงความเป็นแม่น้ำตะกั่วป่าเลยครับ เพราะปัจจุบันมีตะกอนดินและมีหญ้าขึ้นมากมาย แถมยังมีการเตรียมดินเพื่อทำการเพาะปลูกพืชอีกต่างหาก สะพานแห่งนี้ยาวประมาณ 200 เมตร ตามประวัติบอกว่าสะพานแห่งนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 2511 จากเหล็กเรือขุดแร่ ต่อมาภายหลังได้เกิดความเสียหายเนื่องจากอุทกภัยเมื่อปี 2552 และหลังจากนั้นก็ได้ทำการปรับปรุงขึ้นมาใหม่ เพื่อให้อยู่คู่เมืองตะกั่วป่ามาจนถึงปัจจุบันครับ

แวะพักที่สะพานเหล็กโคกขนุนสักเล็กน้อยก็ตรงเข้าสู่เมืองตะกั่วป่าเก่าครับ

เมื่อสมัยหลายสิบปีก่อน สมัยที่ชาวจีนกลุ่มหนึ่งเข้ามาทำเหมืองแร่ บริเวณเมืองตะกั่วป่าเก่า หรือ ตลาดใหญ่แห่งนี้ถือเป็นเมืองที่มีความรุ่งเรืองมากๆ สิ่งที่มีเสน่ห์และน่าสนใจที่นี่คือการก่อสร้างตึก อาคาร บ้านเรือน ที่มีการก่อสร้างตามสไตล์ชิโน-โปรตุกีส ที่ผสมผสานความเป็นศิลปะตะวันตกและตะวันออกเข้าไว้ด้วยกันอย่างกลมกลืน โดยด้านหน้าตึกจะมีทางเดินเท้า ทำเป็นช่องซุ้มโค้งเชื่อมกันไปตลอดทั้งแนวตึก โดยมีชั้นบนยื่นล้ำออกมาเป็นหลังคากันแดดกันฝน ที่ชั้นสองด้านหน้าอาคารเน้นการเจาะช่องหน้าต่างเป็นซุ้มโค้งคูหาละสามช่อง บนพื้นผนังตกแต่งด้วยลายปูนปั้นทั้งแบบจีนและตะวันตก ผสมผสานกันอย่างลงตัว

ผมแนะนำว่าให้จอดรถแล้วเดินชมวิถีชีวิตของคนที่นี่ดูนะครับ มันได้ฟิวกว่าการนั่งรถชมเมืองมากๆ สำหรับวันอาทิตย์ช่วงค่ำๆ จะมีถนนคนเดินด้วยครับ

นอกจากตัวเมืองเก่าแล้ว ยังมีสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์อีกหลายแห่ง เช่น กำแพงค่าย ซึ่งเป็นตัวอย่างกำแพงค่ายป้องกันศัตรูที่สร้างล้อมรอบจวนผู้ว่าราชการเมืองตะกั่วป่า ที่ก่อสร้างด้วยกรวดทรายผสมปูนล้วน ไม่ได้ก่อด้วยอิฐถือปูนอย่างกำแพงทั่วไป แต่ปัจจุบันดูเหมือนจะขาดการดูแลเอาใจใส่ครับ ปล่อยให้หญ้าขึ้นรกเต็มไปหมดเลย

สมควรแก่เวลา ผมคงต้องอำลาเมืองตะกั่วป่าไว้แต่เพียงเท่านี้ จากนั้นมุ่งหน้าสู่เขาหลัก เพื่อเข้าสู่ที่พักที่ RAMADA KHAO LAK RESORT ซึ่งตั้งอยู่ริมหาดบางเนียงครับ

RAMADA KHAO LAK RESORT อยู่ห่างจากตัวเมืองตะกั่วป่าประมาณ 29 กม. ตามทางหลวงหมายเลข 4 จะผ่านปั้มน้ำมัน ปตท.ซึ่งตั้งอยู่ทางขวามือ จากนั้นขับรถต่ออีกประมาณ 4 กม. จะเห็นร้าน 7-11 อยู่ทางขวามือเช่นกัน ให้เลี้ยวขวาเข้าซอยก่อนถึงร้าน 7-11 หรือถ้าหากมาทางสนามบินภูเก็ตให้ขับรถตรงมายังอุทยานแห่งชาติเขาหลัก-ลำรู่ ตรงมาเรื่อยๆ จนถึงเขาหลักเซนเตอร์ จากนั้นขับรถตรงไปอีกประมาณ 2.8 กม.จะเห็นร้าน 7-11 อยู่ทางซ้ายมือ ให้เลี้ยวซ้ายหลังผ่านร้าน 7-11 จากนั้นเข้าไปในซอยอีกประมาณ 1 กม. จะมีป้ายบอกทางตลอด ก็จะมาถึง RAMADA KHAO LAK RESORT ครับ

ป้ายด้านหน้ารีสอร์ท เห็นแบบนี้แปลว่ามาถูกที่แล้วครับ สำหรับที่จอดรถจะอยู่ด้านหลังป้ายครับ

เดินขึ้นบันไดมา จะพบ Lobbyซึ่งด้านข้างสามารถมองเห็นชายหาดบางเนียงได้ครับ

พนักงานจะพามายังชุดโซฟาสีฟ้า-ดำ ขนาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ กับ Lobby เพื่อทำการ Check in พร้อมกับนำ Welcome Drink เป็นน้ำส้ม ผ้าเย็น และพวงมาลัยคล้องมือมามอบให้ครับ

ห้องที่ผมเข้าพักเป็นห้องแบบ Deluxe Jacuzzi ครับ

ห้อง Deluxe Jacuzzi จะเน้นโทนสีดำตัดกับงานไม้ พื้นห้องปูด้วยกระเบื้องสีดำ พื้นที่ภายในห้องพักถือว่ากว้างขวางเลยทีเดียว กับเตียงขนาดใหญ่หนานุ่ม ขนาบข้างด้วยพื้นที่สำหรับนั่งเล่นด้วยโซฟาขนาดใหญ่อีกเช่นกัน

ส่วนนั่งเล่นติดตั้งจอทีวี LED ขนาดใหญ่ 40" พร้อมเครื่องเล่น DVD/CD ครบครัน

จุดเด่นของห้องนี้คือพื้นที่ห้องน้ำสามารถเปิดโล่งได้ โดยใช้บานไม้เลื่อนปิดเปิดแบบบานเฟี้ยม ซึ่งเป็นการออกแบบเพื่อให้พื้นที่ส่วนตัวในส่วนของ Jacuzzi และส่วนของ Rain Shower ดูกว้างขึ้นครับ

สำหรับ Jacuzzi ก็สามารถปรับระดับความแรงได้ตามต้องการ พร้อมกันนี้ทางรีสอร์ทได้เตรียมเกลือสำหรับให้แช่ตัวด้วย มี 2 สี 2 กลิ่น คือสีส้มกลิ่นส้ม และสีฟ้ากลิ่นเมนทอลครับ

พื้นที่ของห้องน้ำแยกส่วนเปียกส่วนแห้งออกจากกันด้วยผนังกระจกและประตูกระจกบานเลื่อน โดยประตูกระจกจะเป็นบานเดียวเลื่อนเปิด-ปิดส่วนใดส่วนหนึ่งที่ใช้งาน เช่น ถ้าจะใช้งานบริเวณโถสุขภัณฑ์ ก็เลื่อนกระจกบานเลื่อนมาปิดส่วนโถสุขภัณฑ์ บริเวณฝักบัวก็จะเปิดออกโดยปริยาย แต่ไม่ต้องกังวลว่าคนข้างนอกจะมองเห็นเราขณะทำกิจวัตรส่วนตัวนะครับ เพราะกระจกถูกออกแบบให้เป็นฝ้าไว้ในเฉพาะที่ต้องการจะปิดบังครับ

มุมมองจากห้องน้ำไปยังพื้นที่เตียงนอนครับ

ด้านข้างของ Jacuzzi จะเป็นอ่างล้างมือ มีอุปกรณ์อาบน้ำ ไดร์ฟเป่าผม รวมถึงน้ำยาล้างมือ และครีมบำรุงผิวเตรียมไว้ให้ด้วย

เมื่อเปิดประตูเข้ามา จะพบตู้เสื้อผ้า ตู้เย็น กาต้มน้ำ รวมถึง น้ำดื่ม และกาแฟฟรี สำหรับมินิบาร์อย่างอื่นๆ เสียเงินตามปกติครับ และถ้าใครคิดว่าจะขอยืมดื่มหรือทานมินิบาร์ก่อน แล้วค่อยออกไปหาซื้อมาใช้คืนในภายหลัง คุณคิดผิดครับ เพราะที่นี่จะทำเป็นสลากปิดไว้ที่ฝาเครื่องดื่ม รวมถึงบริเวณซองขนมไว้ทั้งหมด

ด้านนอกห้องแต่ละห้องจะมีระเบียงพร้อมเตียงโซฟาให้นอนเอกเขนกชมบรรยากาศนอกห้องได้ด้วยครับ

Welcome Fruit ที่ทางรีสอร์ทเตรียมไว้ให้ และตอนค่ำก่อนเข้านอน จะมีของทานเล่นมาให้ด้วย คืนแรกเป็นขนมปังทาเนยชิ้นเล็กๆ 2 ชิ้น คืนที่สองเป็นฟักทองฉาบประมาณ 4 ชิ้นครับ

มาดูห้องประเภทอื่นกันบ้างดีกว่า ห้องนี้เป็นห้อง Deluxe Oasis ครับ

Deluxe Oasis ตกแต่งในสไตล์ไทยร่วมสมัย ดูเรียบง่ายดีครับ

ที่ปลายเตียง มีทีวี LED พร้อมเก้าอี้ให้นั่งเล่น นอกจากนี้ยังมีระเบียงให้ออกไปพักผ่อนอิริยาบถนอกห้องได้อีกด้วยครับ

ที่หัวเตียง ทำเป็นโต๊ะทำงาน

ภายในห้องน้ำค่อนข้างกว้าง พื้นที่ส่วนเปียกส่วนแห้งยังไม่ชัดเจนเท่าที่ควร บริเวณอาบน้ำจะมีทั้งแบบ Rain Shower และอ่างอาบน้ำ ถ้าหากยืนอาบที่ Rain Shower น้ำจะกระเซ็นมาโดนส่วนแห้งได้ครับ

ห้องประเภทต่อไปที่ผมจะพาไปชมคือห้องแบบ Ocean Front Villa ครับ

วิลล่านี้ห้อมล้อมไปด้วยเหล่าพรรณไม้ ตัววิลล่าตั้งอยู่ริมชายหาดซึ่งสามารถมองเห็นวิวทะเลได้สุดสายตา พื้นที่ภายในวิลล่ากว้างขวางเลยทีเดียวครับ ในพื้นที่ส่วนห้องนอน จะมีจอทีวี LED ขนาดใหญ่ เตียงที่ดูหนานุ่ม ที่ปลายเตียงมีชุดโซฟาขนาดใหญ่รวมถึงโต๊ะที่ใช้งานได้ตามความต้องการของผู้เข้าพัก ไม่ว่าจะเป็นใช้ทำงาน เล่นโน๊ตบุค หรือจะใช้นั่งทานอาหารก็ไม่ผิดกติกาครับ

สำหรับด้านหลังของเตียงนอน จะออกแบบให้เป็นตู้เสื้อผ้า รวมถึงตู้เย็น เครื่องชงกาแฟ ตู้นิรภัย และมินิบาร์ต่างๆ ครับ

ฝั่งตรงข้ามของตู้เสื้อผ้า จะเป็นพื้นที่ในส่วนของห้องน้ำ มีอ่างล้างหน้า 2 อ่าง ตั้งอยู่แยกกันทั้งด้านซ้ายและด้านขวา และจะมี Jacuzzi อยู่ตรงกลาง ซึ่งด้านซ้ายของ Jacuzzi จะเป็นส่วนเปียกมี Rain Shower และด้านขวาของ Jacuzzi จะเป็นส่วนแห้งครับ

ที่ปลายเตียง เมื่อเปิดประตูบานเลื่อนออกมาจะพบวิลล่าเทอเรส และมีเตียง Daybed ไว้ให้นั่งพักผ่อนชมพระอาทิตย์ตก โดยไม่มีสิ่งใดบดบังทัศนียภาพได้เลย

พนักงานที่นี่ให้การต้อนรับและดูแลเป็นอย่างดีมากๆ ครับ

RAMADA KHAO LAK RESORT มีห้องพักทั้งหมด 116 ห้อง แบ่งเป็นห้อง Deluxe Oasis 54 ห้อง , Deluxe Lanai 22 ห้อง (การตกแต่งจะเหมือน Deluxe Oasis ครับ แตกต่างกันที่ระเบียงหลังห้องเท่านั้น ซึ่ง Deluxe Lanai จะมีพื้นที่ระเบียงใหญ่กว่าและสามารถเดินลงสู่สวนภายนอกได้เลย), Deluxe Jacuzzi 24 ห้อง, Ocean Front Villa 8 หลัง และ Pool Villa 8 หลังครับ

สำหรับสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีเหมือนกันในทุกๆ ห้อง จะมีเสื้อคลุมอาบน้ำและรองเท้าผ้าสำหรับเดินในห้องพัก เคเบิลทีวี ชากาแฟในห้องพักฟรี น้ำดื่มฟรี ทีวีจอแบน LED ร่ม ไดร์ฟเป่าผม ตู้นิรภัย ฝักบัวแบบ Rain Shower และสัญญาณ wifi ครับ แต่ก็จะมีที่พิเศษด้วย ตามประเภทของห้องพักครับ

มาดูบรรยากาศยามเย็นของที่นี่กันบ้างดีกว่าครับ

ช่วงเย็นทางรีสอร์ทเตรียม Romantic Dinner ริมชายหาด ผมเลยเก็บบรรยากาศมาให้ชมครับ

มุมมองจาก Lobby มองเห็นพื้นที่สนามหญ้ากว้างขวางมาก เบื้องหน้าเป็นสระว่ายน้ำครับ

มุมมองจากสนามหญ้า มองกลับไปยัง Lobby ครับ

ห้องพักโซนนี้จะหันหน้าเข้าหาสระว่ายน้ำครับ

สระว่ายน้ำขนาดใหญ่ที่อยู่ท่ามกลางต้นมะพร้าว ยามเย็นจะมองเห็นเงาสะท้อนของต้นมะพร้าวในสระว่ายน้ำ ดูสวยงามมากครับ

Sassi's Beach Club ซึ่งเป็นห้องอาหารริมทะเลของที่นี่ครับ

คืนนี้ขอพักผ่อนเพื่อเก็บแรงไปออกทริปต่อในวันพรุ่งนี้ครับ

สายฝนพรำๆ ต้อนรับเช้าวันใหม่ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเหมือนนางแมวที่ชาวอีสานเขาใช้แห่ขอฝนอย่างไรไม่รู้ เพราะรู้สึกว่าเวลาไปเที่ยวแต่ละที ฟ้าฝนมักไม่ค่อยเป็นใจ มักเจอฟ้าปิด ฝนตก ฝนพรำอยู่เสมอ รวมถึงทริปสิมิลันนี้ด้วย เพราะเมื่อวานยังแดดจ้าอยู่เลย แต่ฟ้าเริ่มปิดเอาตอนพลบค่ำ แต่ยังเหลือเวลาอีกราว 3 ชั่วโมงก่อนเดินทาง ยังพอลุ้นกันได้อีกหน่อยว่าผมออกทริปแล้วจะเจอฝนหรือไม่ เช้านี้เลยรีบไปเติมพลังกันที่ห้องอาหาร The Kitchen กันก่อน ห้องอาหารนี้อยู่ด้านล่างของ Lobby เปิดให้บริการตั้งแต่ 06.30-10.30 น. ครับ

The Kitchen จะมีทั้งในส่วนของ Indoor และ Outdoor แต่จะเน้นไปในทาง Indoor ซะมากกว่า มีบริเวณ Outdoor บ้างเพียงไม่กี่โต๊ะ แต่ผมชอบบรรยากาศในส่วนของ Outdoor เพราะปลอดโปร่งกว่าเยอะครับ แต่ในวันนี้ผมขอใช้บริการในส่วนของ Indoor ก่อน เพราะเช้านี้ฝนพรำ ไม่สามารถ Outdoor ได้ครับ

อาหารจะมีทั้งปรุงเสร็จแล้ว และ Chef ปรุงใหม่ให้ทานกันสดๆ การตกแต่งภายใน The Kitchen จึงยกครัวมาไว้ในส่วนของห้องอาหาร ทำให้แขกได้เห็นการทำงานของ Chef ด้วยครับ

ไลน์อาหารเช้าถือว่าหลากหลายครับ มีทั้งอาหารไทย อาหารเทศ อาหารจีน อาหารญี่ปุ่น มีให้เลือกทานกันตามสบาย

มุมอาหารไทย นอกจากนี้ยังมีข้าวต้มด้วยครับ

มุมอาหารเทศ

มุมอาหารจีน

มุมอาหารญี่ปุ่น

มุมเบเกอรี่ หลากหลายมากครับ

มุมผลไม้ ฟรุตสลัด โยเกิร์ต

มุมคั้นน้ำผลไม้สดๆ อยากทานเมนูไหนบอก Chef ได้เลยครับ

เช้านี้ผมมีเวลาสำหรับทานอาหารเช้าเพียง 1 ชั่วโมง มัวแต่ถ่ายกันเพลิน เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้ว ผมคงต้องรีบทาน พร้อมแอบตุนอาหารจากไลน์อาหารเช้าสักเล็กน้อย เช่น ไวตามิลค์ กล้วย เอาไว้ไปทานบนเรือ เผื่อหิวครับ

ได้เวลา 07.30 น. ตามเวลานัดหมายของทัวร์ รถตู้ก็มารับถึงหน้าโรงแรมครับ

ทริปนี้ผมใช้บริการของ WOW Andaman ครับ จากรีสอร์ทไปยังท่าเรือ ไม่ไกลสักเท่าไร รถตู้พามาจอดที่อาคารเอนกประสงค์ที่ทาง WOW Andaman ได้จัดเตรียมไว้ครับ

WOW Andaman เพิ่งเปิดบริการมาได้ไม่นาน ตอนนี้มีเส้นทางการท่องเที่ยวเพียง 2 เส้นทางคือ สิมิลัน และ ตาชัยครับ

เมื่อมาถึงก็มาทำการ Check in ให้เรียบร้อย

หลังจาก Check in แล้ว เจ้าหน้าที่จะแจกประกันภัยและสายรัดข้อมือให้ เพื่อแยกลูกทัวร์ที่จะไปสิมิลัน หรือ เกาะตาชัยครับ

หลังจากกรอกเอกสารเกี่ยวกับการประกันภัยเรียบร้อยแล้ว ก็มาหาของว่างทานกันครับ มีทั้งข้าวต้ม ผัดหมี่ ข้าวเหนียวมูลหน้าสังขยา ปลาท่องโก๋ ชา กาแฟ โอวันตินครับ

เมื่อทานของว่างกันเรียบร้อยแล้ว ก็ไปจัดแจงเบิกอุปกรณ์ดำน้ำ ไม่ว่าจะเป็นสน๊อกเกิล หรือตีนกบครับ

ก่อนออกเดินทางไกด์จะมาอธิบายถึงการท่องเที่ยวหมู่เกาะสิมิลันให้พวกเราฟังกันก่อนขึ้นเรือ ทริปนี้มีนักท่องเที่ยวคนไทยเพียงแค่ 2 คนเอง คือ ผมกับเพื่อนครับ

พาหนะที่จะพาเราไปยังสิมิลันครับ ยังใหม่เอี่ยมอยู่เลย ก่อนขึ้นเรือลูกทริปทุกคนจะต้องฝากรองเท้าไว้บนฝั่งครับ

เมื่อทุกคนพร้อม ก็ออกเดินทาง ทริปนี้มีสมาชิกร่วมเดินทาง 30 กว่าคน สำหรับการเดินทางจากท่าเรือไปยังหมู่เกาะสิมิลัน ใช้เวลาเดินทางโดยประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ด้วยระยะทางกว่า 70 กิโลเมตร บนเรือจะมีเสื้อชูชีพ และผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ไว้ให้คนละ 1 ผืน นอกจากนี้ยังมีเครื่องดื่มให้บริการตลอดการเดินทางครับ

อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลันเป็นที่รู้จักของผู้รักการดำน้ำจากทั่วโลกมานานแล้ว ผมเองเคยได้เข้ามาสัมผัสกับความงามของที่นี่เมื่อราวปี 2540 ยังคงประทับใจกับความใสของน้ำทะเลที่นี่ ความสวยงามของหินแกรนิตที่มีความแปลกตา รวมถึงความเขียวขจีของป่าฝนบนหมู่เกาะแห่งนี้ “สิมิลัน"

ช่วงที่ผมไป เกาะ 1,2,3 ทางอุทยานไม่อนุญาตให้เข้าไปได้ เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่เต่ามาวางไข่ จุดแรกที่เรือพาเรามาจอดเป็นแห่งแรกคือ เกาะ 4 ครับ ตอนแรกที่ไปถึงหน้าเกาะ มีนักท่องเที่ยวเยอะพอสมควร เรือเลยพามายังด้านหลังของเกาะครับ คลื่นลมถือว่ายังแรงอยู่ ฟ้าก็ยังปิดอยู่เช่นเดิม ไกด์บอกว่าวันที่ไม่มีคลื่นลม น้ำจะนิ่งมากๆ เลยครับ

เกาะ 4 มีชื่อว่าเกาะเมี่ยง เป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ บนเกาะนี้อนุญาตให้นักท่องเที่ยวได้นอนค้างแรมได้ด้วย บนเกาะนี้ยังมีสัตว์ป่าหายากอยู่หลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น นกชาปีไหน ค้างคาวผลไม้ ปูป่า ปูภูเขาครับ

น้ำทะเลขนาดมีคลื่นสูง ยังดูขาวสะอาดอยู่เลยครับ ทรายละเอียด เวลาเดินรู้สึกนุ่มเท้ามากๆ ขนาดวันที่ฟ้าปิด แสงไม่ค่อยมี ยังมองเห็นสีเขียว สีครามของน้ำทะเลได้ สวยงามจริงๆ ครับ จริงๆ ช่วงเวลาที่มายังเกาะ 4 ทัวร์จะพาไปดำน้ำด้วย แต่เนื่องจากวันนี้คลื่นค่อนข้างสูง เลยไม่พาลูกทริปไปเสี่ยงต่อการดำน้ำ เราใช้เวลาอยู่ที่เกาะ 4 ราว 1 ชั่วโมง ก็เดินทางไปยังเกาะ 8 ครับ

ระหว่างจากเกาะ 4 มายังเกาะ 8 คลื่นเริ่มสูงขึ้นกว่าช่วงที่เดินทางจากฝั่งมายังเกาะ 4เรียกความตื่นเต้นได้ไม่น้อยเลยครับ

แต่ก็แปลกนะครับ เมื่อเรือหันหัวเข้ามาเทียบที่เกาะ 8 คลื่นลมกับสงบลงไปเยอะเลย ช่วงเวลานี้ทัวร์ขอเวลาไปจัดเตรียมอาหารบนเกาะ 8 ส่วนคนที่ไม่ออกไปดำน้ำ ก็สามารถขึ้นเกาะ 8 เพื่อไปชมหินเรือใบ ซึ่งเป็นจุดชมวิวมุมสูงของเกาะ 8 กันก่อนได้เลย ส่วนใครที่จะออกไปดำน้ำ ไกด์จะพาไปดำน้ำกันก่อนที่จะขึ้นมาทานมื้อเที่ยงครับ สำหรับผมขอเลือกที่จะลงเก็บภาพที่เกาะ 8 ครับ

น้ำสีเขียวมรกตจริงๆ ครับ ยืนยันได้จากภาพนี้เลย

เกาะสิมิลัน หรือเกาะ 8 เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในหมู่เกาะสิมิลันครับ เห็นก้อนหินตรงกลางไหมครับ ลักษณะคล้ายหัวเป็ดโดนัลด์ดักส์เลย บางคนก็จินตนาการเหมือนรองเท้าบู๊ทครับ

หินที่เห็นโดดเด่นที่สุดคือหินเรือใบ ซึ่งถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของหมู่เกาะสิมิลันเลยครับ

เมื่อเดินขึ้นฝั่ง ขอเก็บภาพป้ายกับ Landmark ของสิมิลันกันก่อน เดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึงสิมิลันครับ

สำหรับการเดินทางจากชายหาดขึ้นไปยังหินเรือใบ ใช้เวลาเดินขึ้นประมาณ 15 นาที เรียกเหงื่อได้ดีพอสมควร เส้นทางก็ไม่ลำบากอะไรมากครับ แต่จะมีบางช่วงที่จะต้องทำตัวให้เล็กๆ เพื่อมุดมอดไปตามช่องหิน ช่วงแรกๆ พื้นยังเป็นดิน ยังเดินได้สบายอยู่ แต่เมื่อเดินขึ้นไปบนจุดชมวิวแล้ว ความร้อนที่มากระทบกับหินที่ขรุขระ จะเป็นอุปสรรคสำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่ได้ใส่รองเท้าขึ้นมาอย่างผมครับ

ด้านบนสวยมากๆ ครับ มองเห็นถึงความแตกต่างของสีน้ำทะเลอย่างชัดเจน เสียดายมากๆ ที่ฟ้าปิด ทั้งๆ ที่ตอนนี้แดดเริ่มมาครับ

ลักษณะของอ่าวสิมิลันมีรูปโค้งคล้ายเกือกม้าครับ

น้ำใสม๊วกกก มุมนี้เหมือนสระว่ายน้ำธรรมชาติเลยครับ

ความเขียวขจีของป่าฝน ตัดกันกับสีฟ้าครามของน้ำทะเล สวยมากๆ ครับ

ดูความใสของน้ำซิครับ เหมือนเรือลอยอยู่ในอากาศเลย

ผมอยู่บริเวณจุดชมวิวนานพอสมควร ใจจริงอยากจะนั่งสูดอากาศบนนี้ไปนานๆ แต่เนื่องจากอยู่นานแล้วเจ็บเท้ามากๆ เลยขอลงมานั่งพักริมชายหาดดีกว่าครับ

เมื่อลงมาถึงชายหาด ทาง WOW Andaman ก็ได้จัดเตรียมไลน์ Buffet อาหารกลางวันเกือบเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมเลยเดินสำรวจไลน์อาหารนิดหน่อย สำรวจไปสำรวจมา ท้องร้องเลยครับ แล้วเป็นจังหวะเดียวที่ลูกทริปกลับมาจากดำน้ำ ไกด์เลยพาลูกทริปที่กลับมาจากดำน้ำขึ้นไปยังจุดชมวิวบนหินเรือใบ ส่วนผมไกด์ให้ทานเที่ยงได้เลยครับ

มาดูกันดีกว่าครับว่า WOW Andaman จัดเตรียมอาหารอะไรไว้ให้บ้าง

ไลน์อาหารถือว่าหลากหลายเลย ที่เห็นเป็นเส้นๆ นั่นสปาเก็ตตี้ครับ

ต้มยำทะเล มีทั้งกุ้ง ปลาหมึก ปลา รสชาติดีครับ

ปลาราดพริก เผ็ดนิดๆ

น่องไก่ทอด

ผัดผักรวม

BBQ ไก่

ไก่สะเต๊ะ

มุมส้มตำครับ ใครใคร่ตำไร สั่งได้เลย

มุมเครื่องดื่ม มีชาชักด้วย ชักกันสดๆ ใหม่ๆ ครับ

มุมของหวาน ข้าวเหนียวมะม่วง เสริฟพร้อมไอศกรีมครับ

ตบท้ายด้วยเค๊กครับ

หลังจากไกด์ลงมาจากจุดชมวิว ก็มาแจ้งกับลูกทริปว่า วันนี้เราคงต้องเดินทางกลับเข้าฝั่งเร็วกว่ากำหนดนิดหน่อย เพราะตอนที่ไกด์ขึ้นไปยังจุดชมวิว มองเห็นคลื่นทะเลที่ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว เกรงว่าหากเราเดินทางกลับช้า อาจจะเจอพายุฝนได้ครับ

หลังจากทานเสร็จ ผมก็เดินหามุมถ่ายภาพอีกสักพัก ก็ถึงเวลาต้องอำลาสิมิลันแล้วครับ

ตลอดระยะเวลาที่อยู่บนเรือช่วงขากลับ ผมเจอคลื่นสูงตั้งแต่เริ่มออกจากเกาะแปดเลยครับ คลื่นสูงและน่ากลัวมาก Speed Boat ถาโถมเข้าสู่คลื่น บางช่วงก็ยกตัวสูงตามความสูงของคลื่น แล้วก็กระแทกกับพื้นน้ำอย่างแรง จนน้ำทะเลสาดกระเด็นเข้ามาใน Speed Boat เกือบตลอดเวลา เรียกได้ว่าแทบทุก 30 วินาทีกันเลยทีเดียว ผมเองนั่งนิ่ง ในใจก็นิมนต์พระมาจากทั่วทุกสารทิศ หยิบบทสวดทั้งคาถาบูชาหลวงปู่ทวด หรือจะเป็นคาถาชินบัญชรแบบสั้น นั่งสวดในใจมาตลอดทาง ลูกทริปบางคนอาเจียนกันคนละหลายรอบ แต่ที่น่าสงสารที่สุดเห็นจะเป็นลูกทริปที่นั่งท้ายเรือ ที่โดนคลื่นสาดกระเซ็นจนตัวเปียกโชกไปหมด ได้อารมณ์ตอนไปเล่นเครื่องสนุกแบบแกรนด์แคนยอนเลยครับ เกือบ 1 ชั่วโมงครึ่งที่ผมต้องนั่งสวดมนต์นั่งลุ้นกันมาตลอดทาง แต่พอเข้าใกล้ฝั่งพังงา คลื่นลมกับนิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย รวมระยะเวลาเดินทางจากเกาะ 8 มายังฝั่งพังงา ใช้เวลาร่วม 2 ชั่วโมงครับ

หลังจากกลับเข้าฝั่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทาง WOW Andaman จะให้ลูกทริปได้นั่งพักกันสักเล็กน้อยก่อนที่จะไปส่งลูกทริปกลับยังโรงแรม ใครใคร่อาบน้ำก็สามารถอาบน้ำได้ เพราะทาง WOW Andaman ได้สร้างห้องน้ำที่ค่อนข้างใหญ่และสะอาดไว้คอยให้บริการ พร้อมนี้ยังได้เตรียมของว่างไว้ให้อีกต่างหาก ผมว่าการบริการของที่นี่ใช้ได้ดีเลยทีเดียว เมื่อเทียบกับ บริษัททัวร์สีฟ้าชื่อดัง ที่ผมเคยได้มีโอกาสใช้บริการมาแล้วครั้งหนึ่งWOW Andaman สู้ได้สบายๆ ครับ ผมว่า WOW Andaman เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งสำหรับคนที่มีงบประมาณจำกัดแบบผม ครั้งหน้าถ้าผมได้มีโอกาสไปเที่ยวเกาะตาชัยหรือจะมาล้างตาที่สิมิลันอีก คิดว่าคงจะกลับมาใช้บริการที่นี่อย่างแน่นอนครับ

หลังจากกลับถึงรีสอร์ท ฟ้าเริ่มเปิดบ้างนิดหน่อย ผมเลยไปเดินเล่นที่ชายหาดบางเนียงครับ

บรรยากาศที่นี่ดีมาก นี่ถ้าฟ้าเปิดกว่านี้ ผมว่าจุดนี้เป็นจุดที่ชมพระอาทิตย์ตกที่สวยเลยทีเดียวครับ

คืนนี้เมื่อหลังถึงเตียงนุ่มๆ ผมหลับสนิทยาวจนเช้าเลยครับ

เช้านี้ผมมีเวลาละเมียดละไมกับอาหารมื้อเช้าได้นานกว่าเมื่อวานครับ เช้านี้ท้องฟ้าปลอดโปร่ง ผมเลยเลือกมานั่งทานอาหารแบบ Outdoor ครับ

อาหารก็ยังหลากหลายอยู่เหมือนเดิมครับ

นั่งทานในบรรยากาศปลอดโปร่ง มันทำให้การทานอาหารมื้อเช้าของผมเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขจริงๆ ครับ

หลังจากทานมื้อเช้าเรียบร้อยแล้ว ผมยังพอมีเวลาเหลืออีกนิดหน่อยที่จะเดินสำรวจรอบๆ รีสอร์ทก่อนเดินทางกลับ เพราะวันแรกผมมาถึงก็ค่อนข้างเย็นแล้ว เมื่อวานก็มีเวลาอยู่ในรีสอร์ทค่อนข้างน้อย วันนี้เลยถือโอกาสสำรวจกันสักหน่อยครับ

เริ่มที่ห้องแรกเลยครับ อยู่ชั้นล่างของ Lobby เช่นกัน เยื้องๆ ห้องอาหาร The Kitchen คือ Mellow Bean Cafe ลักษณะจะคล้ายๆ Cafe ที่ให้บริการเครื่องดื่มทั้ง ชา กาแฟ และยังมีการจำหน่ายของที่ระลึกด้วย นอกจากนี้ยังบริการฟรีเรื่อง Internet Cafe, หนังสือ และแผ่น DVD ครับ

ติดกับ Mellow Bean Cafe เป็น Fitness Room ครับ เปิดบริการตั้งแต่ 06.00-22.00 น. มีเครื่องออกกำลังกายเยอะเชียวครับ

มุมมองจาก Lobby มองออกไปเห็นสนามหญ้าเปิดโล่ง เบื้อหน้าเป็นสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ที่สามารถว่ายน้ำไปชมบรรยากาศของหาดบางเนียงไปพร้อมๆ กัน เจ้าหน้าที่บอกว่าในวันที่ฟ้าใสจะมองเห็นน้ำทะเลสีเขียว ตัดกับร่มสีแดงบริเวณสระว่ายน้ำ สวยงามเลยทีเดียว

มองจากสนามหญ้ากลับเข้าไป ชั้นบนเป็น Lobby ชั้นล่างด้านซ้ายมือคือห้องอาหาร The Kitchen ด้านขวามือเป็น Mellow Bean Cafe และ Fitness Room ครับ

พื้นที่ส่วน Garden View ซึ่งผมพักอยู่โซนนี้ครับ

โซนนี้อยู่ข้างๆ สระว่ายน้ำครับ

สระว่ายน้ำขนาดใหญ่ท่ามกลางดงมะพร้าว ให้บรรยากาศริมทะเลดีจริงๆ รอบๆ สระว่ายน้ำทางรีสอร์ทเตรียม Daybed ไว้ให้เยอะเลยครับ

Pool Bar ริมสระว่ายน้ำ มีบริการอาหารเที่ยงที่ปรุงกันสดๆ ตั้งแต่เวลา 12.00-15.00 น. และยังมีช่วง Happy Hour ที่สามารถสั่งเครื่องดื่ม ซื้อ 1 แถม 1 ตั้งแต่เวลา 16.30-18.00 น. ครับ

มุมสระว่ายน้ำ มองเข้าไปยังรีสอร์ท คาดว่าสระนี้น่าจะเป็นสระของเด็กครับ

ถัดจากริมสระว่ายน้ำจะเป็นพื้นที่ที่ทางรีสอร์ทได้เตรียม Daybed ไว้สำหรับให้แขกได้มานอนเล่นอาบแดด หรือชมพระอาทิตย์ตกยามเย็นครับ

Sassi's Beach Club เป็นการผสมผสานระหว่างบาร์และห้องอาหาร ให้บริการอาหารหลากหลาย ทั้งบุฟเฟต์อาหารไทยและอาหารนานาชาติ รวมทั้งอาหารทะเลสดๆ ที่ทางรีสอร์ทจะมีการจัดกิจกรรมทุกๆ สัปดาห์ มีการปรุงอาหารกันสดๆ ริมชายหาดกันเลยทีเดียว เปิดบริการตั้งแต่ 11.00-24.00 น. ครับ

ได้เวลาอันสมควรแล้ว ผมคงต้องอำลา RAMADA KHAO LAK RESORT ไปแล้ว

จากการได้เข้าพักที่นี่ 3 วัน 2 คืน (ถึงแม้ว่าผมจะใช้ห้องได้ไม่คุ้มค่าเท่าที่ควร) ผมว่าที่นี่เหมาะกับการพักผ่อนครับ เพราะเงียบสงบและมีความเป็นส่วนตัวเป็นอย่างมาก ห้องพักก็ไม่แออัดเหมือนอย่างหลายๆ รีสอร์ทที่ผมเคยได้เข้าพักมา มีพื้นที่สีเขียวเยอะมาก พนักงานยิ้มแย้มแจ่มใส เต็มใจให้บริการเป็นอย่างมาก เวลาเดินผ่านก็จะยกมือไหว้ทักทายตลอด ขนาดผมเดินไปเดินกลับ 2 รอบ พนักงานคนเดิมยังยกมือไว้ทั้งไปและกลับทั้งสองรอบเลยสำหรับรายละเอียดในห้องพักก็ถือว่าตอบสนองต่อการพักผ่อนได้เป็นอย่างดี อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน หมอนและเตียงนุ่ม นอนสบายมากๆ ครับ

สำหรับปัญหาที่ผมประสบในห้องพักคือ เวลาอาบน้ำโดยฝักบัว น้ำจะกระเด็นมาเข้ารางบริเวณประตูบานเลื่อน ทำให้น้ำไหลนองออกมาด้านนอกห้องอาบน้ำ แต่ถ้ามีอะไรสักอย่างเช่นซิลิโคน มากันน้ำตรงรางเลื่อนช่วงปลาย น้ำจะไม่ไหลออกมานองพื้นห้องแน่ๆ ผมไม่แน่ใจว่าปัญหาแบบนี้มีเฉพาะห้องผมหรือทุกห้องนะครับ ซิลิโคนอาจจะหลุดเฉพาะห้องผมก็ได้

ด้วยระยะทางประมาณ 83 กิโลเมตรจากรีสอร์ทไปยังสนามบินภูเก็ต ผมขับรถมาเรื่อยๆ ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงนิดๆ ก็มาถึงภูเก็ตครับ ดูจากเวลาแล้วผมยังมีเวลาเหลือประมาณ 2 ชั่วโมง ที่สามารถเที่ยวในภูเก็ตได้อีกนิดหน่อย โดยหาที่เที่ยวในละแวกใกล้ๆ สนามบิน จุดแรกที่แวะคือ บริเวณสะพานสารสินครับ

เห็นท้องฟ้าวันนี้แล้วรู้สึกเจ็บแปล๊บในใจแบบบอกไม่ถูก ทำไมเมื่อวาน ช่วงที่ผมไปสิมิลัน ไม่ได้ฟ้าแบบนี้เนี่ย ฟ้าสวยแบบนี้ขอเก็บบรรยากาศทะเลข้างๆ สะพานสารสินมาฝากครับ

ใกล้ๆ สะพานสารสิน จะมีท่ารถโพถ้อง พาหนะย้อนอดีต สะท้อนเอกลักษณ์เมืองภูเก็ตเมื่อวันวาน เลยขอเก็บรูปสักหน่อยครับ

จุดหมายต่อไปของผมอยู่ที่วัดพระทอง หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ วัดพระผุดครับ

องค์พระผุดประดิษฐานอยู่ภายในวิหารหลวงพ่อพระทองครับ

องค์พระผุดเป็นพระพุทธรูปทองคำครึ่งพระองค์ ที่โผล่เพียงพระเกตุมาลาขึ้นมาจากพื้นดินประมาณ 1 ศอก ปัจจุบันทางวัดได้สร้างพระผุดองค์จำลองไว้ใกล้ๆ กันเพื่อให้พุทธศาสนิกชนมาติดทองเพื่อความเป็นสิริมงคลครับ นอกจากองค์พระผุดแล้ว ที่นี่ยังมีพิพิธภัณฑ์ด้วย ด้านในจัดแสดงของเก่าแก่หลายอย่างเลย แต่วันที่ผมไปพิพิธภัณฑ์ปิดครับ แต่ผมเคยได้เข้าชมที่นี่มาแล้ว ด้านในไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป ถ้าใครไปสักกะระพระทองแล้ว หากพิพิธภัณฑ์ไม่ปิด ผมแนะนำให้ขึ้นไปชมนะครับ

ผมยังมีเวลาเหลืออีกประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนถึงเวลานัดหมายคืนรถ ผมเลือกมาปิดทริปที่หาดในยาง ซึ่งอยู่ห่างจากสนามบินไม่ไกลเลยครับ

จากสี่แยกสนามบินให้ตรงมาเรื่อยๆ จนพบสามแยก ให้เลี้ยวซ้าย จากนั้นสังเกต 7-11 ให้ดีครับเพราะอยู่ไม่ไกลจากสามแยกเลย ให้เลี้ยวขวาตรงนี้ เข้ามาอีกนิดหน่อยก็จะเจอสามแยกอีกที ถ้าเลี้ยวขวาจะเข้าไปในเขตอุทยานแห่งชาติสิรินาถ ให้หาที่จอดรถตรงสามแยกได้เลยครับ จะมีลานกว้างอยู่ จอดรถตรงนี้ไม่เสียค่าเข้าอุทยานครับ

ตรงจุดจอดรถมีแนวต้นสนขนาดใหญ่มากๆ เรียงเป็นทิวเลยครับ ดูแล้วสวยเชียวแหล่ะครับ

จากจุดจอดรถ ก็สามารถมองเห็นหาดในยางแล้วครับ ที่หาดแห่งนี้สามารถมองเห็นเครื่องบินที่กำลังจะลงสนามบินภูเก็ตได้ด้วย ช่วงที่ผมกำลังเดินทางมาที่หาดในยาง มีเครื่องลงหลายลำเชียว แต่หลังจากที่ผมมายืนริมหาด กลับไม่มีเครื่องบินบินลงเลย ให้มันได้อย่างนี้ซิ พลาดทุกโอกาสสำคัญจริงๆ

ขอปิดท้ายทริปนี้ด้วยรูปรถเช่าของบริษัท Blue Beetle car rent ครับ ที่อัพเกรดรถที่ผมจองไว้จาก Vios ให้เป็น New Vios แถมยังให้ผมคืนรถช้าได้เกือบ 2 ชั่วโมง โดยที่ไม่คิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเลย (ช่วงที่ผมจองรถ ผมได้โปรฯ ค่าเช่าวันละ 900 บาท ถ้าหากคืนรถช้ากว่าเวลา คิดชั่วโมงละ 100 บาท แต่เจ้าหน้าที่บอกกับผมตอนที่ผมทำสัญญา เขาบอกว่าผมเป็นลูกค้าเก่า เลยต่อเวลาให้ฟรีครับ) ต้องขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้อีกครั้งที่ทำให้ผมประหยัดค่าเช่ารถไปอีก 200 บาทครับ รับรองว่าถ้าหากมาภูเก็ตอีก ผมจะมาใช้บริการเป็นรอบที่ 3 อย่างแน่นอน สำหรับค่าน้ำมันตลอดทริปนี้ ใช้ไปประมาณ 700 บาทครับ

ถ้าหากเพื่อนคนไหนสนใจที่จะเช่ารถกับบริษัทBlue Beetle car rent สามารถเข้าไปดูโปรโมชั่นดีๆ ได้ที่แฟนเพจ “รถเช่าภูเก็ตและทัวร์ภูเก็ต" (ตัวหนังสือติดกันทุกตัวนะครับ เพราะตอนนี้เห็นว่ามีคนตั้งชื่อเพจชื่อเดียวกันเลย แต่เว้นวรรคต่างกัน) นะครับ การทำสัญญาก็ไม่ยุ่งยากอะไรเลย ใช้แค่สำเนาบัตรประชาชนและสำเนาใบขับขี่เท่านั้น ราคาที่เราต้องจ่ายนั้นก็ตามราคาโปรฯ ที่เราเลือก ไม่มีบวกเพิ่มเติมตอนทำสัญญาครับ

เมื่อถึงสนามบินผมก็แวะมา Drop สัมภาระก่อนขึ้นเครื่องอีกเช่นเคย เพราะผมทำการ Check in ล่วงหน้ามาแล้วครับ

หลังจาก Drop สัมภาระเรียบร้อยแล้ว ผมรีบเดินเข้า Gate เพื่อไปใช้บริการ Lounge ของ Bangkok Airways เมื่อผ่านกรรมวิธีสแกนแล้ว ให้เลี้ยวขวา เดินไปจนสุดจะพบกับ Lounge ของ Bangkok Airways ครับ

เหมือนเดิมครับ เมื่อเข้ามาใน Lounge แล้ว ให้แสดง Boarding Pass ตรงหน้าเคาเตอร์ พนักงานจะตรวจสอบและให้รหัส wifi เพื่อนำมาใช้งานใน Lounge ครับ

วันนี้ผู้โดยสารค่อนข้างเยอะ และมีการ Delay ของทุกสายการบินด้วย วันนี้ Lounge จึงมีผู้โดยสารมาใช้บริการค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว มีบางส่วนต้องยืนรอที่นั่งว่างใน Lounge ด้วย ผมเลยไม่ได้เก็บบรรยากาศใน Lounge มาให้ชม เพราะเต็มไปด้วยผู้โดยสาร

มุมอาหารว่างครับ

มีอาหารญี่ปุ่นด้วย เก๋ไก๋ไม่เบาครับ

ขนมไทย อย่างขนมทองเอก และ ไข่ในรังด้วย ถูกใจผมมากๆ

ที่ขาดไม่ได้ก็คือข้าวต้มมัด แล้วยังมีขนมเทียนและขนมสอดไส้มาเสริมกำลังทัพอีกด้วยครับ

ขากลับนี้ผมเดินทางกับ “KRABI" ครับ

เครื่องบินลำนี้มีรอยขูดขีดที่หน้าต่างแทบทุกที่นั่งเลยครับ ทำให้เวลาถ่ายภาพด้านนอกมองเห็นรอยขูดขีดอยู่เต็มไปหมด

มุมมองที่เห็นตรงนี้เป็นทะเลในอ่าวพังงาครับ สังเกตดูดีๆ จะเห็นเกาะปันหยีด้วย ใครอยากเห็นมุมนี้ ขากลับแนะนำให้เลือกนั่ง Window seat ด้านขวามือนะครับ

สักพักก็เริ่มเสริฟของว่าง ไม่แน่ใจว่าเรียก Puff ไก่ หรือเปล่า แต่ที่รู้ๆ แป้งแข็งและกระด้างมาก หรือว่าผมคอไม่ถึงก็ไม่รู้ เลยรู้สึกไม่ค่อยปลื้ม เสริฟพร้อมกับผลไม้ครับ

อีกสิ่งหนึ่งที่ผมประทับใจบางกอกแอร์เวย์ นอกเหนือจาก Lounge อาหารว่างที่เสริฟบนเครื่อง และการบริการแล้ว ระยะห่างของที่นั่งด้านหน้ากับที่นั่งที่เรานั่ง มีความกว้างที่คนตัวสูงๆ อย่างผมสามารถยืดขาได้อย่างสบาย (สายการบินอื่น เบาะจะติดกับหัวเข่าเลย) ถือเป็นความพึงพอใจสำหรับผมเป็นอย่างมากครับ

เพียง 1 ชั่วโมงจากสนามบินภูเก็ต ผมก็มาถึงสนามบินสุวรรณภูมิด้วยความสวัสดิภาพครับ

ท้ายสุดนี้ผมขอขอบคุณ RAMADA KHAO LAK RESORT ที่สนับสนุน voucher ที่พักฟรี จำนวน 3 วัน 2 คืนให้กับเพจ Thailand Circle of Love เพื่อมาจัดกิจกรรมดีๆ ให้กับแฟนเพจได้ร่วมสนุกครับ

ความคิดเห็น