ทริปนี้ไม่มีอะไรมากมาย เห็นมีวันหยุด 3 วันแล้วเกิดอาการคันที่เท้าครับ เลยมานั่งวางแผนหาที่ท่องเที่ยวที่ไม่ไกล สบายๆ ชิวๆ พยายามหาที่เที่ยวใหม่ๆ (สำหรับผม) โดยปักหมุดไว้ 3 ที่ด้วยกัน คือ ชมโคมไฟที่โรงละครอลังการ , หาดทรายแก้วที่สัตหีบ และโดดไปทานปูนิ่มที่ อ.ขลุง จ.จันทบุรี ครับผมออกเดินทางจากลพบุรีตั้งแต่ตี 5 ใช้เส้นทางมอเตอร์เวย์ แล้วแวะเติมพลังกันที่ร้านนายถึก ไก่หุบบอนครับ
สภาพร้านอย่างที่เห็นครับไก่ที่นี่น่าจะเป็นไก่บ้าน เพราะเนื้อไก่ค่อนข้างเหนียวเลยทีเดียว
เมนูแรกที่สั่งมาเป็นไก่สับ หน้าตาไก่ดูเซ็งๆ รสชาติถือว่ากลางๆ ครับ นี่ถ้าไก่มาแบบร้อนๆ สักนิด คงเพิ่มความอร่อยได้มากกว่านี้
ไก่กรอบผัดพริกแกง ถึงแม้หน้าตาจะดูไม่ค่อยน่าทาน แต่เมื่อลองชิมไปนิดเดียว กับหยุดทานไม่ได้ครับ ไก่นำมาทอดกรอบคล้ายๆ กับการเจียวกากหมู จึงทำให้ไก่คงความกรอบได้นาน เมื่อนำมาคลุกเคล้ากับพริกแกง ทำให้รสชาติพริกแกงเข้าไปเคลือบที่ตัวไก่กรอบ เมนูนี้อร่อยดีครับ
ผัดกะเพราไก่รวมมิตร รสชาติกลางๆ ครับ
คะน้าไก่กรอบ รสชาติกลางๆ เช่นกัน
ปิดท้ายด้วย ต้มยำไก่รวมมิตร ซดน้ำคล่องคอ รสชาติจัดจ้านครับ
อิ่มท้องกันแล้วก็เดินทางกันต่อ มุ่งหน้าสู่สัตหีบ จุดหมายแรกของผมอยู่ที่หาดทรายแก้วครับ
หลายคนที่เคยไปเกาะเสม็ดมา อาจสงสัยว่าหาดทรายแก้วมันอยู่ที่เกาะเสม็ดไม่ใช่เหรอ ถูกต้องแล้วครับ หาดทรายแก้วอยู่ที่เกาะเสม็ด นอกจากนั้นแล้วหาดทรายแก้วยังมีอีกที่ คือที่สัตหีบครับ
หาดทรายแก้วที่ผมกำลังจะไป อยู่ภายในโรงเรียนชุมพลทหารเรือ สำหรับการเดินทางมาที่นี่ จากพัทยาให้ขับรถมุ่งหน้าสู่สัตหีบ จะผ่านตลาดน้ำสี่ภาค , Mimosa และเมื่อผ่านทางเข้าสวนนงนุช ซึ่งอยู่ทางซ้ายมือแล้ว ให้ขับชิดขวาไว้ สังเกตสะพานลอยคนข้ามถนน ให้เตรียมเลี้ยวขวาที่สะพานลอยแรกครับ
เมื่อเลี้ยวเข้ามาในโรงเรียนชุมพลทหารเรือแล้ว ต้องจอดรถแลกบัตรเพื่อเข้าไปด้านในก่อนนะครับ
ได้บัตรผ่านแล้วให้เอาบัตรที่ได้วางไว้ที่คอนโซลด้านหน้าเพื่อให้ทหารเวรมองเห็นด้วยนะครับ จากจุดแลกบัตรมองออกไปข้างหน้า จะเห็นทิวของต้นไม้ใหญ่ตลอดสองข้างทาง ดูร่มรื่นมากๆขับรถไปตามแนวต้นไม้เข้าไปจนสุด รับรองว่าไม่หลงทางแน่นอน จากนั้นจะมองเห็นป้ายบอกทางเพื่อไปยังหาดทรายแก้วครับ
ขับรถเข้ามาเรื่อยๆ จะเริ่มมองเห็นทะเลสีฟ้าครามแล้วครับ ขับรถเลียบทะเลมาได้สักเล็กน้อย จะเห็นป้อมเพื่อชำระค่าเข้าชมหาดทรายแก้ว คนละ 50 บาท การมาเที่ยวที่นี่ในวัน เสาร์-อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 08.00-17.00 น. นักท่องเที่ยวจะต้องจอดรถไว้ใกล้ๆ บริเวณป้อมชำระเงินแห่งนี้ โดยสามารถจอดรถไว้ได้บริเวณริมทะเลครับ แต่ถ้าหากมาเที่ยวนอกเหนือเวลาดังกล่าว สามารถขับรถเข้าไปยังหาดทรายแก้วได้เลย แต่อย่าลืมจอดรถเพื่อชำระค่าเข้าชมก่อนนะครับ
บริเวณจุดจอดรถ สามารถมองเห็นเมืองพัทยาได้ด้วย แถมยังมีมุมสวยๆ ไว้ให้ถ่ายรูปเยอะเลยครับ
เมื่อชำระเงินเรียบร้อยแล้ว เดินต่อนิดหน่อย จะมองเห็นศาลาสำหรับให้นักท่องเที่ยวได้รอขึ้นรถสองแถวเพื่อจะไปยังหาดทรายแก้ว ค่าเข้า 50 บาทที่เราจ่ายไปนั้นจะ รวมค่ารถไปกลับเรียบร้อยแล้วนะครับ ไม่ต้องจ่ายเพิ่มแต่อย่างใด
ด้วยระยะทางประมาณ 2 กม.รถสองแถวพาขับขึ้นไปตามสภาพความสูงชันของภูเขาซึ่งไม่ชันมากนัก แต่โค้งไปโค้งมาพอสมควร อย่ามัวแต่จดจ่อจ้องกันอยู่ท้ายรถครับ มองออกไปดูวิวข้างนอกจะทำให้ลืมอาการเวียนหัวไปได้
แล้วรถก็มาจอดอยู่ตรงป้ายด้านหน้าทางเข้าหาดทรายแก้ว วันนี้ถือว่าฤกษ์ดีครับ ฟ้าสวยและใสเป็นอย่างยิ่ง
เดินถัดจากป้ายเข้ามา ด้านขวามือจะเป็นร้านค้าสวัสดิการ มีร้านอาหารไว้คอยบริการด้วย
จากร้านค้าสวัสดิการ มองเห็นป้ายหาดทรายแก้ว ผมมั่นใจว่าใครมาเที่ยวที่นี่ คงจะอดถ่ายรูปมุมนี้ไม่ได้อย่างแน่นอนครับ
ถึงแม้ว่าหาดทรายจะไม่ขาวใสเหมือนหาดทรายที่อยู่ตามเกาะต่างๆแต่ผมว่าหาดทรายที่นี่ก็ยังสวยกว่าอีกหลายหาดทรายที่อยู่บนฝั่งด้านขวานทองของไทยครับ
น้ำทะเลที่นี่สวยและใสเชียวครับ
มีกิจกรรมทางทะเลด้วย แต่ไม่พลุกพล่านเหมือนชายหาดพัทยาหรือเกาะล้านครับ ตอนที่ผมไปไม่เห็นมีคนมาเล่นกิจกรรมนะครับ ผมคิดว่านักท่องเที่ยวที่มาที่นี่ มาหาความสงบซะมากกว่าครับ
หันหน้าลงหาด หากเราเดินไปทางซ้ายมือ ปลายสุดของชายหาดจะเป็นหาดหินครับ หินค่อนข้างคมเลยทีเดียว
ส่วนปลายหาดทางขวามือ ก็จะเป็นหาดหินเช่นกัน
ภาพกว้างๆ ของหาดทรายแก้ว ผมว่าถ้ามาเที่ยวพัทยาแล้ว หากใครชอบความสงบ ความเป็นส่วนตัว ผมขอแนะนำที่นี่เลยครับ “หาดทรายแก้ว"
ออกจากหาดทรายแก้วมา ท้องก็เริ่มร้องอีกแล้ว ผมเลยแวะเข้าไปหามื้อเที่ยงทานที่บางเสร่ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนชุมพลทหารเรือ แล้วผมก็มาหยุดอยู่ที่ร้าน ปรีชาซีฟู้ดครับ
บรรยากาศในร้านมีทั้งแบบ indoor ในห้องแอร์และรับลมธรรมชาติ แล้วยังมีแบบ outdoor ครับ แต่ช่วงกลางวันแดดเปรี้ยงๆ แบบนี้ ผมขอเลือกมานั่งใน indoor ดีกว่า วิวที่มองเห็นออกไปคือเมืองพัทยาอยู่ลิบๆครับ
เที่ยงนี้ ผมได้กรรเชียงปูนึ่ง แต่ดูเหมือนไม่ค่อยสดเท่าไร เมนูนี้รู้สึกเฉยๆ ครับ
ยำรวมมิตร มีทั้งกุ้ง ปลาหมึก หอยนางรม อร่อยดีครับ
ปลากะพงทอดน้ำปลา เสริฟพร้อมน้ำยำมะม่วง อร่อยไม่อร่อย สมาชิกในทริปผมแทะซะเกลี้ยงเลยครับ
กุ้งอบวุ้นเส้น รสชาติกลางๆ ครับ
แกงส้มไข่ปลาเซียว รสชาติเปรี้ยวจัดจ้าน ไข่ปลาเม็ดใหญ่มากครับ
ต้มยำรวมมิตร รสชาติจัดจ้านไม่แพ้กัน
ถือว่าอาหารราคาไม่แพงครับ ถ้ามีโอกาสมาที่พัทยาอีก คงจะมาทานที่ร้านนี้ตอนเย็นๆ มานั่งบริเวณ outdoor ดูบ้าง คงจะอิ่มอร่อยทั้งอาหารตาและอาหารปากเป็นแน่ๆ
ครับออกจากร้านปรีชาซีฟู้ด ผมกลับมาพักผ่อนที่ ELEVEN@JOMTIEN RESORT ซึ่งจะเป็นที่พักของผมในคืนนี้ครับ
ELEVEN@JOMTIEN RESORT อยู่ในซอยจอมเทียน 11 ถึงแม้รีสอร์ทจะไม่อยู่ติดทะเล แต่สามารถเดินไปหาดจอมเทียนได้ด้วยระยะทางประมาณ 100 เมตร ด้านข้างมีลานจอดรถ แต่น้อยไปสักนิดครับ
บริเวณ Lobby มีพื้นที่ให้แขกได้นั่งพักเล็กน้อยครับ
พื้นที่ทางด้านซ้ายของรูปติดกับ Lobby เป็นส่วนของห้องอาหารครับ
ภายในห้องพักค่อนข้างกว้างขวางเลยทีเดียว ในห้องจะมีเตียง 2 ขนาด เป็นเตียงใหญ่ 1 เตียง และเตียงเล็กอีก 1 เตียง มีประตูบานเลื่อนสามารถเดินออกไปสูดอากาศที่ระเบียงห้องได้ ที่ระเบียงห้องมีชุดเก้าอี้ให้นั่งเล่นด้วยครับ สำหรับอุปกรณ์อำนวยความสะดวก จะมีทีวี กาน้ำร้อน ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ Free wifi วันที่ผมไปสัญญาณ wifi เต็มแต่เล่นไม่ได้ สอบถามพนักงานบอกว่า Wifi มีปัญหานิดหน่อยครับ
ภายในห้องน้ำแยกส่วนเปียกส่วนแห้งโดยผนังกระจกครับ
บริเวณชั้น 5 ซึ่งเป็นชั้นบนสุดของโรงแรม มีสระว่ายน้ำไว้ให้บริการฟรีครับ บนสระว่ายน้ำสามารถมองเห็นวิวของหาดจอมเทียนและพื้นที่เมืองได้อย่างสวยงาม นอกจากนี้ยังมีมุมเครื่องดื่มไว้ให้บริการด้วย แต่ส่วนนี้มีค่าบริการครับ
มาดูในส่วนของห้องอาหารกันบ้าง ผมว่าพื้นที่ในห้องอาหารเล็กไปหน่อย ช่วงเช้าผมลงมาพร้อมกับคณะทัวร์ชุดใหญ่ ทำให้พื้นที่ในห้องอาหารไม่พอรองรับแขกที่เข้ามาทานอาหารครับ สำหรับอาหารจะเป็นแบบ Buffet ครับ
เดินสำรวจโรงแรมและพักผ่อนกันจนหายเหนื่อย โปรแกรมต่อไปของผมคือ ชมการแสดงโชว์ ที่อลังการครับ ช่วงที่ผมไปมีการจัดงานมหกรรมโคมไฟอลังการด้วยครับ
บริเวณด้านหน้ามีโคมไฟเป็นรูปหอฟ้าเทียนฐาน สีสันสดใส แถมใหญ่โตมากๆ ครับ ด้านข้างเป็นที่ขายตั๋วสำหรับเข้าชมโชว์ครับ
ฝั่งตรงข้ามของหอฟ้าเทียนฐาน เป็นโคมไฟชุดเด็กจีนโบราณ และโคมไฟปีมะแมครับ
บริเวณทางเดินจากจุดจำหน่ายตั๋วไปยังโรงละครการแสดง มีการทำเป็นหน้ากากขนาดใหญ่ประดับประดา สวยงามดีครับ
เดินหลุดจากจุดเช็คตั๋ว จะพบกับโคมไฟปี่เซียะ พร้อมพัดเล่งหงส์ ขนาดใหญ่ไม่แพ้กันครับ
ชุดนี้เป็นชุดอุปรากรแห่งบูรพา (งิ้วปักกิ่ง) ครับ
มุมสวนป่าซาฟารี มีสัตว์หลากหลายชนิดเชียวครับ
กลางสระน้ำที่เห็นคือชุดมัจฉาเริงร่าท้ามังกร
บริเวณหน้าโรงละคร เป็นรูปมังกรคู่ครับ
ชุดนี้ไม่รู้ว่าชื่ออะไร
มีบริการถ่ายรูปคู่กับช้างด้วย และหลังจบการชมการแสดง สามารถมาซื้อภาพที่เราถ่ายคู่กับช้างได้ที่บริเวณด้านหน้าโรงละครครับ
พนักงานแต่งตัวด้วยชุดการละเล่นของไทยหลากหลายประเภท ภาพนี้เป็นภาพผีตาโขนครับ
ก่อนการแสดงในโรงละครจะเริ่มขึ้นตอนเวลา 18.00 น. จะมีการแสดงที่เวทีกลางแจ้งเป็นการเรียกน้ำย่อยก่อนครับ จากนั้นพอจบการแสดงที่เวทีกลางแจ้งแล้ว ประตูของโรงละครจะค่อยๆ เปิด นักท่องเที่ยวจึงจะทยอยเดินเข้าโรงละครได้ ประตูจะเปิดประมาณ 17.45 น.ครับ
การแสดงภายในโรงละครอลังการจะแบ่งเป็นทั้งหมด 3 องก์ โดยองก์แรกจะเกี่ยวกับความเชื่อของมนุษย์ มีฉากร่องรอยแห่งอารยธรรมไทย และฉากพยานาค องก์ที่ 2 เกี่ยวกับมนต์เสน่ห์แห่งศิลปวัฒนธรรม โดยเป็นฉากมหัศจรรย์จตุรทิศวิจิตรตระการตา เป็นการแสดงความงดงามของศิลปวัฒนธรรม 4 ภาค และอีกฉากหนึ่งแสดงโขน ส่วนองก์สุดท้ายเกี่ยวกับความภูมิใจอันล้ำค่าในความเป็นชาติไทย ซึ่งจะแบ่งเป็นยุคสุโขทัย อยุธยา และรัตนโกสินทร์ครับ การแสดงใช้เวลา 1 ชั่วโมง สำหรับรูปแบบการโชว์ ผมว่าจะคล้ายๆ กับการแสดงของภูเก็ตแฟนตาซี แต่ยังไม่อลังการเท่าครับ
ตอนที่อยู่ในโรงละคร ผมรู้สึกอึดอัดมากๆ ถึงแม้โรงละครจะติดแอร์ แต่อากาศภายในโรงละครค่อนข้างร้อนเลยทีเดียว แล้วยิ่งการแสดงที่มีการจุดไฟด้วยแล้ว จะมีทั้งกลิ่นน้ำมันที่เผาไหม้ ทั้งควันไฟ ตีกันตลบอบอวลไปหมด ดีหน่อยที่ผมมีน้ำยาเหลืองติดตัวไปด้วย เลยได้เอามาดมให้คลายเหม็นไปได้เยอะเลยครับ
หลังจากการแสดงสิ้นสุดลง ที่เวทีด้านนอกยังมีการแสดงกายกรรมเสฉวนด้วย แต่เนื่องจากคนเยอะมากๆ ผมเลยไม่ได้เข้าไปนั่งชม อีกทั้ง ณ ตอนนั้นท้องฟ้าก็เริ่มมืดแล้วด้วย เลยขอเดินเก็บบรรยากาศด้านนอกของโรงละคร ที่ยามนี้เต็มไปด้วยแสงสีของโคมไฟที่ต่างกันอวดสีสัน แข่งขันกันอย่างสวยงามครับ
มุมแจกันราชวงศ์หยวน แจกันสลับสีไปมาได้ด้วยครับ
มุมสวนป่าซาฟารี ยามที่เปิดไฟก็สวยไปอีกแบบหนึ่งครับ
มุมหงส์เหิรเพลินเสียงเพลง
ชุดอุปรากรแห่งบูรพา (งิ้วปักกิ่ง)
ชุดช้างทรงโบราณ
ชุดนี้ไม่รู้ว่าชื่ออะไรเหมือนกัน มีทั้งม้าน้ำ มังกร แพะครับ
มุมแพนด้าจีน
ชุดนี้ไม่แน่ใจว่าสงกรานต์ฮาเฮหรือเปล่า
โคมไฟปี่เซียะ
มุมสวนดอกไม้แดง
นกน้อยในกรงเงิน
พัดเล่งหงส์
แจกันนกยูง
ชุดเด็กชายและฝูงปลา
ชุดมัจฉาเริงร่าท้ามังกร
โคมไฟปีมะแม
และมาปิดท้ายทริปของวันที่หอเทียนฐานครับ
ผมหิ้วท้องออกมาหามื้อค่ำทานแถวๆ หน้าโรงแรม ibis บริเวณนั้นจะขายอาหารคล้ายๆ ตลาดโต้รุ่ง อาหารมีให้เลือกหลากหลาย ราคาอาหารผมว่าสมน้ำสมเนื้อกับปริมาณของอาหาร มื้อเย็นผมได้หอยทอดชามใหญ่ สนนราคาประมาณ 50 บาท จริงๆ ที่อลังการก็มีบริการอาหาร buffet ด้วยเหมือนกัน ค่าหัวอยู่ที่ 200 บาท แต่จากที่ผมได้เข้าไปเดินสำรวจแล้ว ยอมหิ้วท้องออกมาทานข้างนอกดีกว่าครับ เพราะหน้าตาอาหารจะคล้ายๆ กับ buffet อาหารเช้าของโรงแรมครับ
คืนนี้ยอมรับว่าหมดแรงจริงๆ อาจจะเหนื่อยที่ต้องตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อเตรียมตัวเดินทาง แถมยังต้องใช้พลังในการเดินรอบหาดทรายแก้วเพื่อหามุมถ่ายภาพอีก ค่ำนี้หลับยาววววครับ
เช้าวันใหม่ หลังจากที่ทานอาหารเช้าของโรงแรมเรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มออกเดินทางกันต่อ วันนี้ผมมีโปรแกรมเดินทางข้ามจังหวัด คือมุ่งหน้าสู่จังหวัดจันทบุรี หลายท่านอาจสงสัยว่ามาพัทยาแล้วทำไมไม่เที่ยวแถวพัทยา ดอดไปไกลถึงจันทบุรีเพื่อ ? เหตุผลข้อแรกของผมคือ ช่วงที่ผมเดินทางเป็นช่วงที่เมืองจันทบุรีมีเทศกาลผลไม้พอดี ผมตั้งใจจะไปทาน buffet ผลไม้ที่เมืองจันท์ หมายมั่นปั้นมือว่าจะไปทานทุเรียนให้อิ่มหมีพีมัน และเหตุผลที่สองคือ ผมตั้งใจไปทานปูนิ่มที่ฟาร์มปูนิ่ม อ.ขลุงครั้งหนึ่งแล้ว แต่เนื่องจากผมไปช่วงเทศกาลหยุด 3 วัน ทำให้เมื่อผมไปถึงที่ท่าเรือที่จะข้ามไปที่ฟาร์มปูนิ่ม ปรากฏว่าไม่มีที่สำหรับจอดรถ เลยอดทานปูนิ่มไป เหตุผลใหญ่ๆ 2 ข้อนี้ จึงทำให้ผมต้องดอดมาเมืองจันท์อีกครั้งครับ
จริงๆ การเดินทางจากพัทยาไปจันทบุรี จะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง แต่วันนั้นผมใช้เวลาเดินทางร่วมสามชั่วโมงครึ่ง ผมทำใจไว้แล้วครับสำหรับการท่องเที่ยวในวันหยุดยาว และเพื่อเป็นการเตรียมการล่วงหน้า ผมได้โทรจองโต๊ะที่ฟาร์มปูนิ่มเอาไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว รวมถึงแจ้งยอดการเข้าชมสวนผลไม้ล่วงหน้า 7 วันก่อนเดินทางครับ
ผมมาถึงเมืองจันท์ราว 11 โมง ก็มุ่งหน้าสู่ อ.ขลุงเป็นที่แรก เนื่องจากไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเดิม คือไม่มีที่จอดรถบริเวณท่าขึ้นเรือครับ จากตัวอำเภอขลุงจะมีป้ายบอกทางมายังท่าเรือที่จะข้ามไปยังฟาร์มปูนิ่มครับ เมื่อมาถึง มีนักท่องเที่ยวเริ่มทยอยขึ้นไปที่ฟาร์มปูนิ่มก่อนหน้าผมหลายรายแล้วเหมือนกัน
บรรยากาศบริเวณท่าเรือ จะมีเรือของฟาร์มปูนิ่ม (หลังคาสีฟ้า) วิ่งทยอยรับ-ส่งลูกค้าอยู่ตลอด ที่ท่าเรือจะมีร้านขายของฝากเล็กน้อยครับ ผมเองยังได้กุ้งหวานตัวใหญ่ๆ กลับไปฝากที่บ้านด้วย
จากท่าเรือไปยังฟาร์มปูนิ่ม เห็นบรรยากาศการเลี้ยงหอยนางรมอยู่ตลอดเส้นทางครับ
นั่งเรือไม่เกิน 10 นาที ก็มาถึงยังฟาร์มปูนิ่มครับ ตั้งอยู่บนเกาะกลางน้ำกันเลยทีเดียว
ขึ้นมาจากท่าเรือ จะพบมุมเล็กๆ เตรียมไว้สำหรับจำหน่ายของฝากและผมเองก็ไม่พลาด ได้สับปะรดกวนกลับไปทานเล่นที่บ้านครับ
บรรยากาศภายในร้านกว้างขวางเลยทีเดียว มีหลายมุมให้เลือกนั่งมากๆ มีทั้งแบบ indoor / outdoor นั่งชิวๆ ท่ามกลางป่าโกงกางครับ
สั่งรายการอาหารไปไม่นาน อาหารก็เริ่มทยอยมา ถือว่าอาหารออกค่อนข้างไวครับ เริ่มที่ปูนิ่มผัดผงกระหรี่
ตามด้วยปูนิ่มทอดกระเทียม ปูนิ่มแอบเค็มมากๆ ครับ
ปูนิ่มอบวุ้นเส้นครับ
กะเพราปลาหมึกชิ้นโต
หมึกชุบแป้งทอด แป้งที่หุ้มหมึกค่อนข้างหนาเลยทีเดียว
ปลากระพงทอดน้ำปลา
ต้มส้มปลากระบอก รสชาติจี๊ดจ๊าดครับ
กุ้งอบเกลือ เมนูนี้ผมไม่ได้สั่ง แต่พนักงานส่งผิดโต๊ะ เลยขอถ่ายรูปไว้สักหน่อยครับ
โดยรวมแล้ว อาหารรสชาติกลางๆ หนักไปทางเค็มครับ แต่ถือว่าวัตถุดิบค่อนข้างสด ราคาไม่แพง ใครมาเที่ยวเมืองจันท์แล้วผ่านมาทางขลุง ลองมาทานมื้อเที่ยงที่นี่ดูก็ได้นะครับ ถือเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศจากการนั่งร้านอาหารธรรมดา มานั่งทานในป่าโกงกาง กลางทะเลดูบ้าง หากใครสนใจจะโทรไปจองโต๊ะล่วงหน้า ก็สามารถโทรไปได้ที่ 086-8344523 ครับ
โปรแกรมต่อไปของผมคือ เยี่ยมชมสวนผลไม้และทาน Buffet ผลไม้ ซึ่งสมาชิกทุกคนในทริปก็ตั้งตารอคอยกันตั้งแต่เช้า ก่อนที่จะเข้าไปในสวน ผมได้โทรประสานกับทางสวนอีกครั้ง เจ้าของสวนให้ข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจว่า ช่วงนี้นักท่องเที่ยวเข้าชมสวนเป็นจำนวนมาก ทำให้ผลไม้มีจำกัด ทุเรียนที่ผมตั้งใจจะไปทานไม่อั้น ก็ถูกจำกัดสิทธิ์คือมีให้ชิมได้นิดหน่อยเท่านั้น เลยมานั่งบวกลบคูณหารแล้ว ได้ข้อสรุปว่า ราคาค่า Buffet ต่อหัวคือ 199 บาท สมาชิกในทริปนี้ของผมมี 9 คน รวมๆ แล้วจะหมดไปกับ Buffet เกือบ 1,800 บาท มติที่ประชุมออกมาว่า ไปหาซื้อผลไม้ข้างทางทานเองจะประหยัดกว่าการเข้าไปในสวนผลไม้ครับ จริงๆ แล้วราคาของผลไม้ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับที่บ้านผมเลย แต่ถือซะว่ามาซื้อผลไม้ถึงถิ่น ได้ของสดและมีคุณภาพกว่า คิดแบบนี้จะได้สบายใจครับ
หลังจากซื้อผลไม้ข้างทางกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมมุ่งหน้ากลับมายังพัทยาอีกครั้ง โดยแวะเที่ยวที่วัดญาณสังวรารามเป็นที่แรกครับ
วัดญาณสังวราราม เป็นพระอารามหลวงชั้นเอกชนิดวรมหาวิหาร สังกัดธรรมยุตินิกาย มีสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เป็นองค์ประธานจัดสร้างวัดครับ การสร้างวัดญาณสังวราราม มีจุดมุ่งหมายให้เป็นสำนักปฏิบัติ คือ เน้นทางด้านสมถและวิปัสสนาและเพื่อให้เป็นประโยชน์แก่บรรพชิตและคฤหัสถ์ในทางการศึกษาอบรมพระธรรมวินัยครับ
ภายในวัดมีพื้นที่กว้างมากๆ ผมคงเลือกชมเฉพาะบริเวณจุดสำคัญเท่านั้นครับ
เริ่มที่พระอุโบสถเป็นจุดแรก อุโบสถแห่งนี้ดัดแปลงจากแบบพระอุโบสถเก่าวัดบวรนิเวศวิหาร ภายในเป็นที่ประดิษฐานพระประธานที่มีพระนามว่า สมเด็จพระพุทธญาณนเรศวร์ ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระนเรศวรมหาราชครับ
จุดที่ 2 คือพระบรมธาตุเจดีย์มหาจักรีพิพัฒน์ สร้างขึ้นเพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชและพระบรมราชวงศ์จักรี ภายในมีทั้งหมด 2 ชั้น ชั้นล่างเป็นห้องโถงใหญ่ ชั้นสองเป็นที่ประดิษฐานพระเจดีย์ทองบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ด้านในไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปครับ
จุดที่ 3 คือ เจดีย์พุทธคยาจำลองที่จำลองมาจากเจดีย์พุทธคยาที่ประเทศอินเดีย ซึ่งเป็น 1 ใน 4 สถานที่สำคัญทางพุทธศาสนา เป็นสถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าครับ
เมื่อเดินเข้าไปด้านใน จะมีโถงทางเดิน วนได้รอบเจดีย์ครับ
ภายในเจดีย์ เป็นที่จัดแสดงศิลปะ ซึ่งผลงานแต่ละชิ้นจะมีแง่คิดให้ด้วยครับ
พบห้วงน้ำใหญ่ มีภัยตั้งอยู่เฉพาะหน้า เราพึงรวบรวมหญ้า ไม้ และกิ่งไม้มาผูกเป็นแพ แล้วอาศัยแพนั้นข้ามถึงฝั่งโดยความสวัสดี เราพึงยกแพขึ้นวางบนบก หรือให้ลอยอยู่ในน้ำ แล้วพึงหลีกไป อย่างนี้แลจึงจะชื่อว่ากระทำถูกหน้าที่ในแพนั้น แม้ฉันใด เราแสดงธรรมมีอุปมาด้วยแพ เพื่อต้องการสลัดออก ไม่ใช่เพื่อต้องการยึดถือฉันนั้นแล เธอทั้งหลายรู้ถึงธรรมที่เราแสดงแล้ว พึงละแม้ซึ่งธรรมทั้งหลาย
ความหลงหรือโมหะ เป็นเหตุให้เกิดกิเลสทั้งปวง เป็นพื้นฐานของกิเลศทั้งปวง/สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
ที่เรียกว่าได้นั้น เป็นการเริ่มต้นของการเสียไป/สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
ในห้วงน้ำคือสงสารอันลึกขึ้นสู่บกได้ เราเป็นผู้จมอยู่ในห้วงน้ำใหญ่ อันเป็นที่สุดแห่งธุลี เป็นห้วงน้ำลาดไปด้วยมายา ริษยา ความแข่งดี และความง่วงเหงาหาวนอน/พุทธพจน์
ต้นนี้น่าจะเป็นต้นพระศรีมหาโพธิ์ครับ เห็นมีไกด์ยืนบรรยายให้นักท่องเที่ยวจีนฟังอยู่
จริงๆ มีจุดที่น่าสนใจอีกหลายจุดเลยครับ แต่ผมสู้แดดร้อนไม่ไหว เลยไปเที่ยวจุดอื่นต่อครับมาวัดญาณสังวรารามแล้วเหมือนเป็นภาคบังคับที่จะต้องมาต่อที่เขาชีจรรย์ครับ
จุดเด่นของเขาชีจรรย์อยู่ที่การสร้างพระพุทธรูปโดยวิธีแกะสลักบนหน้าผาเขาชีจรรย์ด้วยการยิงเลเซอร์ ในลักษณะพระพุทธฉายที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นพระพุทธรูปแบบประทับนั่งปางมารวิชัยเลียนแบบพระพุทธนวราชบพิตรศิลปะสุโขทัยผสมล้านนา สร้างขึ้นเพื่อเป็นพระพุทธรูปประจำรัชกาลที่ 9 น้อมเกล้าถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในวโรกาสทรงครองสิริราชสมบัติปีที่ 50 ของในหลวงครับ ที่นี่เปิดให้เข้าชมฟรีตั้งแต่ 06.00-18.00 น. ภายในบริเวณเขาชีจรรย์ตกแต่งด้วยสวนสวย ให้ความร่มรื่นเป็นอย่างมาก แต่ถ้าจะให้ดี มาช่วงเย็นๆ ก็ดีครับ เพราะช่วงเที่ยงจนถึงบ่ายแก่ๆ แดดแรงมากๆ ครับเลยจากเขาชีจรรย์มานิดหน่อยจะเป็นไร่องุ่นซิลเวอร์เลค ซึ่งไร่แห่งนี้เป็นของคุณสุพรรษา เนื่องภิรมย์ อดีตนางเอกชื่อดังของเมืองไทยครับ
บึงน้ำขนาดใหญ่อยู่ติดกับถนนเลยครับ
เลยบึงน้ำขนาดใหญ่ไป ด้านซ้ายมือจะเป็นร้านอาหาร ส่วนด้านขวามือจะเป็นทางเข้าไร่องุ่นครับ
มีการจัดตกแต่งสวนได้อย่างสวยงาม มีซุ้มให้นักท่องเที่ยวได้นั่งเล่นด้วยครับ
บริเวณนี้จะเป็นร้านกาแฟและร้านจำหน่ายองุ่นสด ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากองุ่นครับ ในส่วนนี้ไม่เสียค่าเข้าชม
จากบริเวณร้านจำหน่ายผลผลิต สามารถมองเห็นไร่องุ่นอยู่เบื้องหน้า กินพื้นที่กว้างขวางมากๆ ถ้าหากนักท่องเที่ยวต้องการเข้าไปสัมผัสไร่องุ่นอย่างใกล้ชิด รวมถึงเข้าไปถ่ายรูปในบริเวณที่มีการจัดสวนหย่อมด้านใน สามารถเข้าไปชมได้ แต่ต้องเสียค่าธรรมเนียมเข้าชมครับ
ผมอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน เพราะสู้แดดไม่ไหว เลยขอกลับไปที่พักเพื่อพักผ่อน นอนตากแอร์เล่น เก็บพลังไว้รอชมแสงสุดท้ายของวันครับ
และคืนนี้ผมเข้าพักที่ D Varee Jomtien Beachซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากโรงแรมในคืนแรกของผมครับ
D Varee อยู่ระหว่างซอยจอมเทียน 13-14 เป็นโรงแรมขนาดใหญ่อยู่ริมหาดจอมเทียนเลยครับ ตัวโรงแรมเป็นสีขาว ดูสะอาดตาเชียวครับ
Lobby โอ่โถงมากๆ มีพื้นที่ให้แขกได้นั่งพักผ่อนอยู่หลายจุดเหมือนกัน ที่นี่บริการ Free Wifi บริเวณด้านหน้า Lobby เท่านั้นนะครับ ทำให้พื้นที่ที่ทางโรงแรมจัดเตรียมไว้ให้นั่งพักผ่อนจึงมีแขกมาใช้บริการนั่งเล่น Wifi ค่อนข้างเยอะ แขกเข้าพักส่วนใหญ่ ดูแล้วจะเป็นกรุ๊ปทัวร์จากต่างประเทศครับ
ฝั่งตรงข้าม Lobby มีมุมร้านกาแฟเล็กๆ ให้บริการทั้งกาแฟ เครื่องดื่ม และเบเกอรี่ครับ
ขึ้นมาดูห้องพักกันบ้างดีกว่า ทางโรงแรมออกแบบให้ประตูทางเข้าของห้องพัก หันหน้าไปทางตัวเมืองพัทยา ส่วนด้านหลังห้องจะหันหน้าเข้าหาทะเล จึงทำให้ห้องพักทุกห้องเป็น Sea view ครับ บริเวณหน้าห้องพักมองเห็นลานจอดรถ ซึ่งลานจอดรถจะแบ่งเป็น 2 โซน โซนจอดรถบัส และโซนจอดรถยนต์ส่วนบุคคล ซึ่งก็อยู่ติดๆ กันนั่นเองครับ
เข้ามาดูข้างในห้องกันครับ ห้องค่อนข้างกว้าง แต่ดูออกจะเก่าไปสักนิด ผนังห้องติด wallpaper แต่เนื่องจากคงผ่านอายุการใช้งานมาเยอะ ทำให้ wallpaper บางจุดร่อนออกมาจากผนัง และมีรอยขูดขีดเปรอะฝาผนังเยอะพอสมควรครับ ภายในห้องมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกแบบพื้นฐานคือ ทีวี ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ กาน้ำร้อน ตู้นิรภัย ไดร์เป่าผม โต๊ะเขียนหนังสือ สัญญาณ Wifi มีแต่ต้องซื้อชั่วโมงที่ Lobby เอาครับ
ห้องน้ำเป็นแบบซีทรู มีอ่างอาบน้ำให้พร้อมฝักบัว ถ้าไม่ต้องการแช่น้ำ เวลาอาบน้ำต้องยืนในอ่างอาบน้ำเอาครับ แยกส่วนเปียกส่วนแห้งด้วยผ้าม่าน บริเวณโถสุขภัณฑ์มีสายฉีดชำระให้พร้อม
ผ้าม่านภายในห้องน้ำที่ใช้สำหรับบังระหว่างห้องน้ำและห้องนอน ผมว่ามันบางไป ช่วงกลางคืนคนที่อยู่บริเวณห้องนอน สามารถมองเห็นเงาคนอาบน้ำได้อย่างชัดเจน ไม่ต่างอะไรกับการดูหนังตะลุงเลยครับ
มีบริการชา กาแฟฟรีให้ครับ
แต่ละห้องจะมีระเบียงส่วนตัว วิวด้านหน้าจะเห็นหาดจอมเทียนแบบเต็มๆ ตา มองไกลออกไปเห็นเกาะล้านอยู่ทางด้านขวา ส่วนด้านซ้ายจะติดตึกสูงนิดหน่อย แต่ดูไม่อึดอัดครับ
ที่นี่มีบริการสระว่ายน้ำ 2 จุด คือที่ชั้นล่างและชั้น 5 ครับ
สระน้ำบริเวณชั้นล่าง แยกเป็นพื้นที่สระเด็กและสระผู้ใหญ่ครับ
ด้านข้างสระว่ายน้ำเป็นฟิตเนตครับ
ป้ายโรงแรมที่อยู่ติดถนนเลียบหาดจอมเทียนครับ
พื้นที่ติดถนนริมหาดจอมเทียน ทางโรงแรมจัดพื้นที่ไว้สำหรับเป็นบาร์ให้นั่ง Drink นั่งทานอาหารช่วงค่ำๆ ครับ นอกจากนี้ชั้นบนสุดของโรงแรม ยังเป็นร้านอาหารที่สามารถชมวิวพัทยามุมสูงด้วยนะครับ แต่ผมไม่ได้ขึ้นไปถ่ายครับ
บรรยากาศยามเย็น
ยามเย็นที่เกาะล้าน มองจากระเบียงห้องพักผมครับ
สำรวจโรงแรมกันทั่วแล้ว ผมขอไปสำรวจพัทยาช่วงพลบค่ำบ้างครับ
ผมมารอชมแสงสุดท้ายบนเขาตำหนักครับ ที่นี่ถือเป็นจุดชมวิวเมืองพัทยาที่สวยที่สุด (สำหรับผม) เลยก็ว่าได้ครับ
จุดนี้สามารถมองเห็นเวิ้งอ่าวพัทยา แหลมบาลีฮาย ซึ่งเป็นท่าเรือที่จะพานักท่องเที่ยวข้ามไปยังเกาะล้าน รวมถึงตัวเมืองพัทยาได้อย่างสวยงามครับ
จากจุดชมวิวเขาพระตำหนัก ผมเดินต่อมาอีกหน่อยจนถึงอนุสาวรีย์กรมหลวงชุมพร จุดนี้สามารถมองเห็นเกาะล้านได้ ผมว่าจุดชมวิวตรงนี้เปิดโล่งกว่าตรงเขาพระตำหนัก แต่จุดนี้จะมองเห็นคอนโดมีเนียมตั้งตระหง่านอยู่ 1 แห่ง และอีก 1 แห่งอยู่ระหว่างก่อสร้าง แต่ตอนนี้ตกเป็นข่าวว่าสร้างบดบังทัศนวิสัย เลยชะลอการก่อสร้างไว้ก่อนครับ
แสงจากดวงอาทิตย์เริ่มหมดลง แต่แสงไฟในเมืองพัทยาเริ่มสว่างไสวขึ้น สวยงามมากๆ ครับ
ค่ำนี้ผมคงต้องกลับไปพักผ่อนแล้ว เพราะวันนี้เดินทางค่อนข้างไกลเลยทีเดียว
เช้าวันใหม่ ผมตื่นมาชมแสงแรกที่ระเบียงห้องพักครับ
เกาะล้าน อยู่ตรงหน้านี่เอง
ยามเช้า ทะเลที่หาดจอมเทียนสงบดีจริงๆ ครับ
ผมมายืนชมวิวที่ประตูหน้าห้องพัก มองเห็นแสงอุ่นๆ ที่สาดส่องมายังตัวเมืองพัทยา มองเห็นหมอกจางๆ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าตกลงเป็นหมอกหรือควันไฟกันแน่
หลังจากดื่มด่ำกับบรรยากาศยามเช้าเมืองพัทยาจนเต็มอิ่มแล้วขอมาเติมพลังใส่ท้องบ้างดีกว่า ห้องอาหารที่นี่ถือว่ากว้างใหญ่มากๆจะแบ่งเป็น 2 ฝั่ง ลักษณะเป็นตัว U ห้องอาหารนี้เปิดให้บริการตั้งแต่ 06.00-10.00 น. แต่ช่วงเช้าๆ แขกเยอะมากครับ ขนาดห้องอาหารที่ว่าใหญ่แล้ว ยังแทบจะไม่มีที่ให้นั่ง ส่วนใหญ่จะเป็นกรุ๊ปทัวร์ครับ เพราะหลายทัวร์จะออกจากโรงแรมพร้อมๆ กัน ทำให้ห้องอาหารช่วงเวลา 06.00-08.00 น. เนืองแน่นไปด้วยนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ แต่หลังจาก 8 โมงเช้า ก็จะเข้าสู่สภาวะปกติครับ
หลังอาหารเช้า ขอมาเดินเก็บบรรยากาศริมหาดจอมเทียนอีกสักนิด ก่อนจะเดินทางกลับ ช่วงเช้าหาดจอมเทียนเงียบมากๆ ครับ
ได้เวลาอันควรแล้ว คงต้องกลับขึ้นห้องเพื่อเก็บข้าวของเตรียมเดินทางกลับครับ สั่งลาหาดจอมเทียนด้วยวิวริมระเบียง มองเห็นรุ้งตัวน้อยโผล่มาทักทายกลางปุยเมฆด้วยครับ
ทริปนี้ถือเป็นอีก 1 ทริปที่ผมได้เปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับตัวเอง บางสถานที่เคยผ่าน แต่ไม่เคยเข้าชม อย่างโรงละครอลังการ รอบนี้ผมก็ได้เข้าไปชม บางสถานที่มีสิ่งดีๆ ซ่อนอยู่ ผมเองก็ไม่เคยรู้ ได้แต่ผ่านไปผ่านมา รอบนี้ก็ได้เข้าไปสัมผัส
ลุงเสื้อเขียว
วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 เวลา 11.43 น.