ทริปนี้ถือเป็นทริปที่ไม่ได้ตั้งตัวเลยจริงๆ ครับ เดิมทีเดียวผมตั้งใจจะไปถ่ายภาพให้พี่ที่รู้จักที่สุพรรณบุรีในตอนเช้ามืดของวันอาทิตย์ แต่คิดไปคิดมากลัวว่าจะตื่นไม่ทัน เลยตัดสินใจไปนอนที่สุพรรณบุรี 1 คืน ไหนๆ วันเสาร์ผมก็ไม่ได้ไปไหน ก็เลยวางแผนเที่ยวสุพรรณในช่วงเช้า สายหน่อยก็เริ่มออกเดินทางครับ

ผมออกเดินทางจากบ้านซึ่งอยู่ จ.ลพบุรี ใช้เส้นทางผ่าน จ.สิงห์บุรี อ.บางระจัน แล้วไปเข้าถนนสาย ชัยนาท-สุพรรณบุรีครับ จากนั้นตรงเข้า อ.สามชุก จ.สุพรรณบุรี

จุดหมายแรกของผมอยู่ที่ตลาดสามชุกครับ

ตลาดสามชุกเป็นตลาดเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำท่าจีน เดิมตลาดแห่งนี้เป็นตลาดที่สำคัญในการติดต่อค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้า แต่เมื่อถนนเข้ามาแทนที่การเดินทางทางน้ำ ตลาดแห่งนี้ก็เริ่มซบเซาลง เจ้าของที่ดินที่ชาวบ้านเช่าขายของอยู่คิดจะรื้ออาคารตลาดเก่า แล้วสร้างตลาดใหม่ เลยทำให้ชาวบ้านที่อยู่ในตลาดสามชุกเริ่มเห็นคุณค่า รวมตัวกันและหาทางฟื้นคืนชีวิตตลาดขึ้นมาใหม่ เลยเป็นที่มาของกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ จนในปี 2552 องค์กรศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ประจำประเทศไทย ได้ประกาศให้สามชุกตลาดร้อยปีได้รับรางวัล “อนุรักษ์ดีเด่น (Award of Merit)" จากนั้นมา ตลาดแห่งนี้จึงเป็นตลาดโบราณเคียงคู่จังหวัดสุพรรณมาจนถึงปัจจุบันครับ

เมื่อมาที่ตลาดสามชุกแล้ว ผมแนะนำให้มาที่นี่เลยครับ พิพิธภัณฑ์บ้านขุนจำนงจีนารักษ์ นายภาษีอากรคนแรกและเจ้าของตลาดสามชุกครับ

บ้านหลังนี้มีการสร้างอย่างประณีตงดงามมาก ที่ชั้นล่างมีรูปภาพเก่าๆ บอกเล่าถึงความเป็นมาเป็นไปของชุมชนสามชุก รวมไปถึงข้าวของเครื่องใช้ของเจ้าของบ้าน ที่สะดุดตาผมที่สุดเห็นจะเป็นลวดลายกระเบื้องโบราณ ดูสวยงามมากครับ

บนชั้นที่ 2 ก็จะรวบรวมเครื่องใช้ต่างๆ ไว้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นชุดโต๊ะ เก้าอี้ ถ้วยชาม เตียงตู้โบราณ ซึ่งในปัจจุบันหาดูได้ยากแล้วครับ นอกจากนี้ยังมีงานแกะสลักไม้ด้วยลวดลายที่อ้อนช้อยด้วย สวยงามมาก ที่นี่ไม่เสียค่าเข้าชมนะครับ แต่ถ้าใครจะร่วมสนับสนุนค่าน้ำค่าไฟก็ไม่ผิดกติกาครับ

ตรงนี้มีป้ายเขียนไว้ว่า ที่ว่าการอำเภอสามชุก (หลังเก่า) ผมไม่รู้ว่าป้ายเขียนไว้จริงๆ หรือเขียนเพื่อตกแต่งแนวอาร์ทกันแน่

ร้านบ้านโค้ก เป็นที่รวบรวมของสะสมและของที่ระลึกทุกอย่างเกี่ยวกับโค้ก ผมมาเที่ยวที่ตลาดสามชุกทีไร ไม่พลาดที่จะขึ้นไปชมด้านใน แต่รอบนี้มีเวลาจำกัดเลยไม่ได้ขึ้นไปชมครับ ที่นี่เสียค่าเข้าชม 20 บาทครับ

ร้านโก๋แก่ ร้านนี้จะขายของที่ระลึกเกี่ยวกับโก๋แก่ เข้าไปดูได้ น่ารักเชียวครับ

ร้านถ่ายภาพศิลป์ธรรมชาติ เป็นร้านถ่ายรูปเก่าแก่ของที่นี่เลยครับ เปิดบริการมากว่า 50 ปีแล้ว เสียดายที่วันนี้ปิดครับ

เสน่ห์ของที่นี่อยู่ที่การเดินชมความคลาสิคและความเก่าแก่ของบ้านไม้อายุนับร้อยปี มีสินค้าให้เลือกชมมากมาย ไม่ว่าจะเป็นของเล่นสมัยเก่าที่เป็นสังกะสี หรือของที่ระลึกต่างๆ มากมาย

หรือจะเป็นของทานเล่นทานจริงก็เยอะแยะไปหมดครับ ไม่ว่าจะเป็นขนมไทยต่างๆ ทอดมัน ลูกชิ้น (ยักษ์) ปลาสลิดตากแห้ง กุนเชียง หมี่กรอบ เป็ดย่าง เป็ดพะโล้ บ๊ะจ่าง และที่เป็นพระเอกของที่นี่คือข้าวห่อใบบัวครับ

สำหรับใครที่มีเวลามากพอ ลองหาโอกาสล่องเรือชมแม่น้ำท่าจีนก็ได้นะครับ ที่นี่จัดเรือไว้คอยบริการครับ ตลาดสามชุกเปิดบริการทุกวันไม่มีวันหยุด เริ่มเปิดตลาดตั้งแต่ 08.30 น.ไปจนถึงเย็น แต่คนจะเยอะช่วงราว 10 โมงเป็นต้นไปครับ

ก่อนที่จะเข้าตัวเมืองสุพรรณบุรี ผมแว๊บมาที่ อ.ดอนเจดีย์ เพื่อมาสักการะพระบรมราชานุสรณ์ดอนเจดีย์ครับ

ที่เห็นเบื้องหน้าเป็นพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงพระคชาธารออกศึก เบื้องหลังเป็นองค์เจดีย์ยุทธหัตถีสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระองค์ทรงสร้างเจดีย์แห่งนี้ขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะในสงครามยุทธหัตถีที่ทรงมีต่อพระมหาอุปราชาแห่งพม่า ต่อมาภายหลังกองทัพบกได้บูรณปฏิสังขรณ์องค์เจดีย์ขึ้นใหม่โดยสร้างครอบองค์เจดีย์เดิมไว้ และทุกวันที่ 25 มกราคมของทุกปีจะเป็นวันถวายราชสักการะพระบรมราชานุสรณ์ดอนเจดีย์ และยังถือเป็นวันกองทัพไทยด้วยครับ

จากนั้นผมมุ่งหน้าสู่จังหวัดสุพรรณบุรี จุดหมายแรกของผมอยู่ที่ วัดป่าเลไลยก์วรวิหารครับ

วัดป่าเลไลยก์วรวิหารเป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร ที่หน้าบันของวิหารมีเครื่องหมายพระมหามงกุฎอยู่ระหว่างฉัตรคู่ บอกให้ทราบว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จธุดงค์มาพบสมัยยังทรงผนวชอยู่ เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์แล้วจึงทรงมาปฏิสังขรณ์วัดแห่งนี้

ภายในวิหารเป็นที่ประดิษฐาน “หลวงพ่อโต" ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางป่าเลไลยก์ ศิลปะสมัยอู่ทองสุพรรณภูมิ ลักษณะประทับนั่งห้อยพระบาท พระหัตถ์ซ้ายคว่ำบนพระชานุ พระหัตถ์ขวาวางหงายบนพระชานุอีกข้างหนึ่งในท่าทรงรับของถวาย องค์พระสูงถึง 23.46 เมตร รอบองค์ 11.20 เมตร จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพระวิหารที่วัดนี้จึงตั้งสูงเด่นเป็นตระหงานมากๆ สามารถมองเห็นได้แต่ไกลเลยครับ

ที่ด้านข้างของวิหาร มีจิตรกรรมฝาผนังที่บอกเล่าเรื่องราวของขุนช้าง-ขุนแผน ตั้งแต่เริ่มเรื่องจนถึงตอนสุดท้าย สวยงามมากๆ ครับ

ภายในวัดป่าเลไลยก์วรวิหาร ยังมีสิ่งที่น่าสนใจอีกครับ อย่างเช่นวิหารแห่งนี้ กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ที่ผนังวิหารรวมถึงหลังคา ตกแต่งประดับประดาได้อย่างสวยงาม นี่ขนาดยังสร้างไม่เสร็จยังสวยงามมากๆ เลยครับ

วัดแห่งนี้มีความเกี่ยวข้องกับวรรณคดีอันลือชื่อของไทยคือเสภาขุนช้างขุนแผน ที่นี่จึงมีเรือนขุนช้าง ซึ่งเป็นเรือนไทยแบบโบราณ สร้างขึ้นจากไม้สักหลังใหญ่เลยทีเดียว ด้านในจะมีภาพบรรยายเล่าเรื่องขุนช้างขุนแผน และยังมีการจัดแสดงเครื่องใช้ไม้สอยในสมัยก่อนให้กับผู้ที่สนใจด้วยครับ

ออกจากวัดป่าเลไลยก์วรวิหารผมเลี้ยวขวา ขับรถผ่านอุทยานมังกรสวรรค์ไปนิดหน่อย จะพบทางแยกซ้ายมือ เมื่อเลี้ยวซ้ายตรงจุดนี้แล้วขับรถตรงไปเรื่อยๆ ตลอดสองข้างทางจะเต็มไปด้วยวัดที่น่าสนใจหลายวัดเลยทีเดียว ผมเลือกที่จะแวะที่วัดพระนอนเป็นแห่งแรกครับ

วัดพระนอนแห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ สิ่งที่น่าสนใจที่ไม่เหมือนพระนอนที่อื่นๆ คือ พระนอนที่นี่อยู่ในลักษณะนอนหงายครับ องค์พระสลักจากหิน นอนหงายขนาดเท่าคนโบราณยาวประมาณ 2 เมตร ลักษณะคล้ายกับพระนอนที่เมืองกุสินารา ประเทศอินเดียครับ

วัดพระนอนอยู่ติดกับแม่น้ำท่าจีน ภายในวัดจึงมีอุทยานมัจฉา อยู่บริเวณริมน้ำหน้าวัดครับ มีปลาหลากหลายสายพันธุ์มาก ไม่ว่าจะเป็นปลาสวาย ปลาตะเพียน ปลาแรด เมื่อสักการะพระนอนเรียบร้อยแล้ว ก็อย่าลืมมาทำทานให้อาหารปลาด้วยนะครับ

ออกจากวัดพระนอน ผมย้อนกลับทางเดิม เพื่อแวะชมวัดพระลอยครับ

เหตุของการสร้างวัดนี้ น่าจะมาจากการที่มีพระพุทธรูปปางนาคปรกเนื้อหินทรายขาวลอยมาตามแม่น้ำท่าจีน จึงได้ทำพิธีอาราธนาขึ้นมาจากแม่น้ำ สันนิษฐานว่าเป็นพระพุทธรูปสมัยลพบุรีครับ

ภายในวัดยังมีอุโบสถจัตุรมุขขนาดใหญ่ สูงเด่น ภายในประดิษฐานพระพุทธนวราชมงคลองค์ใหญ่ และมีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่งดงามมากๆ ครับ

จากวัดพระลอย ผมมาต่อที่วัดแคครับ

วัดแคเป็นวัดเก่าแก่ที่มีชื่อปรากฏในวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน ภายในวัดมีพระพุทธรูปปางมารวิชัยขัดสมาธิราบศิลปะรัตนโกสินทร์ จีวรและอังสะเป็นดอกพิกุล ประดิษฐานอยู่ในวิหารหน้าพระประธาน สำหรับวิหารจะมีประตูทางเข้าออกเพียงช่องเดียว และมีหน้าต่าง 2 ด้าน ลักษณะการสร้างวิหารแบบมีประตูเข้าออกเพียงช่องทางเดียวเรียกกันว่า มหาอุตม์ครับ ซึ่งวันที่ผมไป ภายในวิหารกำลังทำพิธีปั๊มพระขุนแผนพลายกุมารอยู่ เลยมีโอกาสได้แค่ชื่นชมองค์พระอยู่ภายนอกวิหารครับ

มะขามยักษ์วัดแคต้นนี้แหล่ะครับ ที่ถูกกล่าวถึงในตำนานขุนช้าขุนแผน วัดโคนต้นโดยรอบได้ความยาวประมาณ 10 เมตร เชื่อกันว่าขุนแผนได้เรียนวิชาเสกใบมะขามจากต้นมะขามต้นนี้ให้เป็นตัวต่อแตนจากท่านอาจารย์คงไว้โจมตีข้าศึก ข้างๆ ต้นมะขามยักษ์ทางวัดได้ทำรูปหล่อเป็นพญาต่อขนาดยักษ์และมีรูปเหมือนของหลวงปู่คงนั่งอยู่บนตัวต่อไว้ให้ญาติโยมได้สักการบูชา ใกล้ๆ กันจะมีต้นมะขามอีกต้น เมื่อแหงนมองขึ้นไปบนต้นมะขามจะเห็นรังต่อหัวเสือขนาดใหญ่มาก ขอย้ำว่า ขนาดใหญ่มาก อยู่บนต้นมะขามครับ เกิดมาผมก็เพิ่งจะเคยพบเคยเห็นรังต่อขนาดใหญ่เท่านี้ แต่ดูจากสภาพรังแล้วน่าจะเป็นรังร้างแล้วครับ

ใกล้ๆ ต้นมะขามยักษ์ ยังมีเรือนไทยทรงโบราณเรียกว่า คุ้มขุนแผน ภายในคุ้มประกอบด้วยเรือนใหญ่ และเรือนลูกเชื่อมต่อกันอยู่ด้านข้างครับ

ใกล้ๆ ที่จอดรถมีซุ้มต้นไทร สวยงามมากครับ

จากวัดแคไปต่อที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุครับ

วัดพระศรีรัตนมหาธาตุเป็นวัดคู่บ้านคู่เมือง มีอายุไม่ต่ำกว่า 600 ปี ปรางค์องค์ประธานเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ แต่ถูกชาวบ้านมาลักลอบขุดค้นหาทรัพย์สินจนทรุดโทรมไปมาก กรุในองค์พระปรางค์นี้เป็นต้นกำเนิดพระพิมพ์ผงสุพรรณบุรี หนึ่งในเบญจภาคี 5 พระเครื่องยอดนิยมครับ สำหรับการก่อสร้างองค์ปรางค์เป็นการก่ออิฐไม่ถือปูน ซึ่งเป็นวิธีการเก่าแก่ก่อนสมัยอยุธยา นักโบราณคดีหลายท่านจึงสันนิษฐานว่าปรางค์องค์นี้เป็นศิลปะสมัยอู่ทองสุพรรณภูมิ ปัจจุบันปรางค์องค์ประธานอยู่ในช่วงบูรณปฏิสังขรณ์ครับ

วิหารพระผงสุพรรณบุรี ภายในเป็นที่ประดิษฐานพระผงสุพรรณที่ใหญ่ที่สุดในโลกครับ

ผมมาปิดทริปของวันที่ อุทยานมังกรสวรรค์ พิพิธภัณฑ์ลูกหลานพันธุ์มังกรครับ ลานจอดรถจะอยู่ด้านข้าง เมื่อจอดรถเรียบร้อยจะพบกับซุ้มประตูที่จะพาเข้าสู่หมู่บ้านมังกรสวรรค์ครับ

ผมมาเที่ยวที่นี่ครั้งนี้รู้สึกแปลกตาเป็นอย่างมาก เพราะครั้งนี้มีการจำลองรูปแบบของหมู่บ้านเมืองลี่เจียง ซี่งเป็นเมืองเก่าแก่โบราณและมีรูปแบบที่สวยงามของสาธารณรัฐประชาชนจีนจนได้รับแต่งตั้งให้เป็นมรดกโลกไว้ด้วยครับ

เมื่อเดินเข้าไปในภายในหมู่บ้านจำลองมันได้ความรู้สึกของการไปเที่ยวเมืองจีนจริงๆ ครับ ร้านรวงแต่ละร้านตกแต่งสไตล์จีนทั้งหมด มีร้านขายของมากมาย ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก โรงหนัง โรงนวด แถมในนี้ยังมี 7-11 ด้วยครับ

อีกจุดหนึ่งที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเที่ยวที่นี่แล้ว คือการขึ้นไปชมยังจุดชมวิวครับ บนหอชมวิวมีทั้งหมด 4 ชั้น ใครที่มีพละกำลังดี แนะนำให้เดินขึ้นบันได แต่สำหรับใครที่เดินไม่ไหว มีลิฟต์ไว้คอยให้บริการ แต่จะต้องช่วยค่าไฟบ้างเล็กน้อยครับ

ด้านบนจะมองเห็นหมู่บ้านมังกรมุมสูง รวมถึงพิพิธภัณฑ์ลูกหลานมังกรมุมระดับสายตาครับ

มังกรสวรรค์ ออกแบบอย่างถูกต้องตามลักษณะความเชื่อ หน้าต้องเป็นอูฐ ตาเหมือนกระต่าย มีเขาของกวาง หูของวัว ตัวของงู เกล็ดของปลา ขาของเสือ อุ้งเท้าของเหยี่ยว สีของลำตัวเลียนแบบเครื่องกังไสโบราณครับ

หลังจากขึ้นไปชมวิวมุมสูงเรียบร้อยแล้ว ขอเดินเข้าไปชมด้านนอกของอาคารพิพิธภัณฑ์ลูกหลานมังกรกันแบบใกล้ๆ บ้างครับ

20 ปี เมื่อ พ.ศ.2539 ภายในพิพิธภัณฑ์จัดแสดงประวัติศาสตร์ของจีน การเข้าชมด้านในมีค่าใช้จ่ายในการเข้าชมครับ

ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง สถานที่เคารพของชาวไทยเชื้อสายจีน หลายคนเชื่อว่าหากมากราบไหว้ขอพรแล้วจะนำมาซึ่งโชคลาภ ความร่ำรวย ความสำเร็จและความสุขครับ

หอระฆังสัมฤทธิ์ตัวหอระฆังให้สีสวยงามมากๆครับ

ศาลากลางน้ำเจ็ดชั้น

เซียนเทพต่างๆ อยู่โซนนี้ครับ

มังกรบนหลังคาของศาลาเทียนอันเหมินครับ

หอชมวิว ขนาบข้างด้วยปฎิมากรรมที่งดงามอย่างเสามังกรฟ้าที่สั่งตรงจากเมืองฉงอู่ สาธารณรัฐประชาชนจีนครับ

บรรยากาศยามพลบค่ำหลังพระอาทิตย์ตกดินสวยงามมากๆ มีการประดับประดาไฟทั้งตามตัวอาคาร และตามทางเดินด้วยครับ

และผมเลือกขึ้นมาปิดท้ายของทริปบนจุดชมวิวอีกครั้งครับ

สุพรรณบุรีเป็นจังหวัดที่อยู่ไม่ไกลจาก กทม. มากนัก ถ้าใครอยู่ว่างๆ ไม่รู้จะไปไหน ผมแนะนำว่าให้ลองมาเที่ยวที่สุพรรณบุรีดูนะครับ ใน 1 วัน คุณจะเต็มอิ่มกับความสุขในสุพรรณบุรีอย่างแน่นอนครับ

ลุงเสื้อเขียว

 วันศุกร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 15.24 น.

ความคิดเห็น