รีวิวละเอียดยิบ 5วัน 4คีน พร้อมค่าเสียหายครับ
16-20 JULY 2016

**เป็นการรีวิวครั้งแรก ผิดพลาดตรงไหนขออภัยด้วยนะครับ


กล้องที่ใช้ถ่ายหลักๆ คือ canon 5D markII นะครับ ส่วนแนว portrait ก็จะเป็นจากกล้อง canon eosM3
ส่วน one day trip ที่ต้องลงน้ำลุยโคลน ก็จะใช้ sj4000wifi ครับ.


ทริปนี้พวกเราไปมาเมื่อวันหยุดยาว 5 วันที่ผ่านมาครับ 16-20 กรกฎาคม 2559
ใช้เวลาวางแผนกันแป๊บเดียวครับ เพราะช่วยกันหาข้อมูลโดยอาศัยอ่านรีวิวจากพี่ๆในห้องบลูนี่แหล่ะครับเจ๋งสุด
พวกเราเลยมารีวิวเป็นครั้งแรกเพื่อตอบแทนเพื่อนๆ ให้เป็นข้อมูลกันต่อไปครับ



ทริปนี้เรามีผู้ร่วมเดินทางกันทั้งสิ้น 4 คน บวกกับอีกหนึ่งยานพาหนะของเราครับ
ตอนแรกเราแพลนกันว่าจะใช้รถโดยสารในการเดินทาง แต่พอคำนวณเวลาแล้ว บวกกับคำนวณเรื่องค่าใช้จ่าย
ผมเลยตัดสินใจที่จะเอาเจ้านาวาร่าตัวเก่งของเพื่อนผมไปกันครับ
สำหรับใครที่อยากลองขับรถไปเอง ลองศึกษาวิธีการทำพาสปอร์ตรถเอาจาก google ดูนะครับ ไม่ยากอย่างที่คิดครับ

แผนการเดินทางของเราตลอด 5 วันนี้ เริ่มต้นด้วย
วันแรก : พิษณุโลก-หนองคาย-เวียงจันทร์ : นอนพักเวียงจันทร์ 1คืน
วันที่สอง : เวียงจันทร์ - วังเวียง
วันที่สาม : one day trip วังเวียง
วันที่สี่ : วังเวียง - หลวงพระบาง
วันที่ห้า : เดินทางกลับโดยใช้เส้นทางหลวงพระบาง-อุตรดิตถ์



เปิดหัวข้อแรกกับค่าเสียหายเลยแล้วกันครับ เพราะผมเชื่อว่าหลายๆคน อยากทราบเรื่องค่าใช้จ่ายตลอดทั้งทริปประกอบการตัดสินใจไปที่ใดที่หนึ่งแน่ๆ เพราะผมก็เป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกัน



ผมคิดให้เป็ฯค่าเสียหายต่อคนนะครับ หาร 4 เรียบร้อยแล้ว

1. ตั๋วข้ามฝากฝั่งไทย-ลาว 30 บาท

2. ค่าล้างล้อ 20 บาท

3. ค่าผ่านด่านรถ 100.- (หาร4 คนละ 25 บาท)

4. ค่าประกันรถยนต์ 250.- (หาร4 คนละ 62.5 บาท)

5. ค่าเหยียบแผ่นดิน 100.- (พร้อมรถ)

6. ค่าที่พักเวียงจันทร์ 1,400.- (350.-/คน)

7. ค่าที่พัก silver naga hotel (วังเวียงคืนแรก) 1,100.-/คน

8. ค่าที่พักจำปาลาว วิลล่า (วังเวียงคืนที่สอง) 500.-/คน

9. ค่า one day trip + zip line 1,000.-/คน

10. ค่าเข้าถ้ำจัง 60.- (รวมค่ารถเข้า)

11. ค่าเข้าพระธาตุหลวง (เวียงจันทร์) 100.-

12. ค่าเข้าตาดกวางสี 80.-

13. ค่าที่พักหลวงพระบาง 300.-

14. ค่าเข้าวัดเชียงทอง 100.-

15. ค่าเข้าพิพิธพันธ์ 150.-

16. ค่าน้ำมัน 3,500.- (หาร4 เหลือคนละ 875.-)

17. ค่าผ่านแดนลาว-ไทย 35.-

18. ค่ากินรวมทุกมื้อ พร้อมเบียร์ลาวไม่อั้น 1,000.-



รวมค่าเสียหาย 5,862.50 บาท ไม่รวมซื้อเบียร์ลาวกลับไป 1 ลัง กับค่าของฝากนะครับ



เป็นเงินกีบ = 1,360,100 กีบ

***อัตรา = 232 กีบ/1 บาท (ณ วันที่ 16 กรกฎาคม 2559)

***แก้ไขค่าใช้จ่ายเพิ่มค่าเข้าที่หลวงพระบางนะครับ

มาเริ่มทริปของเรากันเลยดีกว่าครับ
วันแรกของเราส่วนมากจะเสียไปกับการเดินทาง กว่าเราจะมาถึงด่านข้ามไทย-ลาว ก็เวลาราวๆ หกโมงเย็น กว่าจะทำเรื่องรถ เรื่องคน ก็ใช้เวลาไปเกือบจะสองชั่วโมง เพราะวันที่เราไปเป็นวันหยุดยาวด้วยครับ คนเลยเยอะมาก

ข้ามมาฝั่งลาวแล้ว จุดหมายแรกของเราคือหาที่พักครับ ตอนแรกคิดว่าคงจะหาได้ไม่ยาก เมืองเวียงจันทร์ใหญ่จะตาย แต่ด้วยความที่เรามาถึงเวียงจันทร์ก็ประมาณ 2 ทุ่มแล้ว เอายังไงดีล่ะ เปิดพี่กูช่วยสิครับ (google)



แต่ยังดีที่อย่างน้อยเราก็มีเพื่อนลาวมาร่วมเดินทางด้วย1คนครับ เรียกได้ว่ามาเป็นไกด์ของทริปนี้ก็ว่าได้ แต่น่าเสียดายที่เธอจะเป็นไกด์ให้เราแค่วันนี้วันเดียวเท่านั้น เพราะบ้านของเธออยู่นี่ครับ "เวียงจันทร์"



Land mark ของที่เวียงจันนทร์ ก็คงหนีไม่พ้น " ประตูชัย " ยิ่งเป็นตอนกลางคืน ก็ยิ่งสวย

ไกด์ลาวผู้น่ารักของเราเป็นงานครับ มาถึงลาวทั้งที ไม่รีรอที่จะพาเราไปหาของอร่อยๆกินกิน และที่แน่ๆ ก็ต้องปิดท้ายด้วย "เบยลาว " ขวดแรกก็ยังชิวๆ ขวดสองนี่เริ่มรู้เรื่องแล้ว ก็ใครเค้าให้กินเบยดำล่ะ ดีกรีพี่แก 6.5 กันเลยทีเดียว



ส่วนกะทะร้อนตรงหน้า เรียกว่า "แรมโบ้" อร่อยมาก ขอบอก



ร้านที่ไปนั่ง ชื่อร้าน สามแยกป่าสัก ติดริมแม่น้ำโขงเลยครับ หาไม่ยาก



สรุปคืนนั้นเราก็จบกันที่ 4 ขวดใหญ่กับอีก 4 ขวดเล็ก (คนลาวเค้าเรียกขวดว่าแก้ว) เอาใหม่ๆ เอาเป็นซัปลาว สรุปคืนนี้เราจบกันที่ 4 แก้วใหญ่ กับอีก 4 แก้วน้อยยย



ภาพตัดมาที่ตอนเช้าของเวียงจันทร์เลยแล้วกันครับ ตื่นเช้า เรารีบขับรถมาที่ตลาดเช้าของที่นี่ วันนี้เราต้องเริ่มกันตั้งแต่เช้าๆหน่อย เพราะจุดมุ่งหมายของเราในวันนี้ก็คือ "วังเวียง"

ฮไลท์ของกินของที่นี่ก็คงเป็นนี่แหล่ะครับ ขนมปัง paris รุปร่างหน้าตาอาจจะคล้ายๆกับขนมปังที่เราให้อาหารปลาที่เมืองไทย แต่รับรองว่าอร่อยกว่าแน่นอน



คนลาวใจดีครับ ขอใส้เยอะๆ กินแบบจุใจจุใจ ก็จัดมาให้ครับ 4คน กินแค่อันเดียวก็เกือบจะอิ่มกันแล้ว

การเดินทางของคนที่นี่ส่วนมากจะขี่มอเตอร์ไซด์กันซะส่วนใหญ่ แต่ก็จะมีรถสองแถว รถตุ๊กๆไว้คอยรองรับนักท่องเที่ยวอยู่เยอะกันพอสมควรครับ แต่ก็ยังมีรอรถกันค่อยข้างเยอะ

อ้ายๆ ขอเกาะล้อไปโต้ยคน



แต่โชคดีที่เราเอารถส่วนตัวของเรามาเอง เลยไม่ได้ใช้บริการรถของที่นี่เลย แต่ไหนก็ไหนๆแล้ว ขอยืมถ่ายรูปซะหน่อยแล้วกัน



เดินตลาดเช้าที่เริ่มจะไม่เช้าแล้ว อากาศก็เริ่มร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ ท้องก็เริ่มร้องดังขึ้นเรื่อยๆ มาถึงเมืองลาว ไม่กินข้าวเปียก แสดงว่ามาไม่ถึงเมืองลาวนะ

ขอบอกว่าข้าวเปียกที่นี่อร่อยมาก แถมยังให้เยอะมากกกกกกก มากจริงๆ มีให้เลือกไซส์ถ้วยด้วยนะ พวกผมเลือกแค่ไซส์เล็ก เพราะเห็นโต๊ะข้างๆกินไซส์ใหญ่แล้วน่าจะกินกันไม่ไหว



สถานที่ท่องเที่ยวของที่นี่ ก็จะเป็นวัดซะส่วนใหญ่ ก็จะมีเวลาปิดเปิด และเวลาพักเที่ยงบ่ายโมง ส่วนใหญ่ก็จะปิดตอน 4-5 โมงเย็น

ที่นี่คือพระธาตุหลวงหรือคนลาวจะเรียกธาตุหลวง เราเลือกมาช่วงสายๆ ก็หวังว่าแดดจะไม่ร้อน แต่ที่ไหนได้ ร้อนกว่าพี่ไทยบ้านเราอีกครับ



พระธาตุหลวง สวยงามมากๆ มีนักท่องเที่ยวเยอะพอสมควร ใครที่ใส่กระโปรงสั้นหรือว่ากางเกงขาสั้นมา ทางพระธาตุมีซิ่นให้เปลี่ยนก่อนเข้าด้วยนะครับ



ที่ต่อมาเราเราเลือกมาคือ หอพระแก้ว ช่วงที่พวกผมไปยังปิดปรับปรุงอยู่เลยครับ แต่ได้เห็นแค่ภายนอกก็สวยงามแล้ว

เราวางแพลนไว้ว่าจะออกจากเวียงจันทร์ประมาณ 11 โมงเช้า เพื่อให้ถึงวังเวียงประมาณไม่เกินบ่ายสาม พอถึงเวลา เราก็เริ่มออกเดินทางสู่วังเวียง ดูจากเส้นทางแล้วใช้ระยะเวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมงโดยรถส่วนตัว แต่ถ้าขึ้นรถประจำทางจะใช้เวลาประมาณ 4-5 ชั่วโมงด้วยกันครับ



***เดี๋ยวมารีวิวต่อ วังเวียงนะครับ


ขออนุญาตไปกินข้าวก่อนครับ

และแล้วเราก็มาถึงวังเวียงครับ ทางที่มาไม่ลำบากอย่างที่คิด สองข้างทางเป็นหมู่บ้านเกือบจะตลอดทั้งทางสลับกับภูเขา

จากที่ผมศึกษามาคร่าวๆ วังเวียงเป็นเมืองที่อยู่ทางตอนเหนือของประเทศลาว พูดง่ายๆก็คงเปรียบเสมือนกันเชียงใหม่บ้านเฮา เลยไม่แปลกที่จะมีนักท่องเที่ยวทั้งไทย ฝรั่ง เกาหลี จีน แวะเวียนกันมาเที่ยวเป็นจำนวนมาก



ด้วยภูมิประเทศของที่นี่มีแม่น้ำซองไหลผ่าน มีฉากข้างหลังเป็นภูเขาทอดตัวสูงสลับต่ำกันไปเป็นแนวยาวสวยงาม ก็ไม่แปลกที่ใครๆก็หลงรักเมืองนี้ ผมก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน



เรามาถึงที่นี่ประมาณบ่ายสาม เริ่มด้วยกันเช็คอินเข้าที่พักของเรา ที่พักของเราในวันนี้คือ silver naka hotel โรงแรมสุดหรูที่นึงในวังเวียง ไม่ใช่ว่าเรามีเงินเหลือนะครับ แต่ด้วยความผิดพลาดของการวางแผนการเดินทางนิดหน่อย ทำให้เราต้องจองที่พักใหม่ และยิ่งเป็นวัดหยุดยาวด้วยแล้ว การจองก็ยิ่งยากขึ้นเป็นเท่าตัว

แต่ก็คุ้มกับเงินที่เสียไปครับ เฉลี่ยนคนละ 1,100 บาทต่อตน ได้นอนห้อง family room พักได้ 4คน มีวิวแม่น้ำอยู่ด้านหลังห้อง มีระเบียงไว้สำหรับส่องสาวๆว่ายน้ำสระว่ายน้ำ บอกได้คำเดียวว่าคุ้มครับ



หลังจากที่เราเข้า checked in เรียบร้อยแล้ว แผนต่อไปของเราวันนี้คือเที่ยว "ถ้ำจัง" แต่ก่อนที่เราจะไปถ้ำจัง แพลนของเราในวันพรุ่งนี้คือ one day trip เพราะฉะนั้นเราเลยต้องตระเวนหาซื้อทัวร์



ความจริงเรามีทัวร์ในใจของเราอยู่แล้วครับ เพราะอ่านรีวิวจาก pantip มาหลายคนแล้วแนะนำให้มาให้บริการของทัวร์นี้ ขอแนะนำอีกเสียงแล้วกันนะครับ เลือกทัวร์ของน้ำทิพย์ทราเวล (Namtip travel company, LTD) ร้านเป็นป้ายสีเหลือง ลองถามคนแถวนั้นดูได้ครับ หาไม่ยาก

เลือกซื้อทัวร์เสร็จแล้ว ก็มุ่งหน้าไป "ถ้ำจัง"
จุดเช็คอินของวังเวียงอีกที่หนึ่งที่ห้ามพลาดเลยก็คือ สะพานส้มครับ เป็นทางผ่านที่จะเดินเข้าไปถึงถ้ำจัง

ถ้าได้มาช่วงคนน้อยๆ ได้ถ่ายรูปสะพาน คงจะฟินไม่น้อยว่ามั้ยครับ



ใช้ระยะทางเดินเข้าไปประมาณ 500 เมตรแป๊บเดียวก็ถึงปากทางเข้าถ้ำแล้ว



ระหว่างทางเดิน มีของขายเล็กๆน้อยๆครับ หน้าตาก็จะคล้ายๆกับบ้านเรา รสชาติก็อร่อยไม่แพ้กันครับ



ที่อร่อยนี่เพราะหิว หรือเพราะหิวมากผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ



เมื่อเราเดินเข้าไปถึงบริเวณด้านล่างของถ้ำจังแล้ว สิ่งที่เป็นจุดเด่นของที่นี่จะมีแอ่งน้ำเล็กๆ แต่ว่าใสมากๆ อยู่รอบๆบริเวณด้านล่างของถ้ำด้วยครับ

ทั้งคนไทยคนไม่ไทยต่างสนุกสนานเล่นน้ำกันอย่างครื้นเครง



ผมได้ลองเอาเท้าจุ่มลงไปหน่อยนึง เย็นสิครับ น่าเสียดายที่ไม่ได้เอาชุดมาเปลี่ยน น่าเล่นมากๆ



เดินข้ามสะพานไปอีกหน่อย จะมีทางเข้าถ้ำให้เราเดินเข้าไป แต่ต้องระวังนิดนึงนะครับ เพราะมีน้ำหยดมาจากถ้ำอยู่ตลอดเวลาทำให้พื้นบริเวณนั้นค่อยข้างลื่นพอสมควร



ภายในถ้ำจะมีพระพุทธรูปให้สักการะบูชา

พักสายตาจากสีฟ้าๆ มาเป็นสีเขียวกันบ้าง จุดหมายปลายทางของเราจะต้องเดินขึ้นบันไดเพื่อขึ้นไปข้างบนของถ้ำจัง พวกผมยีนคิดอยู่นานว่าจะขึ้นไปดีมั้ย เพราะดูจากความสูงและความชันของบันไดแล้ว คิดว่าน่าจะเหนื่อยเอาการ

แต่ด้วยความที่อยากรู้ ว่าข้างในถ้ามันมีอะไร ทำไมใครๆถึงยอมเดินขึ้นไปทั้งๆที่รู้ว่ามันเหนื่อย ผมกับเพื่อนๆเลยคิดแผนกันง่ายๆครับ ว่าจะขอดูรูปจากคนที่เดินลงมาแล้วว่าสวยมั้ย ถ้าถ่ายออกมาแล้วสวย พวกผมก็จะเดินขึ้นไป และแล้วฟ้าก็เป็นใจให้เราเดินขึ้นไปครับ เพราะรูปถ่ายจากกล้องของพี่คนนั้นเค้าเจ๋งจริงๆ



เดินไปถ่ายรูปไป แป๊บเดียวก็ถึงแล้วครับปากทางเข้าถ้ำแล้วครับ



พอถึงจุดสูงสุดข้างบน สามารถถ่ายรูปวิวด้านล่างของเมืองวังเวียงได้ด้วย สวยสมกับความเหนื่อยที่เดินขึ้นมาจริงๆ ปากเข้าถ้ำจังจะมีลมเย็นพัดออกมา เย็นแบบว่าเหมือนอยู่คนละซีกโลกกับข้างล่างเลยครับ



ไม่รอช้าที่จะเดินเข้าถ้ำไป ข้างในถ้ำค่อนข้างจะมืดพอสมควร แต่จะมีหลอดไฟดวงเล็กๆ สว่างอยู่ข้างในตลอดทางเดินครับไม่ต้องกลัว



ในถ้ำมีทางให้เดินไปตามทางที่เค้าวางไว้ให้ เราจะไม่สามารถเดินไปได้ทั่ว เพราะจะมีน้ำหยดลงมาจากข้างบนของถ้ำตลอดเวลา ทำให้บางบริเวณมีน้ำท่วมเป็นแอ่งๆ สวยงามมาก



ผนังภายในถ่ำเป็นหินงอกหินย้อยรูปร่างสวยงาม



เดินตามทางไปเรื่อยๆ สามารถทะถุไปด้านหน้าถ้ำ เพื่อมองเห็นเป็นภาพวิวแบบ overview



เดินไปได้แป๊บเดียว ก็มีคุณลุงมาบอกว่าถ้ำจะปิดแล้ว พระอาทิตย์ก็เกือบจะตกดินแล้ว ได้เวลากลับแล้วสินะ

ระหว่างทางเดินมีทั้งผีเสื้อ ท้งนก ทำให้เรามั่นใจได้เลยว่าที่นี่มีความสมบูรณ์ทางธรรมชาติจริงๆ



กลับมาที่พักของเรา ขอเอนหลังซักหน่อยแล้วค่อยออกไปหาอะไรกิน แต่วิวหลังห้องนี่สวยจริงๆ สวยจนไม่อยากจะเอนหลัง เลยเปลี่ยนเป็นหยิบกล้องมาถ่ายไว้ตามระเบียบครับ



เป็นไงมั่งครับ วิวระเบียงด้านหลังห้องของพวกเรา สวยใช่มั้ยล่ะครับ



พระอาทิตย์หายไป พระจันทร์เข้ามาแทน เดินเลาะถนนไปเรื่อยๆ ถามทางคนแถวนั้นไปเรื่อยๆ ว่าร้านอาหารติดแม่น้ำไปทางไหน แล้วเราก็มาจนได้

ร้านที่เรามานั่งกินข้าวพร้อมกับเครื่องดื่มเย็นๆ นี้ คือร้าน phubarn cafe ครับ



บรรยากาศดีมาก แต่วันนี้อากาศค่อยข้างร้อนไปหน่อย แต่พอได้จิบของเย็นๆไป ความเหนื่อยที่มีก็หายวับไปกับตา



นี่ไงครรับ ของเย็นๆที่ผมพูดถึง ค่ำคืนนี้ ถ้าขาดเบยลาว ก็คงจะมาไม่ถึงเมืองลาวสินะ จัดไปครับ !



และแล้ว night life ของวันที่สองก็ได้เริ่มขึ้น สองสาวผู้ร่วมทริป โดนเบยดำไปสองขวด สติเริ่มหาย เลยคิดว่าตัวเองเป็นพรีเซนเตอร์เบยลาวไปเลย



จบทริปวันที่สอง กับร้านซากุระบาร์ แล้วกันครับ เชื่อว่าตอนนี้ คงไม่มีใครที่ได้เคยสัมผัสวังเวียงมาแล้ว จะไม่รู้จัก "ซากุระบาร์"



ร้านที่ไม่ว่า ตอนเช้าคุณจะไปเจอใครที่ไหน ตอนบ่ายคุณจะไปร่วม one day trip กับใครมา หรือตอนเย็นคุณจะไปกินข้าวร้านไหน แต่เชื่อเหอะว่า คุณจะได้เจอคนเหล่านั้นซ้ำที่นี่อีกแน่นอน ไม่ใช่เรื่องของพรหมลิขิตหรอกนะครับ แต่เป็นเรื่องของการร่ำสุราล้วนๆ 55555



เริ่มวันใหม่อีกวันครับ วันนี้เป็นวันที่ 3 แล้วสำหรับการเดินทาง เมื่อคืนชาร์ทแบตมาเต็มที่เพื่อพร้อมกับกิจกรรม one day trip ของเราในวันนี้

ทางทัวร์นัดเรามา 8.30 น. ครับ แต่เรามาเลทไป 15 นาที กำหนดการณ์ทัวร์ของเราเลยเปลี่ยน ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีครับ เดี๋ยวผมจะบอกว่าทำไม



กิจกรรมของเราในวันนี้ก็จะมี ถ้ำน้ำ - ถ้าช้าง - พายคายัค - zip line - blue lagoon ซึ่งโดยปกติแล้วจะแบ่งเป็นสองช่วงคือช่วงเช้ากับบ่าย ช่วงเช้าจะเป็นกิจกรรมนั่งห่วงยางลอดถ่ำน้ำ ถ่ำช้าง ต่อด้วยพายคายัค ส่วนพักเที่ยงกินข้าว จากนั้นก็จะเป็น zip line และปิดท้ายด้วย blue laggon ครับ



อยากที่ผมบอกไว้แล้วว่ากำหนดการเราเปลี่ยนนิดหน่อย แต่มันเป็นเรื่องที่ดีเพราะว่า ทางบริษัททัวร์เห็นว่าวันนี้คนเยอะมาก เลยจะทำการสลับระหว่างช่วงเช้ากับบ่าย ทำให้ช่วงเช้าเราได้ไปเล่น zip line และเล่นน้ำที่ blue laggon กันก่อนครับ เพราะทางทัวร์บอกว่า ช่วงบ่ายคนจะมา blue lagoon เยอะมาก อาจจะทำให้เล่นได้ไม่เต็มที่ ถือว่าเป็นความโชคดีของเราครับ



ระหว่างทางไป blue lagoon สองข้างทางรายล้อมไปด้วยภูเขากับท้องทุ่งนา บวกกับบรรยากาศตอนสายๆด้วยแล้ว ยิ่งทำให้รู้สึกดีขึ้นไปอีกครับ



มาถึง blue lagoon แล้วครับ แต่เราจะต้องไปเล่น zip line ก่อน
ก่อนเล่นทางไกด์ของเราก็ได้มีการแต่งองค์ทรงเครื่องให้พวกเรา พร้อมกับอธิบายวิธีการเล่นอย่างละเอียดครับ ส่วนอุปกรณ์ทุกอย่างดูใหม่และก็แน่นหนาดีครับ ไม่มีอะให้น่าเป็นห่วง

แต่ไอ้ที่น่าเป็นห่วงจริงๆแล้วคือใจผมที่แหล่ะครับ ตอนนี้มันเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ เพราะมองไปด้านบนแล้วเห็น line ที่ทางทัวร์วางไว้ แม่เจ้า !!!!! จะสูงไปไหน



กิจกรรม zip line จะมีทั้งหมด 12 ฐานครับ แต่ละฐานส่วนมากจะเป็นการไต่สลิงไปตาม line เรือยๆ แต่ละ line ก็จะมีวิวทิวทรรศน์ให้เราได้มอง แต่ผมเชื่อเลย ว่า50% ไม่มีใครมองวิวหรอกครับ เพราะมัวแต่หลับตามากกว่า



จริงๆแล้ว กิจกรรมนี้ไม่น่ากลัวเลย แต่คงจะไม่เหมาะสำหรับคนที่กลัวความสูงอย่างแน่นอน แต่ความมันส์จริงๆแล้วมันอยู่ที่พี่ๆไกด์ของเราครับ ยิ่งเห็นว่าพวกเราเป็นคนไทย ยิ่งเห็นว่ามีสาวๆมาด้วย ยิ่งแกล้งครับ



ลองคิดภาพตามนะครับ ปกติเราก็จะโหนสลิงไปเรื่อยๆ แต่พี่ไกด์แกจะคอยแกล้งอยู่ตลอดเวลาเพื่อเพิ่มสีสันให้กับลูกทัวร์ โดยการขย่มสลิงบ้างล่ะ จับตัวไว้ไม่ยอมปล่อยบ้างล่ะ สนุกครับ รับประกันความมันส์และความฮาเลย



ไฮไลท์เด็ดของ zip line อยู่ที่การโรยตัวลงมาที่พื้นครับ ลองคิดตามนะครับ มีเชือกแค่ 1เส้น ส่วนรอกที่เอาไว้ยึดตัวเราก็มีแต่พี่ไกด์เค้าเองนี่แหล่ะครับ เรียกง่ายๆว่า ถ้าพี่แกเกลียดใคร อยากได้ยินเสียงกรี๊ดใคร พี่แกจัดให้ได้ครับ น่าเสียดายที่ผมไม่ได้ถ่ายรูปมาเพราะมัวแต่ยืนกังวลว่าพี่แกจะจัดให้ผมหนักแค่ไหน

พอเสร็จฐานโรยตัวลงมาจากยอดต้นไม้แล้ว ไอ้เราก็คิดว่าหมดแล้ว แต่ยังไม่หมดครับ ยังมีอีกครับ พี่ไกด์แกขย่มอีกแล้วครับ สายแดนซ์ออกลวดลายเต้นบนเชือกกันไม่ถงไม่ถามสุขภาพซักคำ



ทั้งกลัว ทั้งหวาดเสียว ทั้งขำ มีครบจริงๆครับกับพี่ๆไกด์กลุ่มนี้



ตลอดการเล่น zip line ของเราก็มีวิวแบบนี้แหล่ะครับ เริ่มไม่กลัวแล้ว เริ่มชินแล้วก็หันมามองวิวทิวทัศน์บ้างแล้วกัน

ได้เวลาของ blue lagoon แล้วครับ สวยสมคำร่ำลือจริงๆ แต่น่าเสียดายที่ตอนพวกผมไปฝนตกก่อนหน้านั้น2วัน ทำให้น้ำไม่ค่อยใสอย่างที่คิด แต่ด้วยองค์ประกอบหลายๆอย่างแล้ว เด็ดครับ

ต้องขอบอกเลยว่าถึงน้ำจะไม่ใสมาก แต่น้ำเย็นน่าเล่นมากครับ มีทั้งชาวไทย เกาหลี ฝรั่งไปยีนรอต่อคิวกันโดดน้ำไม่ขาดสาย



เวลาผ่านไปเร็วมาก แป๊บๆก็เที่ยง เรามีเวลาพักเที่ยงกินข้าวกินน้ำประมาณ 45 นาที จากนั้นก็ถึงกิจกรรมต่อไปคือลอยห่วงยางเข้าถ้ำน้ำ



โปรแกรมแรกของบ่ายนี้เริ่มต้นด้วยการนั่งรถไปถ้ำช้างและถ้ำน้ำก่อน ใช้เวลาประมาณเกือบครึ่งชั่วโมงในการเดินทางเพราะค่อยข้างไกล เมื่อถึงที่หมายแล้วต้องเดินเท้าต่อเข้าไปอีกประมาณ 15 นาที



พอถึงหน้าถ้ำ พี่ไกด์ๆเราก็จัดแจงเอาไฟฉางครอบหัวมาให้ เพราะในถ้ำจะมืดมากไม่มีไฟ ส่วนสัมภาระของมีค่าไม่ต้องห่วง เพราะพี่ไกด์แกจะคอยดูแลให้ครับ



หน้าที่ของเราในกิจกรรมนี้คือ นั่งหรือนอนบนห่วงยางเข้าไปให้ถ้ำ พยายามไม่ให้ไปชนใคร แล้วก็ไม่ให้ใครชนเราเท่านั้นเอง พอลอยห่วงยางเข้าไปในถ้ำแล้วมืดมากจริงๆ แต่ก็จะมีเชือกให้เราค่อยๆเกาะค่อยสาวกันไปเรื่อยๆ ใช้เวลาประมาณแค่ 15 นาทีเราก็ได้ออกมารับแสงแดดนอกถ่ำกันแล้ว



จากนั้นเราก็ขึ้นรถอีกรอบเพื่อมุ่งหน้าไปทำกิจกรรมพายคายัคกันต่อ นำทีมโดยพี่แสงไกด์ตีนผีของเรา จริงๆแล้วแค่การนั่งรถไปที่นั่นที่นี่จะไม่มีอะไรมากเลย ถ้าพี่แกไม่ซิ่ง ถ้าพี่แกไม่เหยียบทุกหลุมที่ขวางหน้าและทุกเนินที่ขวางแก สโลแกนของพี่แกง่ายๆครับ ทางลาดขับช้าทางชันใส่ไม่ยั้ง 5555555 เป็นสีสันไปอีกหนึ่งอย่างของทัวร์นี้ครับ

ระยะทางพายประมาณ 4 กิโลเมตรล่องไปตามแม่น้ำซองเรื่อย ซึ่งน่าเสียดายที่เมื่อก่อนจะมีบาร์น้ำไว้เป็นที่พักจำนวนมาก มีฝรั่งเต้นกันสนุกสนาน แต่ตอนนี้ไม่มีแล้วครับ



เราได้แต่พายล่องดูภูเขาต้นไม้ใบหญ้าไปเรื่อยๆ แต่ก็สนุกได้ครับ เพราะบรรดาเพื่อนๆทัวร์เรา ไกด์ทัวร์เราเล่นสาดน้ำกันอย่างสนุกสนาน



พอดีกล้องของผมดันแบตหมดครับ เลยไม่มีบรรยากาศสองข้างทางมาให้ได้ชม เป็นอันจบทัวร์ one day trip ของวันนี้ครับ

มองดูนาฬิกา 5โมงเย็นแล้วครับ สภาพเปียกชุ่มของแต่ละคนคือต้องการเตียงนอนและห้องน้ำมาก
วันนี้ที่พักของเราอีกที่คือ จำปาลาว วิลล่า ครับ ซึ่งถูกการรีวิวมาหลายต่อหลายคนแล้วว่าดี แล้วก็ดีอย่างที่รีวิวบอกไว้จริงๆครับ บริเวณบ้านทำเหมือนเราอยู่บ้านตัวเอง มีเพื่อนบ้านที่คุ้นเคย มีเจ้าของที่ต้อนรับอย่างอบอุ่น มีหมาที่เหมือนหมูคอยต้อนรับอยู่3-4 ตัว

พอจัดแจงเก็บของ อาบน้ำอาบท่าเรียบร้อยแล้ว เราก็เริ่มออกหากินกันเพราะวันนี้ใช้พลังงานมาก ร้านอาหารหาไม่ยากเลยครับ ได้กลิ่นควันไก่ ควันหมู กลิ่นส้มตำมาจากทางไหน ก็เดินไปทางนั้นเลยครับ



แซ่บหลาย อาหารที่นี่ทุกอย่างแซ่บหลาย



กินข้าวเหนียวระวังติดคอ ต้องกินน้ำตามมากๆนะครับ อิอิ



หนังท้องตึง หนังตาก็เริ่มหย่อน เราเลยตกลงกันว่าจะกลับที่พักเพื่อพักเอาแรงสำหรับคืนนี้กันครับ

นาฬิกาบอกเวลา 2ทุ่ม ได้เวลาออกหากินแล้วสินะ พวกผมกับเพื่อนตัดสินใจกันว่าจะไปนั่งร้านริมแม่น้ำชิว ใกล้ๆที่พัก เพื่อที่ว่ากินเสร็จเมาเสร็จจะได้เดินกลับมาที่พักแล้วนอนได้เลย

ตรงข้ามที่พักเราเลยครับ ด้านหน้าร้านมีโต๊ะพลูตั้งเด่นอยู่บวกกับเสียงร้องดนตรีสดเป็นการเชื้อเชิญให้เราเข้าไปมาก จะรออะไรล่ะครับ
" beer laos one please "

เดินเข้ามาข้างใน มีกองไฟก่อไว้ให้เราสามารถนั่งล้อมรอบกองไฟได้ด้วยครับ แต่ไม่มีพื้นที่ว่างให้คนไทยตาดำๆอย่างพวกผมได้จับจองที่นั่งเลย น่าเสียดายครับ นอกจากมีวิวติดแม่น้ำแล้ว ยังมีวิวของภูเขาให้เห็นเป็นพื้นหลังอีกด้วยครับ



เวลาผ่านไปไม่นาน ซักพักเริ่มสนุกขึ้นด้วยฤทธิ์ของเบียร์ลาว และด้วยเพื่อนใหม่คนไทยอีก1แก๊งค์


การพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องท่องเที่ยวเป็นอะไรที่สนุกมาก และวิธีที่จะสนิทสนมกับเพื่อนใหม่ได้เร็วมากขึ้นก็คือการเล่นเกมส์นั่นเอง โดยฝ่ายเราเป็นฝ่ายเริ่มนำเกมส์ก่อน แล้วปล่อยให้แก๊งค์นั้นเป็นฝ่ายเสนอเกมส์ขึ้นมาบ้าง



ผมขอเรียกว่าแก๊งค์โป้ง หยา แล้วกันครับ เพราะเกมส์ที่น้องๆสอนพวกผมเล่น สนุกจริงๆ กติกาง่ายๆ ใครผิดครึ่งแก้ว ละแล้วสรุปกลายเป็นฝั่งผมสินะที่เมาก่อน เพราะแพ้บ่อยเหลือเกิน



ปล. ถ้าน้องๆ โป้ง หยา ได้มีโอกาสมาอ่าน แสดงตัวด้วยนะครับ ทริปหน้าอยากแก้ตัวอีกครับ 55555

หลังจากโป้ง หยา เมื่อคืนแล้ว เราก็ตื่นมาหาอะไรกินรองท้อง เพื่อเตรียมพร้อมรบกับถนนอันเลี้ยวเคี้ยวคดสุดๆ เพื่อไปยัง " หลวงพระบาง " กันครับ

จากการถามระยะทาง และเส้นทางจากวังเวียงมาหลวงพระบางจากคุณพี่เจ้าของเกสต์เฮ้าท์ จำปาลาว ของเราแล้ว คำนวณเวลาแล้วน่าจะใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมงในการเดินทาง แต่ถ้ามารถประจำทางก็ต้องบวกเวลาเพิ่มอีก 1-2 ชั่วโมงนะครับ



ถนนโหดมาจริงๆครับ ถ้าเทียบกับบ้านเราก็ทางไปปายดีๆนี่เอง แต่ใช้ระยะเวลานานกว่า นานกว่ามาก



ตลอดเส้นทางไปหลวงพระบาง เราจะได้พบกับหลายฤดู ทั้งแดดร้อนเปรี้ยง ฝนตกกระหน่ำ หรือว่าลมหนาวเมื่อขึ้นไปบนยอดสูงๆ ทำให้หลับไม่ลงเลยครับ ตื่นเต้นกับถนนและสองข้างทางมาก



ขับไปตามทางเรื่อยๆ แอบมีน้ำตกไหลลงมาจากภูเขาด้วยครับ ใกล้มาก อยู่ติดถนนเลย ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนจริงๆ


ยังไม่ทันถึง หลวงพระบาง ก็หลงรักซะแล้ววววว



นอกจากสองข้างทางจะเป็นป่า น้ำตก และภูเขาแล้ว ก็ยังเป็นหมู่บ้านสลับสับเปลี่ยนกันตลอดการเดินทางด้วยครับ อีกอย่างนึงที่เป็นไฮไลท์ของที่ลาวคือการเลี้ยงวัว ถ้าเป็นบ้านเราก็จะเลี้ยงวัวตามทุ่งหญ้า ให้นอนใต้ร่มไม้ แต่สำหรับที่นี่เค้าปล่อยให้วัวนอนกลางถนนครับ แรกๆเราก็ยังไม่ชิน แต่พอขับไปหลายๆวันเข้าเริ่มชินแล้วครับกับการขับรถหลบวัว 555555



ส่วนมากการเดินทางของเราในวันนี้จะเป็นฤดูฝนซะส่วนใหญ่ พอตรงไหนที่ไม่มีฝนพวกเราก็จะจอดรถแล้วลงไปถ่ายรูปกันครับ อดใจไม่ไหวจริงๆ สวยมากๆ



อากาศดีมากๆ ขับไปเรื่อยๆ ตรงไหนสวยก็แวะถ่ายรูปไม่รีบไม่ร้อนครับ

รถที่นี่พวงมาลัยจะอยู่ซ้ายมือ ทำให้การขับรถของเค้าดูจะชิวๆ เมื่อเทียบกับเราที่พวงมาลัยอยู่ขวามือแล้วต้องขับสวนเลน 5555555



ไม่นานเราก็มาถึงแล้วครับ " หลวงพระบาง "

แพลนของเราในวันนี้คือไป " ตาดกวางสี " น้ำตกที่มีน้ำเป็นสีฟ้าเหมือนน้ำทะเล


พอไปถึง จะเห็นรถจอดเต็มไปหมดเลยครับ มีร้านอาหาร มีร้านของฝากเยอะแยะมาก



ก่อนเข้าเราต้องเสียค่าเข้า คนละ 20,000 กีบ ตลอดทางเดินไปตาดกวางสีจะมีทางให้เดิน 2 ทางครับ คือทางไปน้ำตก


กับทางชมธรรมชาติ อย่าถามว่าพวกผมเลือกไปทางไหน



ทางธรรมชาติสิครับ ช้าๆได้พร้าเล่มงาม



หลังจากนั้ันเดินไปไม่ถึง 3 นาที สิ่งที่ผมเจอคือมีน้ำสีฟ้าเต็มไปหมด แถมยังไหลลงมาเป็นชั้นๆ สวยงามมาก สวยจริงๆ



สาวๆ ไม่รออะไรทั้งนั้น ลงไปเอาเท้าจุ่มน้ำทันที ผมก็ต้องมีหน้าที่แช๊ะ แช๊ะ อย่างเดียวสิครับ



เส้นทางศึกษาธรรมชาติจะมีให้เดินขึ้นไปเรื่อยๆเพื่อไปถึงน้ำตก ผมขออนุญาติลงรูปรัวๆ เลยนะครับ


ไม่ต้องอธิบายอะไรมาก ปล่อยให้ภาพมันบรรยายตัวมันเองครับ อิอิ



ที่นี่มีทั้งฝรั่ง ทั้งโอปป้ามาเล่นน้ำเยอะมาก นึกๆไปแล้วก็คล้ายกับอยู่ริมทะเลบ้านเราเลยนะเนี่ย



เราใช้เวลาอยู่ตาดกวางสีค่อนข้างนาน ประมาณ 2 ชั่วโมง เพราะมันสวยมากจริงๆครับ

เดินขึ้นไปเรื่อยๆ ซักพักก็จะถึงน้ำตก โอ้วแม่เจ้า !!!!! สวยมาก ใหญ่มาก และสูงมาก



ดูไปนานๆ เหมือนภาพวาดติดผนังดีๆนี่เอง แต่เป็นภาพวาดแบบ 4D ที่มีทั้งภาพทั้งเสียงทั้งกลิ่น


น่าเสียดายที่ไม่ได้เอาเสื้อผ้ามาเปลี่ยน เห็นคนอื่นเค้าเล่นน้ำกัน อยากเล่นมากกกกกกกก



มองดูนาฬิกา 5โมงครึ่ง ได้เวลากลับอีกแล้วครับ เพราะเราต้องทำการ check in เข้าที่พักอีก



แล้วเราคงจะได้เจอกันใหม่นะ " ตาดกวางสี "



ยังเหลืออีก 1 วันเต็มๆที่หลวงพระบางนะครับ


อย่าเพิ่งหนีไปไหนกัน ไว้ว่างๆจะมาต่อให้ครับบบบ

หลังจากกลับมาจาก ตาดกวางสี พวกผมก็ขับรถกับเข้ามาในตัวเมืองเพื่อเข้าที่พัก
โรงแรมของเราวันนี้ผมจองผ่าน agoda มาเรียบร้อยแล้วครับ แต่เกิดปัญหาขึ้นนึดหน่อยตรงที่ agoda ไม่ส่งข้อมูลมาให้โรงแรมไม่ทราบว่าเราจะเข้าพัก แต่เราเตรียมเอกสารมาครับ เลยไม่มีปัญหาอะไร

ที่พักของเราอยู่ใกล้ๆกับตลาดมืดของที่นี่ครับ เราเลยจอดรถไว้ที่โรงแรม แล้วใช้วิธีปั่นจักรยานเที่ยวรอบเมืองเอา


แพลนของเราคืนนี้คือเดินตลาดมืด ซื้อของฝาก ชมวิถีชีวิตของคนที่นี่



ตลาดมืดที่หลวงพระบาง ส่วนมากจะเป็นของ hand made ผ้าซิ่น กาแฟ เหล้าดอง แต่ทุกๆร้านก็จะมีของซ้ำๆกันครับ ต่างกันแค่ลวดลายสีสันซะมากกว่า



ถ้าถามเรื่องราคา ผมว่าราคาก็แรงพอตัวครับ ไม่มีอะไรที่ราคาต่ำว่า 50 บาทเลย แต่ถ้าเทียบกับเมืองท่องเที่ยวของบ้านเราแล้วก็ถือว่าราคาใกล้เคียงกันครับ



บรรยากาศของตลาดมืดส่วนมากเกินกว่า 70% จะเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยมีเกาหลีนำมาเป็นอันดับ1



กองทัพต้องเดินด้วยท้องครับ เดินมาสุดทางเดินของตลาด จะมีร้านขายพวกข้าวเปียก เฝอ ข้าวซอย พวกผมเห็นคนท้องถิ่นนั่งกิน ต่อแถวซื้อรอกลับบ้านกันเยอะมาก เลยลงมติว่าจะกินร้านนี้แหล่ะ เพราะถือคติว่า จะมีใครที่รู้ดีไปกว่าเจ้าถิ่น จริงมั้ยครับ

แล้วก็ไม่ผิดหวังครับ อร่อยแถมยังให้เยอะ


ถ้าจะให้แนะนะ ผมแนะนำข้าวซอย เด็ดมาก ! ไม่กะทิแบบบ้านเรานะครับ



หลังจากโดนไปคนละ 15,000 กีบ พลังงานเริ่มมา เดินดูของถ่ายรูปต่อครับ


เดินไปได้นิดเดียว จะมีซอยให้เลี้ยวเข้าไป ข้างในจะเป็นเหมือนศูนย์รวมของกินเลยครับ ที่เด็ดสุดๆก็คงหนีไม่พ้น "ข้าวแกง บุฟเฟ่ต์"



ถ้าผมจำไม่ผิด ราคาต่อหัวจะอยู่ที่คนละ 15,000 กีบครับ



พอพวกเราได้ของฝากแล้ว ท้องอิ่มแล้ว เลยกะกันว่าจะปั่นจักรยานเลาะริมแม่น้ำไปเรื่อยๆ เพื่อหาร้านนั่งจิบเบียร์กัน


แต่น่าเสียดายที่จักรยานพวกผมยางแบนครับ ไม่รู้ว่าเพราะล้อมันเล็กเกินไป หรือว่าคนซ้อนน้ำหนักเกินกันแน่ ทำให้แผนของเราให้วันนี้ล่มครับ เพราะเหนื่อยจากการเดินไปลากจักรยานไปมาก 555555



ก่อนนอน ฝากร้านเครปร้านนี้ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะครับ คนขายใจดีมาก เราชวนคุยไปชวนคุยมา แถมให้เรามาชิมอีก 1 ชิ้นครับ



ตบของหวานก่อนนอนไปแล้ว ก็ได้เวลาอาบน้ำนอน เตรียมตื่นมาใส่บาตรตอนเช้าครับ พระท่านจะเดินมาบิฑบาตตอน 05.45 นะครับ อย่าลืมตั้งนาฬิการปลุกด้วยล่ะ



ผมตื่นมาพร้อมกันดูมือถือ บอกเวลา 06.00 ให้ตายสิ ผมทำอะไรลงไป นี่ผมพลาดไฮไลต์สำคัญของ หลวงพระบางไปหรอ นี่ผมพลาดไปตัดบาตรข้าวเหนียวจริงๆ หรอ ผมให้เวลาคิดเสียดาย 30 วินาที จากนั้นผมก็ตั้งนาฬิกาปลุกไปอีก 15 นาทีเพื่อนอนต่อ 5555555555555555

ตื่นแล้วครับ คราวนี้ต้องไม่พลาดครับ ล้างหน้าแปรงฟันแล้วหยิบจักรยานออกไปเที่ยวรอบเมืองกัน
มีแต่ผมครับ มีแต่ผมเท่านั้นจริงๆที่เหลือรอดในวันสุดท้ายของทริปนี้ อย่าถามว่าคนอื่นไปไหนครับ ขดอยู่ใต้ผ้าห่มสบายใจเฉิบ T T

ปั่นจักรยานไปเลียบแม่น้ำไปเรื่อยๆ วัดแรกที่เราจะไปคือ " วัดเชียงทอง "



ความจริงแล้ว เชียงทองคือชื่อแรกก่อนจะเปลี่ยนชื่อมาเป็น หลวงพระบาง นะครับ



สำหรับค่าเข้าคือ 20,000 กีบ ค่าเข้าวัดที่นี่ค่อนข้างแพงพอต้วเลย แต่ก็คุ้มที่จะเสียครับ



หลังจากถ่ายรูปจนจุใจแล้ว ก็ปั่นจักรยานชมเมืองไปเรื่อยๆ

เจอตรงไหนสวย ตรงไหนน่าถ่ายเก็บไว้ ก็แวะจอดแวะถ่ายเอาครับ



ถ้ามองดูดีๆแล้ว เมืองหลวงพระบาง จะเป็นเมืองที่บ้านยังคงเป็นตึกสมัยเก่าๆอยู่ อาจจะมีการต่อเติมหรือดัดแปลงเล็กน้อย แต่ดูแล้วเป็นแบบเป็นแผนเดียวกันหมดทั้งเมือง ทำให้ถ่ายรูปออกมา ก็ยิ่งสวยมากยิ่งขึ้น



รูปแบบของบ้านเรือนที่หลวงพระบาง เป็น Colonial Style (สถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียล) ในยุกต์อาณานิคม ตามที่เราทราบกันอยู่แล้วว่า ลาวได้เป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส



โชคดีที่ยังไม่มีใครทำลายและเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี

ทุกๆอย่าง ดูมีความคลาสสิคภายในตัวของมันเองมากครับ


ตัวผมเองเป็นคนที่ชื่นชอบงานศิลปะอยู่แล้ว ก็ยิ่งทำให้หลงรักมากยิ่งขึ้นไปอีก



ปั่นมาเรื่อยๆ จุดหมายสุดท้ายของวันที่ที่หลวงพระบางคือ การเข้าชม พิพิธภัณฑ์แห่งชาติหลวงพระบางกันครับ





ส่วนนี้เป็นพระราชวัง ของเจ้ามหาชีวิต หรือพระมหากษัตริย์ ของประเทศลาวครับ หรืออาณาจักรล้านช้างในอดีตครับ ลองหาประวัติอ่านกันได้ครับ





จากประตูทางเข้าของพิพิธภัณฑ์แห่งชาติหลวงพระบาง ด้านขวามือ จะเห็น หอพระบาง ที่ประดิษฐาน "พระบาง" และพระบางก็เป็นที่มาของชื่อเมือง "หลวงพระบาง"

เสียดายที่ไม่ได้เข้าไปในตัวอาคาร เวลาผมมีน้อยมาก เดี๋ยวกลับไทยไม่ทัน ว่าแล้วก็ลุยกันต่อ



ตรงข้ามกับหอพระบาง จะเห็น อนุสาวรีย์เจ้าชีวิตศรีสว่างวงศ์ พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกแห่งราชอาณาจักรลาว หลังจากได้รับเอกราชจากฝรั่งเศส



ส่วนอาคารด้านหลังอนุสาวรีย์ คือ โรงละครพระลักษณ์-พระราม



ผมได้ยินเสียปี่พาทย์ เลยอดใจไม่ไหวที่จะเข้าไปชมในอาคาร


รูปภายในอาคารครับ



แต่ก็ด้วยความรีบเลยไม่ได้ขึ้นไปใช้บน อาศัยฟังเสียงปี่พาทย์จากด้านล่างเอา นั่งหลับตาฟัง ลมพัดเย็นๆ จนไม่อยากจะไปไหนเลยครับ แต่ไม่ท้นแล้ว จะ เก้าโมงแล้ว รีบ ๆ ๆๆ ๆ ๆ ให้ไวเลย



ค่าเสียหายสำหรับการเข้าชมพิพิธภัณฑ์นี้คือ 30,000 กีบครับ ก็ถือว่าเป็นราคาที่สมเหตุสมผลอยู่ครับกับคำว่า "มรดกโลก"



ปั่นจักรยานต่อครับ ไปเรื่อยๆ เรื่อย ๆ แวะถ่าบรูปไปเรื่อยๆ


วัดใหม่สุวรรณภูมาราม ครับ



รีบ ๆ ๆ ไปกันต่อ



แวะกินไรซักหน่อย ตื่นเช้ามายังไม่ได้มีอะไรถึงกระเพาะเลย

โจ๊กร้านดัง ที่ใครๆก็รีวิว 10,000 กีบ



อากาศเริ่มร้อน เป็นสัญญาณบอกให้ผมรู้เลยครับ ว่าใกล้ถึงเวลาที่เราต้องไปแล้วว



จริงๆแล้วยังมีแลนด์มาร์คอีกนะครับ ก็คือ พระธาตุพูสี ต้องเดินขึ้นบันใดไป เสียค่าเข้าชม 20,000 กีบ แต่ด้วยเวลาอันน้อยนิด ได้แต่มองผ่านๆ เอารูปมาฝากได้แต่ ตีนบันใด



ได้เวลาเดินทางกลับแล้วครับ
ขากลับพวกผมต้องวิ่งรถยาวกว่า 10 ชั่วโมง เพราะฉะนั้นต้องใช้ตัวช่วยครับ คำตอบคือ กาแฟร้านโจมา ร้านจะอยู่แถวๆตลาดมืดครับ หาไม่ยาก

กาแฟที่ร้านนี้ผมให้สามผ่านครับ รสชาติดีใช้ได้เลย


นอกจากกาแฟจะอร่อยแล้ว ขนมของร้านนี้ก็อร่อยเหมือนกันครับ



อย่างที่ทราบกัน พวกผมใช้เส้นทางขับรถเข้าลาวทางหนองคาย แต่ขากลับพวกผมจะไม่ย้อนกลับทางเดิมครับ เพราะไกลกว่ามา เราจะใช้เส้นทางหลวงพระบาง-อุตรดิตถ์โดยผ่านไชยบุรีแทน เรียกง่ายๆว่า ออกทางด่าน " ด่านภู่ดู่ " ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมงก็จะถึงด่านครับ



เอาให้เข้าใจง่ายเลย ก็คือ


หลวงพระบาง-ไชยบุรี-บ้านปากลาย-บ้านแก่งซอง-จุดผ่านแดนบ้านผาแก้ว(ฝั่งลาว)-จุดผ่านแดนภูดู่(ไทย)-อุตรดิตถ์-พิษณุโลก

ขับมาตามป้ายเรื่อยๆ เปิด gps นำทางมาเรื่อยๆ รับรองไม่หลงครับ



พอถึงจุดผ่านแดนฝั่งลาว คือจุดผ่านแดนบ้านผาแก้วแล้ว เราก็ลงมาทำเรื่องเอกสารต่างๆ พร้อมกับจ่ายเงินไป 120 บาทไทย หาร 4 แล้วเป็นเงิน 30 บาท/คน ครับ



หลังจากออกจากด่านฝั่งลาวแล้ว ก็เข้าเขตประเทศไทยแล้วครับ แต่อย่าลืมว่าต้องเปลี่ยนเลนขับเป็นเลนซ้ายปกตินะครับ ซึ่งเพื่อนผมเกือบจะตกม้าตายตอนใกล้จะจบทริป 5555555






จบแล้วครับ สำหรับทริปเวียงจันทร์ - วังเวียง - หลวงพระบาง กับเงินกว่าหนึ่งล้านกีบของพวกผม กับระยะทางรวมแล้วกว่า 1,740 กิโลเมตร และกับระยะเวลา 5 วัน 4 คืน

ทริปนี้ได้อะไรเยอะมากจริงๆ มีทั้งความสนุก ความมันส์ ได้ปลดปล่อยความบ้า ได้เรียนรู้วัฒนธรรม และก็ได้ความเหนื่อย

ขอบคุณผู้ร่วมทริปอีก 3 คนครับ ทริปนี้จะเกิดไม่ได้ถ้าไม่ได้คนขับรถและผู้อนุเคราะห์รถนาวาร่าของพวกเราอย่างเพื่อนผม

ทริปนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าไม่ได้การศึกษาอ่านรีวิวและวางแผนตลอดทั้งทริปของสองสาว

และทริปนี้คงจะไม่ได้มีรูปสวยมาให้เพื่อนได้ดูกันถ้าขาดผม 5555555



จากทริปนี้ทำให้ผมรู้เลยว่า

ปลายทางสำคัญเท่าไหร่ ระหว่างทางก็สำคัญเท่าๆกัน‬

เครดิต โดยสารถีสุดหล่อเพื่อนผมเองคร๊าบบบบ



แล้วเจอกันใหม่รีวิวหน้าครับ ขอบคุณที่ติดตามมาตั้งแต่ต้นจนจบนะครับ



HMtourTH

 วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 เวลา 11.16 น.

ความคิดเห็น