ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าหากเราคิดจะพาแฟนหรือครอบครัวไปพักผ่อนสบายๆ ที่ทะเลใกล้ๆ กรุงเทพฯ นั้น “หัวหิน" น่าจะเป็นชื่อแรกๆ เลยที่โผล่ขึ้นมาในหัวของแต่ละคน เพราะที่แห่งนี้มีความลงตัวในหลายๆ อย่างมาก ตั้งแต่ระยะทางที่ไม่ไกลจาก กทม., สถานที่ท่องเที่ยวระหว่างทางเยอะแยะมากมาย, Outlet, ร้านอาหารการกิน และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือบรรดาที่พัก โรงแรม รีสอร์ท ที่มีให้เราเลือกเยอะแยะจนตาลาย ตั้งแต่ราคาหลักร้อยไปจนถึงหลักหลายหมื่นบาทต่อคืน



และสำหรับวันนี้ผม นาย “ภรรยาหา สามีใช้" จะพาทุกท่านไปรู้จักกับรีสอร์ทเล็กๆ แห่งนึงที่มีความชิค ความสงบและเป็นความส่วนตัวสูง โดยชื่อรีสอร์ทแห่งนั้นก็คือ “The Rock Huahin Beachfront Spa Resort" ครับ



การเดินทางมายังรีสอร์ทแห่งนี้ไม่ยาก เพียงแค่เราขับรถออกจาก กทม. ไปเรื่อยๆ จนถึงตัวตลาดหัวหิน จากนั้นเราก็ขับตรงดิ่งไปทางเขาตะเกียบ และพอเลยตลาด Cicada ได้ซัก 1 กม. เราก็จะเจอรีสอร์ทที่หน้าตาแบบนี้อยู่ทางซ้ายมือครับ สำหรับคนที่ตาม Google Map มา ก็สามารถขับตามทิศทางมาได้เลย location ตรงเป๊ะ ไม่มีผิดเพี้ยน



สำหรับสถานที่จอดรถของรีสอร์ทแห่งนี้จะมี 2 จุดครับ จุดแรกคือบริเวณหน้ารีสอร์ทเลย จะสามารถจอดได้ราวๆ 10 คัน แต่บางช่องจะจอดยากเล็กน้อย ดังนั้นใครที่ถอยรถไม่ค่อยเก่งอาจจะมีเหงื่อตกได้ แต่ไม่ต้องเป็นห่วงไปนะครับ หากใครไม่อยากจอดรถตรงนี้หรือมาถึงแล้วที่จอดรถเต็ม ทาง The Rock เค้ามีที่จอดรถอีกที่นึงซึ่งอยู่ห่างออกไปราวๆ 40 เมตรไว้คอยบริการครับ



ระหว่างที่เราจอดรถ ทางพนักงานก็จะมาคอยดูแลความสะดวกให้ และเมื่อเราจอดรถดับเครื่องยนต์เรียบร้อย เค้าก็จะเข้ามาทักทายและรับกระเป๋าจากรถเราเข้าไปยังล็อบบี้ทันทีครับ



ตัวล็อบบี้นั้นกว้าง โล่ง สบายตาดี มีโซฟาให้นั่งรอหลายตัวเลย แต่คิดว่าเราคงจะไม่ได้นั่งเล่นซักเท่าไหร่หรอกครับ เพราะรีสอร์ทแห่งนี้มีแค่ 26 ห้องเท่านั้นเอง ดังนั้นปริมาณคนมา Check in Check out ที่ล็อบบี้จึงน้อยมาก



สิ่งที่ผมชอบในโซนล็อบบี้ของที่นี่คือ ความโปร่งและสีสันที่เค้าเลือกใช้ สีมันดูสดใสถูกใจผมดี นอกจากนี้เค้ายังมีชั้นหนังสือไว้คอยบริการ รวมไปจนถึงตุ๊กตาหมีตัวใหญ่เบ้อเร่อแบบนี้ด้วยครับ



ในส่วนของ Welcome Drink ในวันที่ผมไปนั้น เค้าเสิร์ฟเป็นน้ำใบเตย มาพร้อมกับผ้าเช็ดหน้า กินน้ำเย็นๆ เสร็จแล้วเช็ดหน้าต่อ ทำเอาสดชื่นมีพลังกลับมาใหม่เลยครับ



หลังจากที่ผมทำการ Check in เสร็จ ผมก็ได้สอบถามข้อมูลต่างๆ กับพนักงาน และพบว่าจำนวนห้อง 26 ห้อง ของรีสอร์ทแห่งนี้จะแบ่งออกเป็น 5 Type ดังนี้


- Gala Deluxe จำนวน 4 ห้อง

- Premier Gala Deluxe จำนวน 4 ห้อง

- Pearl Suite จำนวน 8 ห้อง

- Zen Jacuzzi Suite จำนวน 8 ห้อง

- Qualia Jacuzzi Pool Villa จำนวน 2 ห้อง



โดยห้องที่ผมเข้าพักวันนี้คือห้อง Zen Jacuzzi Suite แต่บังเอิญว่าทางรีสอร์ทได้ให้โอกาสผมเข้าไปชมห้อง Qualia Jacuzzi Pool Villa ด้วย ผมก็เลยได้เก็บภาพมาฝากทุกคนกัน



ตัวห้องประเภท Qualia Jacuzzi Pool Villa นั้น จะมีขนาดพื้นที่ใหญ่ที่สุด และมีความเป็นส่วนตัวสุดๆ โดยมีการกั้นรั้วกั้นประตูเป็นขอบเขตชัดเจน โดยเมื่อเราก้าวผ่านรั้วเข้าไปก็จะเจอสวนเล็กๆ พร้อมกับโซฟาเอาไว้นั่งเล่นเม้าท์มอยกับเพื่อนฝูงหรือเฮฮากับครอบครัวครับ



ปล. ในส่วนที่เห็นเป็นหลังคาอยู่ชั้นสองนั้น ไม่ใช่เป็นพื้นที่ของห้องนี้นะครับ แต่เป็นพื้นที่ส่วนกลางของรีสอร์ทเอาไว้ชมวิวสวยๆ



ถัดจากตัวสวนก็จะเป็นในส่วนของตัวห้อง พอเปิดไปแล้วผมถึงกับตกใจเพราะห้องกว้างมาก อุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ ครบครันเลยทีเดียว โดยในส่วนของห้องนอนกับห้องนั่งเล่นนั้นจะรวมในพื้นที่เดียวกันเลย ไม่ได้มีการกั้นห้องแยกออกไป



ส่วนของห้องน้ำนั้นก็กว้างมาก มีทั้งอ่างอาบน้ำ แล้วก็ห้องอาบน้ำ โดยอ่างอาบน้ำนั้นมาในรูปหัวใจด้วย น่ารักและโรแมนติคมากกกกก



สำหรับห้องนี้นอกจากจะมีสวนบริเวณหน้าบ้านแล้ว เค้ายังมีสวนบริเวณหลังบ้านด้วยนะครับ ซึ่งพื้นที่สวนหลังบ้านนั้นใหญ่กว่าข้างหน้าเยอะเลย มีทั้งการปูหญ้าแล้วก็มีอ่างจากุชชี่ขนาดใหญ่มากๆ ตั้งอยู่ด้วยครับ บอกเลยว่าเราสามารถลงไปแช่กันได้เป็นสิบ!



ตัววิวจากุชชี่นี่เราสามารถมองเห็นจากในห้องนอนเราได้เลยนะครับ เรียกว่าฟินมาก กลางวันแดดร้อนๆ ก็เข้าไปนอนในห้อง พอแดดร่มลมตกหน่อยก็เปิดประตูออกมาแช่น้ำต่อ สระส่วนตัวไม่มีใครมาแย่ง ดีงามมากๆ



เอาล่ะ หลังจากที่ได้เดินดูห้อง Qualia Jacuzzi Pool Villa จนทำเอาผมเคลิ้มไปไกลคิดว่าตัวเองได้นอนห้องนี้แล้ว ทีนี้ก็ได้เวลาที่ผมกลับสู่ความจริง คือการเข้าห้องพักตัวเองในห้อง Zen Jacuzzi Suite



ตัวห้อง Zen Jacuzzi Suite นั้นถึงห้องจะไม่กว้างเท่ากับห้องประเภท Qualia Jacuzzi Pool Villa แต่ก็ถือว่าเป็นห้องพักที่กว้างมากๆ ห้องนึงเลยครับ เตียงนอนใหญ่ โซนแต่งตัวกว้าง แล้วก็ห้องน้ำแยกเป็นสัดส่วนชัดเจน



สิ่งที่ผมแอบประทับใจในห้องนี้มากๆ อย่างนึงก็คือโซฟาในห้องที่ออกแบบมาได้เก๋ไก๋โดยการเลียนแบบชิงช้าตัวนี้ครับ บอกเลยว่าผมแอบล่องแกว่งมันดูด้วยว่ามันจะโยกได้มั้ย @_@



สำหรับอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในห้องก็มีให้ครบครันเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น TV, ตู้เย็น, เครื่องเล่น DVD, ชากาแฟ พร้อมเครื่องชง แล้วก็น้ำเปล่า 4 ขวด



นอกจากนี้บนเตียงเค้ายังมีความเก๋และของที่บ่งบอกถึงความใส่ใจต่อการเข้าพักของเราแบบนี้ด้วยครับ นั่นก็คือคุ้กกี้, ป้ายบอกชื่อคนที่ดูแลเรา แล้วก็รายละเอียดต่างๆ ของโรงแรมที่ม้วนมาอย่างเก๋ กระตุ้มต่อมความอยากรู้ของเราสุดๆ ว่าข้างในนั้นจะมีอะไรซ่อนอยู่



ปล. ตัวคุกกี้นั้นหอมดีแต่รสชาติกลางๆ แล้วก็แอบร่วนไปหน่อย ซึ่งบางคนอาจจะชอบเนื้อคุกกี้แบบนี้ก็ได้ครับ



ส่วนของตู้เสื้อผ้าและโซนแต่งตัวนั้น เค้าก็มีของเตรียมไว้ให้พร้อมเลย ตั้งแต่เสื้อคลุมอาบน้ำ, ร่ม, รองเท้าแตะทั้งเดินในห้องและนอกห้อง. ไฟฉาย. ตู้เซฟ รวมไปถึงปลั๊กไฟ



ทีนี้เราไปดูห้องน้ำกันดีกว่า ห้องน้ำเค้ามีการแบ่งงอกเป็นโซนชัดเจนมาก ตั้งแต่อ่างอาบน้ำ, อ่างล้างหน้า. สุขา แล้วก็ห้องอาบน้ำ โดยอ่างอาบน้ำห้องนี้เป็นรูปธรรมดาไม่ใช่รูปหัวใจแบบห้องเมื่อกี้ ส่วนบริเวณห้องอาบน้ำนั้นสามารถเปิดทะลุต่อเพื่อไปตากผ้าได้ด้วย ซึ่งเป็นอะไรที่ผมชอบมากครับ



อ้อ สุขาที่นี่มีสายฉีดชำระด้วยนะครับ ดีงามมมมมม



มาดูอุปกรณ์อาบน้ำที่เค้ามีให้กันดีกว่าครับ เท่าที่สำรวจก็มีครบตามมารฐานคือ ครีมอาบน้ำ, ยาสระผม, โลชั่น, Cotton Bud แล้วก็หมวกอาบน้ำ ซึ่งจะว่าไปแอบเสียดายเล็กๆ ที่ไม่มีชุดแปรงฟันมาให้ด้วย และจะบอกว่านี่ดันเป็นทริปที่ผมดันลืมหยิบเอายาสีฟันมาด้วย ผมก็เลยลำบากต้องออกไปหาซื้อเอง ซึ่งเรื่องนี้ส่วนนึงต้องโทษตัวเองด้วยเพราะปกติจะเตรียมไปตลอด แต่ครั้งนี้ดันลืมหยิบจากบ้านมาซะสนิทเลย - -“



ตอนนี้เราก็ดูในห้องเสร็จไปเรียบร้อยแล้ว ทีนี้ออกไปดูสวนหลังห้องกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง อันแรกที่เราจะเห็นเลยก็คือชุดโซฟาพร้อมโต๊ะเล็กๆ เอาไว้จิบกาแฟชิวๆ หรือนั่งทำงานในบรรยากาศสบายๆ แล้วก็อีกอย่างก็คือ จากุชชี่ขนาดใหญ่ยักษ์ ที่สามารถลงไปแช่ได้เป็นสิบคน!



เท่าที่ผมลองคาดคะเนดูตัวอ่างจากุชชี่นั้นน่าจะกว้างยาวราวๆ 3x4.5 เมตรได้ ซึ่งเป็นอ่างที่ใหญ่มาก แล้วก็ที่อ่างจะมีไฟใต้น้ำด้วย ทำให้เราสามารถลงไปแช่ในช่วงค่ำๆ ได้ โดยตัวไฟนั้นทางโรงแรมจะตั้งเวลาเปิดปิดอัตโนมัติไว้ในช่วงเวลา 18.30-22.00 น. ครับ



ทั้งนี้อ่างจากุชชี่ของห้องนี้แม้จะเป็นการตั้งอยู่ในห้องของเราชนิดที่คนอื่นไม่สามารถเข้ามาเล่นได้ แต่มันก็ไม่ได้อับสายตาจนไม่มีใครมองเห็นนะครับ เพราะด้านบนของอ่างจะเปิดโล่งทำให้คนที่เดินขึ้นบันไดชั้น 2 ชั้น 3 จะสามารถมองเห็นเราได้ ดังนั้นจะทำอะไรก็ระมัดระวังนิดนึงนะครับ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน ><



ส่วนคนที่อยากจะรู้ว่าวิวข้างๆ รั้วหลังห้องเรานั้นจะเป็นยังไง ก็ตามนี้เลยครับ



เอาล่ะ เราสำรวจห้องเราจนพรุนละ ต่อไปไปเดินดูข้างนอกดีกว่า และการเดินข้างนอกของเรานี้ก็เลยทำให้ผมเห็นว่ารีสอร์ทแห่งนี้ได้รับ Certificate of Excellent จาก Trip Advisor ในปีที่ผ่านมาด้วยครับ



สำหรับในส่วนต่างๆ ของรีสอร์ทนั้น ผมว่าเค้าจัดออกมาได้เก๋อยู่นะครับ เพราะระหว่างทางเดินไปห้องพักเค้าจะมีการทำโซนนั่งเล่น หรือชิงช้าแทรกเอาไว้เป็นระยะๆ รวมทั้งยังมีลำโพงซ่อนไว้หลายจุดด้วย ดังนั้นเวลาที่เราเดินผ่านก็จะได้ยินเสียงเพลงเพราะๆ ลอยมาครับ



และหากเราเดินตามทางเดินไปเรื่อยๆ เราก็จะไปถึงโซนหลังสุดของรีสอร์ทซึ่งอยู่ติดกับทะเลแล้วก็มีสระว่ายน้ำ รวมทั้งบาร์เครื่องดื่มไว้บริการครับ



โดยที่รีสอร์ทนี้จะมีทางเดินลงไปยังหาดและทะเลเลย ถึงแม้จะไม่ได้เป็นหาดส่วนตัวแต่ก็มีความสงบและคนน้อยมากๆ ครับ



ในส่วนของสระว่ายน้ำนั้นค่อนข้างยาวเลย แล้วก็มีการยกระดับไว้ตรงขอบๆ ด้วย เพื่อให้เด็กเล็กๆ บางคนสามารถยืนพยุงตัวได้ โดยสระว่ายน้ำของที่นี่เป็นสระคลอรีนครับ



ส่วนบริเวณข้างๆ สระก็จะมีเก้าอี้ชายหาด แล้วก็โต๊ะ เก้าอี้ โซฟา เอาไว้นั่งชิวๆ รอลูกเล่นน้ำ หรือไม่ก็สั่งอาหารเครื่องดื่มมาทานเล่นกับคนรู้ใจครับ



สิ่งที่เก๋ที่สุดของโซนนี้ก็คือ บริเวณดาดฟ้าชั้นสอง หรือที่เค้าเรียกว่า Moon Deck เพราะที่บริเวณนี้จะมีโซฟาวางเอาไว้ 2 ชุด เอาไว้ให้เรานั่งชมวิวมุมสูงของรีสอร์ทกัน



และพิเศษสุดสำหรับคนที่เข้าพักในห้อง Zen Jacuzzi Suite และห้อง Qualia Jacuzzi Pool Villa จะได้รับ Complimentary เป็นค็อกเทลห้องละ 4 แก้ว โดยเราจะสามารถไปรับได้ในช่วง 18.00-19.30 น. ครับ



และแน่นอนเมื่อเค้ามีให้เราแบบนี้เราก็ต้องจัดไปให้ครบโควตา ไม่งั้นทาง The Rock เค้าคงจะเสียใจแน่ โดยเมนูที่ผมกับภรรยาเลือกสั่งมาทานก็ได้แก่

- Remember Me (สีม่วง) : รสชาติเหมือนยาแก้ไอ @_@

- ไหมไทย (สีส้ม) : รสส้มค่อนข้างเด่น

- One More Kiss (สีแดง) : รสเชอรี่

- One More Time (สีเขียว) : สับปะรด + มะนาว



โดยการนั่งทาน Cocktail 4 แก้วนี้ของผม เรียกว่าผมนั่งทานแบบเปลี่ยนสถานที่ไปเรื่อยๆ ตั้งแต่บนดาดฟ้าที่เรียกว่า Moon Deck จนมาถึงโต๊ะข้างสระว่ายน้ำเลยทีเดียว เรียกว่าได้ลองสัมผัสครบทุกมุมของรีสอร์ทเลย ><



พอกินไปครบ 4 แก้ว พระอาทิตย์ก็ตกลาลับขอบฟ้าไปพอดี บรรยากาศรอบตัวก็เริ่มสวยมากขึ้น มีคนพากันออกมานั่งกินอาหาร จิบเครื่องดื่มบริเวณรอบสระมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่โรแมนติคใช้ได้เลยครับ



แต่อย่าคิดว่าค่ำคืนนี้ของผมจะจบที่ Cocktail แค่ 4 แก้วนะครับ เพราะว่าผมกับภรรยาได้รับ Complimentary เพิ่มอีก 2 แก้วจากปกติ ซึ่งคูปองนี้จะสามารถใช้กินเมื่อไหร่ก็ได้ไม่จำกัดเวลา แถมยังจะได้เมนูที่พิเศษขึ้นไปอีก ดังนั้น Cocktail แก้วที่ 5 และ 6 จึงค่อยๆ ไหลลงผ่านปากผมลงสู่กระเพาะครับ



จบ 6 แก้ว ก็เป็นเวลา 3 ทุ่มได้ และผมกับภรรยาก็เริ่มมึนๆ แล้ว เราก็เลยตัดสินใจกลับห้องพักไปนอนครับ และคืนนั้นผมก็นอนหลับสนิทกรนคร่อกๆๆๆ บนเตียงที่นุ่มๆ และก็มารู้สึกตัวอีกทีตอน 6 โมงเช้าครับ



หลังจากตื่นนอน ผมตัดสินใจเดินไปที่บริเวณสระว่ายน้ำเพื่อดูพระอาทิตย์และทะเลยามเช้า แต่น่าเสียดายที่ช่วงนี้เป็นช่วงที่น้ำทะเลขึ้นในตอนเช้า รวมทั้งเมฆยังหนาด้วย ผมก็เลยไม่ได้ภาพที่น่าประทับใจกลับมาซักเท่าไหร่



หลังจากนั้นผมจึงเดินออกจาก The Rock เพื่อไปสำรวจบริเวณใกล้เคียงว่าแถวๆ รีสอร์ทจะมีอะไรบ้าง และก็พบว่าบริเวณนี้นอกจากจะมีร้าน Super Market ใกล้ๆ ที่ทำให้ผมมียาสีฟันเอาไว้แปรงฟันเมื่อคืนแล้ว แถวนี้ยังมีร้านอาหารอยู่เยอะพอควรเลย



และนอกจากนั้น ยังมีร้านที่จัดอาหารไว้เป็นชุดสำหรับใส่บาตรด้วย ซึ่งผมก็จัดมาชุดนึง ถ้าจำไม่ผิดน่าจะราคา 30 บาทต่อชุด มีครบเลยทั้งข้าว อาหาร ขนมหวาน แล้วก็น้ำครับ เป็นอะไรที่ดีและสะดวกมากๆ ดังนั้นใครที่ได้มาพักแถวนี้หากพอจะตื่นเช้าไหว ผมแนะนำให้ตื่นแล้วมาใส่บาตรกันดีกว่าครับ



เอาล่ะ ทีนี้เราไปดูอาหารเช้ากันดีกว่าครับ อาหารเช้าของที่นี่นั้นจะเปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 7.00 น. ไปจนถึง 11.00 น. เรียกว่าเปิดนานมาก ชนิดที่ว่าหากใครมากินสายๆ ก็สามารถอิ่มควบ 2 มื้อได้เลยครับ



ตัวห้องอาหารเช้าจะชื่อว่า Sea Shell อยู่บริเวณเดียวกับล็อบบี้เลย มีโต๊ะราวๆ 15 ตัว จุคนได้ราวๆ 40 คน ก็เรียกว่าพอดีๆ กับปริมาณห้องพักครับ เพราะตอนที่ผมไปนั่งใช้บริการก็ไม่ได้รู้สึกว่าโต๊ะจะเต็มจนนั่งไม่พอแต่อย่างใด ทั้งๆ ที่คืนนั้นมีแขกเข้าพักเต็มทุกห้องครับ



ที่รีสอร์ทแห่งนี้มักจะมีความเก๋ไก๋ ความน่ารักปนอยู่ในทุกๆ ที่ อย่างเช่นที่โต๊ะรับประทานอาหารเช้าก็จะมีการจัดวางของไว้แบบนี้ และที่เราเห็นเป็นม้วนๆ มีเชือกผูกไว้ อันนั้นก็คือทิชชู่นั่นเองครับ



ไลน์อาหารของที่นี่ไม่ได้เยอะมากนะครับ จะมีแค่ข้าวกับอาหาร 3-4 อย่าง, ซุป, สลัด, เบคอน, แฮม. ไส้กรอก. ขนมปัง, เครื่องดื่ม, ซีเรียล แล้วก็ผลไม้ และก็จะมีในส่วนที่สั่งเพิ่มได้อีกก็คือพวกเมนูไข่แล้วก็ข้าวต้มครับ



สำหรับรสชาติอาหารในไลน์นั้น โดยรวมๆ ผมว่าอยู่ในระดับกลางๆ โดยที่เด่นสุดๆ ก็จะเป็นอาหารไทยครับ ส่วนเมนูที่สั่งเพิ่มผมก็สั่งมาลองหลายอันเหมือนกันได้แก่


- ไข่ดาว

- เกี๊ยวน้ำ

- ข้าวต้มหมู

- ข้าวเหนียวหมูปิ้ง

- ก๋วยเตี๋ยวผัดหมู

ตัวข้าวเหนียวหมูปิ้งเค้าจัดจานมาน่ารักดีครับ ข้าวเหนียวห่อมาในใบตอง ขนาดกะทัดรัดพอดิบพอดี ปริมาณไม่ถึงกับทำให้อิ่ม ประมาณว่าเอาแค่หายอยากซึ่งเด็กเล็กๆ น่าจะชอบ ส่วนก๋วยเตี๋ยวผัดก็เป็นเมนูที่แปลกดี ไม่เคยมีโอกาสทานมาก่อน



ปล. ในบรรดาเมนูที่สั่งมาเพิ่ม ผมรู้สึกว่าเกี๊ยวน้ำนี่เป็นอะไรที่รสชาติแปลกประหลาดที่สุดแล้วครับ @_@



และแล้วตอนนี้ผมก็ได้พาทุกคนไปรู้จักกับ The Rock Huahin Beachfront Spa Resort แทบจะครบทุกมุมแล้ว ทีนี้ก็ถึงเวลาสรุปข้อมูลส่งท้ายกันแล้วล่ะครับ ว่าผมคิดเห็นอย่างไรกับการได้มีโอกาสเข้าพักที่นี่ครับ



การออกแบบ :เป็นโรงแรมที่ออกแบบได้ดีนะครับ โดยเฉพาะการใช้สีสันที่สดใสมาตกแต่งในบริเวณต่างๆ รวมทั้งระหว่างทางเดินยังมีการตกแต่งอะไรที่ไม่เหมือนกันลงไปเป็นระยะๆ ด้วย ทำให้ตลอดระยะเวลาการเข้าพักที่นี่เรารู้สึกได้มาผ่อนคลายจริงๆ



ความสะอาด : สอบผ่านไม่มีปัญหาครับ สะอาดสะอ้านดีทั้งในห้องพักและบริเวณส่วนกลาง



สิ่งอำนวยความสะดวก : เป็นที่พักที่ให้สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มาได้อย่างครบครัน แต่จะดีกว่านี้ถ้ามีชุดแปรงฟันในห้องให้ด้วย >< แล้วก็ในส่วนของสัญญาณ Wifi นั้น ตอนที่เล่นอยู่สัญญาณถือว่าเสถียรและเร็วดี แต่พอเราเลิกเล่นและจะเล่นใหม่มันจะต้องทำการ log in ใหม่ทุกครั้ง ซึ่งผมรู้สึกไม่สะดวกเลย อยากจะให้ปรับเปลี่ยนระบบที่หากเราเชื่อมต่อครั้งแรกแล้ว ครั้งถัดๆ ไปสามารถเชื่อมต่อได้อัตโนมัติเลย จนกว่าจะถึงเวลาที่เรา Check out ครับ



การเดินทาง : เป็นที่พักที่ห่างจากตัวเมืองหัวหินเล็กน้อย ดังนั้นหากใครอยากจะไปตลาดโต้รุ่งก็ต้องใช้เวลาเดินทางซักหน่อย แต่ทำเลที่ตั้งของ The Rock นั้นก็ดีอย่างเพราะอยู่ใกล้ตลาด Cicada ดีครับ เรียกว่าใครฟิตๆ หรืออยากออกกำลังกายก็สามารถเดินไปได้ครับ น่าจะราวๆ 10 นาทีถึง ส่วนปัญหาสำคัญที่ใครหลายๆ คนบ่นเวลามาพักที่นี่ก็คงไม่พ้นเรื่องที่จอดรถ เพราะการจอดรถได้ 10 คัน จากห้องจำนวน 26 ห้อง มันดูไม่ค่อยสมดุลกันเท่าไหร่ แต่ทาง The Rock เองก็ได้มีการหาพื้นที่สำรองในการจอดรถไว้ใกล้ๆ ไว้เรียบร้อยแล้วครับ ดังนั้นคิดว่าสำหรับคนที่ขับรถมาคงไม่ถึงกับไม่มีที่จอดครับ แค่อาจจะจอดไกลหน่อยเท่านั้นเอง



การนอนหลับพักผ่อน : ข้อนี้สอบผ่านอีกเหมือนกัน เตียงใหญ่ นุ่มดี หมอน ผ้าห่ม ก็นุ่มและมีหมอนหลายใบด้วย นอนหลับสบายดีครับ



การบริการของพนักงาน : ตลอดเวลา 2 วัน 1 คืน ที่ผมเข้าพักที่นี่ ผมไม่ได้มีปัญหาอะไรในส่วนนี้เลย พนักงานที่ผมเจอทุกคนนั้นนอบน้อม อัธยาศัยดีมาก และหากเค้าเห็นเรากำลังเดินสวนมา เค้าจะหยุดและรอเราเดินผ่านให้เรียบร้อยก่อนเค้าถึงจะเดินต่อครับ



อาหารเช้า : เป็นที่พักที่ไม่ได้มีไลน์อาหารเช้าที่ยาวเฟื้อย แต่ก็เรียกว่าจุกได้เหมือนกันถ้าเรากินหมดครบทุกเมนู ส่วนรสชาติความอร่อยอยู่ในระดับกลางๆ แต่มีความเก๋ ความมีเสน่ห์ของอาหารหลายอย่างที่ทำให้ประทับใจ เช่น การจัดโต๊ะ การจัดชุดข้าวเหนียวหมูปิ้ง เป็นต้น



สรุป : The Rock Huahin Beachfront Spa Resort คืออีกหนึ่งที่พักในหัวหินที่ผมประทับใจ ด้วยความเป็นที่พักขนาดเล็ก จำนวนห้องไม่มาก พนักงานบริการดี ขนาดห้องกว้าง สระว่ายน้ำกับชายหาดมีความเป็นส่วนตัวสูง บรรยากาศช่วงพระอาทิตย์ตกดินสวยและสงบ ทำให้เวลาเข้าพักแล้วรู้สึกได้ไปพักผ่อนจริงๆ ไม่ต้องไปเจอคนจำนวนมาก ไม่ต้องไปต่อแถวยาวๆ ในไลน์อาหารตอนเช้า ไม่ต้องไปว่ายน้ำในสระที่มีคนเยอะๆ ดังนั้นใครที่ชอบการเข้าพักในสถานที่ที่เป็นส่วนตัวหรือเงียบๆ แบบนี้ The Rock Huahin Beachfront Spa Resort ก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีครับ แต่สำหรับคนที่ต้องการสระว่ายน้ำใหญ่ๆ ไลน์อาหารยาวๆ อลังการ ที่นี่คงจะไม่เหมาะเท่าไหร่ครับ ทั้งนี้สำหรับจุดที่ผมอยากจะให้ทาง The Rock Huahin ปรับปรุงมากที่สุดก็มีอยู่แค่เรื่องการต่อสัญญาณ Wifi ให้เป็นแบบอัตโนมัติหลังตากที่ต่อครั้งแรก กับความแรงของน้ำในห้องน้ำที่ผมรู้สึกว่ามันเบาไปหน่อยครับ ที่เหลือนี่โอเค ประทับใจเลยครับ โดยเฉพาะ Cocktail 4 แก้วกับบรรยากาศริมสระว่ายน้ำช่วงพระอาทิตย์ตกนี่ทำเอาฟินมากครับ



ก็จบลงแล้วสำหรับรีวิวนี้ หากขาดตกบกพร่องประการใดผมก็ต้องขออภัยด้วยนะครับ และการรีวิวนี้เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของผมจากวันที่ไปใช้บริการเท่านั้น แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสไปใช้บริการอาจจะได้รับการบริการที่แตกต่างจากนี้ออกไปครับ และหากใครชอบการรีวิวของผม สามารถไปติดตามหรือแนะนำเพิ่มเติมได้ที่นี่เลยครับ https://www.facebook.com/amazingcouples



ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ แล้วพบกันใหม่ในรีวิวหน้า สวัสดีครับ



หมายเหตุ : วันที่ผมเข้าใช้บริการคือ 17-18 กุมภาพันธ์ 2560 ครับ



Rod Wonglikitpanya

ภรรยาหา สามีใช้

 วันจันทร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 10.53 น.

ความคิดเห็น