เมิงงง !!! กรูออกจากงานแล้วไปเที่ยวลาวกันมั้ย (ให้ทายว่าปลายสายจะตอบว่าอะไร ฮ่าา) หลังจบเสียงสนทนาก็จัดการจองตั๋วขาไปเรียบร้อย ขาไปเราจองดอนเมือง-เวียงจันทน์ แอร์เอเชียมีโปรพอดี กลับเมื่อไหร่ค่อยคิดอีกที 5555 ตอนแรกคิดว่าไปแค่ลาวเหนือก็พอมั้ง แต่คิดอีกทีไหนๆก็ออกจากงานแล้วจัดเวียดนามไปด้วยเลยแล้วกัน อยากไปซาปามานานแล้วยังไม่มีโอกาสได้ไปสักที



และแล้วทริปนี้ก็ได้กำเนิดขึ้น 12-22 ก.ค. 59 เที่ยวลาว 4 วัน เวียดนาม 7 วัน (รวมวันเดินทาง) ซึ่งตรงหน้าฝนพอดีในใจก็แอบหวั่นๆอยู่นะ กลัวเจอฝนแล้วจะเที่ยวไม่สนุก แต่ช่างเหอะค่อยว่ากัน ต้องบอกก่อนว่าทริปนี้ไม่ได้เตรียมตัวอะไรมาก อยากเที่ยวไหนก็ไปไม่อยากไปก็ไม่ไป แค่พอศึกษาเส้นทางว่าไปยังไงเพราะหาข้อมูลระหว่างหลวงพระบางไปซาปาโดยที่ไม่ต้องเข้าฮานอยหายากมากกกกก แต่ก็ได้พี่ๆที่ใจดีในพันทิปนี่แหละคอยแนะนำ ขอบคุณมากๆนะฮะ งานนี้ทั้งเราทั้งเพื่อนร่วมทริปก็เตรียมใจมั่วกันเต็มที่ เอาเป็นว่าทริปตามใจฉันละกันเนอะ อ๋อ ลืมบอกไปขากลับเรากลับจองตั๋วกลับจากฮานอย-กรุงเทพ ที่บินทั้งไปทั้งกลับเพราะคิดว่าเราเอาเวลาที่จะเหนื่อยเดินทางตรงนั้นไปเหนื่อยระหว่างนั่งรถดีกว่า ส่วนใครที่จะไปก็แล้วแต่ว่าจะเดินทางยังไงเอาที่สะดวกเลยนะฮะ รูปสวยบ้างไม่สวยบ้างผสมกันไปเนอะ เพราะบางทีก็ถ่ายไม่ทันอะ 5555 (Sony a77 , Gopro hero4 , i-phone 6)



สำหรับรีวิวนี้จะเน้นรูปมากกว่าเล่านะ พอดีเล่าไม่เก่งแต่อยากเล่า 55555 เริ่มทริปกันเลยเนอะ ทริปนี้เรารีวิวเที่ยวลาวเหนือ-เวียดนาม 11 วัน 10 คืน สบายบ้างลำบากบ้าง ปนๆ กันไป เรามีเพื่อนร่วมทริปอีก 1 คนเป็นเพื่อนสนิทเราเองนางชื่อ เอลล์ (เอลล์เลเฟ่น)

Day 1

เราเริ่มเดินทางจากดอนเมืองไปเวียงจันทน์ ถึงท่าอากาศยานนานาชาติวัตไตตอนบ่าย

ถึงปุ๊บหิวปั๊บ เดินหาร้านข้าวในสนามบินสั่งราดหน้าไก่ได้ไก่ราดหน้า (ข้าว)


ลงเครื่องปุ๊บทำเรื่องผ่าน ตม เรียบร้อย แล้วมุ่งไปแลกเงินก่อนเลย เราแลกเงินบาทจากไทยเป็นเงิน usd แล้วค่อยเอาไปแลกเป็นเงินกีบที่ลาวนะเราว่ามันคุ้มกว่า เราแลกไป 60usd =485,280 กีบ รู้สึกมีความรวย แลกเงินเสร็จก็เปลี่ยนซิมก่อนเลยข้างล่างจะมีอยู่เจ้าเดียวคือ Unitel ค่าเสียหาย 70,000 กีบ ไม่รู้เหมือนกันว่าแพงหรือไม่แพง ต่อไปเราก็ทำการเรียกแท๊กซีไปท่ารถไปวังเวียง 66,000 กีบ จากสนามบินถึงท่ารถตู้ประมาณ 20 นาที ใครจะซื้ออะไรก็บอกพี่แท๊กซี่ให้แวะได้นะ ค่ารถไปวังเวียง 50,000 กีบ รถเต็มถึงจะออกและรถก็แวะตลอดทางช้าแต่ก็โอเค


ท่ารถสายเหนือ อารมณ์เหมือนหมอชิตบ้านเรา


ประมาณ 19.00 ก็ถึง "วังเวียง" เราเดินหาที่พักใช้ google map ให้เป็นประโยชน์ ก่อนมาเราจองได้ทำการจอง จำปาลาวบังกะโล คืนละ 300 บาท เป็นห้องบนตึกห้องน้ำรวม เราพักที่นี่สองคืนเลย ที่นี่คนไทยมาพักเยอะ ใครที่สนใจดูรีวิวมีเพียบครับบบ


ถึงที่พักเช็คอินเก็บของเรียบร้อย มื้อแรกของเราบอกเลย แซ่บบบบ !


อันนี้โรตี 10,000 กีบ คนละชิ้นละกัน มันอร่อยอะ กินร้านลุงทั้งสองคืนเลย จริงๆร้านโรตีมีเยอะนะแต่กลัวร้านอื่นจะไม่อร่อย


โอเค กินอิ่มนอนหลับ รอลุ้นว่าพรุ่งนี้จะมีหมอกมั้ยย ฝันดีครับบ



Days 2

เช้าวันที่ 2 ตื่นมาเห็นวิวแบบนี้ สดชื่นสุดๆ ห้อง 3 ร้อย วิว 3 ล้านนนนนน หมอกหนาเพราะก่อนหน้านี้ฝนตกอากาศดีจริงไรจริง

เตรียมตัวไปเที่ยวกันเถอะ ระหว่างทางเดินไปหารถเช่า ตลาดเช้าวิถีชีวิตชาวบ้าน


อันนี้เหมือนกล้วยทอดบ้านเรา อันละ 2000 กีบ


ป้ายรถไปที่ต่างๆ ราคาบางร้านแพงถูกไม่เท่ากัน อันนี้ต้องดูดีๆนะ


เราเช่ารถไป 60000 กีบ เติมน้ำมัน 20000 กีบ (น้ำมันถูกกว่าข้าวอีก) เตรียมลุย !!!


ที่แรกที่จะไปคือ เวียงธารา วิลล่า ทุ่งนาที่ล้อมรอบไปด้วยภูเขา ที่นี่เป็นรีสอร์ทคนนอกต้องขออนุญาตก่อนเข้านะ โชคดีช่วงที่เราไปคนไม่เยอะเลย แต่ทุ่งนายังไม่โตเต็มที่ถ่ายรูปออกมาสวยก็โอเค


นั่นไงเพื่อนแอลล์ของเราเอง


อ้อ ลืมบอกก่อนเข้ามาเวียงธาราต้องข้ามสะพานไม่ฟรีนะจ๊ะ 20000 กีบ


ปะๆ ต่อ ระหว่างทางแว้นไป วิวสวย บรรยากาศดีมาก ขับไปถ่ายไป ไม่รู้เมื่อไหร่จะถึง 555

ถึงแล้วบลูลากูน ทำไมน้ำกรีนจังอะ (แอบคิดในใจ) เราเลือกมาตอนเช้าเพราะคนยังไม่เยอะ ไปโดดน้ำละ อิอิ


นี่ขนาดคนไม่เยอะนะ เอิ่มมม


เล่นพอเป็นพิธีเพราะเราเล่นคนเดียว เพื่อนแอลล์นางไม่ยอมเล่นกับเรา ก็ได้เวลาไปเที่ยวต่อแล้ว ระหว่างทางเจอเด็กๆกระโดดน้ำเล่นกัน เลยจอดถ่ายสักหน่อย ยังไม่ทันเบรคเด็กวิ่งมาเป็นขโยงเลย ให้เราถ่ายรูปแล้วคิดเงิน อินี่อ่านกะทู้คนอื่นมาเยอะไงรู้ทันบิดไปเลยจ้า เออ ไม่ถ่ายก็ได้วะ แอบหันมองกระจกหลังเด็กยืนเกาหัวแบบงงๆ ขอโทษนะลูก ทริปนี้พี่ต้องประหยัด คริคริ

อย่างที่บอกทริปนี้ทริปตามใจฉัน ถ้ำเอยอะไรเอยที่เค้าไปกัน อิสองตัวนี่ไม่ไปจ้าฝนก็จะตกเลยกลับที่พักไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมตัวไปน้ำตก เอ่อแล้วเมิงจะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าทำไมเนี่ย เป้าหมายต่อไปของเราก็คือ น้ำตกตาดแก้งยุย ดูจากแผนที่คงไม่ไกลมากจากที่พัก จากทางเข้าไป 7 กิโลเมตร ก็ไม่ไกลเท่าไหร่มั้ง ทางเข้าน้ำตกจะคล้ายๆทางไปบลูแต่ค่อนข้างเปลี่ยวกว่ามีขึ้นลงเนิน อิจฉาวัว นางกินหญ้าท่ามกลางวิวสวยๆ

ถ้าแว้นไปเองต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ตอนเราไปฝนตกดินลื่นมากมีรถมอเตอร์ไซต์ของฝรั่งล้มอยู่เลยเข้าไปดู นางพูดไทยได้ นางบอกให้จอดรถไว้แล้วเดินไปดีกว่าอีกไม่ไกล เรากับแอลล์เลยเลือกที่จะจอดรถไว้ที่ป้อมยามแล้วเดินไป ฝนก็ตก ดินก็ลื่น แอลล์ทนความลื่นไม่ไหวเลยลงไปสัมผัสดิน 5555 เดินไปขำไปแต่ไหนว่าไม่ไกลไง ดีที่เตรียมเสื้อกันฝนกันมาได้ฟิลลิ่งอีกแบบนะ


และในที่สุดเราก็ถึงทางเข้าน้ำตก แต่เงียบมากๆไม่มีนักท่องเที่ยวแม้แต่คนเดียว มีแต่ชาวบ้านที่มาขายของกำลังเก็บร้าน ดูเวลาจะ 6 โมงเย็นแล้วเลยตัดสินใจไม่เดินไปที่น้ำตกดีกว่าเพราะกว่าจะเดินถึงกว่าจะเดินไปที่รถ แล้วต้องขับออกไปอีก 7 km. โอ้ววว ม้ายยยย อ่าว นี่กรูเดินมากันทำไม


เอาชีวิตกลับมาที่พักได้สำเร็จจัดการคืนรถเรียบร้อย พร้อมกับจองตั๋วรถไปหลวงพระบางร้านที่เราเช่ารถนั่นแหละเพราะร้านเค้าลดราคาพิเศษให้ หลังจากนั้นเดินชิลๆไปหาข้าวกิน เหลือบไปเจอร้านผัดไทของคนไทยร้านนึงแค่ 15000 กีบ เข้าไปเลยค่า สั่งพิเศษ 20000 ได้เยอะมากๆ อิ่มกันไป ยังไม่พอเดินกลับมาร้านเบเกอรี่ยอดฮิต ขนมอร่อย ชิ้นใหญ่ จัดไปคนละกล่องเลยฮะ


สำหรับ 2 วันที่วังเวียง สำหรับเราคุ้มแล้ว แอลล์นางไม่ใช่สายแอดแวนเจอร์เท่าไหร่เลยอดล่องห่วงยาง แต่ได้เห็นธรรมชาติวิวสวยๆ บรรยากาศดีๆ แค่นี้ก็ฟินมากๆแล้วจริงๆ แค่นี้แหละที่ต้องการ ^^


เจอกันใหม่พรุ่ง "หลวงพระบาง"

Days 3
วันที่ 3 เราตื่นแต่เช้าเก็บของ กินกาแฟ นั่งดูหมอก รอรถมารับ 8.30 แต่เอาจริงๆรถมารับ 9.00 แต่เอาเถอะวิวสวยให้อภัย

แล้วเจอกันใหม่นะ "วังเวียง"


ไม่นานมากรถก็มีรถมารับเรา เป็นรถบัสเล็กๆมารับเราและตระเวนรับตามโรงแรมแล้วไปส่งขึ้นรถตู้อีกที เราจองนั่งหน้าเพราะข้างหลังที่นั่งเต็มหมดเลย นั่งมาได้สักพักรถที่เรานั่งมาเกิดยางรั่ว เริ่มสนุกแล้วสิ


โชคดีที่หยุดตรงหมู่บ้านพอดี ฝนก็ตกพรำๆ เราก็เล่นไปเรื่อยเจอชาวบ้านกำลังคัดแตงกวาส่งไปขาย เราว่าคนลาวน่ารักนะ ใจดี อัธยาศัยดี


ขอโทษนะหายไปทั้งวันเลย เพิ่งว่างๆ ต่อเลยเนอะ
ระหว่างทางไปหลวงพระบาง ถ้าใครเคยไปจะรู้ว่าวิวสองข้างทางสวยขนาดไหน เราว่าอารมณ์เดียวกับขึ้นปายนะหมายถึงความโค้งอะ ฮ่าาา เมารถก็เมาอยากดูก็อยากดู หมอกก็หนา ความฟินบังเกิดแบ้ววว

เมาไปเมามาก็ถึงหลวงพระบางจนได้ นับโค้งไม่ถ้วนเลยจริงๆ เราถึงหลวงพระบางประมาณ 17.00 รวมๆ แล้วเกือบ 7 ชม. แต่จริงๆแค่ 4 ชม. ถ้าใครมีแพลนต่อยังไงก็เผื่อเวลาไว้ด้วยแล้วกันนะ ถึงหลวงพระบางแล้วรถตู้จะมาส่งเราที่ท่ารถนาหลวงคล้ายๆ บขส บ้านเรานั้นแหละ วิธีเข้าเมืองถ้าไม่เดินก็จะมีรถสามล้อมาคอยให้บริการแจ้งได้เลยว่าพักที่ไหน พี่คนขับจะไปส่งเราถึงที่พักเลย


วันนั้นเราจอง Singharat Guest House ผ่าน Booking ราคาประมาณ 800 บาท ห้องโอเคแต่ที่นี่ค่อนข้างเงียบไกลกับแหล่งท่องเที่ยวหน่อย

Welcome fruit ของที่นี่ ถือว่าโอเคแต่เสียอย่างเดียวพนักงานเป็นคนเวียดนามพูดภาษาอังกฤษได้แต่ให้ข้อมูลได้งงมากๆ

เก็บของแล้วออกไปหาอะไรกินกันเถอะ วันนี้เพลียนั่งรถมาก หาอะไรกินแล้วเก็บแรงไว้เที่ยวพรุ่งนี้เนอะ ^^


เที่ยวลาวแล้วอย่าพลาดตำลาว ปกติเราไม่กินเผ็ดเลยแต่เจอตำลาวจานนี้หมดจานจ้า

ราคามื้อนี้ ค่อนข้างจะแพงอาจเป็นเพราะแหล่งท่องเที่ยวด้วยมั้ง แต่บางทีก้อแพงไป๊ !!!


Days 4
"เช้านี้ที่หลวงพระบาง"
ได้เวลาเที่ยวแล้วววว ทานอาหารเช้าเสร็จเราเช็คเอาท์แล้วฝากของไว้ที่โรงแรม ที่คิดไว้คือจะออกไปเที่ยวก่อนแล้วตอนเย็นค่อยกลับมาเอากระเป๋าก่อนขึ้นรถไปเวียดนาม ทำธุระเสร็จเรียบร้อยก็เดินไปหารถมอเตอร์ไซค์เช่าแถวถนนคนเดิน จริงๆที่โรงแรมก็มีให้เช่านะ 150000 กีบ ซึ่งมันแพงมากกก และเราก็ได้ร้านเช่ารถมอเตอร์ไซค์มาในราคา 50000 กีบ เป็นเกียร์ธรรมดา วันนี้เราแลกเงินเพิ่มอีก 40 usd เพราะคิดว่าเงินไม่พอแน่ๆ ไหนจะต้องซื้อตั๋วรถไปเดียนเบียนฟูอีกและที่เซอร์ไพรซ์มากก็คือรถที่ไปเดียนเบียนฟูไม่มีรอบเย็นแล้ว มีแค่วันละรอบตอนเช้าด้วยเราเลยต้องพักหลวงพระบางอีก 1 คืน

ได้รถมาแล้วก็หาที่พักอีก 1 คืน แต่คืนนี้คงไม่ต้องหรูมากมายเพราะเราต้องตื่นแต่เช้าไปขึ้นรถ ก็เจอเกสเฮ้าส์อะไรสักอย่างไม่มีชื่อเป็นห้องเล็กๆ มีร้านข้าวอยู่ข้างหน้า อยู่ในย่านถนนคนเดินเลย แค่ 60000 กีบ เราว่ามันสะดวกดีแถมติดกับร้านเช่ามอเตอร์ไซค์ด้วย


หลังจากนั้นเราก็หาตั๋วรถไปเดียนเบียนฟู ตามเอเยนต์ทัวร์ต่างๆ ราคาก็จะไม่ต่างกันเท่าไหร่ 230000-250000 กีบ แต่เราก็ได้คำแนะนำจากพี่ๆในห้องบลูนี่แหละแนะนำให้ไปซื้อที่นาหลวงเลย เราก็ไปซื้อที่ท่ารถราคา 190000 กีบ ไม่รวมค่ารถตุ๊กๆ มาส่งนะ ต้องหาตุ๊กๆมาเอง เราก็นัดให้พี่ตุ๊กๆมารับตอน 5.30 ไปส่งที่ท่ารถในตอนเช้า ค่ารถตุ๊กๆ คนละ 20000 กีบ รวมแล้วค่ารถหลวงพระบาง-เดียนเบียนฟู 210000 กีบ ถือว่าโอเครับได้


กว่าจะจัดการเรื่องตั๋วเรื่องที่พักก็ปาเข้าไปบ่ายสองแล้ว หิวด้วยเลยไปหาอะไรอร่อยๆ กินก่อนไปน้ำตก เอ่อ ถ้าใครไม่เช่ารถขับเองจะมีรถสามล้อตลอดถนนคนเดินคอยให้บริการทัวร์ไปน้ำตกตาดกวางสี แต่จำราคาไม่ได้แล้วแต่เรากับแอลล์ตัดสินใจแว้นไปดีกว่า แค่ 30 km เอ๊งงงง


เส้นทางไปน้ำตกขับไม่ยากฮะ แต่มีบางช่วงที่เป็นโค้งหักศอก

และแล้วเราก็ถึงน้ำตก คือเราแว้นกันมาเร็วมากกลัวเค้าจะปิดไม่ให้เข้าเพราะค่อนข้างเย็นแล้ว จ่ายค่าที่จอดรถ 10000 กีบ ค่าเข้าน้ำตก 20000 กีบ


ระหว่างทางเดินไปน้ำตกจะมี 2 ทางคือทางถนนและอีกทางเป็นทางล่าง เราเลือกเดินทางล่างและเราก็เลือกไม่ผิดจริงๆ ระหว่างทางเดินนั้นน้ำตกเล็กๆน้อยๆ สวยงามมาก คนก็เยอะมากเช่นกันทั้งคนลาว นักท่องเที่ยวต่างชาติ อ้อ มีหมีด้วยนะพวกนางน่ารักมากกก

น้ำตกเล็ก น้ำตกน้อย ระหว่างทางเดินไป อดที่จะหยุดถ่ายไม่ได้จริงๆ แค่นี้ก็สดชื่นแล้วอะ


แว๊บแรกที่เห็นน้ำตกมันโครตสวย สวยมากจริงๆ คุ้มที่แว้นมา คือเออตื่นเต้นมากอะ ฮ่าา


กดชัตเตอร์กันรัวๆ น้ำเย็นและใสมาก ไปเล่นน้ำดีกว่าาา


น้ำตกตาดกวางสีสวยกว่าที่คิดไว้เยอะเลย ไว้ถ้ามีโอกาสเราจะกลับมาอีกแน่นอน


เล่นน้ำเสร็จก็แว้นกลับมาเดินถนนคนเดิน เดินชมเสน่ห์ของหลวงพระบางยามเย็น


แล้วเราก็เจอร้านในตำนาน ลองสักหน่อยละกัน


สำหรับวันนี้ขอพอแค่นี้ก่อนเนอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะมาเล่าตอนนั่งรถไปเดียนเบียนฟู ขอบคุณที่ติดตามและขอโทษที่ปล่อยให้รอ ฝันดีน้าา


"สะบายดี หลวงพระบาง"

Days 5
เช้าวันที่ 5 การเดินทางสู่เดียนเบียนฟู ประเทศเวียดนาม
สาเหตุที่เราเลือกเดินทางเข้าเดียนเบียนฟูเพราะว่า เราไม่อยากนั่งรถไปฮานอยแล้วต่อรถไปซาปาแล้วกลับมาฮานอย เลยหาวิธีว่าจะไปยังไงเพื่อไม่ต้องย้อนไปย้อนกลับ ได้ข้อมูลคร่าวๆ ว่าต้องนั่งรถจากหลวงพระบางเข้าเดียนเบียนฟู จากนั้นต่อรถจากเดียนเบียนฟูไปซาปา หลายคนบอกทางโหดใช่เล่น จะเจอแบบนั้นนะ จะเจอแบบนี้นะ ฝรั่งเค้าให้ฉายาว่า Journey From Hell ถามว่ากลัวมั้ยก็กลัวนะแต่เราว่ามันสนุกมากกว่าอย่างน้อยก็ประสบการณ์เนอะ (ก่อนไปก็คิดแบบนี้แหละ ไว้ปลอบใจตัวเอง)
พวกเราตื่นกันตั้งแต่ตี 5.30 รอรถตุ๊กๆ มารับหน้าที่พักไปส่งที่ขนส่งนาหลวง

เพียง 15 นาทีก็ถึงที่ขนส่งนาหลวงแล้ว จะมีรถที่จะไปสู่เมืองต่างๆ อยู่เยอะ ทั้งจีน ไทย เวียดนาม


แผนที่เดินทางของเราวันนี้ใช้เวลาเดินทาง 12 ชม จากหลวงพระบางถึงเดียนเบียนฟู


หลวงพระบาง-ปากมอง-อุดมไชย-เมืองลา-ปากน้ำน้อย-เมืองขวา-เมืองใหม่-พงสาลี-เดียนเบียนฟู

และนี่รถที่จะพาเราไปเดียนเบียนฟู ตามเวลารถออก 6.30 แต่จริงๆแล้วรถออก 7.30 รอจนกว่าคนจะเต็มโชคดีที่เราไปก่อนได้เลือกที่นั่งก่อน เพราะคนที่นี่เค้าต้องได้นั่งหน้าแต่ไม่ทันเพื่อนแอลล์เราหรอกนางจองหน้าคู่คนขับเลยจ้า เบาะรถที่นั่งแคบมากด้านหลังยิ่งหนักเข้าไปอีก ยกแข้งยกขากันเลยทีเดียว


บนรถเราได้รู้จักเพื่อนใหม่คือน้องน้อยและน้องจู นางสองคนเป็นนักเรียนแพทย์ได้ทุนไปเรียนที่เวียดนาม พูดเวียดนามได้นางแนะนำช่วยบอกหลายอย่างเลย ถามเราว่าจะไปไหนกันพอบอกว่าไปซาปา จริงๆ เรายังไม่รู้เลยว่าจากเดียนไปซาปายังไงเลยถามน้องน้อยเพราะน้องลงที่เดียนเหมือนกัน คนขับคงได้ยินอะไรซาปาๆ เลยถามเป็นภาษาเวียดนามก็มีน้องน้อยนี่แหละคอยเป็นล่ามให้ คนขับบอกว่าถ้าไปเดี๋ยวเค้าจะโทรไปจองให้ ค่ารถไปซาปาคนละ 200000 ดอง ในใจก็กลัวโดนโกงนะเพราะค่ารถจะแพงกว่านี้แล้วเค้าให้เราจ่ายเงินเลย ถ้าเค้าไปจอดทิ้งไว้กลางทางเราจะทำยังไง โอ้ยยยย คือตอนนั้นแอบเครียดแต่ก็เอาวะ ไหนๆ ก็ไหนๆ ละลองสักครั้ง


แอลล์นางหลับตลอดทางคะ

ถีบเบาะยกขาวาง เอิ่ม ขนาดนี้ละวางบนตักเราก็ได้นะ ฮ่าา เรื่องปกติของคนที่นี่


อ้อ รถจอดให้ทานข้าวเที่ยงที่อุดมไชย เป็นร้านข้าวเวียดนามแต่เรากับแอลล์ไม่ได้กิน ^^


ระหว่างทางพี่แกจอดรับคนตลอดทางเลย สำหรับคนที่ตั้งใจจะไปแบบเราทำใจเนอะเพราะเค้าเป็นรถบัสธรรมดา ไม่ได้วีไอพีอะไร เส้นทางคดเคี้ยวเหมือนวังเวียงมาหลวงพระบาง ในรถทั้งร้อน ทั้งอึดอัด คนก็เสียงดัง เมารถด้วยหลับตลอดทางเลย 5555 ภาวนาขอให้ถึงไวๆ แต่มันก็สนุกดีได้อีกรสชาตินึงนะ สำหรับวิถี Backpacker 5555

รถจะจอดให้เราแวะแลกเงินที่เมืองขวาก่อนเข้าด่านลาว เราถามน้องน้อยว่าแลกที่นี่กับที่ด่านที่ไหนคุ้มกว่า


น้องบอกว่าที่ร้านนี้คุ้มกว่าเราเลยแลกเงิน 90 usd = 1,930,000 ดอง ได้ถือเงินล้านแล้วเรา อิอิ

เราถึงด่านลาวประมาณ 17.30 เหนื่อยเพลียมาก เป็นการนั่งรถที่โหดมากๆ มีบางช่วงที่ในรถแน่นมีคนยืนแทบจะนั่งตักกันเลย

ได้สูดอากาศสดชื่นสักที ทำเรื่องออกแป๊บเดียวก็เสร็จ มานั่งรอผู้โดยสารคนอื่นต่อไป

ไม่นานก็ถึงด่านเวียด ตอนยืนรอที่นี่เราโดนแซงคิวไปสองคิว เดินมาแล้วแทรกเฉยๆ ซะงั้น ที่ด่านจะมีร้านขายของอยู่ สามารถซื้อซิมใช้ได้เลย ระหว่างรอผู้โดยสารคนอื่นน้องน้อยก็พาไปซื้อซิมและตั้งค่าให้เรียบร้อยเลย


คนลาวน่ารักและใจดีมากจริงๆ โชคดีที่พวกเราเจอน้องสองคนคอยช่วยเป็นเพื่อนคุยระหว่างทาง

ในที่สุดเราก็เข้าเวียดนามเรียบร้อย ที่ด่านจะมีร้านขายของอยู่ สามารถซื้อซิมใช้ได้เลย ระหว่างรอผู้โดยสารคนอื่นน้องน้อยก็พาไปซื้อซิมและตั้งค่าให้เรียบร้อยเลย คนลาวน่ารักและใจดีมากจริงๆ โชคดีที่พวกเราเจอน้องสองคนคอยช่วยเป็นเพื่อนคุยระหว่างทาง


รถกำลังแล่นเข้าเวียดนาม เราเป็นพวกเห็นท้องฟ้า แสงแดด ธรรมชาติสวยๆ ไม่ได้อะ ต้องล้วงกล้องมาถ่ายตลอด ถ่ายรัวๆอะ 5555

โห เราตื่นเต้นมาก คนเวียดนามมองแบบอีนี่เมิงจะตื่นเต้นอะไรเนี้ยย แต่คืองานดีมาก ฟินหนักมากแล้วอะ นั่งรถเหนื่อยๆ มาทั้งวันหายเลยจ้า

รูปไม่ค่อยชัด ขอโทษด้วยน้าา

"จุดหมายปลายทางเป็นแค่แรงจูงใจให้เราออกเดินทาง ระหว่างทางต่างหากเล่า ที่รอคอยให้เราได้ชื่นชมความงาม"

จากด่าน TAY TRANG มาเกือบชั่วโมง พี่คนขับก็บอกน้องน้อยให้บอกพวกเราเตรียมตัวลงรถ รถไปซาปามาจอดรออยู่ระหว่างทาง เราก็งงๆ เอ๋อๆ กันไป สรุปว่าพี่แกกับพี่คนขับรถซาปาเค้าขายตั๋วผีให้เรา เราไม่ต้องเข้าเดียนเพื่อรอรถไปรอบเช้า (ข้อมูลจากเดียนเบียนไปซาปาไม่มี ขอโทษจริงๆ น้า) ระหว่างทางรถจอดส่งพวกเราและรถไปซาปาก็จอดรอเราอยู่แล้ว บ๊าย บาย นะน้องน้อยน้องจู ขอบคุณมากสำหรับการช่วยเหลือทุกอย่างเลย


เราขึ้นรถมาแบบงงๆ เป็นรถ Sleeper Bus คนเกือบเต็ม ขึ้นรถมาจัดยาแก้เมาก่อนเลย ที่นอนสำหรับเราค่อนข้างอึดอัดต้องนอนงอขา แถมต้องระวังกระเป๋าอย่างแรง


เดี๋ยวมาต่อนะขอไปทำงานก่อน เที่ยวก็อยากเที่ยวงานก็ต้องทำ 5555

Days 6
อีก 6 วัน 5 คืน ที่ซาปา-ฮานอย
เรานั่งพักที่ Sapa Lake จนเช้า (ที่นี่สว่างไวมาก) ประมาณตี 5 คนก็เริ่มเยอะแล้ว

เราก็เดินไปเรื่อยๆ ตาม Google Map ที่คิดไว้คืออยากเงียบเป็นส่วนตัว แต่ใกล้เมือง สะดวก แต่ต้องเงียบนะ เพราะแอลล์มันรำคาญเสียงแตรรถ 555


ตัดสินใจเดินขึ้นเนินมาเหนื่อยใช้ได้เลย แล้วเราก็เจอ Sapa Accommodation ตั้งอยู่บนเนินตรงสเปคแอลล์เลย ไม่รอช้าเข้าไปติดต่อห้องราคาประมาณ 850 บาทต่อคืนเราตัดสินใจพักที่นี่ทั้ง 3 คืน reception ที่นี่น่ารักมากใจดีสุดๆ ให้เราเข้าเช็คอินตั้งแต่ 7 โมงเช้า จัดการเช็คอินเรียบร้อยก็หลับกันตั้งแต่เช้าจนเย็น บวกกับฝนตกนิดหน่อยอากาศเย็นสบายมาก วันนี้เรานอนเก็บแรงไว้เที่ยวพรุ่งนี้เพราะนั่งรถมาเกือบ 24 ชม. ค่อนข้างทรหด นอนไม่เต็มอิ่ม เลยตัดสินใจนอนพัก 1 วันเต็มๆ นี่แหละฮะทริปตามใจฉัน


ตรงนี้เป็นโรงแรมเจ้าของเดียวกันกับที่เราพัก เราทาน Breakfast ที่นี่


นอนพักจนเย็น พวกเราลงมาเดินเล่นหาอะไรกิน (ถ้าไม่หิวไม่มีทางออกจากห้องหรอก ฮ่าา)


นี่เรียกอะไรไม่รู้ เราว่าอร่อยดี 20000 ดอง

มื้อแรกที่ซาปาจัดข้าวผัดแล้วก็ตามด้วยขนมปัง เดินกลับห้องไปนอน เก็บแรงเที่ยวต่อพรุ่งนี้ : )


Days 7
พักผ่อนกันเต็มที่ ได้เวลาอาหารเช้าของโรงแรมแล้ว ส่วนใหญ่เป็นขนมปังมีเฝอด้วยอร่อยมาก
แต่เอ๊ะ เราเห็นโต๊ะอื่นได้คนละจานทำไม reception นางให้เราสองคน คนละสองจาน ถามว่าปฏิเสธมั้ย? ไม่มีทางอะ 55555
คือเราสองคนไม่ค่อยอยากทานอาหารข้างนอก ห่วงเรื่องความสะอาดมากจริงๆ มื้อเช้าของโรงแรมจึงมีความสำคัญกับเราทั้งสองมาก จัดหนัก จัดเต็ม

พุงปลิ้นแล้ว ไปเที่ยวได้ เราเดินลงมาหามอเตอร์ไซค์เช่า เดินถามหลายร้าน เลยพยายามหาร้านที่ใกล้กับที่พักเรา


เรากันคนละคันในราคาคันละ 80000 ดอง เพื่อป้องกันการโกงต้องทำการถ่ายจุดตำหนิต่างๆ ของรถก่อน ให้เค้าเห็นจะได้ไม่กล้าโกงเรา (จริงๆ แล้วเราถ่ายทุกครั้งที่เช่ารถ ไม่ว่าที่ไหนก็ตาม) จากนั้นก็ขับไปเติมน้ำมันเต็มถัง เตรียมให้พร้อมก่อนออกเดินทาง

วันนี้เราตั้งใจแว้นไปที่ไกลๆ ก่อน นั้นก็คือ Silver Waterfall และ Love Waterfall ไปกันเลยฮะ


วิวระหว่างทาง กว่าจะถึงน้ำตกเราจอดถ่ายประมาณ 3 จุดได้มั้ง 5555

แล้วเราก็ถึง Silver Waterfall ถ่ายแต่ข้างนอกก็พอ ถ้าเข้าไปต้องจ่ายตังอีก


แว้นต่อไป Love Waterfall ฝนเริ่มมาแล้ว เรารู้สึกเราแว้นกันสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่วิวระหว่างทางก็สวยมากกกกก


ถึงแล้ววว Love Waterfall ไม่ได้เข้าไปเพราะฝนตกหนักมาก


ปะๆ กลับ เราแว้นกันมาสักพักเพื่อนแอลล์ของเราเจอผลไม้ นางคงเบื่อกล้วยเมืองไทยจัดไปสองโลเบาๆ


เราแว้นกันมาสักพัก แล้วเลี้ยวกลับอีกทาง (รายละเอียดทางมาจากซาปาไปน้ำตกได้ 2 ทาง) แวะพักที่ Sapa Fansipan cable car station ที่นี่ยังใหม่อยู่น่าจะเป็นโรงแรมด้วยมั้ง ค่าขึ้นชม Cable Car คนละ 600,000 ดอง แต่พวกเราไม่ได้ขึ้นหรอก มันแพ้งงง !!!


เดี๋ยวเราจะลงไปเที่ยวที่หมู่บ้านนี้กัน ^^ ไปทางไหนยังไม่รู้แต่ที่รู้ต้องไปให้ถึง


นั่งพักเอาขนมปังค้างคืนออกมากินเป็นมื้อเที่ยงสำหรับวันนี้ แว้นต่อกันเลยเดี๋ยวฝนใกล้ตกแล้ว


เป้าหมายต่อไปของเราคือหมู่บ้านที่เห็นข้างล่างนั้นแหละ เข้าทางเดียวกับ Cat Cat Village พวกเราไม่ได้เข้าในหมู่บ้านกั๊ตกั๊ตหรอกฮะ เพราะมันต้องจ่ายตัง 55555 เราแค่คิดว่ายังมีที่ที่น่าจะสวยกว่านี้ นักท่องเที่ยวไม่เยอะแล้วเราก็เจอจริงๆ

วิวระหว่างไปหมู่บ้าน Cat Cat เราลงไปทางลัดเล็กๆ ที่คิดว่ารถจะไปไม่ได้แต่มันไปได้ !!!

แอลล์บอกว่า "เมิง เราไปทางปกติดีกว่ารถกรูขึ้นไม่ไหว" โอเค เราก็แว้นไปทางปกติที่เค้าไปกันนั้นแหละ ทางไปหมู่บ้าน Cat Cat


เราตามหาสถานที่แห่งนึง (พอดีเห็นในไอจี) ไอเราก็หาใน Google Map ไม่เจอ คือพยายามหาสุดๆ แล้ว ก็ตัดใจแล้วละ 555 แต่โชคดีเราแว้นกันไปทางหมู่บ้านไปเรื่อยๆ ก่อนถึงหมู่บ้าน Cat Cat ก็เจอที่ที่เราตามหาอยากกรี๊ดเป็นภาษาเวียต คือมันไม่ได้ไกลเลยเราแค่ยังไม่มาทางนี้

The Haven Sa Pa Club House & Hostel ที่นี่เป็นทั้งโฮสเทลและร้านอาหาร นางตั้งโดดเด่นเห็นแต่ไกล

ไม่รอช้า เราจอดรถแล้วกดชัตเตอร์รัวๆ ที่นี่เจ้าของเค้ามาเช่าทำใหม่ นางใจดีมากคุยกันถูกคอสุดๆ แลก FB กันเรียบร้อย เสียดายที่เราบุ๊คห้องไว้ทั้ง 3 คืนแล้ว ถ้าไปรอบหน้าเราจะไปนอนโฮสเทลนาง ไม่แพงเลย ประมาณคนละ 250 บาทรวมอาหารเช้า แถมวิวอีกพันล้านด้วย โอ้ยย ไปอีกรอบมะ


แค่นี้แหละที่อยากเห็น ^^


ถ้ามากับใครสักคนคงจะดีมากเลยนะ


เรานั่งเล่นที่นี่เกือบ 3 ชม. สั่งชาเวียดนามร้อนๆ มาจิบ คือมันฟินจริงๆ นะ พูดแล้วก็คิดถึง เจ้าของบอกว่าบางวันที่นี่จะเป็นทะเลหมอก เราเลยตกลงกันว่าพรุ่งนี้เช้าเราจะกลับมาอีกครั้ง ร่ำลากันเสร็จ เราก็แว้นกันไปเรื่อยๆ ผ่านหมู่บ้าน cat cat ดูอีกทีน้ำมันเข็มตกแล้ว เลี้ยวกลับกันดีกว่าวันนี้ของเราเราว่ามันคุ้มค่าแล้วกับการเดินทางมาตามเป้าหมายที่เราตั้งใจไว้


เป้าหมายจะสำคัญยังไง ถ้าไม่มีเรื่องราวในระหว่างทาง

เราตัดสินใจเช่ารถอีกครึ่งวัน นัดไปคืนรถ 11.00 ของวันพรุ่งนี้ จ่ายเพิ่มอีก 50000 ดอง


พรุ่งนี้จะเจอทะเลหมอกมั้ย ต้องลุ้นแล้ววว

Days 8

วันที่สามกับการเที่ยวซาปา เน้นเที่ยว นอน กิน ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจะไปทัวร์ Trekking กัน แต่เราไม่ไปแบบว่าขี้เกียจ แค่ได้เห็นได้สัมผัสแค่นี้ก็โอเคแล้ว วันนี้เราตื่นตั้งแต่ 5.30 ไปดูทะเลหมอก Haven Sapa แต่ก็แอบผิดหวังเพราะมีแต่หมอกไกลๆ ไม่มีทะเลเลย
พวกเราแว้นไปเรื่อยๆ ทางเดิมที่ไปเมื่อวานเพราะไม่รู้จะไปไหน เอาแผนที่มากางนึกขึ้นได้ว่าที่ยังไม่ได้ไปคือหมู่บ้าน Ta Phin และหมู่บ้าน Ta Van
เส้นทางนี้รีเซฟชั่นนางพยายามชวนให้พวกเราซื้อทัวร์เพราะทางค่อนข้างอันตราย มันก็อันตรายจริงๆ นะ เป็นถนนลูกรัง แค่ไม่ประมาทก็โอเคแล้ว แว้นมาประมาณ 4 km จะมีจุดให้ชมวิวทิวทัศน์ ตอนเราไปเช้ามากยังไม่มีเด็กๆ มาขายของ ยังไม่มีนักท่องเที่ยว เลยถ่ายได้สบายเลยยย
"เราเดินทางมาเป็นพันกิโล เพื่อมาตามหาสิ่งที่จะเติมเต็มพลังให้ชีวิต"

ยังคงถ่ายมุมเดิมๆ ซ้ำๆ อยู่แบบนั้น เพราะเห็นวิวแบบนี้ใจมันเต้นแรง !!!


จุดชมวิวแรกผ่านไป เราแว้นต่อไปคนเดียวเนื่องจากแอลล์ขอซึมซับบรรยากาศเป็นการส่วนตัว นางไม่ตามเรามาเราก็โอเค


ถ่ายจากจุดชมวิวนะไม่ได้เข้าไปหมู่บ้าน

ยิ่งเช้ายิ่งสวย หมอก แสง บรรยากาศ

แต่ยังถ่ายไม่เต็มอิ่มก็มีคุณยายม้งมาขายของ ไม่ได้ขายธรรมดานางประชิดตัวเลยจ้า หนีสิฮะ !!!


จุดชมวิวจุดแรกที่เราแวะ ถ่ายตอนกลับมีเด็กๆ มาขายของแล้ว คนที่นี่เค้าชอบตื้อไอเราก็ค่อนข้างลำบาก(ใจ) แต่ไม่ซื้อเลย 5555

เรากลับไปคืนรถพร้อมกับนอนอีกแปบเพื่อเตรียมตัวเที่ยวเขาฮามรองตอนบ่าย แต่อดเพราะฝนก็ตก... เออๆ นอนต่อไป


พรุ่งนี้เราต้องกลับฮานอยแล้ว ตอนเย็นพวกเราเดินออกมาหาตั๋วรถไปฮานอยได้ในราคา 11 USD ซื้อจากเอเยนต์ใกล้ๆ Sapa Lake รวมค่าแท๊กซี่มารับที่โรงแรม เราเลือกกลับรอบ 10 โมงเช้าเพื่อจะได้เข้าฮานอยไม่เย็นมากจะได้เดินหาที่พักกันต่อ

คืนสุดท้ายที่ซาปาฝนตกตลอด แต่อากาศก็ดีไปอีกแบบ

เดิน เที่ยว กิน แต่ละอย่างมันน่าช้อปจริงๆ เลย แต่จุดประสงค์เรามาเที่ยว พอๆ ไปนอนได้ละ

Days 9

วันนี้เราต้องกลับฮานอยแล้ว ยังไม่อยากกลับเลย ตอนแรกคิดว่าจะพักที่นี่อีกคืนเพราะไม่อยากเที่ยวฮานอยสักเท่าไหร่ แต่เอาเถอะไม่ได้มาบ่อยๆ เนอะ Reception สองพี่น้องนางช่างน่ารักจริงๆ ให้อาหารเช้าเราตั้ง 2 ชุดมา 3 วัน 55555 นางพยายามพูดภาษาไทยกับพวกเราเพราะคนไทยมาพักที่นี่เยอะ แลก Facebook กันเรียบร้อยมาส่งเราขึ้นแท๊กซี่กลับอีก กลายเป็นมิตรภาพต่างแดนที่หาได้ไม่ยากเลย

แท๊กซี่มารับเลทนิดหน่อย ไปส่งเราที่ขนส่งรอให้เราขึ้นรถเรียบร้อย ชอบรถ Sleeper Bus ของที่นี่บ้าง บ้านเราน่าจะมีแบบนี้บ้างเนอะ



ไม่รู้ว่าเบาะมันเล็กรึป่าว แต่ค่อนข้างอึดอัดเพราะยืดขาไม่ได้ เมื่อยยย

แล้วเจอกันใหม่นะ "ซาปา"


รถวิ่งมาถึงฮานอยประมาณ 4 โมงเย็น ยังไม่มีที่พักกันเลยเดินหากันต่อไปในย่าน Old Quarter แล้วเราก็ได้ที่พักในราคาที่เรารับได้ คืนนี้เราพักกันที่ Old Quarter Centre Hotel คืนละ 850 บาท เช็คอินเก็บของเรียบร้อย ออกไปเดินเล่นในย่านนี้หาอะไรกินให้หนำใจกันเลย (แอลล์กล่าวไว้)


ระหว่างทางเข้าฮานอย

ทานข้าว เดินเล่น ซื้อขนมเสร็จแล้ว กลับไปนอนพักผ่อนเตรียมตัวไปหาลุงโฮพรุ่งนี้กัน

Days 10
เช้านี้ที่ฮานอย
อาหารเช้าที่โรงแรม มาเวียดนามต้องทานเฝอ

วันนี้เราเช็คเอาท์ก่อนเดินเที่ยวฮานอยแต่ฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมตอนเย็นๆ ค่อยกลับมาเอา เพื่อนแอลล์นางอยากไปหาลุงโฮตามใจนางหน่อย


เรามารอรถสาย 9 ใกล้ๆ ทะเลสาบฮหว่านเกี๊ยมค่ารถเมล์ 7000 ดอง ถูกดีส่วนแท๊กซี่อย่าหวังเลย


รถจะจอดให้เราแถวไหนไม่รู้เหมือนกันเพื่อรออีกสายไปสุสานลุงโฮ เรารอรถอีกสายนานมากเลยตัดสินใจเปิด Google Map เดินไป ไม่ไกลมากฮะ เกือบๆ 2 km เดินผ่านตลาด ผ่านชุมชนบ้านเรือนแถวนี้เค้าแคบมากเลยนะ แต่สู้ง สูง


เดินมาไม่ถึงกิโล เพื่อนแอลล์ชวนเข้าร้าน Pizza จัดไปเบาๆ รองท้อง ฮ่าา


และในที่สุดเราก็มั่วกันจนถึงพิพิธภัณฑ์ลุงโฮ แต่ตอนนั้นเค้าปิดพักเที่ยง ไม่ต้องเข้าก็ได้เนอะ แหะๆ

เดินไปอีกนิดก็ถึงสุสานลุงโฮ แต่เค้าปิดจ้า ใครจะมาต้องเช็คข้อมูลมาก่อนนะ


สถานที่ต่อไปของเราคือ The back pavilion of Hanoi Citade เดินวนไปค่ะ


เดินกันจนขาลาก ได้เรียนรู้อะไรเยอะเลย จากนั้นเราเดินไปขึ้นรถเมล์สาย 9 เพื่อกลับไปโรงแรมไปเอากระเป๋า


คือโรงแรมนี้มันโอเคหมดเลยนะแต่ยกเว้นพนักงาน นางพยายามเกลี่ยกล่อมให้เราเรียกแท๊กซี่จากนางไปสนามบิน นางถามเราว่าจะไปสนามบินยังไงเราก็บอกไปรถเมล์ นางบอกว่ารถเมล์หมดแล้วทั้งๆ ที่ตอนนั้นแค่ 6 โมงเย็นเองแต่รถเมล์ไปสนามบินหมด 4 ทุ่มโน้น ไม่จ้า ไม่เชื่อ เดินไปรอรถเมล์สาย 17 ที่สะพานลองเบี้ยน และแล้วรถเมล์ก็ไม่หมดนะยังวิ่งอยู่หลายคันเลย 17 มาแล้วกระโดดขึ้นทันที ค่ารถ 9000 ดอง ถูกกว่าเรียกแท๊กซี่เยอะเลย นั่งรถเมล์ดูวิวข้างทางไปเรื่อยๆ เกือบ 2 ชม ก็ถึงสนามบินแล้ว

คืนนี้เราสองคนนอนสนามบินตามแพลนที่เราวางไว้ โอเค ครบรส


นอนหลับดี แค่ต้องตื่นเช้าไปหน่อย พรุ่งนี้ต้องกลับกรุงเทพแล้วสินะ

Days 11
วันนี้เรากลับแล้วนะ ถ้ามีโอกาสเราจะกลับมาอีกแน่นอน

เวียงจันทน์-วังเวียง-หลวงพระบาง-เดียนเบียนฟู-ซาปา-ฮานอย


การเดินทาง 2 ประเทศ 11 วัน 10 คืน ระยะทางกว่า 3,300 กิโลเมตร

กับการเดินทางที่ สบายบ้าง ลำบากบ้าง ปะปนกันไป

ประสบการณ์ที่เราหาได้ แค่กล้าที่จะออกไปเจอโลกกว้าง

เรื่องราวระหว่างทาง มิตรภาพต่างแดน และผู้คนมากมายที่ได้พบเจอ

แล้วพบกันใหม่นะ My Vacation time

หมีแบกกล้อง

 วันอาทิตย์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 22.30 น.

ความคิดเห็น