การเดินทางครั้งนี้เริ่มจากการที่ผมชอบถ่ายรูป ชอบท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ อยู่แล้ว ด้วยความที่เป็นมือใหม่ในการถ่ายรูป เลยอยากหาคนที่ชอบเที่ยว และก็ชอบถ่ายสักคนมาเป็นท่านอาจารย์สอนวิทยายุทธสักหน่อย มีเพื่อนผมอยู่คนนึงที่เราก็รู้จักเฉยๆ ไม่ได้สนิทมาก ซึ่งไอ้นี่ถ่ายรูปแหล่มอยู่ ชอบเที่ยวด้วย ไอ้เราเป็นคนที่ชอบเที่ยวกะใครก็ได้ จนเพื่อนๆ เคยทักว่า “มืงอะไปกะใครก็ได้" ก็เลยทักไปชวนไอ้เพื่อนคนนี้ไปเที่ยว ให้มันสอนกลเม็ดการถ่ายรูปซะหน่อย ด้วยความที่ไม่ค่อยสนิทขนาดนั้น ตอนแรกก็กล้าๆ กลัวๆ พอหลังๆ รู้เรยว่ามันแนวเดียวกันคืออยากเที่ยวมาก อยากถ่ายมาก คุยไปคุยมาเลยตกลงปรงใจว่าจะไปเขาหลวง อช.รามคำแหง จังหวัดสุโขทัย แล้วเพื่อนมันก็ชวนเพื่อนมันไปด้วยคนนึง รวมผมแล้วเป็นสามคนครับ

ส่วนนี่เป็นกระทู้ที่ผมเคยเขียนครับ ไว้เป็นเเนวทางได้บ้างไม่มากก็น้อยครับผม


"น่านไง . . . . ใครว่าไม่มีอะไรเที่ยว" เที่ยวในวันที่ 6 - 8 ม.ค. 59 https://pantip.com/topic/34656885

ภูสอยดาว ไปเเล้ว . . รู้เลย https://pantip.com/topic/35926892

#CNXbeforeMdie เที่ยวกันตาย ก่อนไปพรีเซนวิจัย https://pantip.com/topic/36018061/comment4



"ออกเดินทางไปพร้อมพวกเราได้เลยครับ"

เราเดินทางวันที่ 10 กพ 60 เวลา 22.00 น. ซึ่งเราจองวินทัวร์ไปลงที่ อ.คีรีมาศ จ.สุโขทัย เรานั่งจากหมอชิต 2 ออกประมานสี่ทุ่มกว่าๆ แล้วถึงคีรีมาศ ประมาณตีห้า พอถึงเราสามคนก็ลงรถอย่างง่วงๆ แล้วมึนๆ ว่าเอาไงต่อดี

ระหว่างนั้นเพื่อนมันก็คิดว่าเราก็ต้องหาของกินเช้า กลางวันและเย็น จึงลองใช้กูเกิลแมพ หาตลาดแถวๆ นั้น แล้วพบว่าเฮ้ยย ไม่ไกลเลยประมาณโล สองโลเอง เอาวะเดินสักหน่อย วอร์มขาก่อนขึนเขา เราสามคนจึงเดินเข้าไปในซอย เพื่อมุ่งหน้าไปตลาดเช้าเดินไป เดินไปไอ้เราก็ว่าไม่ถึงซะที ในที่สุดเข้ามาสุดซอยเจอวัด ที่มีตลาดขายของมากมาย ผมและเพื่อนก็หาของกินส่วนใหญ่เราจะซื้อพวกไก่ย่าง หรือไก่ทอชิ้นละ 20 บาท ข้าวเหนียวหมูฝอย, หมูทอด หรือ หมูลาบ ห่อใบตอง ห่อละ 10 บาท น้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ ขนมถ้วย ขนมครก น้ำเปล่าขวดใหญ่

พอซื้อของเสร็จ ไอ้เราก็ไม่รู้ว่าไปต่อยังไง เขาหลวง คุยไปคุยมา พี่คนขายน้ำเต้าหู้ เขาก็เลยถามว่าไปเขาหลวงชะปะ เขาคิดคนละ 100 บาท ไอ้เราก็ไปเอาวะ ไปก็ไป ชิวโครตต ก่อนเราไปมีเพื่อนเราคนนึงเช็คอินในเฟส ว่าอยู่สุโขทัย แล้วบังเอิญมีน้องภาคของเพื่อนไป เขาหลวงด้วย ทำให้ทริปครั้งนี้เรามีสมาชิกรวมเป็น 6 คนจากตอนแรกที่มีแค่ 3 คน

เราเริ่มเดินกันเวลา 7.35 น. ทางเดินช่วงแรกก็เริ่มชันขึ้นเล็กน้อย แล้วก็เพิ่มความชันขึ้นเรื่อยๆ เส้นทางส่วนใหญ่ จะขึ้น ขึ้น ขึ้นอย่างเดียวอย่างที่เห็น

ระหว่างทางจะมีจุดพักเป็นระยะ มีที่นั่ง และก็น้ำให้เติมดื่มได้บางจุด พอเดินไปซักพัก โหย ทำไมมันขึ้น ขึ้น ขึ้น ขึ้นอย่างเดียวเลย

ด้วยความที่ผมเคยไปภูสอยดาวมาก่อน เลยคิดว่าที่นี่น่าจะชิวกว่า แค่ 3.7 km เอง ในขณะที่ภูสอยดาวตั้ง 6.6 km ซึ่งความจริงนั้น เขาหลวงโหดกว่าครับในความคิดผม เพราะเส้นทางมีแต่ขึ้น อย่างเดียวเลย

เพื่อนผมคนนึงบอกผมว่า การที่เราได้เที่ยวป่าเขา แล้วได้เดินป่าขึ้นเขาแบบนี้ มันทำให้เราได้เห็นถึงคำว่ามิตรภาพ ตลอดการเดินทางทั้งจากเพื่อนร่วมทริป และที่สำคัญคือคนที่เราเจอระหว่างกานเดินขึ้นเขา แม้ความจริงเรากับเขาจะไม่รู้จักกัน แต่ด้วยความที่เราเป็นคนไทยด้วยกัน เหนื่อยด้วยกัน มันก็ทำให้เราได้มีบทนทนากัน ไม่มากก็น้อย มันสร้างความอบอุ่น แล้วก็ทำให้รู้สึกดีทุกครั้งครับที่เดินทาง

ซึ่งครั้งนี้เราเจอกับคุณลุงท่านหนึ่ง ลุงเเกเป็นคนที่อัธยาศัยดีมากครับ เเกมากับเพื่อนเเกหนึ่งคน เเกชอบเดินเขามากถึงกับมาเขาหลวงเป็นครั้งที่ 10 เเล้วครับ กลุ่มเรากับลุงพลัดกันเเซง สักพักเเกก็นำลิ่วจนเราตามไม่ทันทั้งๆ ที่เราหนุ่มกว่า และนี่คือโฉมหน้าของลุงครับ ใจดีมากก มีเเบ่งกล้วยตากเรากินด้วย

ระหว่างทางที่เราเดินอยู่นั้น มีหมาตัวนึงมันอย่างฟิตครับ ถึงกับเดินเเซงเราไปเฉยๆ เลย ไอ้เรานี่ก็เเบบ เห้ยรอด้วยดิ

เดินไปไม่นานเราก็ถึงครึ่งทางกันเเล้วครับ นั้นก็คือจุดชมวิวนั้นเอง ไอ้เราก็คิด เฮ้ยพึ่งครึ่งทางเองหรอวะ

พักไม่นานเราก็เดินต่อกันครับ

เดินไปอีกสักพักเราก็ถึงจุดพักต่อไป ที่นี่เป็นต้นไทร สวยงามมากครับ เพื่อนเราเลยเก็บรรยากาศมาให้ชม

หลังจากนั้นเราก็เดินต่อไป ไม่นานก็ถึงจุดกางเต้นท์ ครับ ทุกคนวันนั้นขาล้ากันมาก ด้วยความที่มีเเต่เดินขึ้น เเล้วไม่มีทางเรียบๆ ให้เดินมากเท่าไหร่ เราใช้เวลาเดินกันทั้งหมด 3 ชม. ครับ

สภาพพื้นที่ด้านบนเป็นเเบบเนินที่ราบๆ มีจุดกลางเต้นท์ให้เลือกมากมายครับ ใครขึ้นมาถึงก่อนก็เลือกก่อนว่าจะกางเต้นท์ตรงไหน

พอเราทุกคนมาถึงกันครบ ก็จัดการกับมื้อเที่ยงที่เราทุกคนเเบกขึ้นมาครับ ส่วนใหญ่เป็นข้าวเหนียวหมู มีทั้งหมูหวาน หมูลาบ ไก่ทอดข้าวเหนียว กินกันอย่างเอร็ดอร่อย ไม่รู้ว่าเหราะหิวรวมกับเหนื่อยใช่ไหม เลยอร่อยขนาดนี้

อันนี้หมูหวานครับ

ส่วนนี่หมูลาบ

จากนั้นเราก็ไปติดต่อเจ้าหน้าที่เรื่องเต้นท์ เครื่องนอน เเละอุปกรณ์ทำกับข้าว ที่นี่มีหม้อ ชาม ช้อน ซ่อมให้เช่าครับ เราเดินไปเเล้วในกระจาดเก็บของ มีช้อนเยอะมาก ซ่อมมีเเค่สามอัน ข้างบนนี่มีน้ำเปล่า โค๊กเย็นๆ ขาย รวมถึงขนมขบเคี้ยวก็มีบ้าง

จากนั้นเราก็เลือกจุดกางเต้นท์ เเล้วก็เอาของเข้าเต้นท์ ด้วยความเหนื่อย เเละขึ้นมาถึงเร็วมากก ยังไม่เที่ยงเลยครับ เเน่นอนด้วยความเหนื่อยของทุกคน งีบสิครับรออะไร

พอบ่ายสองเราทุกคนก็ตื่นกันอย่างสดชื่น เเล้วก็เดินทางต่อเพื่อไปชม ยอดเขาต่างๆ บนเขาหลวงกันครับ ที่เขาหลวง มียอดให้พิชิต 4 ยอดด้วยกัน คือ ภูกา นารายณ์ แม่ย่า เเละเจดีย์

เส้นทางมันจะเป็นวงกลมเเล้ววนกลับมาจุดการเต้นท์ ยอดเเรกที่เราไปกันก็คือ ยอดเจดีย์ ซึ่งเดินจากจุดกางเต้นไปกระมาณหกร้อยเมตร ขึ้นเขาเล็กน้อยเดินสบาย ไม่ชันมากเท่าขาขึ้นมาตรงจุดกางเต้นท์

ถึงเเล้วเขาพระเจดีย์

จากนั้นเราก็เดินต่อไปอีก 1500 เมตรเพื่อไปยังจุดต่อไปคือเขาภูกา ระหว่างทางเส้นทางก็เดินทางเรียบ สลับกับเส้นทางขึ้นเขาลงเขา

ในที่สุดเราก็ถึงยอดภูกา บนยอดภูกา มีเจดีย์ทองอยู่ข้างบน เรามาถึงเร็วไปนิดอากาศร้อน เเดดดีมาก ครับ เราก็ไปหลบหลังมุมก้อนหิน หลบเเดดซักเเป๊ปป ก่อนรอให้เย็นเเล้วค่อยเดินต่อไปครับ

หลังจากเราพักกันซักพัก เราก็เดินทางต่อไปที่ยอดเขาพระเเม่ย่า ซึ่งเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกกันในวันนี้ ซึ่งเราจะต้องเดินย้อนกลับมา 1500 m เเล้วก็เดินขึ้นเขาไปอีก 740 m นั้นเอง

ไม่นานเราก็ถึงจุดที่เราจะชมพระอาทิตย์ตกกันในวันนี้ ยอดเขาพระเเม่ย่าครับ เเถวนี้ตอนเย็นๆ อากาศดีมากครับ เย็นสบาย ลมพัดตลอด จนพวกเราหนาวกันเลยครับ

ยอดหญ้าพริ้วไหวตามสายลม

ณ ยอดเขา

ข้างบนนั้นบรรยากาศดีมาก ครับ เเสงสีส้มๆ สาดส่องภูเขา ทำให้เห็นเบื่องล่างเป็นเงาภูเขาสลับไปมาเล่นสีเป็นน้ำเงินไล่ไปส้ม พวกเราเลยอยู่ตรงนี้นานหน่อยเพื่อเก็บภาพบรรยากาศมาฝากกันครับ

ช่างภาพ กับทิวเขา

พออาทิตย์อัสดงไปเเล้ว ด้วยความหิวมากๆ ของพวกน้องๆ มันจึงรีบลงไปจากเขาเพื่อจะไปทำกับข้าวกันก่อน เดินหายไปเลย ทิ้งลุงเเก่ๆ อย่างเราสามคนให้เดินตามไป พอเราลงมาถึงจุดพักเเรมเเล้ว ทุกคนต่างออกเเยกย้ายกันไปอาบน้ำ เตรียมน้ำมาทำอาหาร

ที่นี่เขามีน้ำที่เขาเก็บไว้ให้กินได้ครับ หลังจากทำภาระกิจส่วนตัวกันเรียบร้อยเเล้วก็ถึงเวลามื้ออาหารเย็นของเรา ขอบคุณที่โชคดีมากๆ ที่เจอน้องภาคของเพื่อนผม บอกเลยว่าเด็กพวกนี้ทุ่มทุนเเบกกับข้าว เตาเเก๊สกระป๋อง ขึ้นมา สุดยอดมากครับ ถึงกับมีกระเป๋าเก็บความเย็นใส่ใส้กรอก กันเลยทีเดียว

สำหรับเมนูหลักของเรานั้นหรูหรา เส้นพาสต้าเเบน ต้อมกับไส้กรอก เสริร์ฟโดยตักใส่ถ้วยเเบ่งกัน ราดด้วยซอสมะเขือเทศ คลุกเคล้ากันอย่าลงตัว ต่อด้วยการฟิวชันโดยใส่ปลากระป๋องรสพริกไทยดำร่วมกับการต้มเส้นพาสต้า กินกับซิสเช่นเดิม ก็อร่อย ลงตัวไปอีกเเบบครับ

หลังจากเราอิ่มหนำสำราญ กันกับของความเเล้ว เเน่นอนครับเป็นเวลาของของหวานกันบ้าง อากาศหนาวๆ มืดๆ เเบบนี้จะมีอะไรดีไปกว่าการก่อกองไฟ เเล้วปิ้งอะไรกินหละครับ เนื่องด้วยการก่อที่มันไม่รู้จะติดยังไง เพราะฝืนที่ซื้อมาจากเจ้าหน้าที่มันไม่ค่อยติดไฟ เราเลยไปขอต่อไฟจากเต้นท์ข้างๆ เเล้วก็พัดๆ สักเเป๊ปก็ติดไฟครับ

ของหวานของเราก็ไม่มีอะไรมากครับ เเค่ขนมปังเเผ่นที่เสียบไม้ซึ่งหาได้เเถวๆ นั้นย่างไฟจนเกรียมสักนิดเเล้วราดด้วยนมข้นหวาน เอาใส่ปากก็อร่อยเเล้วครับ มันจะหอมกลิ่นไม้ กับกลิ่นไหม้ๆ นิดนึงอร่อยไปอีกเเบบ

ส่วนอีกเมนูนึงก็มาชเมลโล เสียบไม้เเล้วย่างครับ พอไปปิ้งเเล้วมันจะเหนียวๆ หนืดๆ ข้างนอกหรอบ ข้างในเหนียวๆ มีกลิ่นไหม้นิดๆ รสชาติหวานหน่อยๆ หรือยดีครับ เเต่ระวังหละ ถ้าใจร้อนมาก มันจะไหม้ไวมากถึงกับกินไม่ได้เลย

เรานั่งกินขนมไปเรื่อย พูดคุยเรื่องต่างๆ บอกได้คำเดียวครับ ว่า บรรยากาศมันโครตได้ สัมผัสได้ถึงมิตรภาพใหม่ๆ ธรรมชาติ เเละความบังเอิญที่มันเกิดขึ้นจริง ซึ่งเราจะสัมผัสสิ่งเรานี้ไม่ได้เลยถ้าเราไม่ได้ออกเดินทางเช้าวันรุ่งขึ้น เรากะว่าจะออกไปจุดชมวิวที่ เขานารายณ์กันเช่าหน่อย เผื่อจะมีดาวให้ถ่ายกันซักหน่อย เเน่นอนครับ เราตื่นกันเกือบตีสี่ครึ่ง เเล้วก็เดินไปบนเขานารายณ์ตอนเช้ามืดอย่างนั้น ไปกันสี่คน มืดมากต้องพกไฟฉายไปด้วย เดินไปสักพักก็ถึงตรงจุดชมพระอาทิตย์ขึ้น เเต่ด้วยความที่วันนี้เป็นข้างขึ้น พระจันทร์จึงใหญ่มาก บวกกับมีหมอกมากจึงไม่เห็นดาวเลย ตอนนี้เเค่ตีห้า ลมเเรงมากๆ หนาวสุดๆ จึงตัดสินใจรอจนกว่าพระอาทิตย์จะขึ้น ไม่นานนักก็เช้า นักท่องเที่ยวต่างขึ้นมาชมพระอาทิตย์กันครับ

ซึ่งจากจุดนี้ ถ้าเรามองจากผาลงไปทางด้านล่างซ้าย เราจะเห็นหน้าผาด้านล่าง จะเห็นก้อนหินที่มีลักษณะเหมือนหน้าคนมากครับ

จากนั้นเราก็เดินต่อไปยังผาชมปรงที่อยู่ไม่ไกลกันเท่าไหร่ เพื่อดูวิวทิวทัศน์กันครับ

เช้าเเล้วเราก็เริ่มหิว สำหรับเช้านี้พวกเรากินเมนูกู้ชีพกันครับ มาม่า หกห่อลงหม้อต้มครับ อิ่มหนำกันไป

พออิ่มหนำกันเรียบร้อย เราก็เก็บของเเล้วเดินทางลงจากเขาหลวงกันครับ

เราเดินลงใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่งครับ หลังจากนั้นอาบน้ำเรียบร้อย เเล้วติดต่อรถที่เคยมาส่งน้องจากในเมือง ให้พาเราไปส่งที่ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย เป้าหมายต่อไปของเราครับ

เราออกจาก อช.รามคำเเหง ประมาณเที่ยงๆ ครับไม่นานเราก็ถึงเมืองเก่า สุโขทัย จุดเเรกเลยที่เราไปกันคือ ร้านเช่าจักรยาน สงนราคาคันละ 30 บาทครับ เราฝากกระเป๋าทั้งหมดไว้ที่นี่เเหละครับ อันนี้เป็นเเผนที่เเต่ละจุดในอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ครับ

จากนั้นเราก็ถามพี่ที่ร้านเช่าจักรยานว่า เเถวนี้อะไรอร่อยบ้าง เเน่นอนครับ มาสุโขทัยเเล้วต้องไม่พลาดก๋วยเตี๋ยวสุโขทัยครับ เขาก็เลยเเนะนำให้เราไปร้านนี้ครับ ซึ่งอยู่ใกล้กันมาก ปั่นจักรยานไม่นานเลยครับ

ด้วยความหิวโดยจัดการเลยครับ รสชาติเปรี้ยวหวานพอดี ไข่ฟองใหญ่ น้ำคลุกคลิก ใส่ถั่วป่นหอมๆ เข้ากันอย่างลงตัวครับ

เเละด้วยคาวมหิวโหยจนมีบางคนถึงกับต้องต่อด้วยจานนี้ครับ ข้าวหมูกรอบ ขอบอกว่าอันนี้หร่อยมาก หมูเน้นๆ น้ำราดไม่หวานจนเกินไป

อิ่มกันเเล้ว เเต่เวลามันพึ่งจะบ่ายสอง ยังร้อนอยู่เลยครับเราก็เลยจะหาที่เย็นๆ ไปเที่ยวรอเวลาให้เย็นลงอีกหน่อย เพราะเเดดร้อนมากเลยครับ เราเลยปั่นจักรยานไปต่อที่ พิพิธภัณฑสถาน แห่งชาติรามคำแหง ครับ

เป็นสถานที่ซึ่งเก็บโบราณวัตถุให้ชมเป็นจำนวนมากครับ เเต่ที่ผมเเปลกใจมากก็คือ เมืองเก่าสุโขทัยเนี้ย มีชาวต่างชาติเที่ยวเยอะมากก เรียกได้ว่าเยอะกว่าคนไทยหลายเท่า ผมเจอฝรั่งคนนึง ผมก็เลยถามเขาว่า ทำไมถึงตัดสินใจมาเที่ยวที่สุโขทัย เขาว่าเขาไปมาหมดเเล้วเเถวๆ นี้ตั้งเเต่เขมร อินเดีย เเล้วเขาชอบอะไรที่มันเเสดงถึงลักษณะที่สะท้อนถึงวัฒนธรรม หรือโบราณวัตถุ โบราณสถาน เเต่ละที่มีความเเตกต่างกัน เขาว่าเขามาเห็นที่นี่เเล้ว It's amazing เขาชื่นชอบงานปั่นงานหล่อ หรืองานฝีมือที่เป็นโบราณวัตถุของชาวสุโขทัยมาก

หลังจากนั้นเราก็ปั่นจักรยานกันต่อไปจุดเเรกที่ขึ้นชื่อมาก เเละใครๆที่มาเมืองเก่าสุโขทัยจะต้องไปที่นี่ครับ คือ วัดศรีชุม

ระหว่างทางคือบรรยากาศดีมาก ร่มรื่นพอถึงวัดเราก็ถ่ายภาพมาฝากกันครับ

เเล้วเราก็ปั่นๆ ต่อไปครับที่วัดนี้เลย วัดสะพานหิน อยู่ไกลสุดเลยจากร้านเช่าจักรยาน

สะพานหินสมชื่อจริงครับเป็นสะพานที่กอด้วยหิน เดินขึ้นเขา พวกเราถึงเขาบ่นกันเลยว่า เดินขึ้นเขาขึ้นเนินกันอีกเเล้วหรอ

เเล้วเราก็ปั่นต่อไปยัง วัดพระพายหลวง

วัดช้างล้อม

เเละปิดท้ายทริปนี้ด้วยสถานที่สุดท้ายที่เราจะไปเก็นเเสงสุดท้ายของวันนี้กันที่ วัดมหาธาตุครับ

หลังจากนั้นเราก็คืนจักรยาน เเล้วก็เหมารถตู้ไปหาไรกินเเถวๆ ในเมืองตรงตลาดโต้รุ่งของเมืองสุโขทัยครับ

วันนี้เราฝากท้องไว้กับร้านนี้ก่อนกลับ เจ๊เจ้าของร้านเเกใจดีมากก ครับ อาหารอร่อย อีกต่างหาก

กินกันเสร็จมีเวลาเหลืออยู่บ้าง เลยไปหาไรกินเเถวนั้นซักหน่อย เเล้วก็เจอร้านอร่อยที่น้องบอกว่า เปาไส้ดำอย่างเด็ด เเล้วก็เด็ดจริงๆ ครับ

จากนั้นเราก็นั่งรถต่อไปยังสถานีขนส่งสุโขทัย เพื่อนั่งรถทัวร์กลับครับ

การเดินทางครั้งนี้ทำให้ผมรุ้ว่า มิตรภาพมันเกิดได้ง่ายมาก เเม้ไม่รุ้จักหรือไม่สนิทสนมกันตั้งเเต่ตอนเเรก พอได้เที่ยวหรือเดินทางไปด้วยกัน ด้วยความที่เป็นคนไทย นิสัยใจคอง่ายๆ คุยกันไปมาเเล้วก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องยากที่เราจะผูกมิตรกับคนอื่น เเละสิ่งที่สำคัญเลยจริงๆ ที่ผมคิดว่าเราควรส่งเสริมกันให้มากกว่านี้ คือพบว่าสุโขทัยมีชาวต่างชาติมาเที่ยวเยอะมากครับ เป็นเพราะเขาชอบในศิลปะ วัฒนธรรม หรือบางสิ่งบางอย่างที่มันเเสดงถึงภูมิปัญญาอันสวยงามของชาวไทย ซึ่งในความคิดผม ผมเห็นว่าคนไทยน่าจะเที่ยวเเละเรียนรู้ ในสถานที่เหล่านี้ให้มากขึ้น ยิ่งจะทำให้เกิดภาคภูมิใจ หวงเเหน เเละเห็นคุณค่าของสิ่งเหล่านี้มากขึ้นครับ ยังไงก็อย่าลืมมาเที่ยวสุโขทัยกันเยอะๆ นะครับ เพราะว่า "สุโขทัย เมืองน่าไป ไม่ใช่เเค่ทางผ่าน" ยังไงหละ

เที่ยวเอง . . เขียนเอง

 วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 22.53 น.

ความคิดเห็น