สวัสดีครับเพื่อนนักเดินทาง รีวิวการท่องเที่ยวนี้เป็นรีวิวแรกที่ผมได้เขียนขึ้น เพราะอยากแชร์ประสบการณ์การท่องเที่ยวและยังมีข้อมูลต่างๆ ที่สามารถใช้เป็นแนวทางในการท่องเที่ยวของเพื่อนๆ ได้อีกด้วยครับผม

การท่องเที่ยวครั้งนี้ เกิดจากความอัดอั้นตันใจของเพื่อนๆที่เรียนมหาลัยฯ ด้วยกัน ที่ก่อนปีใหม่มีการสอบปลายภาคอย่างหนักหน่วงเป็นเดือนๆ ความเครียดและกดดันมาเต็มจริงๆ เพื่อนจึงถามผมว่าไปเที่ยวไหนดี จากการที่ผมชอบเที่ยวและที่สำคัญคือชอบอ่านรีวิวการท่องเที่ยวต่างๆ มากมายอยู่แล้วเป็นการส่วนตัว เลยพูดกันเล่นๆว่า ไปน่านดิ ไกลดีแต่ลองอ่านในรีวิวแล้วก็มีที่เที่ยวนะ ด้วยความอยากของเพื่อน ขณะนั้นยังสอบอยู่เลยครับท่านผู้ชม มันก็ตั้งกลุ่มไลน์วางแผนการเที่ยวตั้งแต่เดือนธันวาปีที่แล้ว รีบกว่านี้มีอีกไหม เรื่องเรียนเอาจริงเอาจังอย่างนี้ไหมหนู 555 จึงวางแผนว่าจะเที่ยวน่านสามวันสองคืน ในช่วงวันที่ 6-8 ม.ค. 59 แล้วจองรถทัวร์ โดยเราจองกับสมบัติทัวร์ทั้งไปและกลับ จองที่พักสองที่คือ นอนเต็นท์บนดอยเสมอดาวเป็นของอุทยานในคืนแรก และคืนที่สองนอนเฮือนนิทราในเมืองน่าน เมื่อจองที่ต่างๆเรียบร้อย ก็รอจนสอบเสร็จสิครับ เชื่อไหมครับพอผมบอกแม่ว่าจะไปเที่ยวน่านแม่บอกว่า "น่าน . . . มีอะไรเที่ยวหรอ" โหยแม่ ผมเลยบอกว่า เดี่ยวดู จะเที่ยวให้ดู

ส่วนนี่เป็นกระทู้ที่ผมเคยเขียนครับ ไว้เป็นเเนวทางได้บ้างไม่มากก็น้อยครับผม


ภูสอยดาว ไปเเล้ว . . รู้เลย https://pantip.com/topic/35926892

#CNXbeforeMdie เที่ยวกันตาย ก่อนไปพรีเซนวิจัย https://pantip.com/topic/36018061/comment4

สุโขทัย เมืองน่าไป ไม่ใช่เเค่ทางผ่าน https://pantip.com/topic/36178294เริ่มต้นการเดินทางเลยครับเพื่อนๆ เรานัดกันที่เซ็นทรัลลาดพร้าววันที่ 5 ม.ค.59 เวลาหกโมงตรง เมื่อพวกเราทั้งสี่คนมากันอย่างพร้อมเพรียงแล้ว ก็หาอะไรกินในห้าง จากนั้นก็เดินไปนั่งรอขึ้นรถที่ขนส่งของสมบัติทัวร์บริเวณถนนวิภาวดีโดยเดินทะลุมาหลังห้าง ข้ามถนนลงแล้วเดินผ่านปั้มแก๊สแล้วถึงขนส่ง เราจองรถทัวร์นั่งไปน่าน 20.40 น. ไว้

เมื่อถึงเวลาก็เอาสัมภาระต่างๆขึ้นรถ ตัวรถสภาพดี ที่นั่งกว้างอยู่ เบาะเอนได้ มีหมอนตัวยู กับผ้าห่มแจก สำคัญมีของกินแจกสิครับ พวกเราในฐานะสายกินเเหลก ก็ยิ้มปริ่มเลย ที่แจกก็มีขนมปังในกล่องสองชิ้น น้ำผลไม้จูมิกส์ และน้ำหนึ่งขวด กระเป๋าพวกเราไม่ใหญ่นักก็เก็บไว้ข้างบนรถได้สบายๆ


พอรถออกทุกคนก็เตรียมนอนไม่ก็หาอะไรทำ เพื่อนเราสองคนเขาเป็นแฟนกันครับแหม่ นั่งดูแฮรี่กันหนุกเบย ส่วนผมกะเพื่อนอีกคนก็ฟังเพลงชิวๆกันไป เมื่อถึงเวลาตีหนึ่งครึ่ง รถก็วิ่งมาถึงพิษณุโลก ซึ่งมีจุดพัก เราสามารถเอาตั๋วรถทัวร์ไปแลกคุปองกินข้าวต้มได้ เป็นข้าวต้มกุ้ย และมีกับให้เลือก เสร็จเพื่อนสิครับกินอย่างอิ่มหนำอีกแล้ว ได้ข่าวว่ากินไปก่อนขึ้นรถละนะ จากนั้นก็ขึ้นรถต่ออีกไม่นานทุกคนหลับๆตื่นๆก็ถึงน่าน เออลืมว่าต้องบอกพี่พนักงานด้วยว่าลงที่เวียงสา พวกเราถึงเวียงสากันเวลา 5.45 น. อากาศหนาวอยู่ 17 องศา หมอกเยอะมาก พวกเรานอนไปนิดเดียวเอง


เราก็ถามคนแถวๆนั้นว่ามีกาดเจ๊าไหม (ตลาดเช้า) มีก็เดินไปดูสิ หาไรกิน กินอีกแล้ว 555 เดินไปในตลาดก็มีของกินของสดมากมาย เราก็ซื้อ


ข้าวเหนียว หมูปิ้ง แคบหมูปุ๊กนึง(พวงนึงมีหลายถุงเล็กๆ) ไส้อั่ว ข้าวเหนียวสังขยา และน้ำกับขนมที่แจกบนรถทัวร์ก็ยังอยู่ หลังจากนั้นทุกคนก็แปรงฟันและกินอย่างอร่อย แต่คือข้าวเหนียวเยอะมักตั้งกิโลนึงไม่หมดหอบไปกินต่อ

เวลาประมาณเจ็ดโมงครึ่งเราก็ขึ้นรถบัสเขียว เวียงสา-นาหมื่น ไปลงที่นาน้อยเป็นเงิน 40 บาท เพื่อจะต่อรถไปดอยเสมอดาวกัน นั่งรถประมาณหนึ่งชั่วโมงก็มาถึงนาน้อย ลงตรงปั้มปตท


ตอนแรกคือไม่มีแผนเบยว่าจะขึ้นไงเพราะส่วนใหญ่ที่มาดอยมีรถขับมากัน ไม่มีข้อมูลว่ามีรถขึ้น ตอนแรกกะจะโบกเลยแล้วแต่ดวง แต่โชคดีมากคือพอถึงแล้วเราเจอลุงคนหนึ่งที่เขาขับรถรับจ้างมาถามเราว่าขึ้นดอยเสมอดอยใช่ไหม เรามากันสี่คน และที่โชคดีกว่านั้นคือเจอวัยรุ่นที่มาเที่ยวเหมือนกันอีกสี่คนรวมเป็นแปด จากการเจราจาพาทีกับลุงขึ้นดอย คนละ 60 บาท แต่เราแวะเสาหินน้อยด้วยลุงเลยคิดเราคนละ 70 บาทก็โอเคไปโลด ก่อนที่เราจะมาถึงที่นี่จะบอกก่อนว่าที่เวียงสาที่เราลงตอนแรก มีลุงมาถามเรื่องให้เราเหมารถเหมือนกันตั้ง 700 บาท สี่คนซึ่งแพงสิครับได้แค่ขาขึ้นด้วย ดีนะมาเหมารถขึ้นที่นาน้อยเลยถูกกว่า งั้นก็ขึ้นดอยกันเลย รถลุงเป็นรถกระบะเปิดประทุน สำคัญไฉน เดี่ยวจิบอก 5555


เมื่อทุกคนเอาสัมภาระขึ้นรถเรียบร้อยทุกคนก็นั่งประจำที่บนรถกระบะ เพียงแค่เริ่มออกรถเท่านั้นละ ลมหนาวกระชากใจก็ได้กระทบหน้าทุกคนอย่างพร้อมเพรียงกัน โอ้ยย หนาววหน้าซักพักก็เริ่มชาหน้า ไม่นานก็รถก็ขับไปถึงเสาดินน้อย พอลงจากรถลุงก็นำเสนอความรู้ใหม่ที่พาทุกคนแปลกใจ คือต้นไม้ชื่อต้นดิ๊กเดียม มันน่าแปลกใจยังไง เขาก็ทำให้ดู เอามือลูบๆ จักกะจี้ต้นไม้ตรงลำต้น แล้วปลายยอดกะใบก็กระดิกดุกดิกๆ เห้ยย ได้ไง พวกเราก็เลยเล่นกันอย่างหนุกเลย


เลย จากนั้นก็ไปถ่ายรูปกันบริเวณเสาหินน้อย ซึ่งคล้ายๆกับแพะเมืองผี ทุกคนก็ได้รูปกันไป


เมื่อเราเดินกลับมาลุงก็เรียกเราไปพบสิ่งที่ทำให้เราแปลกใจอีก หืมยังมีอีกหรอเนี้ย คือหญ้าเข็มนาฬิกา อ่าวงงใช่ไหมครับเข็มนาฬิกายังไง พี่ๆที่อุทยานเขาก็โชว์ให้ดู เอาหญ้าไปแตะน้ำ แล้วมาแจกใส่มือเราทุกๆคน โดนให้เอานิ้วโป้งและนิ้วชี้หนีบไว้เฉยๆ แล้วคือเส้นหญ้าในมือหมุนเองในทิศตามเข็มนาฬิกา ไอ้ผมก็งง ว่าเอ๊ะมันหมุนได้อย่างไร พี่เขาอธิบายว่าหญ้าชนิดนี้มันใช้ลักษะพิเศษนี้ในการช่วยในการขยายพันธ์ของหญ้า ส่วนที่เป็นเส้นหญ้าที่เอามาเล่นน่าจะเป็นบริเวณดอก ก็เป็นสิ่งที่น่าแปลกใจเหมือนกันเนอะ ต้องมาลอง จากนั้นเราก็ขึ้นรถต่อเพื่อไปดอยเสมอดาว หน้าชากันอีกล้าวดิ แหม่ ทางขึ้นไม่ค่อยชันมาก คดเคี้ยวเล็กน้อยและไม่ไกลมาก มีต้นไม้และทุ่งนาสลับกันไประหว่างทาง


พอเราขึ้นมาถึงดอยเสมอดาวประมาณสิบโมงเกือบสิบเอ็ดโมง เสียค่าเข้าอุทยานแห่งชาติคนละ 20 บาท พอลงจากรถลุง พวกเราก็ตกลงจะเหมารถลงจากดอยอีกในวันรุ่งขึ้น โดยขาลงเสียคนละ 50 บาท และมีรอบรถบัสเขียวที่วิ่งจากนาน้อยไปเวียงสา เราเลือกจะลงมาต่อรถบัสรอบ 8.20 น.


จากนั้นเราก็ไปติดต่อเจ้าหน้าที่เรื่องเต้นที่จองไว้ ซึ่งเต็นท์นึงนอนได้สามคน เราจองไว้สองเต้นซึ่งเราไปสี่คนก็จะได้หมอน ที่ปูนอน และถุงนอนคนละชุด จากนั้นก็เอาของไปเก็บในเต็นท์ แล้วออกมาเดินเล่นถ่ายรูปเล่นกันเถอะ ดอยเสมอดาวมีลักษณะเป็นเนินหญ้าโล่งกว้างอยู่บนภูเขา จนผมละเพื่อนๆ พูดเล่นๆ กันว่าเนินเทเลทับบี้ ได้เลย


ทุกคนก็เดินเล่นถ่ายรูปกันอยู่ซักพัก เวลาผ่านไปใกล้เที่ยง ร้อนสิครับหึหึ ไปยืมเสื่อพี่เจ้าหน้าที่มานั่งเล่น ตอนแรกก็กะว่าจะยืมแล้วคืนเลยแต่กลับใช้ยาวจนอีกวันเลย


เวลาผ่านไปใกล้เที่ยง ร้อนสิครับหึหึ ไปยืมเสื่อพี่เจ้าหน้าที่มานั่งเล่น ตอนแรกก็กะว่าจะยืมแล้วคืนเลยแต่กลับใช้ยาวจนอีกวันเลย พอบ่ายๆก็เดินลงมาหาไรกิน มีร้านอาหารตามสั่งอยู่ข้างล้างเดินลงมานิดๆ ด้วยความหิวพวกเราก็เลยกินข้าวผัดหมู กะกระเพราหมูกรอบ หมูกรอบอร่อยดีเหมือนกัน เมื่อกินกันอิ่มหนำสำราญ จ่ายตังค์เสร็จ ลุงๆ ป้าๆ ที่ร้านข้าวก็บอกว่าเย็นมากินหมูกระทะได้นะ และก็บอกข่าวสารสำคัญ บอกก่อนว่าตรงเจ้าหน้าที่เขาไม่มีที่ให้ชาร์ตแบตมือถือนะ ลุงป้าบอกเราว่า มันจะมีปลั๊กให้เราชาร์ตฟรีๆ อยู่สามปลั๊ก ตรงใต้ศาลาที่ต้องเดินย้อนกลับไปอีกนิดนึง หึหึเสร็จโจรครับแหม่ รอไรไปเอาเสื่อมานั่งกินหนม ชาร์ตมือถือ ใช้ชีวิตสโลวไลฟในช่วงบ่ายๆ ดูวิวแม่น้ำน่าน ป่าไม้ ร้องเพลงเล่น ซักพักก็ง่วงๆ งีบบ้างไรบ้าง


พอประมาณบ่ายสามเกือบสี่โมง ด้วยความกลัวหนาวของทุกคน ก็เลยไปอาบน้ำซักหน่อย น้ำก็เย็นๆ ตามสภาพ สดชื่นมักๆ เสร็จแล้วก็หาที่ร่มๆ บนเนินเทเลทับบี้ปูเสื่อ นั่งกินขนมเม้ามอยไปเรื่อย สี่ห้าโมงอากาศก็เริ่มเย็น แสงที่สาดส่องก็เริ่มลดความร้อนแรง เปลี่ยนเป็นสีส้ม ลมเย็นๆ โชยมา


ทุกคนเริ่มหิว ด้วยความหวังจะกินหมูกระทะ ซึ่งถ้าจะให้ได้บรรยากาศต้องมืดๆ อากาศหนาวๆ ก็กะจะรอให้ถึงเวลานั้น แต่มันไม่ไหวล้าวอะ "หิว" เลยไปเอาแคบหมูกะข้าวเหนียวที่มีมากินด้วยกัน ตอนแรกนึกว่าไม่เข้าท่า แต่กินๆไปก็เข้าทีอยู่ หรือว่าหิววะ เพื่อนคนนึงเราเป็นคนเชียงใหม่ มันสอนแกะถุงแคบหมู โดยเอาหนังยางทีมัดถุงไว้ มารัดทั้งถุงแคบหมูแล้วดีดให้ถุงขาด เออ ไอ้เราก็พึ่งรู้ว่าทำงี้ได้ด้วย ด้วยความหิวของทุกคนข้าวเหนียวก็หมดไป แต่ถามว่าอิ่มไหม ยังเลย จากนั้นก็ไปถ่ายรูปกับแสงอาทิตย์เย็นๆที่กำลังตกบนเนิน ก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบเหมือนกัน


เริ่มมืดแล้ว พวกเราก็ลงไปกินหมูกระทะ หึหึ มาถึงร้านเดิมที่เรากินตามสั่งไปตอนบ่าย หมูกระทะชุดละ 300 บาท ประกอบด้วย ไข่1 ฟอง วุ่นเส้น 1 ถุง ผัก น้ำจิ้มสุกี้ และหมูอีกนิดหน่อย นิดหน่อยจริงๆนะ พอเริ่มปิ้งทุกคนก็กินหมดอย่างรวดเร็ว เร็วจริงๆ นะ ซึ่งก็ยังไม่ค่อยอิ่มเท่าไหร่สำหรับผม

พอเสร็จก็ขึ้นไปบนเนินเพื่อนอนดูดาว เอาเสื่อมาปูนอน บอกได้เลยว่าสมกับชื่อดอยเสมอดาวจริงๆ ดาวเยอะมากและเห็นชัด เพราะพื้นที่มันโล่ง ๆ แทบจะเอามือจับดาวได้เลย ด้วยความอยากดูดาวเราก็ซื้อเลเซอร์มาชี้ และค้นหาดวงดาว ไปๆ มาๆหาได้แค่กลุ่มดาวหมีใหญ่ และดาวเหนือส่วนดาวอื่นเราดูไม่ออกเพราะมันเยอะมาก แล้วก็เจออีกนิดหน่อยเพราะใช้แอพในมือถือ แอพ skywalk ใช้ได้อยู่ พอค่ำๆ อีกนิดก็หิวอีกแล้ว ไปซื้อไข่ปิ้งกิน อร่อยดี หนึบๆ จากนั้นก็ไปแปรงฟันเข้านอน รอตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้า

วันที่สองพวกเราว่าจะตื่นตีห้า แต่หนาวๆงี้หลับสบายมากๆ กว่าจะลุกมาครบก็ปาไปตีห้าครึ่งละครับ จากนั้นก็แปรงฟันให้เรียบร้อย ขึ้นไปบนเนินรอดูพระอาทิตย์ขึ้น ซึ่งบนเนินเริ่มมีคนขึ้นมาเยอะขึ้น เพราะตอนเช้าจะมีคนจากข้างล่างดอยขึ้นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วย ประมาณ 6.45 น. พระอาทิตย์ก็ขึ้นมาอวดโฉม อากาศหนาวๆ ภูเขา โชคดีที่วันนี้มีทะเลหมอกด้วย สูดอากาศบริสุทธิ์ ซึมซับบรรยากาศกันเต็มที่


ถ่ายรูปกันแล้วก็รอลุงขึ้นมารับลงจากดอย พร้อมนั่งรถกระบะเปิดประทุนคันเดิม แน่นอนว่าเช้ากว่าเดิม หน้าชากว่าเดิม


พอลงจากดอยมาถึงอำเภอนาน้อย พวกเราก็หิวสิครับ หาซื้อของกิน เราซื้อไก่อบกับข้าวเหนียวร้อนๆ ซื้อเสร็จแล้วรถบัสเขียวก็มา เป๊ะมากถึงที่สุด 8.20 น. จริงๆ พอขึ้นรถทุกคนก็จัดเหนียวไก่ซะอิ่มหนำ


นั่งรถประมาณชั่วโมงนึงเพื่อกลับจากอำเภอนาน้อยไปอำเภอเวียงสา แล้วต่อรถบัสเพื่อเข้าไปในอำเภอเมืองน่านอีก ประมาณ 45 นาที เราเลือกที่จะลงขนส่งน่าน พอถึงขนส่งน่านด้วยความมั่นใจในแอพพิเคชั่น google map เขาว่าที่พักที่เราจองไว้คือ เฮือนน่านนิทรา อยู่ห่างจากขนส่งน่านประมาณ 2 กิโลเมตร ก็ลองเดินดู แหมไกลนะครับ ตอแรกนึกว่าใกล้ๆ เราเดินไปเรื่อยๆ พอซักสิบเอ็ดโมงกว่าๆ ก็เดินผ่านศาลหลักเมืองน่านจึงเข้าไปไหว้ศาลหลักเมือง


ใกล้ๆกันนั้นก็มีร้านข้าวซอยต้นน้ำ ร้านชื่อดังของน่าน ไหนๆเรามาน่านทั้งทีก็ต้องลิ้มลองความเอร็ดอร่อยหน่อย พวกเราทั้งสี่ลองกินข้าวซอยเนื้อ และไก่ ลักษณะเนื้อไม่เปื่อยมาก ส่วนไก่มาเป็นน่อง มีเครื่องพวกผักดอง หอมแดง มะนาวแยกมา พอคลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วลองชิมดู พบว่ารสชาติใช้ได้เลยทีเดียว ถ้าต้องการความเผ็ดทางร้านก็มีพริกคั่วน้ำมันไว้ให้บริการ แต่สำหรับคนที่ชอบข้าวซอยที่เข้มข้นก็อาจจะผิดหวังไปบ้างเพราะตัวน้ำแกงไม่ข้นมาก


หลังจากอิ่มท้องแล้วก็แน่นอน เดินต่อ แหะๆยังไม่ถึงที่พักเลย ประมาณเที่ยงกว่าๆ ก็ถึงที่พัก "เฮือนน่านนิทรา" เป็นบ้านพักที่น่ารักมากๆ เจ้าของบ้านป้านิทรา ตัวบ้านเป็นไม้ผสมปูน ปลูกต้นไม้ร่มรื่น น่าดูชม


เมื่อเช็คอินแล้วทุกคนก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมตัวเที่ยวในตัวเมืองน่านบ้าง พวกเราเช่าจักรยานป่านิทราคันละ 25 บาท พร้อมปั่นชมเมืองแล้วครับ ป้ามีแผนที่ให้ด้วย ตอนนี้ประมาณบ่ายๆ แดดกำลังร้อนใช้ได้เลยทีเดียว พวกเราท้าแดดกันมาก ที่แรกที่เราไปคือวัดพระธาตุแช่แห้ง ปั่นไปทางสะพานข้ามแม่น้ำน่าน ซึ่งบั่นทอนพลังงานเพื่อนผญ เรามาก เพราะมันเป็นเนินสะพานสูงขึ้นไป แล้วปั่นต่อไปอีก 2 กิโลเมตรก็จะถึง ระหว่างทางแน่นอนครับร้อน แต่เราก็สู้


เมื่อถึงทุกคนก็ไหว้พระเดินเที่ยวเล่นถ่ายรูป พักเหนื่อยซักแปป แล้วก็ปั่นกลับทางเดิม 2 กิโลเมตร


วัดต่อมาที่เราปั่นจักรยานไปคือวัดภูมินทร์ วัดนี้อยู่กลางๆ ในตัวเมืองเลย มีโบสถ์ที่มีพระพุทธรูปหันออก 4 ด้าน มีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่สวยงามและที่โดดเด่น รูปภาพที่สำคัญที่ถ้ามาน่านแล้วไม่ได้มาดูถือว่ามาไม่ถึง คือภาพปู่ม่าน ย่าม่าน เป็นภาพหญิงชายกำลังจีบ หรือหยอกเย้ากัน ที่เรียนว่าปู และย่า เพราะเป็นคำทางภาคเหนือที่ใช้เรียนผช หรือผญที่โตเลยวัยเด็กมาแล้ว ส่วนที่ชื่อม่าน นั้นมาจากพม่า เพราะมีบางช่วงที่เมืองน่านถูกพม่าปกครอง ถือเป็นภาพที่ที่เขาขนานนามว่า "กระซิบรักบรรลือโลก" จากนั้นเราก็ไหว้พระขอพร และถ่ายรูป


เมื่อเสร็จทุกคนก็เริ่มหิวอีกแล้ว หิวบ่อยกันจริง ก็เลยไปหาอาหารเหนือกินหน่อย เราเลือกร้านเฮือนฮอม แล้วปั่นจักรยานไป ซึ่งร้านนี้อยู่ใกล้กับวัดภูมินทร์ พอถึงร้านเราก็เลือกที่นั่งที่เป็นขันโตก และแน่นอนเพื่อนชาวเหนือคนเดิมที่สอนเราแกะปุกแคบหมู ก็รู้หน้าที่ดีแนะนำอาหารเลย หลังดูเมนูอาหารเราก็สั่งมาสามเมนูคือ น้ำพริกอ่อง แกงฮังเล และลาบเหนือ พร้อมด้วยเหนียวสามติป ก่อนจะกิน พวกเราสามคนก็กินไม่เป็นนิเนอะ พ่อโย่งคนเหนือเพื่อนเราคนเดิมก็สอนให้ปั้นข้าวเหนียวเป็นก้อนๆ พอดีคำ ปั่นให้แน่นแล้วคว้านจุ่มลงในพริกอ่อง เขาว่าให้ข้าวเหนียวในมือทำหน้าที่เป็นช้อน แล้วตักเอานำพริกขึ้นมา แล้วเอาเข้าปาก พร้อมกับเครื่องเคียงด้วยเพื่อความล้ำขนาด เครื่องเคียงที่มีก็เช่นผักต้ม แคบหมู ไข่ต้ม หลังการสาธิตไอ้เราก็อยากทำบ้างก็ลองกิน ปั้นข้าวเหนียวไม่ดีหลุดเป็นเม็ดเลยในชามน้ำพริก ก็เรามันมือใหม่นิหว่า สำหรับในส่วนของรถชาติอาหารทั้งสามเมนู เรามาเรียงกันเลย สำหรับเมนูแรก น้ำพริกอ่อง ครบเครื่องไม่เผ็ด มีหมูผสมกินกับเครื่องเคียงต่างๆ อร่อยเลย ต่อมาแกงฮังเล เพื่อนเราชาวเหนือบอกว่า รถชาติออกเค็มไปนิด หมูสามชั้นน้อยไปนิด แต่เครื่องแกงก็หอมขิงดี และเมนูสุดท้ายลาบเหนือ เป็นเมนูที่ผมชอบที่สุดเพราะหร่อยอย่างแรง ไม่เผ็ดนะครับ หมูสับคลุกเคล้าเครื่องลาบต่างๆ กระเทียมเจียว และเพิ่มรสสัมผัสด้วยหนังหมูกรุบๆ ทานกับผักสดเคียงกันยิ่งดีเลยทีเดียว


หลังจากอิ่มกันแล้วก็เดินทางต่อไปที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน แต่ตอนนี้เขาปิดปรับปรุงอยู่ เลยเข้าไปได้แค่ถ่ายรูปกับมุมยอดฮิตคือ อุโมงต้นลีลาวดีที่อยู่บริเวณนั้น ก็ฮิปเตอร์ๆ กันไป


จากนั้นเราก็ไปไหว้พระต่อที่วัดช้างค้ำที่อยู่ตรงข้ามกับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน


แล้วก็ปั่นจักรยานไปวัดศรีพันต้นต่อ วัดนี้อุโบสถสวยงาม สีทองอร่ามตา ใหญ่โต


หลังจากไหว้พระเสร็จก็ปั่นจักรยาน ไปวัดที่อยู่ไกลสุดคือ วัดพระธาตุเขาน้อย ซึ่งห่างจากวัดศรีพันต้นประมาณ 2- 3 กิโลเมตร ปั่นไปเรื่อยๆ พอถึงตีนเขาตรงทางขึ้นพระธาตุ ไอ้ตัวผมก็ฟิตจัด เปลี่ยนเกียร์เป็นเกียร์น้อยแล้วปั่นขึ้น พอขึ้นไปเรื่อยแล้วรู้สึกวะ เหนื่อยมากๆ อย่างหนืดเลย ส่วนอีกสามคนก็เข็นขึ้นมาเลย ต่อจากนั้นผมก็เข็นเหมือนกัน


สักพักก็ถึงทางขึ้นวัดพระธาตุเดิม เป็นบันไดสูงมากๆ ทุกคนก็จอดจักรยานเพราะขี้เกียจเข็นและไม่รู้ว่าอีกไกลแค่ไหน ทุกคนก็เดินขึ้นบันไดที่ผมว่าเยอะ กว่าจะถึงข้างบนคือทุกคนหอบกินและมีสภาพอย่างที่เห็น ปวดขาด้วย พักเหนื่อยกันหน่อย มีเพื่อนเรางีบด้วย


ซักพักก็ห้าโมงกว่า พวกเราก็ไหว้พระ ถ่ายรูปมุมมหาชนคือพระพุทธรูปปางลีลาทองเหลือง โดยมีพื้นหลังเป็นวิวทิวทัศน์ตัวเมืองน่าน และท้องฟ้า ซึ่งวัดพระธาตุเขาน้อยเป็นจุดชมวิวที่จะเห็นตัวเมืองน่านด้านล่างครบทั้งเมือง เมื่อซึมซับบรรยากาศเรียบร้อย พักจนหายเหนื่อยแล้วก็เดินลงซิครับ เดี่ยวมืด


ทุกคนเหนื่อยและน้ำตาลในเลือดต่ำกันแล้ว กระหายน้ำตาลอย่างมาก ดังนั้นจุดหมายต่อมาก็คือร้านขนมหวานป้านิ่ม ร้านขนมตั้งอยู่ตรงข้ามกับวัดศรีพันต้น ปั่นมาถึงที่ร้านก็เกือบหกโมงละครับ ที่ร้านขนมให้เลือกทานหลายชนิดครับ ทั้งของร้อน เช่น เต้าส่วน สาคู ข้าวเหนียวดำ และบัวลอย(เป็นเมนูยอดฮิตของที่นี่ แต่เขาจะเริ่มขายบัวลอยตอนหกโมง) ส่วนของเย็น ก็มีพวกลอดช่องสิงคโปร์ สลิ่ม ทับทิมกรอบ และที่สนุกมากคือเราสามารถ mix เมนูต่างๆ ได้ของร้อนใส่กับของเย็น หรือชนิดเดียวกันใส่หลายๆ อย่างๆ จากความที่เพื่อนๆ ผมหิวเพื่อนจึงสั่งมากินก่อนผม เพราะผมรอกินบัวลอยตอนหกโมง เพื่อนมันสั่งไอติมมะพร้าวใส่เต้าส่วน กับไอติมมะพร้าวใส่ทับทิมกรอบ เพื่อนๆก็ว่าอร่อยดี


พอถึงเวลาหกโมง คนเริ่มมาเยอะและคาดหวังว่าจะกินบัวลอย จากร้านว่างๆ มีแถวยาวที่เต็มไปด้วยคนสั่งบัวลอย ไหนๆผมก็มาแล้วเลยจัดเต็มโดยการสั่งไอติมบัวลอยไข่มากิน อร่อยนะครับ บางคนอาจจะคิดว่าฟังดูไม่เข้าท่า เขาจะใส่ไอติมกระทิก่อน พร้อมด้วยบัวลอยมะพร้าวอ่อน ไข่ลวก และกะทิเพียงเล็กน้อย หากกินด้วยกันจะสัมผัสรสหวานของกะทิในไอติม ร่วมกับความหนึบหนับของบัวลอยแต่ละเม็ด ตัดรสเล็กน้อยด้วยไข่ที่มีความเค็มตัดกัน ถือว่าเข้ากันได้อย่างดีเลยทีเดียว และสิ่งที่สำคัญที่ทำให้ขนมร้านที่อร่อยคือ ความหวานที่พอดีไม่มากเกินไปจนแสบคอหรือกระหายน้ำ


หลังจากฟินกับขนมแสนอร่อยกันแล้ว ก็ปั่นจักรยานกลับไปที่พักเพื่อพักเหนื่อยกันสักครู่ แน่นอนว่าผมและเพื่อนๆยังไม่อิ่มหรอกครับ ประมาณสองเกือบสามทุ่มเราก็ออกจากที่พักไปกินข้าวเย็นกันแถวๆที่พัก มีร้านอาหารให้เลือกมากมายครับ ตั้งแต่ก๋วยเตี๋ยว ผัดไทย หอยทอด ตามสั่ง ขนมปังสังขยา เย็นตาโฟ แต่เราเลือกจะกินแถวๆที่มีร้านหลายๆร้านแล้วนั่งรวมกัน เพราะจะได้กินหลายๆร้าน ผมกินหอยทอด กับข้าวหมูน้ำมันหอยไข่ดาวครับ รสชาติและปริมาณใช้ได้เลยอร่อย และถูก


หลังจากที่ทุกคนอิ่มหนำกันแล้วก็เข้าที่พักและสลบเป็นตายเลยครับ เพราะวันนี้เราเที่ยวกันหนักหน่วงมาก ปั่นจักรยานไปๆ มาๆ แดดร้อนๆ ขึ้นเขา ต่างกับวันแรกจริงๆที่นั่งๆนอนๆอยู่บนดอยเสมอดาว



วันที่สามเราตื่นกันหกโมงครึ่ง เมื่ออาบน้ำเก็บของกันเรียบร้อยแล้ว ก็ออกมาทานอาหารเช้า ที่พักมีอาหารจัดเตรียมไว้ให้หลายอย่างครับ ข้าวต้มหมูสับใส่แครอท เผือก ข้าวโพด มีกระทะไฟฟ้าให้ทอดไข่ดาวเอง ขนมปังปิ้ง กาแฟ โอวัลติน ไอ้เราก็ทำๆ แล้วก็เอามากินบริเวณสวนข้างบ้าน บรรยากาศดีมากครับ หลังจากกินเสร็จแล้วก็ลาป้านิทรา เจ้าของที่พักแสนใจดี น่ารักมาก

พวกเราเดินทางต่อไปข่นส่งน่านโดยเหมารถแดงไปขนส่ง สงวนราคาอยู่ที่ 100 บาท แล้วก็ขึ้นรถสมบัติทัวร์กลับตอน 9.00 น. และถึงขนส่งที่ถนนวิภาวดีประมาณ 19.15 น.



สรุปค่าใช้จ่ายตลอดการเที่ยวน่าน 3 วัน 2 คืน



สมบัติทัวร์วิภาวดีรังสิต - น่าน ไปกลับ 958 บาท (ตั๋วใบละ 479บาท)

เฮือนน่านนิทรา 1 คืน 800 บาท (มีแบบเตียงเดี่ยว 2 เตียงหรือเตียงใหญ่ 1เตียง นอนได้ห้องละ 2คน เพิ่มเตียงเพิ่ม 200)

เต็นท์บนดอยเสมอดาว 345 บาท (มีหมอน ที่ปู ถุงนอน เต็นท์ละ2ชุด) ค่าเข้าอุทยานคนละ 20 บาท

รวม 6282 บาท



วันแรก

- กาดเจ๊า อ.เวียงสา

- ข้าวเหนียวโลละ 40 แบ่ง 4ถุง

- แคปหมู 1 ปุ๊ก 40 บาท

- หมูปิ้ง ถุงละ 20 มีหมู 5ไม้ (80บาท)

- ไส้อั่วชิ้นละ 10 บาท (30 บาท)

- ข้าวเหนียวสังขยาห่อละ 5 บาท (15บาท) อร่อยมากๆได้เยอะด้วย รวม 205 บาท

- รถเขียว เวียงสา - นาหมื่น คนละ 40

- ตอนขึ้นรถลุงก็ถามว่าขึ้นดอยมั้ย เหมือนมีสายพอไปถึงปั๊ม ปตท.ก็มีรถกระบะเขียวๆลุงจะพาเราขึ้นดอย 60บาท ให้ลุงแวะเสาดินเลยคิด 70บาท

- ค่าเข้าอุทยานคนละ 20บาท (80บาท)

- ค่าข้าวเที่ยงจานละประมาณ 30-40 โอวัลตินเย็น 15 บาท

- หมูกระทะ 300 บาท ไข้ปิ้ง 6ฟอง 40บาท น้ำสิงห์ขวดใหญ่ 20บาท

รวมวันเเรก = 1070บาท



วันสอง

- ค่ารถลง 50บาท (200บาท)

- กินไก่อบ คู่ละ 15 บาท ข้าวเหนียว 4ห่อ (60บาท)

- นั่งรถเขียว คนละ40 = 160บาท (08.20-09.17)

- รถสีน้ำเงิน จากเวียง-เมือง 25 บาท (100บาท)

- ข้าวซอยต้นน้ำ เนื้อ 50 ไก่ 35 (170บาท)

- เซเว่นซื้อน้ำ 13 บาท

- check in เฮือนน่านนิทรา เช่าจักรยาน 25บาท all day all night

- เฮือนฮอมรวม 375 บาท

- ขนมหวานป้านิ่ม 245 บาท

- หอยทอด 40 ผัดไท 50

- อาหารตามสั่ง 140 ไก่ย่าง 40 น้ำ 20

รวมวันที่สอง = 1713 บาท



วันที่สาม

- เสียค่ารถแดงพี่เดือนเที่ยวละ 100บาท



รวมทั้งทริป

ค่าที่พัก+รถ ที่จองไว้ก่อน= 6282

ค่ากิน+เที่ยว2วัน = 2883

รวมมมมม 9165 บาท

ตกคนละ(2291.25บาท) ประมาณ 2500 ทริปน่าน 3 วัน 2 คืน




การเดินทางอาจทำให้เราเหนื่อยในบางครั้ง เเต่คุ้มทุกครั้งที่ย้อนมองกลับไปเเล้วเห็นสิ่งที่เรียกว่า "ประสบการณ์ที่เราใช้ร่วมกัน" จะตราตรึงติดอยู่ในใจของเราเสมอ เเล้วเจอกัใหม่ในการเดินทางครั้งหน้า เพื่อนๆ นักเดินทางทั้งหลาย


เที่ยวเอง . . เขียนเอง

 วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 23.16 น.

ความคิดเห็น