สัจธรรมของชีวิตและโลก คือเมื่อเวลาผ่านไปทุกๆ สิ่งก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะร้านอาหารที่มีอายุยาวนานหลายสิบปี และผ่านการดำเนินการมาหลายรุ่น


สำหรับข้าวเหนียวมะม่วงแม่นงนุช หัวหิน ผมได้รู้จักชื่อนี้และรสชาติของเค้าครั้งแรกเมื่อราวๆ 20 กว่าปีก่อน ในตอนที่ผมได้มีโอกาสไปเยี่ยมญาติที่ชะอำ และเค้าพาผมไปเที่ยวที่หัวหิน แต่จะว่าไปถ้าพูดกันตามตรงในตอนนั้นผมน่าจะรู้จักร้านนี้ในชื่อของข้าวเหนียวมะม่วงร้านมีชัยซะมากกว่า เพราะที่ผมจำได้อย่างชัดเจนก็คือกันสาดหน้าร้านที่เขียนว่ามีชัยอย่างเด่นชัด



วันเวลาผ่านไป พอผมเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ผมก็ได้โอกาสขับรถไปเที่ยวหัวหินเองหลายครั้ง และแทบจะทุกครั้งผมมักจะหาโอกาสแวะไปซื้อข้าวเหนียวมะม่วงร้านนี้ พร้อมๆ กับไปแวะซื้อขนมปังที่ร้านขนมปังฝรั่งเศส The Baguette เพราะตำแหน่งของร้านทั้งสองนี้จะอยู่ไม่ห่างกันมากนัก แต่สุดท้ายแล้วผมมักจะได้แต่ขนมปังกลับบ้าน ส่วนข้าวเหนียวมะม่วงมักจะแห้ว เพราะไปแล้วก็ไม่มีที่จอดรถแถวหน้าร้านหรือไม่ก็วันนั้นไปแล้วไม่มีมะม่วงที่สุกพอดี T___T



แต่ในที่สุด ความพยายามครั้งหลังสุดของผมเมื่อกลางเดือนกุมภาที่ผ่านมาก็สำเร็จจนได้! เพราะผมสามารถหาที่จอดรถได้ แต่แว้บแรกที่ผมเห็นหน้าร้านเค้าในครั้งนี้ผมถึงกับตกใจ เพราะหน้าร้านเค้าเปลี่ยนไปจากเดิมมาก เปลี่ยนไปซะจนผมต้องเงยหน้าดูชื่อร้านแล้วดูชื่อร้านอีก จากเดิมที่เค้าเป็นร้านเล็กๆ แค่ห้องเดียว ตอนนี้กลายมาเป็น 3 ห้อง และหน้าตาของร้านก็ดูสดใส สวยงามต่างจากเดิมมากกกกก



นี่คือหน้าตาใหม่ของร้านครับ



ร้านข้าวเหนียวมะม่วงแม่นงนุชในวันนี้นั้นได้กลายเป็นร้านขนาด 3 ห้องไปเรียบร้อยแล้ว โดย 2 ห้องที่ขยายออกมาเพิ่มนั้นจะเป็นจุดวางและจำหน่ายสินค้า รวมทั้งยังมีโต๊ะเล็กๆ ให้นั่งกินที่ร้านอีกเล็กน้อย โดยผมลองประมาณคร่าวๆ แล้วน่าจะสามารถนั่งได้ราวๆ 15 คน ซึ่งผมว่ามันดีนะครับ เพราะข้าวเหนียวมะม่วงถ้าได้กินตอนใหม่ๆ นี่จะอร่อยกว่าการที่มันวางทิ้งไว้เยอะมาก โดยเฉพาะร้านนี้ที่กว่าผมจะได้กินแต่ละทีก็คือตอนที่ผมขับกลับถึง กทม. แล้ว ซึ่งมันจะใช้เวลาเกือบ 3 ชั่วโมงได้ การที่มีโต๊ะให้นั่งกินที่ร้านแบบนี้มันก็เลยทำให้เราได้กินของอร่อยๆ ในทันทีเลย และถ้าเราอยากกินเพิ่มอีกก็ค่อยซื้อกลับไปกินต่อที่บ้าน



สำหรับการตกแต่งร้านโดยทั่วๆ ไปผมชอบนะครับ ดูเรียบง่ายแต่สวยดี โดยที่หน้าร้านจะมี Standee ของคุณแม่นงนุชที่เป็นผู้ให้กำเนิดร้านนี้ในปี พ.ศ. 2484 หรือเมื่อ 76 ปีที่แล้ว ซึ่งมันเป็นอะไรที่นานมากกกกกกกก และนอกจาก Standee แล้วก็จะมีโต๊ะเล็กๆ อยู่ตัวนึงซึ่งวันที่ผมไปนั้นมีแมวตัวนึงจับจองโต๊ะตัวนี้อยู่ครับ ><



หมายเหตุ : ปัจจุบันนี้คุณแม่นงนุชได้เสียชีวิตลงแล้วนะครับ โดยท่านเสียชีวิตเมื่อเดือนกันยายนปีที่ผ่านมา คิดแล้วก็เศร้าใจเหมือนกันเพราะก่อนหน้านี้เวลาที่ผมไปซื้อของที่ร้านนี้ทีไรผม จะเห็นท่านนั่งขายของอยู่ที่หน้าร้านตลอดเลย และสีหน้าท่านเวลาขายของดูมีความสุขมากๆ ครับ



ภายในร้านข้าวเหนียวมะม่วงแม่นงนุชโฉมใหม่ก็มีโต๊ะอีกนิดหน่อย แล้วก็รูปวาดรูปนี้บนผนัง ซึ่งผมว่ามันสวยและชิคมาก



สำหรับห้องเดิมของร้านที่เคยเป็นทั้งหน้าร้านและทุกสิ่งทุกอย่าง ตอนนี้ก็กลายเป็นห้องที่ใช้ทำขนมเป็นหลักไปแล้ว โดยมีการทำทองม้วนกรอบอยู่ที่หน้าร้าน ซึ่งบอกเลยว่าหอมมากและถ้าใครยืนดมนานๆ รับรองว่าต้องเสียเงินซื้อกลับไปกินที่บ้านแน่ๆ เพราะมันหอมน่ากินจริงๆ



เอาล่ะ ทีนี้เราไปดูดีกว่าว่าพอร้านมีการขยับขยายเพิ่มเติมแล้วจะมีอะไรขายเยอะขึ้นบ้าง ซึ่งเอาจริงๆ ผมก็จำไม่ค่อยได้นะว่าแต่เดิมร้านเค้าขายอะไรบ้าง ที่คุ้นๆ ก็จะมีข้าวเหนียวมะม่วง, ข้าวเหนียวสังขยา แล้วก็ขนมไทยอีกนิดหน่อยเท่านั้น พอวันนี้ผมจะนั่งกินข้าวเหนียวมะม่วงที่ร้านเค้าอยู่แล้ว ก็เลยได้มีเวลาสำรวจร้านนานพอดูเลย



รายการอาหารสองสามอันแรกที่ผมเห็นชัดๆ สะดุดตาก็คือ ขนมเทียนเสวย แล้วก็ข้าวต้มมัดครับ ซึ่งขนมเทียนเสวยนี่ทางร้านถึงกับเขียนว่าเป็นสินค้าขายดีมาก พอผมเห็นเขียนอย่างนี้แล้วก็เลยแอบเล็งในใจเลยว่ารายการนี้ต้องจัดแน่ๆ



ถัดมาเป็นห่อหมกปลาอินทรีย์ที่เขียนไว้ว่ามีเฉพาะวันอาทิตย์, ผลิตภัณฑ์มะม่วงแปรรูปต่างๆ, ขนมไทย เช่น บ้าบิ่นมะพร้าวอ่อน, ทองหยอด, ขนมกล้วย แล้วก็วุ้นต่างๆ ซึ่งวุ้นนี่มีหลายหน้ามากทั้งลำไย ลูกตาลอ่อน แล้วก็หน้าอื่นๆ อีก 2-3 อันโดยแต่ละหน้าทางร้านเค้าใส่เนื้อมาในวุ้นแบบเยอะแยะจัดเต็มมาก



นอกจากนั้นก็จะมีพวกข้าวเกรียบปากหม้อ, ทองม้วนกรอบ, ข้าวเกรียบ, หนังปลากรอบ แล้วก็ขนมตามร้านของฝากทั่วๆ ไปครับ



พอสำรวจครบแล้ว ทีนี้ก็ได้เวลาชอปปิ้งกัน โดยรายการที่ผมจัดก็ตามนี้เลยครับ


• ขนมเทียนเสวย 1 ชุด : 100 บาท

• มะม่วงมหาชนก 1 กล่อง : 190 บาท

• วุ้น 3 ถาด : 100 บาท (ถ้าซื้อแค่ถาดเดียว จะถาดละ 40 บาท)

• ข้าวเหนียวมะม่วง 1 จาน 120 บาท



รวมทั้งหมด 510 บาท โดยตอนแรกผมกะว่าจะซื้อข้าวเกรียบปากหม้อด้วยอีก 1 รายการ แต่พอถึงคิวผมจ่ายเงินมันดันหมดซะงั้น เสียดายมาก เพราะเป็นรายการที่ทางร้านบอกว่าอร่อย แนะนำให้ลอง วันนึงทำไม่เยอะด้วย T_____T



ทีนี้ไปดูรสชาติแต่ละรายการกันดีกว่า เริ่มจากข้าวเหนียวมะม่วงที่ผมสั่งมากินที่ร้านกันก่อนเลย ต้องบอกว่าเมนูนี้อร่อยสมกับชื่อเสียงที่มีมายาวนานจริงๆ ตัวข้าวเหนียวมูนหอมและไม่ติดกันเป็นก้อน กินง่าย มะม่วงเองก็หวานกำลังพอดี และเมื่อนำไปรวมกับน้ำกะทิเข้มข้นที่ราดลงมา มันจึงเข้ากันและลงตัวมาก เอาเป็นว่าทานได้เรื่อยๆ ไม่มีเลี่ยนเลย และรายการนี้เป็นรายการที่ผมบอกเลยว่าถ้ามาร้านนี้แล้วต้องจัดจริงๆ ห้ามพลาด!



สำหรับมะม่วงวันที่ผมไปกินนั้นจะเป็นมะม่วงน้ำดอกไม้นะครับ แต่ถ้าเป็นในฤดูกาลที่มีมะม่วงอกร่อง ทางร้านก็ใช้มะม่วงอกร่องเป็นหลัก และก็ด้วยความที่ผมสงสัยอยากจะรู้มากๆ ว่าอะไรคือเทคนิคที่ทำให้เมนูนี้กลายเป็นเมนูเด่นของร้านได้ยาวนานขนาดนี้ ผมก็เลยลองไปค้นข้อมูลเพิ่มเติมและก็พบสิ่งที่น่าสนใจมากๆ ของร้านนี้คือ คุณแม่นงนุชท่านเป็นคนที่ละเอียดและสนใจศาสตร์ในการทำอาหารมากๆ โดยเมื่อค้นพบสูตรอาหารที่คิดว่าลงตัวดีแล้ว ท่านก็จะยึดการใช้วัตถุดิบนั้นจากแหล่งเดิมตลอดไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย อย่างเช่นข้าวเหนียวที่นำมามูนนั้นก็ใช้เป็นข้าวเหนียวเขี้ยวงูที่สั่งมาจากเชียงราย และเวลามูนข้าวเหนียวก็จะทำการผสมทั้งข้าวเก่าและข้าวใหม่เพื่อให้ได้เนื้อสัมผัสที่นุ่มนวลแต่หนึบหนับ ส่วนมะพร้าวที่นำมาคั้นเป็นกะทินั้นก็ต้องเป็นมะพร้าวทับสะแกเท่านั้น โดยจะทำการคั้นแบบไม่ใส่น้ำเพราะไม่ต้องการให้มีน้ำเปล่าเจือปนลงไป



คือพอผมนั่งหาข้อมูลไปเรื่อยๆ ผมถึงกับทึ่งในความใส่ใจต่างๆ ของทางร้านและคุณแม่นงนุชเป็นอย่างมาก และก็ไม่แปลกใจเลยที่ข้าวเหนียวมะม่วงฝีมือคุณแม่จะถูกนำเป็นเครื่องเสวยให้กับรัชกาลที่ 9 ครับ



ถัดมาดูที่ขนมเทียนกันดีกว่า รายการนี้ผมแกะชิมที่ร้านเลย 2 ชิ้น โดยในชุดราคา 100 บาทนั้น จะได้ขนมเทียนทั้งหมด 12 ชิ้น เป็นขนมเทียนไส้เค็ม ขนาดของชิ้นไม่ใหญ่มาก รสชาติอร่อยถูกปากเลยครับ เนื้อเนียนดี และก็มีรสเผ็ดเล็กๆ ที่ปลายลิ้น รายการนี้เป็นอีก 1 รายการนี่แนะนำเช่นกันว่าถ้ามาแล้วควรซื้อกลับครับ



อ้อ ในถุงขนมเทียน ทางร้านเค้าจะมีวิธีการเก็บรักษามาบอกไว้ด้วยนะครับ โดยหากวางไว้นอกตู้เย็นจะเก็บได้ 3 วัน ส่วนถ้าเอาไว้ในตู้เย็นช่องธรรมดาจะได้ 1 เดือน และหากไว้ในช่องฟรีซจะได้ถึง 3 เดือนเลย



ต่อกันที่รายการอื่นๆ ที่ผมมากินที่บ้านได้แก่วุ้น 3 ชนิด แล้วก็มะม่วงมหาชนก



ตัววุ้นผมว่าอร่อยดีครับ ไม่หวานมาก เนื้อเยอะมากๆ ด้วยตักไปตรงไหนก็เจอเนื้อทั้งนั้น โดยส่วนตัวผมคิดว่าเด็กๆ น่าจะชอบเมนูนี้กัน ส่วนมะม่วงมหาชนกผมว่ามันหวานไปนิดนึง คือกินติดๆ กันหลายชิ้นไม่ไหว แต่ก็ถือว่าดีเหมือนกันเพราะกินได้วันละนิดวันหน่อย นานหมดดี ฮา



อ้อ ตอนผมนั่งทานข้าวเหนียวมะม่วงอยู่ที่ร้าน ผมได้มีโอกาสชิมทองม้วนกรอบด้วยนะครับ ทางร้านเค้าเอามาให้ลอง กลิ่นหอมและรสชาติอร่อยดี แต่โดยส่วนตัวผมกับภรรยาไม่ค่อยชอบกินของอะไรกรอบๆ แบบนี้ซักเท่าไหร่ เราชอบกินทองม้วนสดมากกว่าก็เลยไม่ได้จัดมา แต่เอาเป็นว่าใครชอบเมนูแบบนี้ และได้ไปที่ร้านแล้วได้กลิ่นหอมๆ ของมัน ลองขอที่ร้านชิมดูนะครับ ถ้าถูกใจก็จัดมา ถุงเล็กจะราคา 60 บาท ส่วนถุงใหญ่จะราคา 120 บาท



เอาล่ะครับ ทีนี้เรามาดูข้อสรุปของร้านนี้กันดีกว่าว่าในความเห็นผมคิดว่าอย่างไรบ้างครับ



รสชาติอาหาร : ดีเลยครับ เท่าที่ได้ชิมมา 4-5 อย่างสอบผ่านถูกใจทุกอย่าง ที่ถูกใจมากๆ ก็คือข้าวเหนียวมะม่วงและขนมเทียนเสวย และคิดว่าถ้าครั้งหน้าผมได้มีโอกาสไปที่ร้านอีกก็คงจะหาโอกาสชิมข้าวเกรียบปากหม้อที่ผมพลาดไป เพราะทางร้านเค้าแนะนำว่าเป็นอีกหนึ่งในเมนูที่อร่อยมากของร้านเค้า


ความหลากหลายของอาหาร : ถือว่าเยอะเลยครับ น่าจะเยอะกว่าสมัยที่มีร้านแค่ห้องเดียวพอควรเลย นอกจากข้าวเหนียวมะม่วงแล้วก็มีขนมให้ซื้อหาหลายอย่างทั้งแบบสดที่ต้องรีบกินเลยจนไปถึงแบบแห้งที่เก็บได้นานๆ เรียกว่ามาร้านเดียวก็ได้ของกลับไปครบๆ จะขาดก็แต่พวกขนมหม้อแกงแล้วก็ขนมไทยอะไรนิดหน่อย ซึ่งพวกนั้นเดี๋ยวค่อยไปจัดที่ตัวเมืองเพชรบุรีแทนครับ



ความสะอาดของร้าน : ดูดี สวยงาม สะอาดและโปร่งโล่งตากว่าสมัยก่อนเยอะเลย



การบริการของพนักงาน : ไม่ค่อยได้ใช้บริการในส่วนนี้เท่าไหร่ เพราะได้เจอพนักงานแค่ตอนคิดเงินกับตอนที่เค้าเอาข้าวเหนียวมะม่วงมาเสิร์ฟที่โต๊ะเท่านั้น แต่จาก 2 ช่วงนี้ก็รู้สึกว่าพนักงานอัธยาศัยดี ขยันพูดจา และแนะนำสินค้าได้ดีครับ



ความสะดวกของการเดินทาง : ตำแหน่งที่ตั้งของร้านนี่เป็นอะไรที่หาง่ายนะครับ เพราะอยู่ตรงข้ามกับตลาดโต้รุ่งหัวหิน แต่มันเป็นอะไรที่จอดรถยากมาก ต้องอาศัยดวง ไม่ก็ต้องจอดแปะๆ ลงไปซื้อด้วยความรวดเร็ว หรือไม่ก็ต้องไปจอดรถที่วัดหัวหินและเดินย้อนกลับมา ซึ่งบางทีที่จอดรถในวัดนี้มันก็เต็มครับ - -“


ความคุ้มค่า : เมื่อเทียบรสชาติกับราคาแล้ว ผมว่ามันดีและคุ้มค่ามากเลยนะครับ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่จะมีคนเข้ามาซื้อของที่ร้านนี้แทบจะตลอดเวลาเลย



สรุป : หากคุณได้มีโอกาสผ่านไปหัวหิน และอยากจะกินข้าวเหนียวมะม่วงหรือพวกขนมไทยอร่อยๆ แนะนำเลยว่าลองแวะมาที่ร้านนี้ได้เลย เพราะคุณจะได้ของกินอร่อยๆ กับไปเพียบ และยิ่งตอนนี้ร้านมีการปรับปรุงขยับขยายร้านแล้วด้วยทำให้ดูโปร่งโล่งตาก็เดิม แถมเรายังสามารถนั่งกินที่ร้านได้อีกด้วย ซึ่งจะทำให้รสชาติของข้าวเหนียวมะม่วงอร่อยกว่าเดิมขึ้นอีกเยอะเลย ส่วนข้อด้อยอย่างเดียวของร้านนี้ที่ผมพบก็คงเป็นเรื่องที่จอดรถนี่แหละครับ แต่เชื่อเถอะว่ามันคุ้มค่ากับการหาที่จอดรถเพื่อมาซื้อของที่ร้านนี้ครับ ^^



ก็จบลงแล้วสำหรับรีวิวนี้ หากผมรีวิวขาดตกบกพร่องประการใดต้องขออภัยด้วยและการรีวิวนี้เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของผมจากวันที่ไปใช้บริการเท่านั้น แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสไปใช้บริการอาจจะได้รับการบริการหรือรสชาติที่แตกต่างจากนี้ออกไปครับ สำหรับใครที่ชอบการรีวิวของผม ก็สามารถไปติดตามหรือแนะนำข้อมูลต่างๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่เลยครับ https://www.facebook.com/amazingcouples



แล้วพบกันใหม่รีวิวหน้า สวัสดีครับ



ภรรยาหา สามีใช้

 วันอังคารที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 20.14 น.

ความคิดเห็น