ทริปนี้ถือเป็นทริปเฉพาะกิจสำหรับผมจริงๆ ครับ เหตุเพียงแค่ว่าผมส่งรีวิวเกี่ยวกับที่พักไปร่วมสนุกกับเวป atsiam เพื่อชิงรางวัลเป็น Voucher ที่พักที่หัวหิน และ พัทยา ใจผมอยากได้ที่หัวหินมากๆ แต่พอประกาศผล ปรากฎว่าผมได้รับ Voucher ที่พักที่ THE NOW HOTEL พัทยา 2 วัน 1 คืน ขอบอกเลยว่าแอบผิดหวังนิดหน่อยที่พลาดรางวัลที่พักที่หัวหินไป แต่เมื่อผมมา Search ข้อมูลของ THE NOW HOTEL ผมกลับรู้สึกตื่นเต้นและดีใจที่จะได้เข้าพักที่นี่ เพราะผมเคยเห็น THE NOW HOTEL ผ่านทางรายการ The Guess House ที่ออกอากาศทางช่อง 3 ซึ่งตอนที่ผมดูรายการตอนนั้น รู้สึกประทับใจกับแนวการตกแต่งห้องพักของที่นี่มากๆ ครับ

THE NOW HOTEL ตั้งอยู่ริมหาดจอมเทียน จากหน้าโรงแรมเพียงข้ามถนนก็สามารถสัมผัสกับชายหาดและน้ำทะเลได้แล้วครับ ตัวอาคารมีลักษณะเป็นปูนเปลือย เห็นแค่ภายนอกก็บ่งบอกถึงความชิคของที่นี่แล้วครับ

ด้านหน้าของโรงแรมมี 7-11 ด้วย เรียกได้ว่ามาค้างที่นี่ไม่อดตายแน่นอน สำหรับด้านข้างเป็นที่จอดรถครับ

จอดรถเรียบร้อยแล้ว ก็ตามผมเข้ามาในโรงแรมเลยครับ

เมื่อเดินเข้ามาด้านใน จะเจอมุมนี้ครับ มุมที่เตะตาผมมากๆ ผมคิดว่าแขกที่เข้ามาพักที่นี่ กว่า 60%คงจะอดใจไม่ได้ที่จะมาแอคท่าถ่ายภาพกับมุมนี้อย่างแน่นอนโซฟาหลากสี ตั้งอยู่บนหญ้าเทียมสีเขียวสด มีตัวอักษร THE NOW ขนาดใหญ่แปะอยู่บนผนังปูนเปลือย ด้านข้างของโซฟา มีเบาะที่นั่งที่ออกแบบอย่างเก๋ไก๋เป็นรูปเจดีย์คล้ายเจดีย์ที่บุโรพุทธโธ ประเทศอินโดนีเซียครับ

Lobby แบบเรียบง่าย ด้านข้างมีเก้าอี้หวายทรงกลมไว้ให้แขกได้นั่งเล่นระหว่างรอ check in-out ครับ

นอกจากเก้าอี้หวายทรงเก๋ๆ แล้ว ยังมีตุ๊กตาขนาดใหญ่ไว้เอาใจเด็กเล็ก เด็กโต รวมถึงผู้ใหญ่ให้แอบมากอด มาถ่ายรูปด้วยครับ

ดูเหมือน THE NOW จะปรับปรุงจากอาคารเก่า และมีการสร้างอาคารใหม่ขึ้นอีก 1 อาคารด้านหน้า แล้วทำการเชื่อมต่อตัวอาคารทั้งสองด้วยทางเชื่อม แต่ถึงจะเป็นการปรับปรุงอาคารเก่า ก็ทำได้ดีเลยทีเดียวเพราะดูแล้วมีความกลมกลืนกันระหว่างอาคารเก่าและอาคารใหม่ครับ

ช่วงที่เป็นรอยต่อของอาคารเก่าและอาคารใหม่ จะมีการนำเก้าอี้หวาย ชุดโซฟา มาให้แขกได้นั่งเล่นด้วย

THE NOW HOTEL มีห้องพักให้เลือก 5 สไตล์ครับ รูปแบบของห้องพักจะแบ่งเป็น XS, S, M, L,XL โดยในแต่ละห้องจะมีการออกแบบที่แตกต่างกันออกไป เรียกได้ว่ามีเสน่ห์ในแต่ละแบบก็คงไม่ผิด นอกจากนี้ทุกห้องยังมีเครื่องอำนวยความสะดวกที่หลากหลายเช่น Free Wi-Fi ,DVD player , เคเบิ้ลทีวี, โทรทัศน์แบบ LCD, ตู้นิรภัย, ไดร์เป่าผม, ตู้เย็น, ชุดคลุมอาบน้ำและรองเท้าสำหรับใช้ภายในครับ

มาดูห้องแบบแรกกันก่อนดีกว่าครับ กับห้อง XS : X-Senceบนพื้นที่ 29 ตารางเมตร

เมื่อเปิดประตูห้องเข้าไป ด้านขวามือจะเป็นตู้เสื้อผ้า ส่วนด้านซ้ายเป็นห้องน้ำ โดยผนังห้องน้ำจะเป็นกระจกขุ่น ทำให้คนข้างนอกไม่สามารถมองเห็นด้านในได้ ถัดจากประตูห้องน้ำเป็นโต๊ะที่สามารถใช้นั่งทำงานและสามารถใช้เป็นโต๊ะเครื่องแป้งสำหรับสาวๆ ได้ครับ

ภายในห้องน้ำจะแยกส่วนเปียกส่วนแห้งออกจากกันอย่างชัดเจน สังเกตได้จากบริเวณโถชักโครกจะกั้นเป็นห้องเล็กๆ อีก 1 ห้อง นอกจากนี้ยังมีอ่างอาบน้ำพร้อมฝักบัวอยู่ในบริเวณเดียวกันเวลาอาบน้ำก็ยืนอาบฝักบัวในอ่างอาบน้ำเอาครับ แต่ถ้าจะนอนแช่ในอ่างก็ไม่ผิดกติกา ด้านข้างของอ่างอาบน้ำจะเป็นกระจกใส คนข้างนอกสามารถมองเห็นได้ แต่ถ้าต้องการความเป็นส่วนตัวก็รูดม่านลง

ในส่วนของพื้นที่เตียงนอน จะเป็นเตียงคู่แบบ Zen ในสไตล์ญี่ปุ่นที่เน้นธรรมชาติเป็นจุดศูนย์กลาง ผสมผสานกับความเรียบง่ายของสีปูนถึงจะเป็นห้องขนาด XS แต่ก็ไม่แคบและดูอึดอัดเลยครับ

ต่อไปเป็นห้องแบบ S : S-ceneric เตียงเดี่ยว บนพื้นที่ 29 ตารางเมตร ครับ

เมื่อเปิดประตูห้องเข้าไป จะคล้ายกับห้องแบบ XS คือด้านขวามือจะเป็นตู้เสื้อผ้า ส่วนด้านซ้ายเป็นห้องน้ำ แต่ผนังห้องน้ำของห้องแบบ S เป็นปูนเปลือย ประตูเป็นแบบพับเลื่อน และมีโต๊ะเครื่องแป้งอยู่ถัดจากประตูห้องน้ำครับ

ภายในห้องน้ำจะคล้ายกับห้องแบบ XS เลยครับ

มาดูในส่วนของพื้นที่เตียงนอนกันบ้าง ห้องแบบ S จะตกแต่งแบบ minimalist ด้วยการผสมผสานความลงตัวของงานปูนเปลือย และไม้ มีชุดเก้าอี้หวายไว้ให้แขกได้นั่งเล่นในห้องด้วยครับ

พื้นที่ในส่วนของห้องนอนแบบ S แตกต่างกับห้องแบบ XS ตรงตำแหน่งการวางเตียงนอน ห้องแบบ XS จะหันหัวเตียงติดผนังห้อง แต่ห้องแบบ S จะหันหัวเตียงติดห้องน้ำครับ

ห้องต่อไปเป็นแบบ M : M-ood เตียงเดี่ยว บนพื้นที่ 34 ตารางเมตรครับ

จากแรงบัลดาลใจของความต้องการของคู่รัก จึงได้นำการตกแต่งแบบปูนเปลือยมาประยุกต์เข้าสู่แนวคิดของการเปลือยตัวตนในทุกๆ ด้าน ออกแบบและตกแต่งห้องให้สะท้อนถึงการเปิดใจ ตรงไปตรงมา ภายใต้การจัดวาง Concept “Sea-thru-u" ครับ

เมื่อเปิดประตูเข้าไป จะเห็นอ่างอาบน้ำอยู่กลางห้องเลยครับ มีเพียงม่านบางๆ กั้นระหว่างอ่างอาบน้ำและเตียงนอน

เตียงเดี่ยวเป็นแบบ Queen size ด้านข้างของเตียงมีชุดเก้าอี้หวายให้ 2 ตัว มีโทรทัศน์แบบ LCD อยู่ที่ปลายเตียงครับ

สำหรับพื้นที่ด้านหลังเตียงนอน จะเป็นพื้นที่ของห้องน้ำ ซึ่งแยกส่วนเปียกส่วนแห้งกันชัดเจน ด้านซ้ายมือของประตูจะเป็นห้องอาบน้ำแบบ Rain Shower ติดกันจะเป็นตู้เสื้อผ้า ส่วนด้านขวาของประตูจะเป็นโถสุขภัณฑ์ ติดกันจะเป็นอ่างล้างหน้า และโต๊ะเครื่องแป้งครับ

ภายในตู้เสื้อผ้า มีตู้เซฟ ชุดคลุมอาบน้ำและรองเท้าสำหรับใช้ภายในให้ครบครัน

มินิบาร์เยอะพอสมควรครับ

อุปกรณ์อาบน้ำ

ผ้าเช็ดตัวมีให้หลายผืนเลยทีเดียวครับ สำหรับใช้อาบน้ำในห้องอาบน้ำแบบ Rain Shower และไว้ใช้สำหรับแช่น้ำในอ่างอาบน้ำครับ

เมื่อเปิดประตูที่ปลายเตียง จะพบกับระเบียง ที่มองเห็นวิวทะเลได้ด้วยครับ

ต่อด้วยห้องแบบ L : L-iving rich nature ที่เป็นเตียงเดี่ยวบนพื้นที่ 38 ตารางเมตรกันครับ

ห้องนี้ตกแต่งภายใต้ concept living rich nature โดยพยายามผสมสานความลงตัวของธรรมชาติ และ lifestyle เข้าไว้ด้วยกัน

กว้างขวางเลยทีเดียวครับ ในโซนพื้นที่เตียงนอน มีโต๊ะเขียนหนังสือให้ด้วย เตียงนอนเป็นแบบเตียงเดี่ยวแบบQueen size

ด้านข้างของเตียงมีอ่างอาบน้ำแบบ Sea View ด้วยครับ กั้นความเป็นส่วนตัวด้วยผ้าม่านบางๆ ดูวาบหวิวเชียวครับ

ภาพวาดตกแต่งเพื่อไม่ให้ผนังห้องดูโล่งจนเกินไป

มาดูโซนห้องน้ำกันบ้าง มีอ่างล้างหน้าอยู่กลางห้อง ตั้งอยู่ด้านหลังของหัวเตียง ฝั่งตรงข้ามของอ่างล้างหน้า ด้านซ้ายจะเป็นห้องอาบน้ำแบบ Rain Shower ส่วนด้านขวาจะเป็นโถสุขภัณฑ์ กั้นระหว่าง 2 ห้องด้วยตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ครับ

และห้องแบบสุดท้าย แบบ XL : X-cenic of Love บนพื้นที่ 35 ตารางเมตรครับ

Concept ของห้องแบบ XL นี้ จะเป็นการผสมผสานแนวคิดของห้องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการอยู่กับธรรมชาติตามแนวคิดแบบ zen, การจัดวางรูปแบบของห้องแบบโดยคำนึงถึงประโยชน์ใช้สอยของ minimalist เป็นสำคัญ, การเปลือยตัวตน ของ sea-thru-u รวมไปถึง reflection of rich nature ห้องแบบ XL เป็นห้องที่มีตำแหน่งห้องดีที่สุดของโรงแรมเลยก็ว่าได้ เพราะสามารถเห็นบรรยากาศโดยรอบของทะเลริมหาดจอมเทียน ได้ถึง 180 องศาจากภายในห้อง ห้อง XL นี้จะแยกพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วนอย่างชัดเจนครับ คือมีในส่วนของห้องนอน และห้องน้ำ

ห้องนี้จะ Sea View เต็มๆ เลย ไม่ต้องไปยืนดูวิวทะเลที่ระเบียงห้องเหมือนห้องพักประเภทอื่นๆ เพียงรูดม่านข้างเตียงนอนก็สามารถมองเห็นวิวทะเลได้แล้ว เตียงเป็นแบบ Queen Size ครับ

บริเวณกลางห้อง จะเป็นส่วนของห้องอาบน้ำแบบ Rain Shower และโถสุขภัณฑ์ แยกออกเป็น 2 ห้อง ผนังด้านหลังจะเป็นปูนเปลือย และผนังด้านที่เหลือจะเป็นกระจกขุ่นครับ ด้านข้างของห้องอาบน้ำจะเป็นอ่างอาบน้ำที่สามารถมองเห็นวิวทะเลได้ด้วย และที่ผนังห้องอีกด้านของห้องน้ำ จะเป็นบริเวณอ่างล้างหน้า ตู้เสื้อผ้า และโต๊ะเครื่องแป้งครับ

โดยรวมแล้ว การจัดวางรูปแบบของห้องทุกห้องจะเน้นพื้นผนังปูนเปลือยขัดมันตัดกับเฟอร์นิเจอร์ไม้สีอ่อนและยังมีการดีไซน์ห้องพักบางรูปแบบให้เป็นเตียงนอนแบบญี่ปุ่นโดยเพิ่มเสน่ห์ด้วยห้องน้ำซีทรูและอ่างอาบน้ำซึ่งสามารถมองเห็นวิวท้องทะเลและท้องฟ้ากว้างให้อารมณ์ที่สะอาดผ่อนคลายใกล้ชิดธรรมชาติ ในบรรยากาศทะเลครับ

มาดูในส่วนอื่นกันบ้างครับ

ZyBar อยู่ทางด้านหน้าของโรงแรมเลยครับ บริการ Cocktails ในบรรยากาศสบายๆ เคล้าคลอไปด้วยเสียงดนตรี ขอบอกว่าช่วงเย็นๆ ระหว่างพระอาทิตย์ตก บรรยากาศดีเชียวครับ

บรรยากาศยามเย็นครับ

มาดูในส่วนของอาหารเช้าที่ห้องอาหาร NoWhere Cafe กันบ้างครับ

การตกแต่งยังคงเน้นผนังปูนเปลือยขัดมันกับเฟอร์นิเจอร์ไม้สีอ่อนอีกเช่นกัน ผนังด้านข้างอีกข้างจะเป็นกระจกบานใหญ่ สามารถชมทิวทัศน์ด้านนอกได้ด้วย และยังช่วยทำให้ NoWhere Café ดูไม่คับแคบจนเกินไปครับ

ไลน์อาหารเช้าก็ไม่แตกต่างจากที่อื่น อาหารมีบริการพอสมควร ช่วงที่ผมไปเป็นเทศกาลกินเจ ทางโรงแรมก็จัดบริการอาหารเจให้กับแขกด้วย

หลังอาหารเช้า ไปเดินเล่นชมบรรยากาศริมหาดจอมเทียนหน้าโรงแรมกันสักนิดครับ

โดยรวมแล้ว THE NOW HOTEL สำหรับผมถือว่าโอเคครับ แนวการตกแต่งห้องแต่ละห้องสุดชิคมากๆทำเลที่ตั้งก็สะดวก มี 7-11 อยู่ใกล้ๆ แถมติดชายหาดอีก ผมขอติอยู่เรื่องเดียวคือขนาดของเตียงเดี่ยว กับขนาดเตียง Queen Size ที่ต้องนอนด้วยกัน 2 คน ผมว่ามันอึดอัดไปสักนิดครับ

หลังอาหารเช้า ผมมุ่งหน้าสู่สัตหีบ วันนี้ผมวางโปรแกรมจะไปชมความสวยงาม น้ำทะเลใสๆ ของทะเลอ่าวไทย ที่เกาะแสมสารครับ

การเดินทางมายังเกาะแสมสาร จะต้องมาติดต่อที่หน่วยสงครามพิเศษทางเรือ กองเรือยุทธการ ซึ่งเป็นท่าเรือเขาหมาจอที่จะไปยังเกาะแสมสารครับ การเดินทางมาที่ท่าเรือนี้ ให้ใช้เส้นทางเดียวกับพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาเกาะและทะเลไทย เมื่อมาถึง ให้มาติดต่อซื้อบัตรโดยสารที่อาคารนี้กันก่อนนะครับ ค่าโดยสารคนละ 250 บาท 250 บาทนี้รวม ค่าเรือไป-กลับเกาะแสมสาร, รถบริการบนเกาะ, หน้ากากสน๊อกเกิ้ล, เสื้อชูชีพ, ห้องน้ำ ห้องอาบน้ำ, เตียงผ้าใบ,บริการเรือท้องกระจกเพื่อชมปะการัง ด้านบนเกาะจะมีเพียงอาหารว่างและน้ำดื่มไว้คอยบริการ อาหารมื้อหลักไม่มีบริการนะครับ นักท่องเที่ยวต้องเตรียมขึ้นไปทานเอง สำหรับอาหารว่างและเครื่องดื่ม ไม่รวมใน 250 บาทนะครับ

ซื้อตั๋วเรียบร้อยแล้ว ขับรถต่อไปอีกนิดหน่อย ก็จะต้องมาหาที่จอดรถเพื่อเตรียมขึ้นเรือครับ

ช่วงที่ผมไป ทางกองทัพเรือมีการปรับตารางการเดินเรือ ซึ่งไม่ตรงกับที่ผมเคยหาข้อมูลผ่านเน็ตมา (ข้อมูลจากเน็ต เดิมเรือจะออกทุกชั่วโมงตั้งแต่ 09.00 – 14.00 น. และขากลับก็จะออกทุก 1 ชั่วโมงเช่นกัน เริ่มตั้งแต่เวลา 10.15-17.15 น.) แต่ปัจจุบัน จะมีเรือข้ามไปที่เกาะแสมสาร 3 รอบ/วัน คือเวลา 09.30, 11.00 และ 13.00 น. ส่วนขากลับในวันธรรมดา (จ-ศ) จะมีเรือออก 3 รอบ คือ 10.30, 12.00 และ 16.30 น. ส่วนวันหยุดรวมถึงวันหยุดนักขัตฤกษ์ จะเพิ่ม รอบ 15.00 น. ให้อีกรอบครับ

ผมคุยกับพี่ทหารเรือ เห็นว่าจะมีการปรับตารางการเดินเรืออีกในช่วงเดือน ตุลาคม เพื่อนๆ คนไหนสนใจจะไปเที่ยวเกาะแสมสาร ลองโทรสอบถามหน่วยสงครามพิเศษทางเรือ กองเรือยุทธการ ถึงเวลาการออกเรืออีกรอบนะครับ จะได้ไม่เสียเวลาในการรอเรือครับ

บริเวณท่าเรือมีแมงกะพรุนอยู่เต็มไปหมดเลยครับ

เรือลำนี้แหล่ะครับ คือพาหนะที่จะพาผมไปสู่เกาะแสมสาร ซึ่งอยู่ด้านหน้านี่เอง เรือลำนึงบรรจุนักท่องเที่ยวได้ประมาณ 120 คนครับ

ใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 นาทีก็มาถึงเกาะแสมสารแล้ว ที่ท่าเรือมีการทำกระชังไว้เลี้ยงเต่าทะเลให้นักท่องเที่ยวได้ชมด้วยครับ

เกาะแสมสารอยู่ในความดูแลของกองทัพเรือ ซึ่งเป็นเกาะที่ให้เยาวชนรวมถึงผู้ที่รักการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติได้มาศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับพันธุ์พืชตั้งแต่ยอดเขาจนถึงใต้ทะเล ในโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เดิมเปิดให้แต่นักเรียนได้เข้ามาเรียนรู้ แต่ปัจจุบันได้เปิดให้ทุกคนได้มีโอกาสเข้ามาเรียนรู้ แต่ถ้าหากต่อไปผู้ที่เข้ามาเรียนรู้ไม่ช่วยกันอนุรักษ์ รักษา ก็จะกลับมาเปิดให้เรียนรู้เฉพาะนักเรียนเช่นเดิม

เมื่อขึ้นมาแล้ว แนะนำให้มาฟังบรรยายสรุปของพี่ๆ ทหารเรือกันก่อนนะครับ จะบอกเล่าเรื่องราวของเกาะแสมสาร กิจกรรมที่สามารถทำได้บนเกาะแห่งนี้ครับ

เกาะแสมสารเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในระแวกนี้ ตั้งชื่อตามพันธุ์พืช “ต้นแสมสาร" มีชายหาดอยู่ทั้งหมด 6 หาดคือ หาดเทียน หาดหน้าบ้าน หาดลูกลม หาดกรวด หาดเตย หาดฝรั่ง (แต่เดิมมีฝรั่งมาอยู่) โดยหลักๆ แล้ว ที่นี่จะมีกิจกรรมดำน้ำ ชมปะการัง ซึ่งสามารถทำได้ 2 วิธีคือดำน้ำด้วยหน้ากากสน๊อกเกิ้ล และนั่งเรือท้องกระจก แต่ตอนนี้เรือท้องกระจกชำรุดครับ เลยต้องใช้วิธีดำน้ำตื้นอย่างเดียว นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมเดินป่าตามรอยเสด็จ และปั่นจักรยานรอบเกาะ โดยเสียค่าเช่าจักรยานคันละ 10 บาทครับ

สำหรับชายหาดที่ไม่ควรพลาดคือหาดเทียนและหาดลูกลม ซึ่งหาดเทียนก็คือจุดที่เราขึ้น-ลงเรือ และนั่งฟังบรรยายอยู่นี่แหล่ะครับ

หาดเทียน ตั้งชื่อตามต้นเทียนทะเล ปัจจุบันหาต้นเทียนทะเลไม่พบแล้ว บนหาดเทียนจะมีร้านจำหน่ายอาหารว่างและน้ำดื่ม มีศาลาสำหรับให้นั่งพักผ่อน มีเตียงผ้าใบไว้ให้นั่งพัก มีจุดที่ให้นักท่องเที่ยวได้ชมการเลี้ยงปะการังด้วยครับ สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการไปดำน้ำ จะมีเจ้าหน้าที่ทหารเรือคอยให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดำน้ำในเบื้องต้นที่ริมหาดเทียนกันก่อน รับรองความปลอดภัยได้จริงๆ ครับ เมื่อฝึกการดำน้ำเรียบร้อยแล้ว จะมีเรือพาออกไปดำน้ำด้านนอกเกาะ ห่างจากอ่าวเทียนประมาณ 2 กม. เห็นว่าบริเวณที่ไปดำน้ำนี้ค่อนข้างจะสมบูรณ์เลยทีเดียว มีทั้งหอยมือเสือ ดอกไม้ทะเล ปลาการ์ตูน รวมถึงปลาฉลามด้วยครับ

หลังจากเต็มอิ่มกับหาดเทียนแล้ว เดินทางกันต่อสู่หาดลูกลม ใครที่กำลังเยอะ สามารถปั่นจักรยานไปหาดลูกลมได้นะครับ หรือถ้าใครอยากสบายหน่อยก็สามารถนั่งรถที่ทางกองทัพเรือเตรียมไว้ให้ก็ได้ นั่งรถไม่นานก็มาถึงหาดลูกลมแล้วครับ

หาดลูกลม ตั้งชื่อตามหญ้าลูกลม ผมว่าทรายที่หาดลูกลมขาวกว่าที่หาดเทียน แถมความสงบมีเยอะกว่าด้วย ที่หาดลูกลมก็สามารถดำน้ำชมปะการังได้เช่นกัน จะมีเจ้าหน้าที่ทหารเรือคอยแนะนำในการดำน้ำ แล้วจะพานั่งเรือยางไปดำน้ำที่เกาะที่อยู่ใกล้ๆ แต่ความสมบูรณ์ของปะการังจะสู้ที่อ่าวเทียนไม่ได้ นอกจากนี้แล้ว ถ้าใครไม่กลัวดำ ก็สามารถเล่นวอลเลย์บอลชายหาด รวมถึงฟุตบอลชายหาดได้ด้วยนะครับ

ด้านข้างของหาดลูกลม จะมีหาดหินอยู่เล็กน้อยครับ

ใครที่ชอบถ่ายรูป ผมแนะนำให้ปีนขึ้นไปบนจุดชมวิวนะครับ แต่ต้องขึ้นด้วยความระมัดระวัง เพราะทางขึ้นค่อนข้างชัน ไม่มีราวบันไดให้จับ บนจุดชมวิวจะเห็นวิวมุมสูงของหาดลูกลม มองเห็นถึงความใสของน้ำทะเล ผมว่าน้ำทะเลที่นี่ใสมากๆ ไม่คิดเลยว่าทะเลฝั่งอ่าวไทยจะมีความสวยงามไม่แพ้ทะเลฝั่งอันดามันเลย

ผมว่าเงิน 250 บาทที่เสียไป คุ้มค่ากับความสุขที่ผมได้รับมาจริงๆ เพื่อนๆ คนไหนที่ชอบท่องเที่ยวทะเล ชอบความสงบ ความเป็นส่วนตัว ผมรับรองว่ามาที่นี่ไม่ผิดหวังแน่นอนครับ

สำหรับที่พักในคืนที่ 2 นี้ ผมเลือกใช้บริการของอาคารรับรองสวัสดิการสัตหีบ ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของทหารเรือ ห้องที่ผมพัก มองไม่เห็นทะเล ค่าบริการ 750 บาท สำหรับห้องที่มองเห็นทะเล 850 บาท ราคาที่ว่าไม่รวมอาหารเช้านะครับ

ด้านหน้าที่พักมองเห็นเกาะแก่งที่อยู่ในทะเล ช่วงเย็นๆ มีการเล่นเรือใบด้วยครับ

พักที่นี่ก็สะดวกครับ ใกล้แหล่งชุมชน เรื่องอาหารการกินก็สะดวกครับ ตอนเช้าๆ ก็มีตลาดสด สามารถซื้อของทะเลสดๆ กลับไปฝากที่บ้านได้อย่างสบายเลยครับ

ตอนเย็น ผมมาเก็บแสงสุดท้ายที่หาดเตยงาม เสียดายที่ฟ้าปิดเล็กน้อย แต่ก็ยังพอให้ผมได้เห็นแสงงามๆ อยู่บ้าง บริเวณหาดเตยงามจะมีร้านอาหารไว้คอยบริการด้วยครับ

วันสุดท้ายของทริปนี้ ผมเปิดทริปที่ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พักผมเลย ที่นี่ให้เยี่ยมชมฟรีทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.30 – 17.00 น.ครับ

ภายในศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล จะแบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วน คือส่วนที่เป็นอควาเรียม ให้ความรู้เกี่ยวกับวงจรชีวิตของเต่าทะเลครับ

อีกส่วนหนึ่งจะเป็นบ่ออนุบาลลูกเต่า รวมถึงโรงพยาบาลรักษาเต่าทะเล บ่ออนุบาลมีตั้งแต่บ่อ 1-4 ไล่เรียงไปตามอายุของเต่าทะเล ที่เห็นจะมีเต่าอยู่ 2 พันธุ์คือเต่าตะนุและเต่ากระครับ

และผมมาปิดทริปที่ท่าเรือจุกเสม็ด ฐานทัพเรือสัตหีบ เพื่อมาชมความอลังการของเรือรบหลวงจักรีนฤเบศรครับ

เรือรบหลวงจักรีนฤเบศร เป็นเรือรบขนาดใหญ่ที่สุดของกองทัพเรือ เป็นเรือฐานปฏิบัติการคุ้มครองประโยชน์ของชาติทางทะเล ช่วยเหลือผู้ประสบภัย และรักษาสิ่งแวดล้อมในทะเล ในยามสงครามเรือหลวงลำนี้จะทำหน้าที่เป็นเรือธง ควบคุมและบังคับบัญชากองเรือในทะเลทั้งหมด และที่เด็ดที่สุด ยังเป็นเรือบรรทุกเครื่องบินอีกด้วยครับ สำหรับคำว่า “จักรีนฤเบศร"ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีความหมายว่า ผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์จักรีครับ

ที่นี่เปิดให้เยี่ยมชมฟรีทุกวันตั้งแต่เวลา 09.00 น. – 17.00 น. ก่อนขึ้นไปชมเพียงแค่แสดงบัตรประชาชนและแจ้งจำนวนผู้เข้าชมเท่านั้น ด้านล่างจะเป็นบอร์ดประชาสัมพันธ์เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับเรือรบหลวง และมีจุดจำหน่ายของที่ระลึกด้วย ส่วนชั้นอื่นๆ ด้านในไม่อนุญาตให้เข้าชมครับ จะเข้าชมได้อีกจุดคือชั้นบนสุด ซึ่งเป็นชั้นที่เป็นลานสำหรับเครื่องบินครับ

นอกจากเรือหลวงจักรีนฤเบศรแล้ว ยังมีเรือรบอีก 3 ลำจอดอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็น เรือรบหลวงสิมิลัน, เรือรบหลวงพุทธเลิศล้านภาลัยและเรือรบหลวงพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกครับ

ก่อนเดินทางกลับ ผมแว๊บมาซื้อของฝากประเภทอาหารทะเลที่มีทั้งของสดและของแห้งที่อ่างศิลาครับ หอยเชลล์มีขายแบบยกถุง ถุงละ 100 บาท ถูกม๊ากกกเลยครับ ใครมีโปรแกรมมาเที่ยวแถวพัทยา สัตหีบ ลองแวะมาดูนะครับ

ความคิดเห็น