เมื่อพูดถึงประเทศจีน ผมก็นึกถึงหนังจีนกำลังภายในที่เพียบพร้อมไปด้วยเหล่าชาวยุทธ ที่ตามล่าหาเดชคัมภีร์ต่างๆ เพื่อชิงดีชิงเด่นกันเป็นเจ้ายุทธจักร และที่ขาดไม่ได้คือคือพระวัดเส้าหลินที่มาพร้อมกับคำว่า อามิตาพุต เวรกรรม เวรกรรม ที่ผมติดงอมแงม 555 และหนังเหล่านี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมอยากไปท่องยุทธจักร ออกตามหาเดชคัมภีร์ เพื่อเป็น 1 ในเจ้ายุทธจักรเหมือนกับเหล่าจอมยุทธ โดยจุดหมายปลายทางที่ข้าจะไปตามหาคัมภีร์ เล่มนั้น คือ Shangri-La ดินแดนอันไกลโพ้นที่แสนสงบสุข อุดมไปด้วยวัฒนธรรมที่หลากหลาย มากมายวิถีชีวิต ชีวิตที่ใครหลายๆคนอิจฉา มาออกเดินทางไปพร้อมๆ กับข้าเถอะ เหล่าจอมยุทธทั้งหลาย...



ติดตามการเดินทางของพวกเราได้ที่

Traveltogether/คนเดินทาง https://www.facebook.com/traveltogether.kondentang?ref=bookmarks


อารัมภบท

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า กว่าจะมาเป็นทริปนี้ได้ มันยากมาก เพราะติดโน้นติดนี้ โดยเฉพาะเรื่องวีซ่า(อันนี้คิดเอาเอง)ว่ามันต้องยากแน่ๆ เลย เพราะเราไม่ได้ไปทางเครื่องบิน แต่เรานั่งรถทัวร์ จากหมอชิต ไปประเทศจีน แล้ววีซ่าจะให้ผ่านมั้ย ค่าทำวีซ่าก็ตั้ง 1,000 บาท (อันนี้งกมาก จะเที่ยวทั้งทีต้องลงทุนหน่อยซิครับ) แล้วก็คิดทริปอื่นๆ ออกมาแทรกอีกมากมาย เช่น คินาบารู ศึกษาข้อมูลอะไรเรียบร้อยแล้ว ตัดสินใจจะไปทันที เริ่มดำเนินการจอง ปรากฏว่า เต็มแล้วครับ ไม่มีที่ว่างสำหรับพวกท่าน ก็ต้องจ๋อยไป ทั้งสิปาดัน ฟิลิปปินส์ก็มา อินเดีย เนปาล ก็ไม่น้อยหน้า ตามมาเช่นกัน แต่สุดท้ายเลือกไม่ได้ เลยลองกลับมาหาข้อมูลของ แชงกรีล่า ใหม่ เหมือนสวรรค์มีตา ลงมาปลดปล่อยพวกเรา เรื่องการทำวีซ่า ว่าสามารถจ้าง เอเยน ทำได้ โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย แค่ถ่ายสำเนาบัตรประชาชน รูปพื้นหลังขาว 2 นิ้ว 1 รูป แล้วก็วันเดินทาง ง่ายเลย และมันสำคัญตรงที่ว่า ค่าดำเนินการ 300 บาท ห่ะๆ 300 บาท 7 วันได้ พร้อมส่งถึงบ้าน ถูกเกี้ยๆ....... แล้วทริปผมก็เกิดขึ้น

และนี้ก็เป็นครั้งแรกของผม กับ ทริปอันยาวนาน 10 วัน 9 คืน ในสถานที่ที่ผมก็เพิ่งจะได้เคยรู้จักมาได้ไม่นาน แต่เป็นดินแดนในฝันของใคร หลายต่อหลายคน แชงกรีล่า ดินแดนในฝัน เป็นทริปที่ใช้เวลาในการเตรียมตัว แค่ 2 เดือนเท่านั้นซึ่งมันสั้นมากๆ สำหรับการเตรียมตัวไปเที่ยวเมืองนอก(นี้ไปเมืองนอกนะเตรียมตัวแค่ 2 เดือน คนอื่นเค้าเตรียมตัวกันข้ามปี จองตั๋วข้ามปี แต่นี้ 2 เดือน เอากับผมสิ) และที่สำคัญประเทศนั้นก็คือ ประเทศจีน ประเทศที่มีอาณาเขตกว้างขวาง เป็นมหาอำนาจของโลกอีกประเทศหนึ่ง และก็เรื่องภาษามันเป็นเรื่องที่ยากมากๆ ที่เราจะติดต่อสื่อสารกับคนที่นั้นให้รู้เรื่องได้

เมื่อเวลาน้อย เรื่องข้อมูลต่างๆ ก็ต้องเน้นมากๆ ต้องวางแผนเป็นขั้นเป็นตอน พูดออกมาต้องนึกภาพได้ ทุกอย่างต้องอยู่ในหัว พร้อมที่จะมโนออกมาได้ทุกเวลา เพื่อให้ได้ไปในที่ที่เราอยากจะไปตามแผนการเดินทางที่กำหนดไว้
แต่.... พวกผมไม่เป็นอย่างนั้นนะสิ ก็ไม่ได้ขยันหาข้อมูลอะไรขนาดนั้น ที่ทำจริงจังก็ มีนัดคุยเรื่องทริปกัน แบบสั้นๆ เรื่องแผนการเดินทาง แบบคร่าวๆ ว่า จะทำยังไง เราถึงจะไปถึงที่เมืองคุนหมิง ได้ไม่เกินวันที่เรากำหนด แล้วที่เหลือเราก็ไปมั่วเอาดาบหน้า 555 แบบนี้แหละครับ ต้องไปแบบไม่รู้ๆ แบบนี้แหละครับ น่าสนุก เราจะได้มีเรื่องราวกลับมาเล่าต่อในแบบฉบับของเราไงละครับ
ก่อนที่จะถึงวันเดินทาง แผนการทุกอย่างที่คิดไว้แรกๆ มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาเลยครับ แผนที่คิดเอาไว้ตอนแรกคือ จะนั่งรถทัวร์ไปเมืองจีนทั้งขาไปและขากลับ ซึ่งแรกๆก็ตื่นเต้นมากเลย ....เชรดดดดด...นั่งรถทัวร์จากหมอชิตไปเมืองจีน เนี่ยนะ แมร้งสุดยอดมากเลยวะ ใครๆ ต่างก็ตกใจว่า นี้พูดเรื่องจริงเหรอวะเนี่ย มันจะถึงเหรอ ไปได้มั้ย โน้นนี้นั้น ห่ะๆๆ แค่เพื่อนๆ งง กับเส้นทางที่เราจะเดินทางแค่นี้ก็สนุกแล้ว แต่มันติดที่ว่า ถ้าขากลับเรานั่งรถทัวร์กลับด้วยมันจะต้องเสียเวลามากแน่ๆ มีเวลาเที่ยวน้อยแน่ๆ กลัวไม่คุ้มกับการเดินทาง เพราะต้องเผื่อเวลานั่งรถทัวร์อีก ก็เลยลองหันไปพึ่ง นกเหล็กซะหน่อย ลองเช็คราคาแล้ว เชรด.....5 พันกว่าบาทททท โห แพงมาก(สำหรับคนงบน้อย) แต่เมื่อใช้สมองอันน้อยนิดคิดทบทวน 10 ตลบ แล้ว เอาวะเพื่อแลกกับการที่เรามีเวลาในการท่องยุทธจักรมากขึ้น เก็บบรรยากาศแห่งความสุขระหว่างทางที่ออกตามหาคัมภีร์ให้ได้มากที่สุด ก็ต้องยอมแลกสิครับ เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เราจะได้ไปอีก ลงทุนไปเถอะครับ กับเรื่องการเดินทางท่องเที่ยวหาประสบการณ์ เพื่อผลตอบแทนที่คุ้มค่าที่สุดในชีวิต จะได้ไม่ต้องมาร้องเสียดายภายหลัง คำนี้มันต้องไม่เกิดขึ้น ถ้าเกิดขึ้นต้องน้อยที่สุด อย่างนี้แหละ ทริปกระทันหัน การเตรียมตัวน้อย อะไรแลกได้ก็ต้องแลกบ้าง

สรุป ขาไปเรานั่งรถทัวร์ไปเมืองจีน จากหมอชิต(โคตรเท่เลย) ขากลับเรานั่งเครื่องบินกลับนะ แลกกับเวลาและประสบการณ์ที่จะได้เพิ่มมากขึ้น เย้....ตื่นต้นวะ


จากเสียงเล่าลือเล่าอ้างอันใดพี่เอย......ถึงเรื่องอาหารการกินที่นั้นว่า รสชาติแย่มากๆ บางคนถึงกับกินไม่ได้เลย หากินลำบาก กินแล้วท้องเสีย ไอ้เราแมร้งก็กลัวจะเหมือนดั่งคำล่ำลือ ไปแล้วจะอดๆอยากๆ หาอะไรกินไม่ได้ งานนี้ก็เลยต้องรีบพึ่งบรรดาข้าวสารอาหารแห้งจากพี่ไทยเราไป โดยเฉพาะ มาม่า น้ำพริก พวกนี้แหละเด็ดดวงมาก 555 อ่อ แล้วอย่าลืมเอา ซับเฟอร์แวร์ ไปต้มมาม่าด้วยนะ เพราะเมืองจีนมีบริการน้ำร้อนทั้งในสถานีขนส่ง ในรถไฟ หรือว่าจะไปขอที่ร้านสะดวกซื้อก็ได้นะ ถ้ากล้าพอ ขนมขบเขี้ยวก็มา ลูกอม หมากฝรั่ง ช็อกโกแลต มาเพียบ งานนี้ไม่ต้องกลัวอดครับ

ตามล่าหาซื้อเสบียง เพื่อการอยู่รอดในยุทธจักร



อ่อ บัตรนักเรียนนานาชาติ (ISIC) สามารถเอามาใช้เป็นส่วนลด ค่าเข้าสถานที่ท่องเที่ยวได้ แบบครึ่งราคาเลยนะ


อุปกรณ์การเอาชีวิตรอด :

เพื่อไม่ให้ตัวเองตกเป็นเหยื่อละก็เราต้องมีอุปกรณ์เสริมครับ ได้แก่

1.หนังสือคู่มือที่ช่วยแปลภาษาให้เรา ที่นิยมกันก็คือ Survivor จีน :[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้หนังสือสอนภาษาเชิงท่องเที่ยวชุด Survival เป็นหนังสือสอนภาษาแนวใหม่ที่อ่านง่ายและใช้ได้จริง เพียงปลายนิ้วสัมผัสเมื่อเกิดความสงสัยหรือต้องการความช่วยเหลือเพียงชี้ลงไปในคำศัพท์และรูปภาพที่ต้องการสื่อกับคนท้องถิ่นในประเทศนั้นๆเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานทางภาษาแต่ต้องการเดินทางไปท่องเที่ยว เรียนต่อ หรือสนใจในภาษาจีน แบ่งเนื้อหาบทสนทนาออกเป็นหมวดๆเพื่อให้ง่ายต่อการใช้งานเริ่มตั้งแต่ข้อมูลพื้นฐานของประเทศ การเดินทาง ที่พัก อาหาร สถานที่ท่องเที่ยวคำทักทายไปจนถึงเหตุด่วนและเรื่องฉุกเฉิน ที่รับรองได้ว่าหากคุณมีเล่มนี้รับรองความ Survival แน่นอน

2.ข้อมูลที่สำคัญๆ เช่น สถานที่ที่จะไป เซฟรูปมา แล้วปริ้นเอาติดตัวไปด้วยเลยครับ รถสายไหนบ้าง นี้ก็ต้องจดมาด้วยนะครับ หรือไม่ก็ปริ้นข้อมูลในพันทิปทั้งหมดติดไปเลยครับ 5555

3.แผนที่ออฟไลน์ ช่วยเหลือเราได้เยอะเลยครับ มีตัวนี้รับรองสบายไม่กลัวหลง แต่ผมก็หลงนะครับ เอาจริงๆ 555

4.แผนที่ของแต่ละเมือง หนังสือที่พักแบบราคาประหยัด

5.และอันสุดท้ายนี้สำคัญ ถ้าไม่มีตัวนี้ทุกอย่างที่เราเตรียมมาถึงกับพังทลายลงได้ในพริบตา นั้นก็คือ ปาก นั้นเอง ต้องกล้าถามครับ ถึงจะพูดไม่ได้ก็ตาม

แผนการเดินทาง

วันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2558 : ออกเดินทาง กรุงเทพฯ(หมอชิต)- เชียงชอง(เชียงราย)

วันเสาร์ที่ 11 เมษายน 2558 : เชียงของ-ลาว(ห้วยทราย)-คุนหมิง

วันอาทิตย์ที่ 12 เมษายน 2558 : คุนหมิง-ลี่เจียง

วันจันทร์ที่ 13 เมษายน 2558 : ลี่เจียง(หุบเขาหิมะมังกรหยก-BLUE MOON VALLEY-ลี่เจียงเมืองเก่า)

วันอังคารที่ 14 เมษายน 2558 : ลี่เจียง-แชงกรีล่า

วันพุธที่ 15 เมษายน 2558 : แชงกรีล่า-เต้าเฉิง-หยาติ่ง(ทะเลสาบน้ำนม)

วันพฤหัสบดี ที่ 16 เมษายน 2558 : หยาติ่ง-เต้าเฉิง

วันศุกร์ที่ 17 เมษายน 2558 : เต้าเฉิง-แชงกรีล่า

วันเสาร์ที่ 18 เมษายน 2558 : แชงกรีล่า-ลี่เจียง-คุนหมิง

วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน 2558 : คุนหมิง-ประเทศไทย(ดอนเมือง)


***แผนการเดินทางนี้ได้มาจากการสรุปหลังจากการเดินทางได้สิ้นสุดลง เพราะว่า ก่อนไปนั้นแผนการเดินทางไม่ได้เป็นแบบนี้เลยครับ ทุกอย่างเปลี่ยนหมด จากเดิมที่วางไว้คือจะต้องไปที่ เต๋อชิง ด้วย(เต๋อชิงมีอะไรดีบ้าง : ยอดภูเขาเหม่ยลี่สีทองเมื่อแสงแดดยามเช้าส่องลงมากระทบกับหิมะบนยอดเขา ที่สูงถึง 6,740 เมตรจากระดับน้ำทะเล แต่ก็ได้แค่ยืนมองอยู่ไกลๆ ธารน้ำแข็งหมิ่งหยง ที่รอให้พวกเราไป เทรคกิ้ง ยลโฉมกัน) แต่สุดท้ายก็ต้องหันหัวเรือไปทางอื่น เมื่อค้นพบว่า แท้จริงแล้ว มหาคัมภีร์ที่ข้าออกตามหามันไม่ได้อยู่ตรงนั้นเลย

ค่าใช้จ่ายในการเดินทางท่องยุทธภพ

ในการเดินทางครั้งนี้ เราใช้จ่ายไปทั้งสิ้น 20,280.90 บาท รายละเอียดทั้งหมดอยู่ ด่านล่างนี่เลยครับ


วันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2558 : ออกเดินทาง กรุงเทพฯ(หมอชิต)- เชียงชอง(เชียงราย)



วันนี้เป็นวันที่สำคัญที่สุดที่จะตัดสินว่า แผนการที่เราวางไว้จะเป็นไปตามแผนรึป่าวนั้นเองครับ เอ๊ะอะไร ยังไง .....

เพราะวันนี้เป็นวันเริ่มต้นแห่งการเดินทาง เป็นก้าวแรกที่สำคัญ ที่พวกเราจะได้ออกไปเปิดประสบการณ์ การท่องเที่ยวต่างแดนที่ยาวนานได้ขนาดนี้

เพราะวันนี้เป็นวันศุกร์ สุดสัปดาห์ของวันหยุดยาวสงกรานต์ ที่ชาวบ้านชาวช่องเขาตั้งตารอที่จะกลับบ้านกันทั้งนั้น ซึ่งตั๋วรถก็เต็มยาวทุกรอบตั้งแต่เดือนมกราคมแล้วครับ แม่เจ้า ดีนะยังมีเหลือที่ให้เราไม่งั้น ทริปนี้คงสิ้นหวัง

เพราะตั๋วที่เราได้นั้น คือตั๋วของสายการบินเจ๊เกลียว ใครๆ ต่างก็พูดถึงเกียรติศัพท์ของสายการบินนี้ ทั้งโน้นนี้นั้น โห.....ผมนี้กลัวจริงๆ กลัวว่า เจ๊เกลียวจะพาเราไปเชียงของไม่ทันเวลา กลัวออกเลท กลัวรถติด กลัวรถเสียกลางทาง กลัวมากๆ เพราะถ้าไปไม่ทันรถที่ไปเมืองจีนแล้วละก็ เวลาที่เราจะไปเที่ยวเมืองจีนก็ต้องลดลงไปอีก 1 วัน ไม่น่ะ อย่าทำร้ายผมแบบนี้(นี้คือความกลัว) ห่ะๆๆๆ


ล้อหมุนจาก หมอชิต ตรงเวลาเป๊ะ ประมาณ 17.20 น. โหไม่น่าเชื่อ สบายใจแล้วตู อย่างน้อยก็ออกตรงเวลา เราใช้เวลานอนอยู่บนรถทัวร์ 12 ชั่วโมงเศษ เจ้เกลียวก็พามาถึง อ.เชียงของ เย้ งานนี้ต้องกราบจ้เกลียวงามๆเลย มาส่งตรงเวลาแป๊ะ



วันเสาร์ที่ 11 เมษายน 2558 : เชียงของ-ลาว(ห้วยทราย)-คุนหมิง


***จริงๆ แล้วต้องลงรถทัวร์ ตรงแยกไปด่านเชียงของเพื่อข้ามสะพานไปฝั่งลาว บริเวณนั้นจะมีรถ สองแถวบริการ แต่พวกเราไม่รู้ว่าต้องลงตรงนั้น จะรู้ได้ไงละครับ ข้อมูลใช้ว่าจะเตรียมมาดี แล้วอีกอย่างสะพานข้ามแดนเพิ่งสร้างเสร็จเมื่อประมาณไป 2557 เลยยกเลิกการข้ามแดนโดยเรือ เป็นข้ามสะพานแทน อ้าวแล้วใครจะไปรู้วะเนี่ย ข้อมูลที่หาอ่านมาก็มีแต่ปีเก่าๆ 555

แผนที่ เมืองเชียงของ บริเวณที่เราลงรถเจ้เกลียวครับ

เอาเถอะไปต่อกันดีกว่า ต่อราคารถ 2 แถวให้ไปส่งที่ด้านข้ามแดนไทยลาว ได้มากันคนละ 50 บาท ไม่รู้ว่าถูกหรือแพง แต่ก็ตกลงก่อนเดี๋ยวไม่ทันรถไปจีน ไปๆๆ ขึ้นรถๆ(ตรงที่เราลงรถก็มีรถสองแถวเช่นกันนะครับ )

อ้าวนั่งมาแปบเดียวเองถึงด่านแล้ว ทำเรื่องผ่านด่านเสร็จสัพเรียบร้อย ออกจากด่านไทย ไม่ต้องเสียกะตังสักกะบาท สบายใจใสๆ


แล้วก็มาต่อรถบัสข้ามสะพานมิตรภาพไทยลาว คนละ 25 บาท เป็นของ บขส. นั่งสบายๆ ไม่นานก็ข้ามแม่น้ำโขง เข้าสู่ประเทศลาวแล้วคร้าบบบบ สะ บายดี ประเทศลาว ตรงนี้ต้องเสียค่าเข้าประเทศ 40 บาทไทย

อย่าปล่อยเวลาอันมีค่าต้องเสียไป รีบไปต่อรถสองแถวจากด่านต่อไปยังโรงแรมวังทองกันเลย กลัวไม่ทันรถ ชั่วโมงนั้นตื่นเต้นมากๆ เพราะไม่แน่ใจเรื่องรอบรถว่ามีกี่โมง ดุ่ยๆๆ ไปถามราคา ห่ะ ค่ารถคนละ 100 บาท โห แพงมากกกก น้ำตาแทบเล็ด ไปตั้ง 4 คน ก็ 400 บาท เที่ยวเดียวกะรวยเลยนะครับ แหม ไหนๆลองต่อราคาหน่อยดิ๊ "300 บาท ลุงได้มั้ย" ไม่ได้ "นะๆ ลุงนะ เนี่ย พวกเราจะไปเที่ยวกันแต่มีเงินน้อย ช่วยลดให้หน่อยน้าาา ๆๆๆ" คุณลุงทำท่าคิด แล้วพยักหน้า ดีนะลุงแกใจดีลดให้คนละ 25 บาท เฮ้อ ค่อยยังชั่ว ระยะทางจากด่านมาโรงแรมวังทองก็ไม่ใช่ว่าจะไกลอะไรเลย 15 นาทีก็ถึงแล้ว


แต่สุดท้ายเราก็มาทันเวลาครับ รถจากห้วยทราย-คุนหมิง มีรอบ 10.30 น. ยังมีเวลาเหลือเฟือให้เราได้ล้างหน้าล้างตา อ้าส์ สดชื่น

เฮ้ย ตื่นเต้นวะ นี่เราจะได้นั่งรถนอน(ต้องบอกว่านอนรถนอนสิ) เพราะมันเป็นรถนอน ไปเมืองจีน จริงๆแล้วใช้มั้ยเนี่ย โหนี้ชีวิตเรามาไกลได้ขึ้นขนาดนี้แล้วเหรอวะเนี่ย

แถวๆ ท่ารถจะมีร้านค้าอยู่สอง สามร้าน แต่ไม่ค่อยมีของกินหรือเสบียงให้เราได้ตุนไว้บนรถนอนเลย ก็คงต้องพึ่งเสบียงจากไทยสินะ

นี่ครับ รถที่จะพาเราไปท่องยุทธ ที่จีนแผ่นดินใหญ่ คันนี้จะไปสุดสายที่ เมืองคุนหมิง มณฑลยูนนาน


บรรยากาศบนรถนอน

ก่อนรถจะออก เราก็ได้บังเอิญเจอเพื่อนคนไทยด้วยกัน โชคดีมากๆ เจอเพื่อนร่วมเดินทางด้วยกันกับเราแล้ว เป็นคู่รักชาย-หญิงที่มาจากเชียงใหม่ ชื่ออะไรแล้วผมจำไม่ได้ จุดหมายปลายทางก็คล้ายๆ กับเรา แต่แผนการเดินทางแตกต่างจากเรา ไม่เป็นไรกว่าจะได้แยกกันก็มีเวลาร่วมหลงทางด้วยกันอีกตั้งนานนะครับ ห่ะๆๆ ไปหลงทางด้วยกันก่อน


- จากห้วยทราย-คุนหมิง เราต้องใช้เวลานอนนานถึง 22 ชั่วโมงโดยประมาณ มันนานมาก เกิดมาไม่เคยนอนนานขนาดนี้มาก่อนเลย นี้แหละครับ ประสบการณ์ชีวิต ลองทำอะไรที่แตกต่าง ที่ไม่เหมือนใครๆ ดูบ้าง มันน่าตื่นเต้นจะตาย

- บรรยากาศบนรถนอน ถือว่าดีมากจากที่อ่านรีวิวมา ไม่มีคนสูบบุหรี่ กลิ่นเท้าก็ไม่มี จะมีกลิ่นตัวนิดหน่อยถือว่าเป็นกลิ่นธรรมชาติ ผ้าห่มสะอาดใช้ได้ แต่แอร์ไม่ค่อยเย็นเท่าไหร่ ถือว่าผ่าน ให้ 8 คะแนน(ราคา 320 หยวน)

- เส้นทางในประเทศลาวจะค่อนข้างลาดชัน เพราะต้องขึ้นเขาตลอดเวลา มีขรุขระบ้าง



ระหว่างทาง

จุดแวะพักระหว่างทาง


เวลา 16.00 น. ก็ถึงด่านลาวทำเรื่องออกนอกประเทศลาวเสียค่าออกนอกประเทศ 20 บาท หะ นี้ผมจะได้ข้ามไปเหยียบประเทศมหาอำนาจแล้วเหรอครับเนี่ย หัวใจพองโต

ด่านประเทศลาว ตอนนี้พวกเราออกจากประเทศลาวแล้วครับ ดินแดนที่ผมเหยียบอยู่คือ ดินแดนระหว่าง สองประเทศ ลาวและจีน

ขึ้นรถมาอีก 200 เมตร มายังด่านเข้าประเทศจีนโม่ฮัน ด่านนี้ช่างแตกต่างกับด่านประเทศลาวมากๆ ดูยิ่งใหญ่สมกับเป็นพี่ใหญ่แห่งเอเชียจริงๆ

ตรงนี้ต้องลงรถเอากระเป๋าเข้าเครื่องสแกนยังกะสนามบินนะครับ พี่จีนเค้าเข้มงวดจริงๆ แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี ไม่มีพิธีรีตองอะไรมากมาย ทำเรื่องผ่านด่าน ไม่เสียเงินค่าเข้าประเทศสักกะบาทเดียว ดีจริงๆ ต้องแบบนี้สิ เราเอาเงินเข้าไปใช้ในประเทศเขาแล้ว ฉะนั้นก็ไม่ควรที่จะเก็บเงินค่าเข้าประเทศอีกนะครับ

หาาาา นี้ผมมายืนอยู่ในประเทศจีนแล้วคร้าบบบบบบ ตื่นเต้นเป็นที่สุด แต่ก็แอบเก็บอาการ รักษาฟอร์มหัวหน้าทริปไว้ก่อน 555 เพราะจริงๆ แล้ว ผมเป็นคนตื่นเต้นง่ายมากๆ แต่ชอบทำเป็นเฉยๆ ห่ะๆๆ ไม่รู้จะทำไปทำไมนะ 555'

เอาละครับเดินทางกันต่อดีกว่า จากตรงนี้ต้องใช้เวลาจีนแล้วนะครับ จะเร็วกว่าพี่ไทยเรา 1 ชั่วโมง แต่ถ้าในสมาร์ทโฟน มันจะปรับให้เราอัตโนมัต17.00 น. แวะทานข้าวที่ เมืองโม่ฮัน ใช้เวลา 1.30 ชั่วโมง ในการกินข้าว เดินเล่นได้ และตรงนี้รถบัสก็จะจอดรอผู้โดยสารเพิ่มอีก

- อาหารที่ด่านโม่ฮัน ถือว่าใช้ได้เลยครับ มื้อแรกที่เมืองจีน ถือว่าประทับใจมาก ทัศนคติ เรื่องอาหารจีนของผมเริ่มเปลี่ยนแปลงไป ฉะนั้นจงอย่าเพิ่งเชื่อในสิ่งที่เคยได้ยินมา จนกว่าจะได้ลองด้วยตนเอง รีวิวนี้ก็เช่นกัน

เมนูนี้ไม่รู้ว่าเรียกว่าอะไร ใช้การชี้ๆเอาอย่างเดียวเลย หน้าตาก็น่ากินดีนะ

อันนี้ก็น่าจะเป็น มันฝรั่งทอดนะ

บรรยากาศเมืองชายแดนโมฮัน


ออกเดินทางต่อเวลา 18.30 น.เมื่อเข้าประเทศจีนสิ่งที่สำผัสได้สิ่งแรกคือ ถนน 4 เลนส์ สภาพดีมากๆ ถนนจะตัดตรงและจะเจาะทะลุเขา ตลอดเส้นทางเลยครับ รับรองหลับสบายหายห่วง ทางก็ไม่ขรุขระ มันดีมากๆ ให้ 10 คะแนนเลย คราวนี้ก็ได้หลับยาวๆ ต่อละครับ ระหว่างทางก็มีแวะบ้างไรบ้างนะ เติมน้ำมันด้วยก็คงไม่แปลก เข้าห้องน้ำ

เอิ่ม เมื่อพูดถึงห้องน้ำ โดยเฉพาะห้องน้ำจีนที่อยู่ระหว่างทาง มันเป็นอะไรที่ Amazing มากๆครับ เป็นส้วมแบบ โอเพิ่นแอร์ โอเพิ่นอาย โอเพิ่นทุกอย่าง มีแค่ พาทีชั่น กั้นไว้แบบต่ำ เพื่อแบ่งล็อกๆแค่นั้นเอง ห่ะๆๆ คนที่ปวดหนักนี้ต้องได้พบเจอความ Amazing แบบนี้แน่นวน แต่ผมเองยังไม่เคยได้ลองเลยสักที มีแต่เพื่อนร่วมทริปเล่าให้ฟัง ชาตินี้ยังไม่อยากลองเลยครับ ฮืย สยิวกิ้ว มาก ผ่านด่านตรวจค้นของทหารจีนบ้าง แต่ก็แค่เปิดช่องเก็บของส่องไฟๆ แล้วก็ไป 01.00-05.00 จอดรถพักที่เมือง โม่เจียง ให้คนขับได้พักผ่อนหลับนอนสักหน่อย แล้วออกเดินทางกันต่อ


วันอาทิตย์ที่ 12 เมษายน 2558 : คุนหมิง-ลี่เจียง

เช้าวันนี้ เวลาปนะมาณ แปดโมงเช้า พวกเราเหล่าจอมยุทธได้มาเหยียบคุนหมิงแล้ว Aloha… คุนหมิงเป็นเมืองเศษฐกิจที่สำคัญแห่งหนึ่งของมลฑลยูนนาน ประเทศจีน ทุกระบบการขนส่งในมลฑลส่วนใหญ่จะเริ่มต้นที่นี้ มีระบบการขนส่งที่ดูเพียบพร้อมมากๆครับ ทั้งระบบรถไฟใต้ดิน รถไฟระหว่างเมือง และสนามบิน สะดวกสบายมากเมืองนี้ อากาศก็ไม่ร้อน นี้ขนาดเดือนเมษายนที่ร้อนตับแตกในบ้านเรา แต่ที่บ้านเค้าต้องใส่เสื้อกันหนาวกันทั้งเมือง เดินเล่นชิวๆ ได้สบายเลยครับ


จากตรงนี้เป็นต้นไปเราต้องสื่อสารเป็นภาษาจีนแล้วนะครับ .....เดี๋ยวๆๆๆ" พูดเป็นเหรอครับ" ....5555 นั้นนะสิ กูพูดไม่เป็นนี้หว่า แต่ไม่ต้องกลัวครับ คนไทยอย่างเราๆ มีความสามารถในการเอาตัวรอดได้ในที่ต่างแดนแน่นอน ไปที่ไหนไม่ต้องกลัวอด เพราะแค่ยิ้มอย่างเป็นมิตร แล้วก็ถามเหมือนคนเป็นไบ้ แค่นั้นเองครับ 5555 แค่คิดก็สนุกแล้ว ลองใช้ชีวิตแบบคนไบ้ในที่ต่างแดนดูนะครับ ^^

เวลา 9.00 น. ขึ้นรถเมย์สาย c71ไปสถานีรถไฟ

บรรยากาศบนรถเมย์ สาย C71

ตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ที่เราถามเอาแถวๆนั้น ฟังกันไม่รู้เรื่องหรอกครับ อาศัยหนังสือคู่มือการอยู่รอดในเมืองจีน แล้วก็รูปภาพที่ปริ้นมาจากอินเตอร์เน็ต ก็ในห้องบลูนี้แหละครับ ต้องขอขอบคุณข้อมูลดีๆ มากเลยครับ นั่งจนสุดสาย ไม่ต้องกลัวเลย ใช้เวลา ครึ่งชั่วโมง รถมาจอดที่สถานีรถเมย์


ได้เวลาเดินแล้ว ไปหาสถานีรถไฟกัน


เดินเลี้ยวซ้ายออกมาเจอสี่แยกไฟแดง แล้วเลี้ยงขวา หรือเดินตามทางที่มีคนเดินเยอะๆ นั้นแหละครับหลักการง่ายๆ ก็จะเจออาคาร kunming Railway station ตั้งตระหงาด ใหญ่โตอยู่ด้านหน้าแบบนี้

เดินตรงเข้าไปทันที ตอนเช้า คนเยอะมากๆๆๆ สมกับเป็นประเทศที่คนมากที่สุดของโลก ก่อนเข้าอาคารต้องตรวจกระเป๋าก่อน ทุกอย่างต้องผ่านตาเจ้าหน้าที่ก่อนจะเข้าไปในอาณาจักรรถไฟ มันใหญ่มากจริงๆนะ


ต่อแถวเข้าคิวเข้าเครื่องแสกน

มีตู้ซื้อตั๋วอัตโนมัติด้วยแฮะ ดีวะ แต่เราใช้ไม่เป็นได้แต่มองแล้วก็เดินผ่าน เดินชิตขวาไปยังอาคารซื้อตั๋วครับ เจ้าหน้าที่แนะนำให้ไปซื้อที่ ช่อง 1 แต่นี้มันช่องคนพิการนี่หว่า สงสัยเค้าคิดว่าเราคงพิการเรื่องการพูดแน่ๆ เลย 555 น่ารักจริงๆ เจ้าหน้าที่ขายตั๋วพูดภาษาอังกฤษได้ครับ แต่จะสำเนียงจีนหน่อยๆ ฟังยากนิดนึง ได้มาแล้วครับตั๋วรถไฟไปเมืองลี่เจียง ราคา 89 หยวน รอบ 20.49 เป็นเบาะนั่งที่ราคาถูกที่สุด

ผิดแผนนิดหน่อยเพราะตั้งใจว่าจะไปรอบ 11 โมง แต่มันเต็มสะก่อน ฉะนั้นเราก็ต้องใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไป ไปเดินสำรวจเมืองคุนหมิงกัน

ที่นี้มีบริการรับฝากกระเป๋า ใบละ 5 หยวน ไม่จำกัดเวลา เดินออกจากอาคารซื้อตั๋วแล้วเลี้ยวขวาตรงไปสุดทาง จะเจอห้องรับฝากสัมภาระครับ ด้านตรงข้ามจะเป็นห้องน้ำ(ฟรี) เห็นว่าสะอาดด้วยนะครับ ฝากของเรียบร้อย ก็ออกมายืนถ่ายภาพคู่กับ แลนด์มาร์กของสถานีรถไปกัน



กระทิงทอง น่าเกรงขามมากจริงๆ

ภาระกิจของเราตอนนี้คือจะไปหาที่นั่งปิกนิกกินข้าวเที่ยงกันที่สวนสาธารณะสักที่นึงในคุนหมิง

เดินไปเดินมา อ้าว...ตรงนี้มันตรงไหนวะ เนี่ย ดูในแผนที่ออฟไลน์ก็ดูไม่ออก สรุปว่าหลง ครับพี่น้อง 55555 อ้าวไหนๆก็หลงแล้ว ก็เดินไปเรื่อยๆ มีเวลาให้หลงอีกตั้งนานจะไปกลัวอะไร

บ้านเมืองเค้าสวยจริงๆนะครับ น่ามองไปหมด จากภายนอกที่มองดู มันสะอาดมากเลย เดินไม่เหนื่อยด้วย อากาศเย็นสบายจริงๆ ไม่อยากจะคิดถึงเมืองไทย ณ ตอนนี้จริงๆ


เที่ยงซะแล้ว ก็จะไปสวนสาธารณะนั่งกินข้าว แต่ว่า มันเสียตังค่าเข้าด้วย โหไรวะ เซงเลย ก็ต้องเปลี่ยนแผนไปนั่งกินที่ร้านอาหาร


ไปถึงร้านอาหารก็ต้องสร้างความตกใจให้กับเจ้าของร้านเป็นอย่างมาก เพราะมากัน 4 คน แต่สั่งอาหารแค่อย่างเดียว นั้นคือ

ข้าวผัดจานละ 11 หยวน แล้วก็สั่งข้าวเปล่า 3 หยวน มากินกับข้าวผัดเนี่ยนะ งง สิครับ อย่างงๆ ผมกินกับเสบียงที่เตรียมมา อร่อยเหาะ เจ้าของร้านนี้เดินวนดูพวกผมหลายรอบมากว่า มันคืออะไร มันกินอะไรกันวะนั้น พวกเราก็เลยเรียกให้มาลองชิมดูว่า อาหารไทยอร่อยมั้ย พี่แกก็ทำหน้าเฉยๆ นะ สรุปแล้วไม่รู้ว่าอร่อยมั้ย 555 มื้อนี้ถูกมากๆ อิ่มและอร่อยมากมาย

จากนั้น เดินลัดเลาะจนมาเจอ แม็คโดนัล จัดกันสักหน่อย 16 หยวนเพื่อเข้าห้องน้ำ นั่งพักขา ชั่วโมงกว่าๆ ออกมาเดินเล่นต่อเดินเรื่อยๆ


นี่ถ่ายรูปคู่กับเจ้าของร้านขายผลไม้ พร้อมมอบน้ำพริกปลาร้าให้เป็นของที่ระลึกด้วย ห่ะๆๆ

เมืองทั้งเมืองส่วนใหญ่จะขายผลไม้ แล้วก็ขนมรถเข็น สับปะรด ตาโบ๋(โดนเจาะเป็นรูๆ) เยอะมากๆ ราคาก็ไม่แพงมากนะครับ

ผลไม้ที่นั้นอร่อยถูกใจคนไทยอย่างเราๆ มาก

เดินหลงทางในเมืองคุนหมิง

เดินเริ่มเหนื่อยแล้วก็มานั่งรอรถไฟที่สถานีฯ ระหว่างนี้ก็นั่งกินข้าวเปล่าที่ซื้อมาเมื่อตอนกลางวัน กับน้ำพริกที่ซื้อมาจากไทย เป็นอาหารเย็น

เวลา 20.49 ได้เวลาขึ้นรถไปลี่เจียงแล้วครับ ช่วงนั้นวุ่นวายมากๆ มีแต่คนแซงคิว ไม่รู้จะรีบไปไหน ทั้งๆที่ก็นั่งกันตามเลขที่นั่ง แซงได้เป็นแซง พวกผมนี้เมื่อรู้ว่าใกล้ถึงเวลาแล้วก็เลยรีบเอากระเป๋าไปจอง ตรงประตูทางออกทันที ที่นั่งเต็มหมดแล้ว เอ้า นั่งมันตรงกลางทางเดินนั้นแหละครับ กลัวโดนแทรก


ห้ามแซงนะครับ ผมนั่งจองที่ไว้แล้ววว

หลังจากนั้นบรรดาเหล่ามนุษย์ ก็พากันมาออ ที่ประตูทางออกอย่างมหาศาล มันแออัดมาก โห คนจะเยอะไปไหนเนี่ย.....

คนเยอะมากๆ พวกเราก็ถ่ายรูปแบบไม่สนใจชาวบ้านชาวเมืองเค้าเลย จนกลายเป็นจุดสนใจของคนจีนไปโดยปริยาย

ระหว่างช่วงชุลมุน เราก็ได้รู้จักนักเรียนคุนหมิง 1 คน ที่เดินทางไปลี่เจียงเหมือนกับเรา พูดภาษาอังกฤษได้ มาทักทายเรา เพราะเห็นเราถ่ายรูปกันแบบไม่เกรงใจใคร ห่ะๆๆๆ ก็พูดคุยกันไปทักทายตามภาษาคนต่างถิ่น เมื่อรถไฟเคลื่อนขบวนกิจกรรมระหว่างทางก็ดูดวงกันครับ กลิ่นบุหรี่โขมงโฉงเฉงเลยครับ ห้องน้ำก็สะอาดใช้ได้ ไม่มีกองทับกัน กลิ่นไม่แรง ให้ ถามว่านอนหลับมั้ยบนรถไฟตั๋วนั่งแบบนี้ ผมนอนไม่หลับเลยครับ เหมื่อยตัวไปหมด นอนลำบากมาก แต่พวกเราก็ยอมเพื่อแลกกับ การเดินทางที่ประหยัด นี่แหละประสบการณ์ชีวิต 555 กิจกรรมบนรถ หลักๆก็ จะเล่นไพ่ คืนนั้นในโบกี้ที่ผมนั่ง เท่าที่นับมี ทั้งหมด 4-5 วงได้ รวมวงผมด้วยนะ 555 เล่นเพื่อความเพลิดเพลินนะครับ เพราะกว่าจะถึง ก็ 6 โมงเช้าโน้นครับ

บรรยากาศในรถไฟเบาะนั่ง ครึกครื้นมาก

เดี๋ยวมาต่อนะครับ หลังจากนี้ไปจะพาไปพบกับความอลังการของ หิมะะะะะะะะะะะ บนภูเขาหิมะมังกรหยก ตอนนี้ขอนั่งทำงานก่อนครับ ^^

วันที่ 13 เมษายน 58 : (ลี่เจียง ภูเขาหิมะมังกรหยก ทะเลสาบพระจันทร์สีน้ำเงิน)


เวลา 6 โมงโดยประมาณ ขบวนรถไฟก็มาเทียบที่ชานชาลาลี่เจียง เมื่อประตูรถไฟเปิดออก เท่านั้นแหละครับ ไอเย็นเข้ามาปะทะหน้าทันที อากาศหนาวมากๆ หนาว ท้องฟ้าก็ยังมืดอยู่เลย นี้มัน 6 โมงเช้าจริงๆ เหรอเนี่ยยย ร่างกายผมนี้ปรับตัวไม่ทันเลยครับ จุดหมายต่อไป ต้องเดินหารถเมล์ ตามที่อ่านรีวิวมาเขาบอกว่าราคาถูกมาก แต่พวกเราหาไม่เจอเพราะไม่ได้อ่านมาว่ามันอยู่ตรงไหน (จริงๆแล้วเดินอ้อมไปทางด้านหน้าสถานีรถไฟก็เจอแล้วครับ) ดันเดินหลงไปเจอท่ารถแท็กซี่ ให้เหมาไปเมืองเก่าคนละ 30 หยวน โคตรแพงเลย ต่อก็ไม่ยอมลดอีก ยืนเครียดอยู่นานจนตัดสินใจว่าจะไปเดินหาป้ายรถเมล์ แต่โชคดีที่เจอเพื่อนคนจีนที่คุยกันก่อนขึ้นรถไปช่วยการถให้ในราคาคนละ 10 หยวน โชคดีสุดๆ ระหว่างทางเข้าเมืองเก่า ฟ้าเริ่มสว่างแล้วครับ แล้วภาพข้างหน้าก็ปรากฏขึ้นมาให้พวกเราตื่นเต้น ต้องบอกว่าตื่นเต้น ภูเขาหิมะมังกรหยก มันมาปรากฏอยู่ตรงหน้าแบบจังๆ โหเอ้ย มันสะกดสายตาแบบไม่สามารถละมันไปได้ แม่เจ้าโว้ย นี้เราจะได้ไปเจอหิมะจริงๆ แล้วเหรอเนี่ย ขอบคุณโชคชะตา ขอบคุณตัวเองมากจริงๆ ที่พาตัวเองมาถึงตรงนี้ได้ ผมจ้องมองมันตลอดทางจนมาถึงลี่เจียงเมืองเก่า 7 โมงเช้า

จุดหมายต่อไปคือ เดินหาโรงแรม เราไม่ได้จองไว้ล่วงหน้า กะว่าจะมาเดินหาเอาแบบมั่วๆ ดิบๆ โรงแรมแรกที่เราจะตามหาคือ international youth hostel เดินวนหา สองสามรอบก็หาไม่เจอ ทั้งๆ ที่จุดที่เรายืนอยู่กับตำแหน่งโรงแรมก็อยู่ที่เดียวกันแท้ๆ แต่ก็หาไม่เจอเดินหลงอยู่พักใหญ่ เลยตัดสินใจหาที่พักใหม่ เดินไปเดินมา เจอ the family hotel


ที่พักน่ารักราคาถูก ห้องละ 150 หยวน เตียง 3 เตียงแต่นอนได้ 4 คน

เจ้าของน่ารักมากๆ แนะนำเลยครับที่นี้ เราเข้าที่พักเวลา 8 โมงเช้า ต้องรีบแล้วครับ เปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมตัวไปภูเขาหิมะมังกรกหยกกัน


สิ่งที่ต้องเตรียมก่อนพิชิตภูเขาหิมะมังกรหยก

1.ออกซิเจนกระป๋อง ผมหาซื้อเอาแถวที่พักครับ ราคา 25 หยวนต่อกระป๋อง หรือถ้าไม่ได้เตรียมไปรถที่จะพาเราไปก็จะแวะให้ซื้อระหว่างทางซึ่งแพงมาก 100หยวนต่อกระป๋อง แนะนำให้ซื้อไปเองดีกว่าครับ

ร้านที่ผมซื้ออ็อกซิเจนกระป๋อง เป็นร้านขายยา และบุหรี่ เดินออกมาจากพี่พักไม่ไกลครับ


2.เสื้อกันหนาวที่สามารถกันหนาวได้ติดลบ ถ้าไม่มีรถก็จะแวะให้เช่าอีกเช่นกันครับ ตัวละ 50 หยวน สีแดงแปรดดด

3.แว่นกันแดด บนนั้นแดดแรงมากครับ ยิ่งเมื่อสะท้อนกับเกล็ดหิมะแล้ว มันจะแสบตามากๆ

เอาเท่านี้พอครับ จะได้ไม่พรุงพรัง มากมาย



8.45 เราเริ่มออกเดินไปตามหาสถานีรถไปอุทยาน โดยไม่รู้เลยว่ามันอยู่ตรงไหน มีแค่ภาพ 1 ใบ แผนที่เมืองเก่าลี่เจียง แล้วก็แผนที่ออฟไลน์ในมือถือ เดินถามทางไปเรื่อยๆ มีแต่คนจะขายทัวร์ ก็ปล่อยผ่านไป จนมาเจอตาลุง กับป้าใจดีที่ป้อมยามก่อนเข้าเมืองเก่า ประตูฝั่งทิศเหนือ เราแค่ยื่นรูปไป ไม่ต้องพูดอะไร เพราะพูดไม่เป็น เค้าก็อธิบายมาเป็นภาษาจีน ประกอบกับท่าทาง จิ้มโน้นจิ้มนี้ จนเราเข้าใจ สามารถเดินไปได้ ซึ่งไม่ไกลจากเมืองเก่ามากนัก ใช้เวลาเดินทาง 10 นาที ก็ถึง ค่ารถ ราคา 30 หยวนต่อคน ตกลงราคาไม่ต่ออะไรมากเพราะกลัวสาย

ท่ารถเข้าภูเขาหิมะมังกรหยก ด้านตรงข้ามจะเป็นรูปปั่นท่าน ประธานาธิบดีเหมา

ประธานาธิบดีเหมา กำลังยกแขนขวาชูขึ้น แสดงว่าท่านมาถูกทางแล้วครับบบ ห่ะๆๆ

ประมาณ 10 โมง มาถึงทางเข้าอุทยานระหว่างทางมาอุทยานฯ วิวสองข้างทางสวยมากๆ ครับ ได้จ้องมองภูเขาหิมะมังกรหยกตลอดเส้นทาง แค่ได้เห็นผมก็ฟินแล้ว

จินตนาการไปล่วงหน้าแล้วว่าตอนนี้กูได้อยู่ท่ามกลางหิมะอันขาวโพลน 555 นั่งยิ้มอยู่ริมหน้ากระจกรถ 555 ถ้าเป็นช่วงฝน มันจะเขียวมากๆ ประกอบกับฉากหลังเป็นภูเขาหิมะมังกรหยก คงจะฟินไปอีกแบบ


- ค่าเข้าอุทยาน คนละ 100 หยวน แต่พวกเรามีบัตร ISIC จึงลดเหลือ 50 หยวน

- ผ่านด่านนี้แล้วก็เข้าไปซื้อตั๋วขึ้นกระเช้า 180 หยวน + ค่ารถขึ้นกระเช้า 20 หยวน

10.17 ยืนต่อแถวขึ้นรถ ใช้เวลาในการรอต่อคิวขึ้นรถ 2 ชั่วโมง ได้ขึ้นกระเช้าก็เที่ยงแล้ว นานมากกก

ถามก่อนไหนแถวครับ ห่ะๆๆ ไม่มี ใครแซงได้แซงไปเล๊ยยย

เหนื่อยมาก กว่าจะเบียดฝ่าฝูงชนแย้งกันขึ้นรถ

ต้องแย้งกันแซงคิวกับพี่จีนเค้า ถ้าไม่ทำพฤติกรรมเรียนแบบเค้า เราคงได้ขึ้น กระเช้า บ่าย 3 โน้น เพราะถ้ามัวรักษามารยาทตามแบบฉบับผู้ดีเมืองไทยแล้วละก็บ่าย 3 ชัวๆ ได้ขึ้นรถแล้วสบายใจมากๆ ไปครับ ไปฝึกวิชาบนยอดเขาหิมะมังกรหยกกันเหล่าชาวยุทธ

แล้วก็ต้องมาต่อคิวขึ้นกระเช้ากันต่อครับ แค่มุมขึ้นกระเช้ามองขึ้นไปก็สุดยอดแล้ว


กระเช้าพี่เค้าไม่ใช่ธรรมดานะครับ ออกตัวแรงมาก คือเสียวกระเช้าตกมากๆ ผ่านแต่ละเสาก็กระชากมันทุกเสาไป เสียวท้องวูบๆ วิวบนกระเช้าก็สวยมากครับ เหมือนเราได้เดินทางผ่านทะลุมิติเข้าไปในเมืองหิมะ มันสวยมากจริงๆ นะครับ ตื่นเต้นกันยกใหญ่ นั่งกันไม่ติดเบาะเลย เดี๋ยวก็ โหดูโน้นสิ ดูนั้นสิ มันสวยเกินกว่าที่จะมานั่งสงบเงียบๆ นะครับ มันต้องระบายออกมาให้เต็มที่ไปเลย ฮู้วววว เวลานั้นภาพหนังจีนมาเต็ม ผุดเข้ามาในหัว มันเว่อมากกกกก

นี่คือความฟิน ฟิน ฟิน ระดับแรก อยากตะโกนดังว่า ......เอร๊ยยยย มันสุดยอดมากกกก

12.20 น. กระเช้าก็พาเราขึ้นไปถึงลานบนยอดเขาหิมะมังกรหยกแล้วครับ ไปครับ ก้าวออกไปเจอหิมะแรกในชีวิตกันครับ

พอก้าวออกมาจากกระเช้า เท่านั้นแหละ ครับ แม่เจ้าโว้ยยยยยยยยย หิมะ ภูเขาน้ำแข็ง เกล็ดหิมะ ทุกอย่างปะทะเข้ากับสายตาคู่น้อยๆ ของผมเข้าอย่างจังผมไม่รู้จะบรรยายความรู้สึก ณ ตอนนั้นว่ายังไงดี เคยมั้ยเห็นอะไรที่เราประทับใจแล้วพูดอะไรไม่ออก มันเเน่นอก ต้องยกออก ปล่อยเอาไว้นานไปเดี๋ยวใจถลอก ห่ะๆๆ ได้แต่เงียบอย่างเดียวแล้วจ้องมองสิ่งๆ นั้นอย่างเหม่อลอย ผมไม่สนใจอย่างอื่นแล้ว ห้องน้ำไม่เข้า เพื่อนร่วมทริปอยู่ไหนผมไม่สน เดินออกไปสูดกลิ่นหิมะให้เต็มปอด มองให้เห็นเต็มลูกกะตา สัมผัสให้ถึงหัวใจ ใครจะไปรู้ครับ ว่าคนธรรมดาอย่างพวกเราจะพาตัวเองมาถึงตรงนี้ได้ ฝันเป็นจริง มันสุดยอดความอลังการ เวอวังสังฆังรังไข่มาก ครับ


หิมะะะะะะะะ ไหนน้ำแดงเฮลส์บลูบอย


ไปครับ เราเริ่มเดินไปพิชิตจุดที่สูงที่สุดเท่าที่เขาจะให้เราเดินขึ้นไปได้

ช่วงวันที่ผมไปถือว่าโชคดีมากๆ เนื่องจากคนน้อย ทำให้เรามีจุดถ่ายภาพแบบส่วนตัวได้เยอะมากๆ เมื่อเทียบกับวันอื่นๆ ที่คนเยอะมาก เหมือนไปเดินตลาดนัด

มาทั้งที ก็ต้องเอาให้คุ้มครับ พักถ่ายรูปทุกๆ 100 เมตร ไม่ต้องกังวนเรื่องเวลา โอ้วว ชีวิตดี๊ดี คร้าบบบ


ระหว่างทางเดินก็มีหิมะตกมาบ้าง แต่ไม่เยอะครับ พอให้เป็นบุญตา เห็นแค่นี้ก็เหนือคำบรรยายแล้ว


ใช้เวลาอยู่บนนั้น 4 ชั่วโมงเก็บทุกรายละเอียดพิชิตให้ถึงจุดสูงสุด


เดินไปหยุดไป ดูดอ็อกไป สิ่งที่ช่วยได้ดี คือ ช็อกโกเลต ดังนั้นพกไปเยอะๆ ครับ รับรองอร่อยมาก ห่ะๆๆๆ มันช่วยได้จริงๆ ครับ


ยอดเขากับก้อนเมฆ



ได้เวลาถ่ายถาพเดี่ยวแล้วครับ มาๆๆๆ

ผมเองครับ จขกท.(แปลดีๆ นะครับ แหะๆๆๆ)


พี่เหมียวสาวสวยโลกใส


พี่ฝ้ายสาวใสซุ่มซ่าม


แซม ชอบแย้มจริงเชียว

เดินสามก้าวก็ต้องหยุดอีกแล้ว ชาตินี้จะได้ถึงยอดมั้ยครับเนี่ย ไหนๆๆ ถ่ายอะไรกัน

เหยดดดดดด ถอดเสื้อถ่ายภาพท่ามกลางหิมะ ไม่หนาวเหรอวะนั้น ตอบเลย ชั่วโมงนั้น ไม่หนาวแล้วครับ อยู่บนนั้นแดดแรงมากกก และเพื่อความสะใจแล้ว ผมทนได้


และแล้วก็ถึงเวลาที่ผมต้องฝึกวิทยายุทธขั้นต้นแล้วครับ

อ้าวๆๆๆ นี้จะทำอะไรหินครับ เนี่ยพี่ฝ้ายยย


ขบวนการพาวเวอร์เรนเจอร์ก็มานะครับ


นี่มาหล่ออยู่คนเดียวเลยเมิงงง


ขยับเข้าไปใกล้ที่ซ่อนคัมภีร์ทุกทีแล้วครับ ก็ต้องมีภาพรวม พี่ครับๆๆ ถ่ายภาพให้หน่อย เด่วๆๆ เค้าฟังไม่ออก ห่ะๆ ผมนี่ยกกล้องให้เลยครับ เค้าคงรู้ ก็เลยลั่นชัตเตอร์ให้เรา เอ็กตั้งนาน ได้มา 1 ภาพ ห่ะๆๆ


ยิ่งสูง เราก็ยิ่งเข้าใกล้ธารน้ำแข็งมากขึ้น ธารน้ำแข็งที่นี้อายุนับพันปี


มุมฟินๆ มองแล้วเคลิ้มตามเลยครับ


จะถึงยอดแล้วครับ อ็อกซิเจนกระป๋องหมดไป กระป๋องนึงแล้วครับ นี่จะรอดมั้ย เอามา 2 กระป๋องเอง


แล้วเราก็มาพิชิตจุดสูงสุดไดสำเร็จแล้ววววว ที่ความสูง 4,680 เมตรจากระดับน้ำทะเล ดีใจสุดชีวิต


เจอกลุ่มคนไทย 3 กลุ่ม กลุ่มแรก มา 3 คน ชื่อ พี่บอย พี่แจ๊ค พี่... เราเจอกันโดยบังเอิญระหว่างถ่ายรูป ก็พูดคุยกันถ่ายรูปด้วยกัน และพวกเรามีเป้าหมายที่จะไปหยาติงเหมือนกันเลยตกลงกันว่าจะไปเหมารถไปด้วยกัน นัดแนะเวลาคุยรายละเอียดกัน 2 ทุ่มที่หน้า แม็กโดเนล แล้วก็แยกย้ายกันเดินเพราะพี่เค้าซื้อทริปจึงต้องทำเวลา ส่วนพวกเราก็เดินไปเรื่อยเพราะคนกำหนดเวลาคือพวกเรา แวะถ่ายภาพทุกจุดเท่าที่แม็มกล้องจะทนรับได้ เดินเรื่อยๆก็เจอ


คนไทยกลุ่มที่ 2


กลุ่มที่ 2 ไม่รู้มากันกี่คน แค่รู้ว่าเป็นคนคนก็แวะทักทายกันนิดหน่อยแล้วก็แยกกันไป

กลุ่มที่ 3 กลุ่มนี้เด็ด มา คนเดียว ขื่อส้ม ซ่ามากๆ 555 แอบอิจฉาเพราะเราก็อยากทำแบบนั้น มาคนเดียวไม่พอตอนเดินขึ้นเขายังไม่พกออกซิเจนสักกระป๋องเลย จ๊าบมาก เราเจอกันบนจุดสูงสุดของยอดเขา หลังจากนั้นเราก็เดินกลับพร้อมกัน เพราะว่าพี่เค้าพูดจีนได้


4.30 ลงเขา รอรถเมล์ไป bluemoon valley ฟรีใช้เวลาเดินเล่น ครี่งชัวโมง

bluemoon valley เป็นสระน้ำเขียวมรกตสวยงามมากที่โอบล้อมด้วยขุนเขา และมีภูเขาหิมะมังกรหยกตั้งตะหงาดอยู่เบื่องหลัง โห มันสวยมากครับ สาเหตุที่เรียก bluemoon valley เพราะว่า ตอนกลางคืนเมื่อแสงพระจันทร์ส่องมากระทบกับผืนน้ำ ทำให้เงาพระจันทร์กลายเป็นสีน้ำเงินนั้นเองครับ



5.30 ขึ้นรถคนละ 20 หยวน เป็นรถลักษณะเดียวกันกับที่เรานั่งมาอุทยานกลับเมืองเก่า รถจะไปจอดจุดเดิมที่เราขึ้นรถเมื่อเช้าครับ ก็เดินเล่นชิวๆกลับที่พัก พักผ่อนคร้าบบบ ตั้งแต่เดินทางออกจากหมอชิตมา ผมยังไม่ได้หลับเต็มที่เลยครับ ขอนอนพักผ่อนก่อน ปวดหัวมากๆ จะได้มีแรงไปสู้ต่อคืนนี้



2 ทุ่มแล้ว ท้องฟ้ายังไม่มืดเลยครับ ต้องอาบน้ำแต่งตัวไปตามนัดกับพวกพี่ๆ ที่จะเดินทางไปหยาติง ด้วยกัน แผนการคือ จะเหมารถ จากลี่เจียงไปแชงกรีล่า เพราะจะได้แวะหุบเสือกระโจนด้วย กับบริษัททัวร์แห่งหนึ่งใกล้ๆ กับ Mac พูดกันไม่รู้เรื่องเลยครับ 555 ตกลงอะไรกันก็ไม่ได้ ราคาไม่ลงตัว คุยกันไม่เข้าใจ เวลายืดเยื้อมาก จะ 4 ทุ่มแล้วยังไม่รู้ทิศทางตัวเองเลยว่าจะไปทางไหน 555 แล้วพี่ส้มที่เจอกันบนยอดเขา(พูดภาษาจีนได้)ก็มาพอดี เหมือนสวรรค์มาโปรด สบายแล้วงานนี้ พี่ส้มพูดภาษาอะไรกับเจ้าของร้านวะเนี่ย ไหงคุยกันสองคน พวกผมนี้ได้แต่ยืนสงบนิ่ง คอยตอบคำถามจากพี่ส้ม เรื่องการเดินทางอย่างเดียวเลย 555 ต่อรองทุกอย่างเรียบร้อย ได้ราคาวัน ละ 600 บาท พวกเราโอเคร เลย แต่ว่าต้องจ่ายก่อนล่วงหน้าทั้งหมด ด้วยความที่กลัวจะโดนเชิด(อ่านรีวิวมา) ก็ขอมัดจำไว้ครึ่งนึงก่อน เพื่อความสบายใจ เขาก็ตกลง โอเครเซฮาย แต่พอคุยไปคุยมา ขอขึ้นราคาอีก เป็น 700 บาท ไม่งั้นไม่ไปอ้าว ไหงมาทำอย่างนี้กับเราเนี่ยยยเอาแล้วสิ พวกเราก็กัดฟันตอบตกลงไป จะได้เที่ยวอย่างสบายใจ ไม่งั้นถ้าต่อมาก อาจโดนฆ่าตายระหว่างทางก็ได้ 555 ตกลงกันเรียบร้อย ก็ได้เวลาหาของกินซะทีครับ กะว่าจะหาอะไรกินสบายๆ นั่งเล่นง่ายๆ ไปๆมา ได้มานั่งกินสุกี้จีนเฉยเลย



เลือกผักได้ตามใจชอบเลยครับ เยอะแยะมากมาย เห็นของแปลกนี่ต้องจัดเลยครับ ผักบุ้งเล้ยยย แล้วก็อะไรแปลกๆอีกอย่างก็ไม่รู้


นี่ครับหมู เมืองจีน น่ากินเน้อ


แล้วก็ต้องเอาทุกอย่งมาลงในหม้อนี้ สุกี้บ้านเราดีๆนี้แหละครับ แต่ที่นี้ ทุกร้านจะขายเหมือนๆกันเยอะมาก


อันนี่เด็ดเลยครับ เนื้อจามรี อร่อยดีนะ แต่กินได้ไม่เยอะ เพราะผมกินของแปลกๆไม่เก่ง



เหล่านี้คืออาหารคืนนี้ของเราๆ 8 คน รสชาติ ก็ถือว่าใช่ได้นะครับ สั่งโน้นสั่งนี้มากิน ด้วยความว่าเป็นเด็กบ้านนอกเพิ่งเคยมาเมืองจีน ก็สั่งมาแค่เท่าที่กินได้ ซึ่งมันน้อยมากๆ เมื่อเทียบกับโต๊ะข้างๆ ผัก 2 อย่าง หมู แล้วก็น้ำซุป กินกัน 8 คน ห่ะๆๆๆ เป็นมื้อที่กินจริงจังๆ ตั้งแต่มาถึงเมืองจีนแล้วครับ



ดึกแล้วก็แยกย้ายกับพวกพี่ๆ ที่จะร่วมทริปด้วยกัน ไปเดินเล่นชมแสงสีในเมืองเก่าลี่เจียง กับพี่ส้มครับ


บรรยากาศคึกคักมากๆ ร้านค้าเปิดให้จับจ่ายซื้อของตลอด 2 ข้างทางเลย ทำให้แสงไฟยามค้ำคืนที่นี้ มันสวยมากๆ

ไม่น่าเชื่อว่าในเมืองเก่าแห่งนี้จะมีผับ ผับ ผับ เรียงเป็นแถวเลยครับ เยอะมากกก เสียงเพลงกระหึ่มเลยลูกพี่ นี้เรามาเมืองเก่าจริงเหรอวะเนี่ย 5555 แต่เขาจะแยกโชนกัน โดยใช้คลองเป็นตัวกัน แต่มันก็ห่างกันแค่ 100 เมตรเองนะครับ หาะๆๆ มาที่นี้ครบจริงๆ ผมไม่ได้เข้าไปหรอกครับ แค่เดินผ่านๆ


ผับเมืองลี่เจียง


แต่สุดท้ายก็ทนเสียงเพลง แสงสีเสียงไม่ไหว เลยตัดสินใน ไปนั่งกินเบียร์ ที่ร้านข้างทางครับ ห่ะๆๆๆ คนละฟิวกันเลย

มีเบียร์ให้เลือกหลายเมืองเลยครับ ทั้งต้าลี่ ลี่เจียง เลือกเอาเลยจะกินเบียร์ของเมืองไหน อร่อยทั้งนั้น ส่วนตัวแล้วผมชอบ ต้าลี่ ราคาขวดละ 15 หยวน(ราคาเฉพาะที่) กระดกกันไปชิวๆ สามสี่ ขวด

บรรยากาศตอนกลางคืน ถ่ายภาพออกมาแล้วมันสวยมาก ครับ ผู้คนเดินกันให้ขวัก เลย เมืองนี้สุดยอดจริมๆ ครับ ทั้งภูเขาหิมะ ทะเลสาบ เมืองเก่า ย่านช็อปปิ้ง และสถานบันเทิง

คนนี้แหละครับ พี่ส้ม


นี้ก็ดึกมากแล้ว ก็ต้องได้เวลาอำลาพี่ส้มแล้วครับ พี่ส้มต้องเดินทางต่อ ไปซาปา เวียตนาม น่าอิจฉานะครับ เดินทางคนเดียว ส่วนพวกเรานะเหรอ ก็เดินหลงทางหาทางกลับที่พักไม่เจอครับ 555 เดินมั่วมากกก กว่าจะหาที่พักเจอต้องมาตั้งต้นที่ร้าน Mac ใหม่ ตี 1 กว่าๆ ถึงจะได้นอน


หมดไปกับอีก 1 วันที่แสนยาวนานในเมืองแปลกหน้า แต่ก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคนถึงมาเที่ยวที่นี้เยอะขนาดนี้ ที่นี่ยังเป็นแค่เพียงจุดเริ่มต้นการเดินทางที่แท้จริงของพวกเรานะครับ นอนหลับยาวๆ แล้วตื่นมาพบกับอีกวันที่น่าตื่นเต้นในแบบฉบับของวันพรุ่งนี้กัน

แล้วพบกันใหม่ ตอนที่ 2 นะครับ ผมจะพาไปท่องยุทธจักรที่ เมืองจงเตี้ยนหรือ แชงกรีล่าที่รู้จักกัน แล้วบุกยาวไปถึงมณฑลเสฉวน






ความคิดเห็น