.
.
ผมรู้จัก Aristo chic resort & farm ผ่านสื่อต่างๆ รวมถึง FB มานานพอสมควร แอบหวังไว้เล็กๆ ว่า สักวันนึงผมจะต้องมาพักที่นี่ให้ได้ จนเมื่อราวเดือนเมษายนผมได้ร่วมสนุกกับเพจ Ps story แล้วโชคดีได้รับ Voucher ที่พักที่Aristo chic resort & farm จำนวน 2 วัน 1 คืน สมดังใจ โดย voucher จะหมดอายุสิ้นเดือนตุลาคม ผมดูแล้วว่าช่วงที่เหมาะที่สุดสำหรับการมาเที่ยวสวนผึ้ง น่าจะเป็นช่วงฤดูฝน-ฤดูหนาว เพราะช่วงนั้นสวนผึ้งน่าจะสดชื่นมากที่สุด ผมรอเวลาจนถึงเดือนกันยายน จึงรีบตัดสินใจมาใช้สิทธินั้น เพราะเกรงว่าหากรอจนถึงเดือนตุลาคม อาจมีเหตุสุดวิสัยจนทำให้ผมอาจพลาดโอกาสได้มาเยือนที่ Aristo chic resort & farm ครับ
ผมเลือกเดินทางมาสวนผึ้งโดยรถตู้ประจำทางสาย กรุงเทพ - ชัฎป่าหวาย คิวรถตู้อยู่หน้าห้างเซ็นจูรี่ รถตู้จะออกทุกหนึ่งชั่วโมงครึ่ง รถจะเริ่มออกตั้งแต่เวลา 05.00, 06.30, 08.00, 09.30, 11.00, 12.30, 14.00, 15.30, 17.00 และรอบสุดท้าย 18.30 น. สำหรับรถจากชัฎปาหวาย-กรุงเทพ ก็จะออกเวลาเดียวกัน ค่ารถตู้ 160 บาทครับ
วันที่เดินทาง ผมจังหวะไม่ดี มาถึงวินรถตู้เวลา 14.15 น. ทำให้ต้องรอรถรอบ 15.30 น. รถใช้เวลาวิ่งราว 3 ชม. ดังนั้นทำให้ผมมาถึงชัฎป่าหวายราว 18.30 น. ฟ้าเริ่มมืด จากชัฎป่าหวายผมให้เพื่อนมารอรับเพื่อตรงไปยัง Aristo chic resort & farm ยิ่งมืดยิ่งมองไม่เห็นเส้นทางครับ ผมหลงไปหลงมาอยู่หลายรอบ กว่าจะถึงรีสอร์ทก็เกือบสองทุ่มครึ่งแล้ว มาถึงวันแรกไม่สามารถเก็บภาพอะไรได้เลย นอกจากบรรยากาศภายในห้องที่ผมพัก จะเริ่มถ่ายภาพได้จริงๆ คือเช้าอีกวันในช่วงระยะเวลาที่ค่อนข้างจำกัดจริงๆ คือมีเวลาประมาณ 3 ชั่วโมงเท่านั้น เพราะผมต้องรีบเดินทางกลับครับ
Aristo chic resort & farm เป็นรีสอร์ท สไตล์โมเดิร์นเมดิเตอร์เรเนียน ที่โดดเด่นด้วยโทนสีขาว ทุกอย่างตกแต่งแบบเรียบง่ายแต่ดูเก๋ไก๋ไม่เบาครับ
บริเวณด้านหน้ามีที่จอดรถ เมื่อเดินผ่านซุ้มประตูหินเข้าไป ด้านขวามือจะเป็นAristo Cafe ครับ
แต่ถ้าตรงไปจะเป็นอาคาร Lobby ซึ่งอาคารนี้จะมีทั้งหมด 3 ชั้น ชั้นล่างจะเป็น Lobby และบริเวณที่นั่งทานอาหาร ชั้นสองจะเป็นพื้นที่นั่งทานอาหาร ชั้นสามเป็นชั้นดาดฟ้า สำหรับ Lobby ดูเรียบง่ายดีครับ
มาดูห้องพักแบบแรกกัน เป็นห้องพักแบบ Villa Jacuzzi ซึ่งอยู่ด้านหลังอาคาร Lobby ห้องพักแต่ละหลังจะเน้นทรงสี่เหลี่ยมโค้งมน ผนังปูนถูกฉาบแบบขัดมันเล็กน้อย สีขาว ตั้งเรียงรายอยู่บนลูกเนินเล็กๆ แต่ละหลังจะมีการเจาะผนังให้เป็นลวดลายรูปดวงอาทิตย์ ซึ่งแสงจากภายนอกสามารถส่องผ่านเข้ามาเพื่อเพิ่มความสว่างให้กับห้องพักในช่วงเช้า-บ่าย และแสงจากไฟภายในห้องพักจะส่องสว่างออกไปด้านนอกช่วงค่ำครับ
เปิดประตูมา ผมแอบตกใจปนตื่นเต้นเล็กน้อย เพราะเห็นว่าห้องพักแบบ villa นี้มี 2 ชั้น ชั้นบนจะเป็นส่วนของห้องนอน แอบมีห้องน้ำเล็กๆ ที่มีเฉพาะโถสุขภัณฑ์และอ่างล้างหน้าอยู่ที่ข้างเตียงนอนด้วย สำหรับสิ่งอำนวยความสะดวกด้านบนจะมีจอทีวี LCD ขนาดเล็ก เครื่องปรับอากาศ ผนังห้องอีกข้างถูกออกแบบโดยเจาะลึกเข้าไปให้เป็นที่แขวนเสื้อผ้าและสามารถใช้วางของได้ในตัว นอกจากนี้ยังมีระเบียงพร้อมเก้าอี้ให้นั่งดื่มด่ำกับบรรยากาศด้านนอกได้อีกด้วยครับ
สำหรับด้านล่าง ถูกออกแบบให้เป็นห้องนั่งเล่น รวมถึงห้องน้ำครับ สิ่งอำนวยความสะดวกที่ทางรีสอร์ทได้เตรียมไว้จะมีตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ กาน้ำร้อน ไดร์เป่าผม
แบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งให้เป็นพื้นที่สำหรับนั่งเล่น ด้านข้างจะเป็นห้องน้ำ ถ้าจุดนี้มีทีวีอีกสักเครื่อง ผมว่าก็จะดีไม่เบา
ห้องน้ำด้านล่างจะมีขนาดใหญ่กว่าด้านบนมาก อุปกรณ์ก๊อกน้ำรวมถึงฝักบัวทำจากทองเหลือง อุปกรณ์อาบน้ำมีกลิ่นหอมใช้ได้เลยครับ
และที่เป็นไฮไลท์ที่สุดเห็นจะเป็น Jacuzzi ระบบน้ำวน ที่สามารถแช่น้ำไป ชมบรรยากาศด้านนอกไปพร้อมๆ กัน
มาดูห้องพักอีกประเภทนึง เป็นแบบ Hut Jacuzzi ซึ่งจะอยู่คนละส่วนกับ Lobby และห้องพักแบบ Villa Jacuzzi เลยครับ
พื้นที่ส่วนนี้ค่อนข้างจะได้ระนาบ ไม่เหมือนพื้นที่ฝั่ง Villa Jacuzzi ซึ่งจะเป็นพื้นที่แบบลูกเนิน จากภาพจะมองเห็นห้องพักแบบ Villa Jacuzzi อยู่ด้านหลัง Hut Jacuzzi ครับ
ห้องพักแบบ Hut Jucuzzi จะเป็นห้องพักแบบชั้นเดียว ที่ยังเน้นโทนสีขาวของห้องพัก มีการวาดลวดลายด้วยสีดำ ทำให้เตะตาได้อย่างดีทีเดียว ภายในห้องจะมีจอทีวี LCD โซฟา เครื่องปรับอากาศ ไดร์เป่าผม ตู้เย็น กาน้ำร้อน ด้านนอกห้องยังมีเก้าอี้หวายสำหรับให้แขกได้มานั่งเล่นด้วยครับ
ด้านข้างของห้องนอนจะเป็นห้องน้ำ ซึ่งมีทั้งห้องอาบน้ำแบบ Rain Shower และ Jacuzzi ซึ่งสามารถนอนแช่น้ำไป ชมบรรยากาศด้านนอกไปได้เหมือนห้องพักแบบ Villa Jacuzzi เลยครับ
ห้องพักอีกประเภทหนึ่งเป็นแบบ House Suite Jacuzzi อยู่ติดกับพื้นที่โซน Hut Jacuzzi ครับ
ห้องพักแบบ House Suite Jacuzzi จะมี 2 ห้องนอน 1 ห้องนั่งเล่น 2 ห้องน้ำครับ
เมื่อเปิดประตูเข้าไป จะพบกับห้องนั่งเล่นที่ออกแบบได้อย่างเก๋มากๆ ขอบอกว่าโดนใจผมจริงๆ ด้านข้างของพื้นที่บริเวณที่นั่งดูทีวี จะเป็นพื้นที่สำหรับจัดเตรียมอาหาร รวมถึงโต๊ะทานอาหารที่ทางรีสอร์ทจัดเตรียมไว้ให้พร้อมสรรพเลยครับ สำหรับสิ่งอำนวยความสะดวกในห้องนี้ ก็จะคล้ายๆ กับห้องพักสองประเภทที่ผ่านมา แต่จะพิเศษกว่าห้องพักอื่นตรงที่มีเตาไมโครเวฟ ถ้วย ชาม รวมถึงอ่างล้างจานครับ
สำหรับห้องนอนจะมี 2 ห้อง ห้องนอนแรกจะไม่มีห้องน้ำในตัว ภายในห้องมี พื้นที่ที่ออกแบบให้เป็นที่แขวนเสื้อผ้า, โต๊ะเครื่องแป้ง , ชั้นวางของที่ปลายเตียง แต่ไม่มีทีวี มีประตูที่สามารถเปิดออกไปด้านนอกห้องได้
สำหรับอีกห้องนอน ออกแบบคล้ายห้องนอนแรกเลยครับ เพียงแต่ห้องนี้จะมีห้องน้ำในตัว และเมื่อเปิดประตูที่อยู่ด้านข้างเตียงนอนออกไปก็จะพบกับ Jacuzzi เลยครับ แต่ผมดูว่า การมาแช่ Jacuzzi ที่ห้องพักแบบนี้ไม่ค่อยจะเป็นส่วนตัวสักเท่าไร เพราะแขกที่พักห้องพัก Hut Jacuzzi สามารถมองเห็นได้อย่างสบายเลยครับ
ด้านบนมีลานเล็กๆ พร้อมเก้าอี้ไม้ ให้แขกได้นั่งทำกิจกรรมร่วมกันด้วยครับ
มาดูในส่วนของห้องอาหารและอาหารเช้ากันบ้างครับ พื้นที่ในส่วนของห้องอาหารจะแบ่งเป็น 2 ชั้น คือชั้นล่าง บริเวณหน้า Lobby ครับ
มีมุมตกแต่งเก๋ๆ ไว้ให้ถ่ายรูปด้วย
สำหรับพื้นที่ชั้นสอง มีทั้งแบบ indoor และ outdoor สามารถออกมานั่งทานตรงระเบียงพร้อมกับดื่มด่ำกับบรรยากาศไปพร้อมๆ กัน
มองลงมาจากชั้นบนสุดครับ
อาหารเช้าจะมีบริการ 2 เมนู คือ ข้าวต้มและไข่กระทะ แขก 1 คนสามารถใช้บริการได้ทั้ง 2 เมนูเลยครับ นอกจากนี้ยังมีผลไม้ รวมถึงน้ำผลไม้ โอวันตินและกาแฟไว้คอยบริการด้วยครับ
มาดูพื้นที่รอบๆ รีสอร์ทกันบ้างดีกว่าครับ
ที่นี่พื้นที่ค่อนข้างกว้างครับ เลยต้องมีรถกอล์ฟไว้คอยบริการด้วย
นอกจากนี้ยังมีรถจักรยานไว้คอยบริการด้วย โดยฟรี 1 ชั่วโมงแรก และชั่วโมงถัดไป คิดชั่วโมงละ 50 บาทครับ
ด้านหน้ามีฟาร์มแกะ คงความเป็นเอกลักษณ์ของสวนผึ้งได้เป็นอย่างดี แต่ผมไปเช้าจัด ทางรีสอร์ทยังไม่ปล่อยแกะออกมาครับ
Aristo Cafe ครับ
ศาลาเล็กๆ ที่ออกแบบเป็นโดม ภายในมีการเขียนสีได้น่ารักเชียวครับ
การเข้าพักของผมที่นี่ถือเป็นทริปที่ค่อนข้างรีบร้อนเอาซะทีเดียว เลยไม่มีโอกาสได้ซึมซับความเป็นสวนผึ้งอย่างที่ผมตั้งใจไว้เลยครับ สำหรับจุดเด่นของที่นี่ ผมคงต้องยกให้กับแนวการตกแต่งของรีสอร์ทบวกกับบรรยากาศที่เรียกได้ว่า ใครมาพักที่นี่รับรองจะได้รับความสุขกลับไปอย่างแน่นอน รวมทั้งภายในห้องพักก็ไม่หวงปลั๊กไฟเหมือนกับโรงแรมใหญ่ๆ หลายที่ เรียกได้ว่าที่มีมีปลั๊กไฟให้จนเกินความจำเป็นก็ว่าได้ครับ สำหรับจุดด้อยที่ผมเห็นคือ พื้นที่บางส่วนบริเวณVilla Jacuzzi จะเดินค่อนข้างยาก เนื่องจากพื้นที่ทางเดินจะลาดไปตามลูกเนิน อาจไม่สะดวกสำหรับผู้สูงวัย, สัญญาณ wifi มีเยอะ แต่เล่นเน็ตได้ช้า (อันที่จริงเขามีให้ก็ดีแล้ว ยังจะมาบ่นอีก)
ควรศึกษาเส้นทางก่อนเดินทางมาที่รีสอร์ทนะครับ เพราะรีสอร์ทค่อนข้างเข้าไปลึกพอสมควร แนะนำว่าหลีกเลี่ยงการเดินทางช่วงกลางคืน เพราะจะหาเส้นทางยากเอาเรื่องเลยทีเดียวครับ
ลุงเสื้อเขียว
วันศุกร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 15.30 น.