หน้าร้อน .. ใครๆ ก็คงไปทะเล ไปเล่นน้ำ ให้สดชื่นกันใช่มั้ยคะ

แต่วันนี้ส้มจะพาสวนกระแส ขึ้นเหนือ ไปเที่ยวเชียงใหม่กันค่ะ

ด้วยเพราะส้มได้รับโอกาสจาก readme ในโครงการ Blogger matching

เป็นโครงการหานักรีวิวไปรีวิวโรงแรม ด้วยการสมัครเข้าร่วมตามโรงแรมที่เราสนใจ

และรอทางโรงแรมตอบรับเรามา ซึ่งครั้งนี้ส้มได้รับโอกาสจากทาง โรงแรม Casa Marocc Hotel by Andacura

ให้ไปทำรีวิว สิ่งที่ได้รับคือ ห้องพัก 1 คืน พร้อมอาหารเช้า สำหรับ 2 คน

จึงเป็นโอกาสให้ส้มได้ไปเชียงใหม่ในหน้าร้อน ที่ใครๆ อาจไม่ไปกันในช่วงนี้ เพราะเชียงใหม่ ร้อนมากกกกกก

เนื่องด้วยส้มเป็นคนโคราช การจะไปเชียงใหม่ แค่วันเดียวก็ดูจะเสียเที่ยว

ส้มเลยหาข้อมูลที่เที่ยว ที่พัก เพิ่มอีกวัน ได้บ้านพักที่เฮือนขวัญข้าว ที่อ.จอมทองมา เป็น 3 วัน 2 คืน ค่ะ

ทริปนี้ส้มเดินทางกัน 2 คนกับคุณสามีค่ะ

เราวางแผนเดินทางกันช่วงต้นเดือนเมษายน คือ 3-5 เมษายน ที่ผ่านมาค่ะ

ทริปนี้ส้มเดินทางไปด้วยเครื่องบินและกลับด้วยรถไฟนะคะ ระหว่างที่เที่ยว 3 วัน ส้มเช่ารถยนต์ขับค่ะ สะดวกดี

เอาล่ะ ส้มคิดว่าเกริ่นนำพอสมควรแล้ว

คราวนี้ตามส้มมาเที่ยวเชียงใหม่ ในหน้าร้อนนี้กันดีกว่าค่ะ

ส้มลงรายละเอียดให้ตั้งแต่เดินทางจากบ้านเลยนะคะ อาจจะยาวและรูปเยอะหน่อย อย่าเพิ่งเบื่อกันก่อนนะคะ



ส้มทำเป็นรูปแบบวิดิโอไว้ด้วยนะคะ ติดตามชมกันนะคะ



วางแผนการเดินทาง


  • -ขาไป

อย่างที่ส้มเกริ่นไว้นะคะ ว่าเราเดินทางไปเชียงใหม่ด้วยเครื่องบิน ทริปนี้ส้มเดินทางกับสายการบิน Bangkok Airways เพราะส้มไปร่วมสนุกในโครงการ "อั่งเปาติดปีกปี7" และได้รางวัลเป็นส่วนลดค่าโดยสาร 1,000 บาท ค่ะ จึงนำมาใช้ในทริปนี้เลย เดินทาง 2 คน ราคา 1980 บาทค่ะ ราคานี้คือรวมทุกอย่างแล้วนะคะ จ่ายเงิน ตรวจสอบรายละเอียด ก็รอเดินทางได้เลยค่ะ

  • -ขากลับ

จากที่เห็นตามข่าว ว่ามีขบวนรถไฟใหม่ ส้มกับคุณสามีสนใจ จึงอยากจะลองเดินทางด้วยรถไฟกันสักครั้งค่ะ ยังไม่เคยมาก่อน จึงใช้บริการรถไฟใหม่ในขากลับกันค่ะ รถไฟใหม่ที่ส้มพูดถึง คือ ขบวนรถไฟด่วนพิเศษอุตราวิถี ขบวนที่ 10 เชียงใหม่ - กรุงเทพค่ะ ส้มจองล่วงหน้าผ่านอินเตอร์เน็ตค่ะ เปิดให้จองล่วงหน้า 60 วัน ส้มจองได้ชั้น 1 ค่ะ ในออนไลน์ขึ้นว่าชั้น 1 ว่าง 2 ห้อง เป็นห้องเบอร์ 21-22 และ 23-24 ซึ่ง 23-24 จะติดห้องน้ำ ส้มจึงเลือกจองเป็น 21-22 ค่ะ อ่านรายละเอียดและทำการจอง จ่ายเงิน ตรวจสอบรายละเอียด ก็รอเดินทางได้เลยค่ะ

  • -รถยนต์ที่ใช้ในเชียงใหม่

ระหว่างเที่ยวเชียงใหม่ 3 วัน เราต้องเดินทางไป ต. อำเภอและเข้าเมือง จึงคิดกันว่ารถยนต์น่าจะสะดวกกับเราที่สุด ส้มตามเพจอยู่เพจนึงมาสักระยะแล้ว เป็นเพจ กินเที่ยว รถเช่า เชียงใหม่ กินเที่ยว รถเช่า เชียงใหม่ kinteawrentacar ส้มอ่านดูแล้ว คนใช้บริการหลายคนว่าดี เจ้าของน่ารัก ก็โอเคค่ะ เห็นหน้าเพจมีโปรโมชั่น รถ New Vios วันละ 900 บาท มัดจำ 3000 ตกลงวันที่เวลาเรียบร้อยก็ทำการจองค่ะ จ่ายเงินวันรับรถนะคะ


แผนการสำหรับทริปนี้


3/4/60

สนามบินเชียงใหม่ - อุทยานราชพฤกษ์ 10.9

อุทยานราชพฤกษ์ - วัดพระธาตุศรีจอมทอง 55.3

วัดพระธาตุศรีจอมทอง - Youngfolk 1.1

Youngfolk - Lotus จอมทอง 5.9

Lotus จอมทอง - เฮือนขวัญข้าว 3.3

4/4/60

เฮือนขวัญข้าว - ดอยอินทนนท์ 47.6

ดอยอินทนนท์ - วัดต้นเกว๋น 97.2

วัดต้นเกว๋น - Casa Marocc 12

Casa Marocc - ต๋อง 5.9

5/4/60

Casa marocc - Graph Cafe 3.2

Graph Cafe - วัดอุโมงค์ 5.7

วัดอุโมงค์ - วัดสวนดอก 2.4

วัดสวนดอก - I berry 1.1

I Berry - ก๊วยเตี๋ยวหลุดโลก 270 เมตร

ก๊วยเตี๋ยวหลุดโลก - วัดปันเสา 1.2

วัดปันเสา - วัดโลกโมฬี 1.1

วัดโลกโมฬี - วัดเชียงมั่น 1.4

วัดเชียงมั่น - สามกษัตริย์ 650 เมตร

สามกษัตริย์ - วัดพันเตา 350 เมตร

วัดพันเตา - วัดเจดีย์หลวง 120 เมตร

วัดเจดีย์หลวง - กาดหลวง 2.2

กาดหลวง - สถานีรถไฟเชียงใหม่ 2.1


*****************************************


เริ่มออกเดินทาง


ส้มออกเดินทางจากบ้านประมาณเที่ยงคืนค่ะ ใช้บริการรถ Taxi จากบ้านมาที่ บขส.ใหม่ โคราช

ระยะทางไม่ไกลเลย แต่โดนราคาเหมาไป 150 บาท

ส้มใช้บริการแอร์โคราชทุกครั้งเวลาเดินทางค่ะ ไม่รู้ทำไมไม่เคยใช้บริการเจ้าอื่นค่ะ

คุณสามีพาขึ้นก็ขึ้นแต่เจ้านี้ตลอด มาถึงก็ซื้อตั๋วรอบ 0.40 ของวันที่ 3/4/60 ค่ะ

คนเกือบเต็มแล้ว รอไม่นานรถก็ออกค่ะ ราคาตั๋ว แอร์โคราช โคราช - กรุงเทพ คนละ 191 บาท นะคะ

ก่อนขึ้นก็จัดการนำกระเป๋าไว้ที่ชั้นล่างของรถค่ะ และกระเป๋าของเราใบนี้ที่ทำให้เราใจหายใจคว่ำกันเลย





รอบนี้ลงที่หมอชิตค่ะ เพราะต้องไปขึ้นเครื่องที่สุวรรณภูมิ

เป็นครั้งแรกของเรากับสนามบินสุวรรณภูมิค่ะ และเป็นครั้งแรกในความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง

เรื่องคือว่าเราเดินทางถึงหมอชิต ประมาณ ตี 4 ที่หมอชิตคนเยอะเลยค่ะ



ต่างคนต่างแบกกระเป๋า พะรุงพะรังทีเดียว

ลงจากรถได้ก็รีบเดินไปต่อคิว taxi เพราะมองเห็นว่ายาวมากเลย

ยืนต่อกันเกือบ 5 นาทีก็ยังไม่ได้ขึ้น สักพักคุณสามีก็พูดขึ้นมาว่า "เราลืมกระเป๋าเสื้อผ้า"

และออกวิ่งเลยค่ะ จากแถวที่ต่อๆ กันอยู่ เพราะไม่รู้ตอนนี้รถทัวร์ที่เรานั่งมา ไปถึงไหนแล้ว

วิ่งกันไปไกลเลย จนถึงไปอีกฝั่งนึงเวลาจะขึ้นกลับ เจอโต๊ะของแอร์โคราช

เลยเข้าไปถามเค้าว่า รถเบอร์นี้ที่เพิ่งมาเมื่อกี้ไปไหนแล้ว โชคดียังเป็นของเราค่ะ

น้องพนักงานที่บริการเราบนรถเมื่อครู่นี้ จำเราได้ และบอกว่ายังมองหาพวกพี่อยู่ว่าไปไหนกัน !!!!!

เป็นประสบการณ์การลืมครั้งแรกของเราในทริปนี้ค่ะ ต้องวิ่งกลับมาที่จุดลงรถเมื่อกี้

เพราะน้องเค้าวางกระเป๋าเราไว้ตรงนั้น โชคดีที่กระเป๋ายังคงอยู่นิ่ง รอเราอยู่ตรงนั้น

ตอนนั้นคือแบบ โล่งอกมากๆ นึกว่าจะล่มตั้งแต่ยังไม่ถึงไหน

คิดไม่ออกว่าถ้านั่ง taxi ไปแล้ว จะวุ่นวายขนาดไหนเลย

เอาล่ะ เราได้กระเป๋ากลับคืนมาแล้ว

คราวนี้ก็มาต่อแถวค่ะ จากที่ยาวอยู่แล้วก่อนหน้านี้ ก็ยิ่งยาวและยาว

ยืนรอกันสักพัก คนเรียกคิวถามว่าไปไหน บอกว่าไป สนามบินสุวรรณภูมิ

ก็ให้เราไปขึ้นรถอีกคันที่จอดรออยู่แล้ว ซึ่งน่าจะแยกไปเลยว่าใครไปสนามบินสุวรรณภูมิให้ไปขึ้นคันไหน

น่าจะเป็นระบบมากกว่า ค่า taxi จากหมอชิตมาสุวรรณภูมิ รวมค่าทางด่วน 2 ที่ ก็ 400 กว่าบาทเลยค่ะ หนักเอาการเลย

อย่างที่บอกตอนแรกว่าส้มบินครั้งแรกกับ Bangkok Airways นะคะ

รถมาส่งเราที่ชั้น 4 ประตู 3 มองหาแถว F ก็ไป check in กันค่ะ





ส้มไม่ได้ check in online มาจากบ้านนะคะ คิดว่ามาถึงเร็วคงไม่เป็นไร

อ่อ ส้มเล่าก่อนว่า Bangkok Airways ส้มจองไว้เป็นไฟลท์แรกเลยคือ 6.05 ถึงเชียงใหม่ 7.25

ก่อนเดินทางประมาณ 1 อาทิตย์ มีเมล์แจ้งว่าเลื่อนไฟลท์เป็น 8.05 ถึงเชียงใหม่ 9.25

แอบเบื่อนิดหน่อย เพราะแพลนที่เราวางไว้ก็ต้องเปลี่ยน

ตอนแรกตั้งใจว่าจะไปดอยอินทนนท์ในวันแรก ก็เป็นอันต้องเปลี่ยน เพราะไปถึงสายไป

และจากที่ตอนแรกเราจองไว้เป็นแถวที่ 15 เห็นปีก เพราะตั้งใจจะถ่ายภาพ

ก็เป็นอันต้องถูกเปลี่ยนเป็นแถว 7 ที่ไม่ได้เห็นปีกอย่างที่เราต้องการ

แต่ก็ไม่ได้หนักหนาค่ะ ขอแค่เค้าพาเราไปอย่างปลอดภัย เราก็โอเคแล้ว

อย่างอื่นประทับใจเราหมด ทั้งเลาจน์ ทั้งบริการภาคพื้นและบนเครื่อง เอาล่ะ มาต่อๆ กัน

แถว check in ยาวมากในเวลาเกือบๆ ตี 5 check in เรียบร้อย จะได้ boarding pass

ใช้ขึ้นเครื่องและเข้าเลาจน์ของสายการบินนี้ค่ะ ส้มถ่ายภาพมานิดหน่อยค่ะ เพราะที่นี่มีรีวิวเพียบอยู่แล้ว

ไฟลท์เช้า ที่นั่งมีให้เลือกเยอะค่ะ เลือกนั่งได้เลยสบายๆ ค่ะ








ใกล้เวลาก็เดินไปที่เกทกันเลยค่ะ

วันนี้ขึ้นเครื่องโดยนั่งบัสเกทไปขึ้นเครื่องนะคะ

เครื่องยังไม่ทันออก ส้มรีบหลับก่อน

เพราะง่วงมาก และไม่โอเคกับการขึ้นเครื่องเท่าไหร่ รีบหลับก่อนดีกว่าจะได้ไม่เมา





สักพักแอร์ก็นำอาหารมาเสิร์ฟค่ะ สามารถขอน้ำผลไม้ ชา กาแฟ กับแอร์ได้เลยค่ะ



ไม่นานเครื่องก็พาเรามาถึงเชียงใหม่

รับกระเป๋าเรียบร้อย ส้มก็โทรหารถเช่าที่จองไว้ค่ะ ส้มนัดไว้ 10.00 รับรถที่สนามบิน

รถมาก่อนเวลาเพราะส้มโทรแจ้งว่าถึงแล้วค่ะ หากสะดวกมา สามารถมาได้เลย

นั่งรอไม่นานค่ะ รถก็มา วันนี้เป็น new vios สีเทาค่ะ

ทำเอกสาร ตรวจรอยรอบคัน เช็คน้ำมันเต็มถัง (เติมคืนเต็มถังตอนคืนรถ)

ชำระเงินค่าเช่ารถ ส้มเช่า 3 วันนะคะ วันละ 900 เป็น 2700 บาท

และมีค่ามัดจำรถ 3000 บาทค่ะ รวมเป็นส้มจ่ายไป 5700 บาทค่ะ




ตอนแรกตั้งใจว่าจะไปพืชสวนโลก แต่เปลี่ยนใจค่ะ

บอกแล้วว่าแพลนของเรา ปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ค่ะ

ตอนนั้นประมาณ 10 โมง เลยตกลงกันว่าไป อ. จอมทองเลยดีกว่า

ระยะทาง 50 กว่าโล ขับไปเรื่อยๆ ที่แรกที่เราแวะกันคือ


วัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร


วัดพระธาตุศรีจอมทอง พระอารามหลวงชั้นตรี

เป็นพระธาตุประจำปีชวด อยู่ที่อ. จอมทอง จ.เชียงใหม่ ค่ะ

ตอนส้มไปถึงอากาศแบบ ร้อนมากกก คนไม่เยอะ ส้มจอดรถด้านหน้านะคะ เดินเข้าไปไหว้พระธาตุกันค่ะ



ออกจากวัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหารแล้ว

จุดมุ่งหมายต่อไป คือไปหาที่นั่งสบายๆ หากาแฟชิมกันค่ะ

ส้มดูมาแล้ว ที่จอมทองจะมี


ร้าน Youngfolk


ซึ่งค่อนข้างชอบบรรยากาศของร้าน เพราะเหมือนเป็นร้านในบ้าน

ในร้านมีสไตล์เป็นของตัวเอง คนเยอะพอสมควรค่ะ

วันนี้ส้มลองสตรอปั่น สดชื่นมาก รสชาติดีเลยค่ะ

ดับร้อนที่ผ่านมาเมื่อกี้ได้เลย คุณสามีสั่งมอคค่าเย็น ก็เห็นว่าอร่อยค่ะ

และช่วงเดือนเมษายน มีเมนูพิเศษอย่าง ไอติมกะทิโบราณ ที่มาพร้อมเครื่องแน่นๆ เลยค่ะ

หอม หวาน มัน อร่อยดีค่ะ









เอาล่ะ ได้เวลาเข้าที่พักของวันแรกกันแล้ว

ตามส้มไปนอนบ้านน้อยกลางนากันนะคะ


เฮือนขวัญข้าว


ที่พักคืนแรกของเราวันนี้ คือ เฮือนขวัญข้าวค่ะ

ส้มตามเพจที่พักนี้มาระยะนึง เนื่องจากเห็นจากรีวิวนึงในพันทิป

ตามติดทุกโพสต์ เพราะชอบมากจริงๆ

บ้านพักกลางนาที่ต้นข้าวเขียวมาก รู้สึกถึงความสดชื่นและอากาศดีๆ

และเจ้าของที่พักที่อ่านรีวิวมาว่าดีมาก ใจดี น่ารัก ชื่อพี่ต่ายและพี่ขวัญค่ะ

ส้มคุยกับพี่ต่ายเรื่อยๆ ก่อนเข้าพัก ถามเรื่องสภาพอากาศและเรื่องอื่นๆ

พี่ต่ายก็ส่งรูปมาให้ดูตลอด คือพี่ต่ายน่ารักมากจริงๆ ค่ะ

ส้มขออนุญาตนำโดรนขึ้น พี่ต่ายก็อนุญาตค่ะ

เพราะรอบบ้านๆ ไม่มีบ้านคนเท่าไหร่ มีแต่นารอบบ้าน

เมื่อเจ้าของอนุญาต ส้มก็พร้อมพาลูกชายคนใหม่ไปเที่ยวเชียงใหม่ด้วยกันค่ะ

สามารถเช็คอินได้ 13.00 น. นะคะ ไปถึงก็ไปเรียกพี่ต่าย

พี่ต่ายให้เดินไปที่บ้านได้เลย ตามสบายได้เลยค่ะ

ตอนที่ไปถึงคือชอบมาก สมกับที่รอ เพราะเงียบ สงบ เป็นส่วนตัว

เหมือนจะมีแค่ส้มกับคุณสามีที่เข้าพักวันนี้ค่ะ

ยินดีต้อนรับสู่ "เฮือนขวัญข้าว" ค่ะ




เฮือนขวัญข้าว มีบ้านพักทั้งหมด 3 ห้องค่ะ จะมีเป็นบ้าน 2 หลัง

หลังแรกคือเฮือนหลวงค่ะ แบ่งเป็น 2 ชั้น

ราคาน่าจะ 1000 บาท ต่อห้องนะคะ ส้มไม่แน่ใจ ไม่ได้ถามราคามา

ในห้องก็จะเป็นเหมือนที่เฮือนของขวัญค่ะ ส้มไม่ได้ถ่ายรูปมานะคะ

ไม่มีแขกเข้าพัก พี่ต่ายไม่ได้ปูเตียงไว้ ไม่อยากรบกวนพี่ต่ายด้วยค่ะ










อีกหลังนึงชื่อเฮือนของขวัญ ราคา 1500 บาท พร้อมอาหารเช้าค่ะ

เป็นบ้านไม้กลางนา ถ้าเราจองบ้านนี้ก็คือได้บ้านทั้งหลังเลย

เป็นบ้านไม้ยกสูง ห้องพักอยู่ชั้นบน ชั้นล่างจะเป็นใต้ถุนให้นั่งพักผ่อน มีเปล มีชิงช้า มีโต๊ะไม้ มีแคร่ให้นั่ง

ชั้นบนด้านหน้ามีระเบียงให้นั่งชมวิวด้านหน้าที่พัก

ส้มจองบ้านหลังนี้ค่ะ



ซึ่งตอนที่ส้มไป เป็นนาเขียวสบายตามากๆ ในห้องจะมีฟูก 2 ฟูก นอนได้ 4 คนค่ะ

ในห้องมีแอร์ พัดลม ห้องน้ำมีเครื่องทำน้ำอุ่นค่ะ

ที่เฮือนของขวัญ ไม่มีทีวี ไม่มีตู้เย็นนะคะ

แต่จากการที่ส้มไปพัก ก็ไม่ได้เป็นปัญหาเลย

เพราะมีอะไรน่าสนใจกว่าการดูทีวีมาก

ส้มเป็นคนติดน้ำเย็น ได้ถามพี่ต่ายก่อนเข้าพัก ว่ามีกระติกให้ยืมมั้ย

เพราะทราบว่าไม่มีตู้เย็น พี่ต่ายก็จัดไว้ให้ค่ะ








รูปภายในของ "เฮือนของขวัญ" ค่ะ




ห้องน้ำที่นี่มีเครื่องทำน้ำอุ่นให้นะคะ แต่ห้องน้ำที่เฮือนของขวัญ ไม่มีหลังคา

เพราะฉะนั้นตอนอาบจะรู้สึกอิสระและหวาบหวิวไปพร้อมๆ กันค่ะ อาบน้ำไป มองท้องฟ้าและนาข้าวไป ชิลล์ดีค่ะ

ห้องค่อนข้างสูง ปลอดภัยดีค่ะ




นั่งเล่นชิลล์ๆ รับลมอยู่สักพัก พี่ต่ายนำ ข้าวเงี้ยว มาให้ชิมค่ะ

หน้าตาเหมือนห่อหมก เป็นห่อๆมา 2 ห่อ

แกะดูเป็นเหมือนข้าวผัด ชิมดูเหมือนข้าวผัดกับกระเทียม มีน้ำจิ้มเป็นกระเทียมเจียวและพริกแห้งมาค่ะ




ก่อนเข้าพัก ส้มคุยกับพี่ขวัญ พี่ขวัญใจดี มีลำไยไว้ให้ชิมด้วย ของโปรดส้มเลย กินคนเดียวเกือบหมด ^^



ส้มแจ้งพี่ต่ายไว้ล่วงหน้าว่ารับอาหารเย็นด้วย พี่ต่ายจะจัดเป็นชุดขันโตกให้ค่ะ

มีอาหาร 4-5 อย่าง กินกับข้าวเหนียว พี่ต่ายถามเราว่าสะดวกรับอาหารเย็นกี่โมง

เราสะดวกประมาณ 6 โมง พี่ขวัญน่าจะเพิ่งเลิกงาน ก็ยกมาให้เราถึงบ้านพักค่ะ

พร้อมปูที่นั่งที่แคร่ให้เรานั่งรับลมเสร็จสรรพ ค่าขันโตกมื้อนี้ 320 บาท นะคะ






วิวของเราสำหรับมื้อเย็นค่ะ



นั่งอยู่ได้สักพัก ฝนก็มาค่ะ เสียดายเลย ไม่ได้เก็บภาพตอนเย็นมาฝากกัน

ได้มาฝากแค่รูปก่อนที่ฝนจะกระหน่ำมา

เป็นรูป เฮือนของขวัญ ที่พักแสนสบายของเราในวันนี้ค่ะ



หลังจากที่ฝนกระหน่ำ เราก็รีบยกขันโตกขึ้นห้องกันก่อนเลย ฝนตกอยู่สักพักก็หยุดค่ะ

พี่ต่ายยังทักมาบอกเราไม่ต้องกังวล ฝนที่นี่ตกแบบนี้เป็นปกติ มาเดี๋ยวเดียว

ซึ่งก็จริงค่ะ คืนนั้นนอนสบายมากค่ะ ฝนหยุด ส้มออกไปดูข้างนอกที่พัก เงียบ สงบดีมาก

ตรงใจส้มกับคุณสามีเลย ตอนเช้า พี่ต่ายแชทมาบอกเราว่า ให้ตื่นออกมาดูหมอกบางๆ หน้าบ้าน

คือดีมาก ส้มรีบตื่นเลยค่ะ ตอนนั้น 6 โมงนิดๆ อากาศดีสุดๆ

ยังคงเงียบ สงบ อากาศเย็นๆ และสายหมอกจางๆ

นี่พิมพ์ไป ก็ยังคิดถึงอยู่เลย





ประมาณ 7 โมงนิดๆ พี่ต่ายก็ยกอาหารเช้ามาให้เราถึงที่พักค่ะ

เป็นข้าวต้มหมูกับเห็ดเต็มถ้วยมาเลย อร่อยมาก

ข้าวต้มร้อนๆ กับอากาศเย็นๆ เข้ากันดีมาก




ประมาณ 9 โมงกว่าส้มก็จำใจต้องเดินทางต่อค่ะ

พูดคุยกับพี่ต่ายก่อนกลับ พร้อมบอกว่าจะมาใหม่เมื่อมีโอกาส

ที่นี่คือดีจริงๆ ค่ะ ดีส้มจะบอกว่าดี และส้มกับสามีประทับใจในทุกอย่างของที่นี่เลย

ถ้าสนใจมาเที่ยวเชียงใหม่ แวะมาจอมทอง

อย่าลืมมาพักผ่อนที่เฮือนขวัญข้าวกันนะคะ ในอนาคตอาจจะมีร้านกาแฟ เพิ่มมาด้วยค่ะ พี่ต่ายบอกไว้



ดอยอินทนนท์


ออกจากเฮือนขวัญข้าวแล้ว จุดหมายต่อไปของเราคือ ขึ้นดอยอินทนนท์ค่ะ

ระยะทางไม่ไกลจากที่พักมากนัก ถึงจุดตรวจ ก็ลงไปชำระค่าเข้าอุทยานและค่ารถกันก่อนค่ะ

2 คน + ค่ารถ 130 บาทค่ะ ส้มไปได้ดอกมะลิไว้ไหว้พระธาตุด้านบนมาด้วย 4 กำ กำละ 20 บาทค่ะ




ทางขึ้นดอยอินทนนท์ไม่ยากค่ะ แต่ต้องมีความระมัดระวังดีๆ

มีสติ ไม่ประมาท ในทุกเส้นทาง ก็จะปลอดภัยค่ะ

เราค่อยๆ ขึ้นกันไปเรื่อยๆ ก็จะถึง พระมหาธาตุนภพลภูมิสิริและพระมหาธาตุนภเมทนีดลก่อนค่ะ

มีค่าเข้า คนละ 40 บาทนะคะ ที่จอดรถ จอดกันข้างบนเลยค่ะ




พระมหาธาตุนภพลภูมิสิริและพระมหาธาตุนภเมทนีดล


พระมหาธาตุทั้งสอง สร้างขึ้นเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ในหลวง รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ ค่ะ

ส้มพาชมรอบๆ นะคะ












ตอนขาขึ้นจะมีบันไดเลื่อนให้นะคะ ขาลงก็เดินลงมาค่ะ



เดินชมวิวรอบๆ ไม่นานก็ไปต่อค่ะ ต้องทำเวลา

ขึ้นไปถึงยอดดอยอินทนนท์ค่ะ แต่ไปถึงตรงกู่พระเจ้าอินทวิชยานนท์แค่นั้นค่ะ ไม่ได้เดินไปต่อ








ขากลับ ส้มแวะ โครงการหลวงอินทนนท์ เพื่อจัดการมื้อเที่ยงค่ะ

ที่ร้านอาหารของโครงการหลวง คนไม่เยอะค่ะ ตอนส้มไปมีไม่กี่โต๊ะ

มื้อนี้สั่ง ต้มยำปลาเทราต์ กะหล่ำปลีผัดน้ำปลา ไก่บ้านทอดเกลือ และน้ำแตงโมปั่นค่ะ

มื้อนี้ 670 บาท ราคาสูงทีเดียว รสชาติปกติสำหรับเราค่ะ









จากดอยอินทนนท์ เรามุ่งหน้าเข้าเมืองค่ะ

ส้มแวะที่ วัดต้นเกว๋น ก่อนค่ะ

คนไม่มีอีกเช่นกัน วันธรรมดานี่ดีจริงๆ

ที่วัดต้นเกว๋น เป็นวัดเก่าแก่ของเมืองเชียงใหม่

เป็นวัดที่เจ้าหลวงเชียงใหม่ ใช้แวะพักสำหรับการแห่พระธาตุ

เท่าที่ทราบวัดนี้จะเป็นวัดต้นแบบของหอคำหลวง ที่อุทยานราชพฤกษ์ด้วยนะคะ

เราใช้เวลาอยู่ที่นี่ไม่นานค่ะ เพราะตอนนี้อากาศร้อนมากๆ








Casa Marocc Hotel by Andacura


จากที่ส้มเกริ่นไว้ตั้งแต่แรกค่ะ ว่าจุดหมายหลักของทริปนี้ คือ

ส้มได้รับเลือกให้ทำรีวิวโรงแรมเปิดใหม่ในจังหวัดเชียงใหม่ คือ โรงแรม Casa Marocc Hotel by Andacura

เป็นโรงแรมที่เพิ่งเปิดใหม่ได้ 2 เดือน สดๆ ร้อนๆ เลย

ทริปนี้ส้มได้ที่พัก 1 คืน พร้อมอาหารเช้าค่ะ ส้มจะขอเรียกชื่อสั้นๆ ว่า Casa Marocc นะคะ


Casa Marocc ตั้งอยู่บนถนนเจริญประเทศ ตำบลช้างคลาน จังหวัดเชียงใหม่ค่ะ

เป็นโรงแรมกลางเมือง มีชุมชนอยู่รอบๆ ค่ะ เท่าที่ทราบ

แถวนี้เป็นแหล่งชุมชนของคนอิสลามค่ะ เป็นโรงแรมที่เป็น City View

ที่ตกแต่งในสไตล์โมรอคในทุกมุมของโรงแรมเลยค่ะ

มีความชิคและดูสวยงามดีค่ะ ตอนส้มไปถึงจอดรถด้านหน้าโรงแรมได้เลย

พนักงานเอาใจใส่ดี เดินมาสอบถามว่ามา check in หรือเปล่า

พร้อมทั้งมาช่วยยกกระเป๋า พาเดินไปยังจุด check in ค่ะ

พนักงานที่เค้าน์เตอร์ขอบัตรประชาชน และ ให้การ์ดสำหรับเข้าห้องและควบคุมระบบไฟในห้องกับเรามาค่ะ









ห้องพักของเราในวันนี้ อยู่ที่ชั้น 4 ค่ะ โรงแรมมี 8 ชั้นนะคะ

มีจำนวนห้องทั้งหมด 69 ห้อง แบ่งเป็น type ต่างๆ ดังนี้ค่ะ

- Deluxe Room ( 48 ห้อง )

- Deluxe Coner Room ( 12 ห้อง )

- Grand Deluxe Room ( 6 ห้อง )

- Family Suite on Penhouse (3 ห้อง )


ส้มเข้าพักที่ห้อง Deluxe Room ห้องเริ่มต้นแต่ไม่ได้คับแคบเลยค่ะ

ภายในห้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกตามมาตรฐานของโรงแรม

ห้องที่ส้มได้เป็น Double Bed ค่ะ มีระเบียงให้ชมวิว แต่เป็นวิวเมืองนะคะ

รอบๆ ก็จะเป็นบ้านคน แต่ไม่ได้วุ่นวายหรือเสียงดังอะไร

ภายในห้องพักจะมีน้ำดื่มให้ 2 ขวด มีกาแฟ 2 ชุด มินิบาร์คิดเงินตามเรทค่ะ มีป้ายบอกไว้













ห้องน้ำมี amenities ให้ครบค่ะ มีสายชำระและเครื่องทำน้ำอุ่นนะคะ

ห้องน้ำก็ขนาดพอดีค่ะ ไม่เล็ก ไม่ใหญ่จนเกินไป

แต่ที่ชอบมากของที่นี่กืคือ น้ำอุ่นอุ่นพอดี ไม่ต้องปรับให้ยุ่งยาก บางที่ส้มปรับจนรำคาญ เดี๋ยวเย็น เดี๋ยวร้อน






หลังจากเข้าพักผ่อนเรียบร้อย ส้มพาไปชมห้องพัก type อื่นๆ กันค่ะ

แต่จะไม่ได้เข้าชม type สูงสุดของที่นี่ อย่าง Family Suite on Penhouse นะคะ

เนื่องจากแขกเต็มทุกห้องค่ะ เสียดายมากๆ


Grand Deluxe Room

ห้องพักขนาด 32 ตารางเมตร เตียง Twin Bed นะคะ สิ่งอำนวยความสะดวกก็จะเหมือนกับห้องที่ส้มเข้าพักค่ะ







Deluxe Corner Room

ห้องพักขนาด 34 ตารางเมตร เตียง Twin Bed

สิ่งอำนวยความสะดวกของห้องนี้จะเพิ่มมาจาก 2 Type แรก

คือมี เตาไมโครเวฟและอ่างล้างมือให้ค่ะ สะดวกดีสำหรับคนที่อาจจะซื้อของเล็กๆ น้อยๆ มาทานแล้วต้องการอุ่นร้อน







Rooftop

ชั้น 8 นอกจากจะเป็นห้องพัก type Family Suite on Penhouse แล้ว

ยังมี Rooftop ที่ตอนนี้ทำเป็นลานโล่งๆ ไว้ค่ะ

จากที่สอบถาม คาดการณ์ว่าในอนาคตอาจจะทำเป็นมุมจิบชาชิลล์ๆ

รับลม ดูพระอาทิตย์ตกกันในยามเย็น ด้านบนลมแรง ถ้าทำเป็นที่นั่งชิลล์ๆ สบายๆ มีเพลงเพราะๆ ฟัง คงจะดีมากเลยค่ะ








ส้มไปเดินเล่นตรงอีกมุมของโรงแรม เป็นมุมสวนเล็กๆ ค่ะ




มื้อเย็นเราฝากท้องไว้ที่ห้องอาหารหนึ่งเดียวของโรงแรม

ที่เป็นที่ให้บริการอาหารเช้าของแขกที่มาพัก

และพร้อมเสิร์ฟอาหารตามเมนู จนถึง 21.00 น. ค่ะ

ส้มกับคุณสามีลองชิมแล้ว อาหารอร่อยดีค่ะ

เมนูที่สั่งกันจะเป็น ผัดไทห่อไข่และข้าวผัดน้ำพริกกะปิ

ห้องอาหาร Aladin ไม่เสิร์ฟอาหารที่ทำจากเนื้อหมูและไม่จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นะคะ

อย่างที่ส้มบอกไว้ว่าที่โรงแรมตั้งอยู่ในย่านชุมชนชาวบ้านที่นับถือศาสนาอิสลาม

ทางโรงแรมจึงต้องการให้สอดคล้อง กลมกลืนกับพื้นที่รอบข้างค่ะ

แขกที่เข้าพักก็จะมีทั้งฝรั่ง จีน และแขก

ทานอาหารเสร็จ ขึ้นไปพักผ่อน ว่าจะไปถ่ายรูปหน้าโรงแรมและเดินเล่นแถวๆ นั้น

แต่แผนก็ล่มอีกค่ะ ฝนเจ้ากรรม ตกลงมาอีก มา 2 วันก็เจอฝนตอนเย็น 2 วันเลย








ในส่วนของมื้อเช้า ก็จะเป็น American Breakfast

มีมุมสลัดบาร์ และมีอาหารไทย เป็นกับข้าว อยู่ 3-4 อย่างค่ะ

สับเปลี่ยนหมุนเวียนไปนะคะ มื้อเช้าที่นี่เริ่มตั้งแต่ 6.30 น. นะคะ มีแขกอยู่พอสมควรค่ะ








จากที่ส้มเข้าพักที่นี่ อยู่ในแหล่งชุมชนก็จริง แต่ไม่ได้ดูวุ่นวายหรือเสียงดังอะไรคะ

และที่นี่ยังใกล้แหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆ ของเมืองเชียงใหม่หลายจุดเลย

อย่าง Chiang mai Night Market ระยะห่าง 2.7 กม.

ตลาดวโรรส (กาดหลวง) ระยะห่าง 3 กม.

หรือวัดรอบประตูเมือง เพียง 3 กม.

ถือว่าน่าสนใจสำหรับการเข้าพักในโรงแรมระดับ 3 ดาว ที่อยู่ใจกลางเมืองเลยค่ะ


สายๆ ส้มก็ check out เพราะวันนี้โปรแกรมอีกยาวทีเดียว

เป็นวันสุดท้ายของทริปนี้แล้วค่ะ ส้มตั้งใจว่าเช้านี้อยากไปนั่งจิบกาแฟเบาๆ

หลังจากรับมื้อเช้าที่โรงแรมมาแล้ว ดูไว้ที่ร้าน Graph Café แต่ก็อดค่ะ

เชียงใหม่ สำหรับส้ม ถือเป็นเมืองที่ขับรถยากทีเดียว ซอกซอยเยอะ

และเท่าที่อ่านมาร้าน Graph café ไม่มีที่จอดรถหน้าร้าน อยู่ในซอย

ต้องจอดรถแล้วเดินเข้าไป ก็อดค่ะ หาที่จอดไม่ได้

เลยเปลี่ยนแผนไปวัดอุโมงค์แทน กาฟงกาแฟ รอไปก่อนละกัน


วัดอุโมงค์


เป็นวัดอีกแห่งนึงของเมืองเชียงใหม่ ที่เห็นรูปแล้ว ส้มสนใจที่จะมาค่ะ

ขับมาไม่ไกลจากแถวที่ส้มพักเท่าไหร่ ก็มาถึงค่ะ

แต่รถติดนิดหน่อย เวลาตอนนั้น 9 โมงกว่า รถติดเป็นปกติแหละเนาะ

ที่วัดอุโมงค์ จะมีจุดนึงที่เป็นอุโมงค์ตามชื่อวัด ให้เราได้เข้าไปชมค่ะ

ด้านในจะเหมือนถ้ำ มีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่หลายองค์เลย

เห็นบอกว่ามีภาพจิตรกรรม แต่ตอนส้มไปถึงค่อนข้างมืด ไม่ได้สังเกตเลยค่ะ









ออกจากวัดอุโมงค์ ส้มก็ยังคงมุ่งมั่นกับร้านกาแฟอยู่ค่ะ คือหิวมาก

เลยไปกันที่ บ้านข้างวัด

เพราะเห็นว่าอยู่ไม่ไกล แต่ก็นั่นแหละค่ะ ยังไม่เปิด แต่เข้าไปเดินเล่นได้ ส้มเลยเก็บภาพมาฝากค่ะ






แต่ยังโชคดีอยู่ เห็นข้างๆ กัน มีร้านกาแฟ+ร้านอาหารอยู่ด้วย

ชื่อร้าน 49 Garden café & bistro

ก็เลยตัดสินใจฝากท้องไว้ที่ร้านนี้ค่ะ แต่จนแล้วจนรอด ส้มก็ยังไม่ได้สั่งกาแฟ

สั่งเป็นสตรอโซดามาแทน เพราะมันร้อน เลยอยากได้อะไรที่ชื่นใจๆ

ของคุณสามียังคงเป็นมอคค่าเย็น ร้านบรรยากาศดีค่ะ ตอนส้มไปคนน้อย มีเพลงเพราะๆให้ฟัง










ออกจากร้านนี้แล้ว ส้มไปจะไปที่วัดสวนดอกค่ะ

วนๆๆ หาทางเข้าตาม google map พาไป คุณเค้าพาไปซอกแซกเหลือเกิน

กว่าจะหาเจอ แต่หาเจอแล้ว ก็ยังไม่ได้ลงค่ะ หาที่จอดรถไม่ได้ ก็เลยพลาดวัดนี้ไปอีกค่ะ

หลังจากนั้น ส้มก็ไปที่ วัดเชียงมั่น ค่ะ

คือก่อนมา ส้มหาข้อมูลทริป ก็ดูวัดๆๆ เพราะเห็นว่าสวยดี

วันสุดท้ายนี้อาจจะมีแต่วัดสักหน่อยนะคะ

วัดเชียงมั่น ส้มเห็นมีเจดีย์สีเหลืองทอง มีช้างเป็นฐานรองรับอยู่ค่ะ ไปแวะไหว้พระ และถ่ายรูปมานิดหน่อยค่ะ





ออกจากวัดเชียงมั่น ส้มก็ไปต่อที่ วัดโลกโมฬี

ในเวลาตอนนั้นคือร้อนมากๆ เลย แดดแรง แวะลงไหว้พระแล้วก็ไปยังจุดต่อไปค่ะ





จากวัดโลกโมฬี ส้มพาไปหาของกินกันต่อ ที่ ร้าน คั่วไก่นิมมาน ค่ะ ปีก่อนมา คนแน่นก็เลยอดค่ะ

เมนูของส้มเป็นคั่วไก่ ของคุณสามีเป็นสุกี้กระทะร้อนค่ะ




ข้างๆ กับคั่วไก่นิมมาน คือ ร้าน Iberry ค่ะ เพียรพยายามจะมาทุกครั้งที่มาเชียงใหม่

จนมาถึงครั้งนี้ ได้มีโอกาสมากับเค้าสักทีค่ะ ที่ร้านร่มรื่นดี คนเยอะทีเดียวค่ะ ทั้งในร้านและที่นั่งด้านนอก

ส่วนใหญ่มีแต่คนเอเชียค่ะ ได้เจอเจ้าของร้านด้วย แต่ไม่กล้าขอถ่ายรูป ^^





ส้มพาไปต่อที่วัดสุดท้ายของทริปนี้นะคะ วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร

ส้มเคยมาแล้วครั้งนึงเมื่อหลายปีที่แล้ว แต่ชอบวัดนี้ ก็เลยมาอีก

เป็นพระอารามหลวงของเชียงใหม่ ข้างในสวยมาก ๆ ค่ะ

ด้านหลังจะมีพระธาตุเจดีย์หลวง ซึ่งมาครั้งที่แล้ว ส้มไม่เห็น มาครั้งนี้ก็เก็บภาพมาฝากกันนะคะ








ภายในวัดเจดีย์หลวง ยังมีหออินทขีล ศาลหลักเมืองเชียงใหม่อยู่ด้วยค่ะ

ส้มไม่ได้เข้าไป เพราะเค้าห้ามผู้หญิงเข้า

คุณสามีเลยได้เข้าไปคนเดียว นำภาพมาฝากกันค่ะ



ออกจากวัดเจดีย์หลวงแล้ว ส้มไปแวะที่ กาดหลวง

เพื่อซื้อของฝากค่ะ รถเยอะ ดูวุ่นวายทีเดียว

ส้มไปฝากรถตรงร้านที่รับฝากรถ ตรงข้ามกาดหลวงค่ะ

ไม่รู้เค้าคิดยังไง แต่จ่ายไป 50 บาท

ภายในกาดหลวงก็ยังเหมือนเดิมกับที่เคยมาค่ะ

มีร้านขายของฝากของเชียงใหม่ ส้มก็ไม่รู้เจ้าไหนดัง เจ้าไหนดี

เห็นร้านไหน คนเยอะ ก็ซื้อร้านนั้นมาเลย




ตามแผนที่วางไว้ ส้มนัดคืนรถ เวลา 17.00 น. ค่ะ

ที่ สถานีรถไฟเชียงใหม่

แต่เวลาตอนนั้นประมาณ 16.00 น. ซึ่งส้มไม่รู้จะไปไหนแล้ว

ก็เลยตัดสินใจมาที่สถานีรถไฟเลยค่ะ มาจัดของรอเวลา อย่างที่บอกว่าพะรุงพะรังมาก

อ่อ ส้มเติมน้ำมันคืนเต็มถังนะคะ ประมาณ 600 กว่าบาทค่ะ

ตอนเข้าจอดที่สถานีรถไฟเชียงใหม่ จอดฟรี 20 นาทีนะคะ หลังจากนั้นมีค่าจอด น่าจะชม.ละ 10 บาท

จัดแจงจัดของเรียบร้อย ก็ไปเดินถ่ายรูปที่สถานีรถไฟรอรถค่ะ

ที่ส้มบอกไว้ตอนแรกว่าส้มจองรถไฟขบวนอุตราวิถีไว้ รถไฟออก 18.00 น.

แต่ตอนนั้น 4 โมงกว่าๆ เห็นรถไฟมาจอดรออยู่แล้ว จึงไปถาม จนท. แจ้งว่าสามารถขึ้นได้เลย

ส้มเลยโทรหาบริษัทรถเช่าดูค่ะ ว่ามารับรถได้เลยหรือไม่ หากไม่สะดวก ก็ให้มารับตามเวลานัด

เกือบๆ 5 โมง ก็มีคนมารับรถค่ะ ตรวจสอบรอยรถเรียบร้อยก็คืนเงินมัดจำ 3000 บาทค่ะ

ส้มพลาดอีกหนึ่งครั้งคือ ลืมให้บัตรจอดรถกับคนที่มารับรถค่ะ

และยังลืมจ่ายเงินค่าจอดที่น่าจะเกินไปด้วย มานึกออกตอนที่รถไฟออกไปได้สักพักแล้ว

จึงรีบไลน์ไปสอบถาม ทราบว่านำรถออกได้แล้ว ก็โล่งค่ะ ต้องขออภัย เพจ กินเที่ยวรถเช่า ตรงนี้ด้วยค่ะ




ไปค่ะๆ เดินทางกลับบ้านกันดีกว่า

ส้มเดินทางกลับด้วยรถไฟขบวนอุตราวิถี ขบวนที่ 10 เชียงใหม่ - กรุงเทพค่ะ

ตามกำหนดเวลา คือ ออกเดินทาง 18.00 น. ถึงกรุงเทพเวลา 06.50 น. ค่ะ

ตอนออกตรงเวลาเป๊ะ แต่ตอนถึงกรุงเทพ ประมาณ 07.30 น. เลทแต่ก็ยังพอรับได้ค่ะ

ส้มขึ้นรถไฟก่อนเวลา เลยมีเวลาเดินถ่ายรูปภายในรถไฟมาให้ชมค่ะ

ในขบวนชั้น 1 มีแต่ชาวต่างชาติ เป็นฝรั่งค่ะ มากันเป็นครอบครัว อยู่กันเป็นส่วนตัว ไม่วุ่นวาย ถูกใจค่ะ ที่เลือกชั้น 1



ภายในตู้ชั้น 1 ของขบวนรถไฟอุตราวิถี ขบวนที่ 10 นี้ ประกอบไปด้วยห้องจำนวน 12 ห้อง

เตียงนอน 24 เตียงค่ะ เท่ากับว่า 1 ห้อง จะมี 2 เตียงนะคะ จะเป็นเตียงชั้นบนและล่าง ราคาตู้ชั้น 1 ก็จะแพงกว่าตู้ชั้น 2

และในตู้ชั้น 1 ราคาเตียงบนเตียงล่างก็ไม่เท่ากันนะคะ

แต่ถ้าใครไปคนเดียว สามารถเหมาห้องได้ด้วยค่ะ

หรือหากไปหลายคน ก็สามารถเปิดห้องเชื่อม 2 ห้องได้ค่ะ






ในห้องจะมีอ่างล้างมือเล็กๆ ไว้ให้ มีกระจก มีตู้เก็บของเหนืออ่างล้างมือ

แก้วน้ำ 2 ใบ น้ำดื่ม 2 ขวด จะมีจอ 2 จอสำหรับเตียงชั้นบนและชั้นล่างค่ะ

หน้าจอนี้ไว้ดูได้ว่าเราอยู่สถานีไหนแล้ว ต่อไปสถานีอะไร ถึงสถานีไหนกี่โมง

เป็นหน้าจอส่วนตัวของใครของมันค่ะ สามารถดูได้ว่าสถานะห้องน้ำว่างหรือเปล่า จะได้ไม่เสียเวลาไปยืนรอค่ะ

ดูทีวีช่อง 3 5 7 9 ได้ค่ะ แต่ช่วงนี้เป็นรายการเกี่ยวกับในหลวง ร.9 อยู่นะคะ

เตรียมหูฟังไปด้วยนะคะ เพราะต้องใช้หูฟังในการฟังเสียงค่ะ

และเรายังสามารถสั่งอาหารจากหน้าจอตรงนี้ได้เลยค่ะ

ตู้เสบียงจะนำมาส่งถึงห้องพักเลย แต่จากที่ส้มสอบถาม จนท.แจ้งว่าเดินไปซื้อที่ตู้เสบียงเลยดีกว่า

เพราะจนท.ไม่เยอะค่ะ บางทีลูกค้าเยอะ ก็ไม่สะดวก

ในห้องยังมีปลั๊กไฟ ไฟอ่านหนังสือ ช่องเสียบ USB ให้พร้อมเลยค่ะ ของใครของมันอีกเช่นกัน

ในห้องจะมีผ้าเช็ดตัว ผ้าห่ม มาให้อย่างละชุดนะคะ 2 คนก็ 2 ชุด

ถุงซีลมาเรียบร้อยค่ะ ส้มดมแล้วไม่มีกลิ่นอับค่ะ

รถไฟออกไปสักพัก ประมาณ 2 ทุ่ม จนท.จะมาเคาะห้องถามเราว่าให้ปูเตียงเลยหรือเปล่า

ห้องพักมีตาแมวนะคะ ส่องดูได้ เพื่อความปลอดภัย

จริงๆ รถไฟมีกล้องวงจรปิดอยู่แล้ว แต่เราไม่ควรประมาทนะคะ

พี่จนท.ที่มาปูเตียง อัธยาศัยดีค่ะ ชวนเราคุย ถามเรื่องกล้อง แนะนำเรื่องการเดินทาง

ใช้เวลาปูเตียง 2 ชั้น เร็วมากๆ ค่ะ เริ่มจากดึงเตียง ปูที่นอน ใส่ปลอกหมอน เป็นอันเสร็จค่ะ

แจ้งว่าประมาณ 6 โมงเช้า ถึงดอนเมือง จะมาปลุกเราค่ะ

ส้มนอนชั้นบน ส่วนคุณสามีนอนชั้นล่างค่ะ

เตียงชั้นล่างจะใหญ่กว่าเตียงบนนะคะ ส้มสูง 160 นั่งชนเพดานพอดีค่ะ

จะมีบันไดน้อยให้ปีนขึ้น ปีนไม่ยากค่ะ ส้มลองแล้ว

ส่วนแอร์ ขึ้นชื่อว่าหนาวมาก อุณหภูมิในห้องประมาณ 18-19

ทางที่ดี ถ้าขี้หนาว ควรเตรียมเสื้อแขนยาวและถุงเท้ามาด้วยนะคะ เพราะมันหนาวมากจริงๆ

ส้มตื่นหลายครั้ง เพราะว่าหนาวเกินไป ยิ่งถ้านอนชั้นบนด้วยแล้ว โดนแอร์ใกล้มาก

ตอนนอนก็โคลงเคลงตามธรรมดาของรถไฟค่ะ ไม่ได้รุนแรงมากนัก

ตอนนอนส้มปิดไฟนอนค่ะ เพราะไฟสว่างมาก ไม่น่าจะนอนหลับ

ปิดไฟแล้วเปิดไฟอ่านหนังสือบนหัวนอนไว้ ก็ไม่ได้มืดจนเกินไปนะ












ตอนที่มาถึง ส้มได้ไปเดินถ่ายรูปตู้ชั้น 2 มาให้ค่ะ

ตอนนั้นคนยังไม่เยอะ เลยไปถ่ายมาให้ชมกันค่ะ

ตู้ขบวนชั้น 2 ก็จะเป็นที่นั่งหันหน้าหากันค่ะ

ถึงเวลาก็ดูว่าใครจองเตียงล่าง เตียงบนมา ก็นอนตามนั้นค่ะ

จะมีม่านปิดให้ส่วนตัว แต่อ่านมาว่าค่อนข้างบาง

แสงไฟนี่ทำให้บางคนนอนไม่ได้เหมือนกัน และจะมีน้ำเปล่าให้คนละขวดเหมือนกันค่ะ

ปลั๊กไฟกับไฟอ่านหนังสือ ส้มไม่แน่ใจว่ามีทั้งเตียงบน เตียงล่างหรือเปล่านะคะ

ตู้ขบวนชั้น 2 ไม่มีห้องอาบน้ำนะคะ






ส้มเดินไปตู้เสบียงตอน 3 ทุ่มกว่าๆ ก็ปิดม่านนอนกันเกือบหมดแล้วค่ะ

เหลือบางที่ที่ยังเห็นนั่งคุยกันอยู่ ทุกตู้ขบวนมีกล้องวงจรปิดและจะเปิดไฟไว้ตลอดนะคะ



อย่างที่บอกว่าส้มเดินไปตู้เสบียงมา ตู้เสบียงของขบวนรถไฟด่วนพิเศษอุตราวิถีนี้

จะอยู่ตู้ที่ 9 ค่ะ น่าจะกึ่งกลางของขบวน จะมีที่นั่งทานอาหารให้

แต่จากที่ดูแล้วก็ไม่ได้เยอะมากค่ะ ตู้เสบียงจะเป็นสีเขียว ดูสบายตาดีค่ะ

จำหน่ายอาหารแช่แข็ง เหมือนร้านสะดวกซื้อค่ะ

เมนูง่ายๆ ทั่วไป อย่าง กะเพรา แกงเขียวหวาน ประมาณนี้ค่ะ

มีเครื่องดื่มชา กาแฟ ขนมปัง ขนมคบเคี้ยว และของใช้ส่วนตัวนิดหน่อยค่ะ

ราคาก็ไม่ได้แพงกว่าร้านทั่วไปเท่าไหร่ค่ะ ส้มเดินจากตู้ที่ 2 ไปถึงตู้ที่ 9 คนนั่งเต็มค่ะ อาหารบางเมนูก็หมดแล้วค่ะ





สำหรับการเดินทางกลับด้วยรถไฟ ครั้งแรกของส้มกับคุณสามี เราให้ผ่านนะคะ

ราคาอาจจะสูง ใช้เวลานาน แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับระยะเวลาและความพอใจของแต่ละคน

ด้วยเพราะของใหม่ และ เราพอมีเวลา ก็เลยอยากลองค่ะ

ใช้เวลานานเหมือนตอนขับรถไป แต่เราไม่ได้ขับเอง ได้นอนสบาย ๆ ได้นั่งคุยกันมา ได้นั่งมองทาง ได้ประสบการณ์ใหม่ๆ

ส้มถือว่าคุ้ม ค่าค่ะ ออกตรงเวลา แต่ถึงกรุงเทพเลทไปหน่อย

แต่ก็ไม่ได้รุนแรงค่ะ พอรับได้ เหมือนจะไปติดตอนที่จะถึงสถานีปลายทางแล้วค่ะ จอดอยู่นานเลย

ในตู้ขบวนชั้น 1 ที่ส้มนอน ห้องแต่ละห้องเหมือนจะไม่เก็บเสียงเท่าไหร่นะคะ

ยังได้ยินเสียงห้องข้างๆ และเวลาเด็กๆ ที่มากับครอบครัววิ่งเล่น ยังได้ยินเสียงชัดเจนอยู่ค่ะ

ห้องน้ำ ห้องอาบน้ำ สำหรับรถไฟใหม่ ค่อนข้างสะอาดค่ะ

อาจจะเพราะจำนวนคนไม่เยอะ และเหมือนจะมีการทำความสะอาดอยู่บ่อยๆค่ะ

ก็สะดวกดีนะคะ สำหรับคนที่อาจจะเข้าห้องน้ำบ่อย

ห้องน้ำจะมีเต็มทุกห้อง แค่ช่วงที่จะถึงกรุงเทพ แต่ก็ไม่ได้นานอะไรค่ะ


ขบวนรถไฟด่วนพิเศษอุตราวิถี ขบวนที่ 10 เชียงใหม่ – กรุงเทพ

พาเรามาถึงจุดหมายปลายทางที่สถานีรถไฟกรุงเทพ

ในเวลาประมาณ 7.30 น. ของเช้าวันที่ 6 เมษายน ซึ่งเป็นวันจักรีค่ะ คนคึกคักมาก

เดินลงจากรถไฟมาไม่ไกล ก็จะเจอคิวรถ taxi ค่ะ

มุ่งหน้าสู่สถานีขนส่งหมอชิตเพื่อกลับบ้าน ขึ้นทางด่วน จ่ายไปอีก 50 บาท

ไม่นานเราก็มาถึง ในราคา 85 บาทค่ะ

ที่สถานีขนส่งหมอชิต คนก็เยอะไม่แพ้กัน รีบเดินไปซื้อตั๋วเพื่อกลับบ้าน

ขากลับ เราก็จ่ายค่ารถทัวร์ คนละ 191 บาทเหมือนเดิมค่ะ

เราไปถึงเร็ว รถออกเวลา 8.45 น. ก็เลยได้ยืนรออยู่สักพักค่ะ

สักพักรถก็ออก พนักงานบนรถ เน้นย้ำและขอความร่วมมือให้คาดเข็มขัดนิรภัยทุกที่นั่งค่ะ

คาดไว้เพื่อความปลอดภัยนะคะ

เกือบบ่ายโมง เราก็กลับถึงโคราชค่ะ

เมืองแห่งรถติด ไม่แพ้เมืองอื่นๆ ตอนนี้โคราช รถติดมากขึ้นกว่าแต่ก่อน

ช่วงเช้าๆ ถ้าเป็นช่วงเปิดเทอม ไม่ต้องพูดถึง ติดยาว ๆๆๆๆ และยาวเลยค่ะ

รถจะติดยังไง จะร้อนแค่ไหน ก็อย่าประมาทนะคะ

รอบนี้ขากลับเข้าบ้าน ก็เรียก taxi กลับเข้าบ้านค่ะ

ยังคงเจอราคาเหมา แต่ถูกกว่าขามามาก รอบนี้ taxi เรียก 100 บาท

โอเคเลยค่ะ นั่งไม่นานก็ถึงบ้าน บอกแล้วว่าบ้านส้มใกล้มาก ^^


****************************


สรุปทริป

ทริปนี้ส้มกับสามี ประทับใจเหมือนทุกทริปที่ผ่านมาค่ะ

เราวางแผนการเดินทางก่อนทุกครั้ง เตรียมพร้อมทุกอย่าง

เวลาจริงก็ปรับตามความเหมาะสม ยืดหยุ่นตามสถานการณ์ค่ะ

เราเดินทางกันเรื่อยๆ ไม่ได้เร่งรีบจนเกินไป อยู่ในความไม่ประมาท ปลอดภัยไว้ก่อน ในทุกๆ อย่างค่ะ

ทริปเชียงใหม่ของเรา 2 คนผ่านไปด้วยดี

หวังว่าจะมีประโยชน์สำหรับคนที่สนใจเดินทางอย่างเรานะคะ

กระทู้อาจจะมีตัวหนังสือเยอะไปหน่อย

แต่หวังว่ามันจะให้อะไรกับคนอ่านนะคะ ตรงไหนผิดพลาด ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ






I am Kamon

 วันอังคารที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2560 เวลา 01.03 น.

ความคิดเห็น