สืบเนื่องมาจากบัตรเครดิต KTC ได้มีกิจกรรม KTC Real Teamซึ่งเปิดโอกาสให้เพื่อนๆ ที่รักการท่องเที่ยวและเขียนรีวิวแชร์ประสบการณ์ ได้มีโอกาสไปสัมผัสกับสถานที่ท่องเที่ยวหรือที่พักต่างๆ ที่เข้าร่วมโครงการกับบัตรเครดิต KTCและครั้งนี้ คือครั้งที่ 35 ตอน “เพลินธรรมชาติและงานศิลป์ ณ ถิ่นล้านนา ที่ Marndadee Heritage River Village" ชวนเพื่อนๆ สมาชิกนักเดินทางสมัครเข้าร่วมกิจกรรม KTC Real Team บินสู่เชียงใหม่สัมผัสชีวิตพักผ่อนแบบ Slow Life 3 วัน 2 คืน แนบชิดธรรมชาติ สายน้ำ ท้องนาเขียวขจี ชมคอลเลคชั่นของเก่าและงานศิลปะ ณบูทีครีสอร์ท ที่สร้างด้วยรักอันดีงามจากแม่

จริงๆ แล้ว ผมเองไปเชียงใหม่บ่อยมาก แต่การไปเชียงใหม่ของผมในแต่ละครั้ง จะเน้นในเรื่องของการเดินทางท่องเที่ยวไปยังอำเภอรอบนอกเชียงใหม่เสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่เคยได้ไปใช้ชีวิตช้าๆ พักผ่อนแบบสบายๆ ในตัวเมืองเชียงใหม่เลย และครั้งนี้ถือว่าเป็นโอกาสอันดีที่ผมจะได้มีโอกาสไปพักผ่อนตามที่ผมตั้งใจ ผมเลยสมัครเข้าร่วมโครงการนี้ และก็โชคดีได้รับการคัดเลือกให้เข้าร่วมโครงการครับ

สิ่งที่ผมได้จากโครงการนี้คือ ตั๋วเครื่องบินไป-กลับ กรุงเทพ-เชียงใหม่,ห้องพัก 2 คืนที่ห้อง Executive Rice Barn รวมอาหารเช้า, อาหาร 2 มื้อ และ Aroma Spa Package ครับทริปนี้ผมเดินทางกับ Bangkok Airways โดยทำการ Check in ผ่าน Internet มาเป็นที่เรียบร้อย แต่เนื่องจากผมมีสัมภาระที่จะต้องโหลดใต้เครื่อง เลยแวะมา Drop สัมภาระที่ Counter ก่อน ทางสายการบินจะเปิด Counter สำหรับผู้โดยสารที่ทำการ Check in มาล่วงหน้าแล้ว โดยที่ผู้โดยสารไม่ต้องไปต่อคิวยาวๆ รวมกับผู้โดยสารท่านอื่นที่ยังไม่ได้ทำการ Check in ครับ

เมื่อทำการ Drop กระเป๋าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมรีบเดินทางไปยัง Gate 7 เพื่อไปใช้บริการ Lounge ชั่วคราวของ Bangkok Airways ครับ

ผมแวะมาฝากท้องในตอนเช้าที่นี่ ข้าวต้มมัด เป็นอีกสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับผมเมื่อมาใช้บริการกับ Bangkok Airways

หลังจากเต็มอิ่มกับมื้อเช้าแล้ว ก็มานั่งรอที่ Gate ครับ Flight ของผมเวลา 10.00 น. รอบนี้นั่งเครื่องที่มีลวดลายข้างเครื่องเป็นโลกใต้ทะเลครับ

บนเครื่องมีจอทีวีเล็กๆ ด้วยแฮะ ไม่คิดว่าเครื่องที่บินภายในประเทศจะมีจอทีวีเล็ก ๆ แบบนี้ด้วย เมื่อเครื่องขึ้นเรียบร้อยก็มีบริการอาหารว่างครับ ใช้เวลาบินประมาณ 1 ชั่วโมง ก็มาถึงสนามบินเชียงใหม่ครับ

Marndadee Heritage River Village มีบริการรถรับ-ส่ง สนามบิน-รีสอร์ทฟรี เพียงแต่ผู้เข้าพักต้องโทรประสานล่วงหน้าก่อนวันเดินทาง ใช้เวลาจากสนามบินมายังรีสอร์ท ประมาณ 15-20 นาทีครับ

คนทุกคนต่างมีที่มา ชายหญิง จากต่างที่ ต่างสังคม โคจรมาพบกัน ด้วยความชอบที่เหมือนกัน จึงตกลงใจที่จะสร้างสรรค์อนาคตบนเส้นทางเดียวกัน ซึ่งจุดเริ่มต้นที่ทั้งคู่ตระหนักตรงกันคือ การก่อกำเนิดของทั้งสองจนมาเป็นทุกวันนี้ ต่างเริ่มมาจากสองมือและหนึ่งหัวใจของสตรีที่เรียกขานกันว่า “แม่" คำที่ก่อเกิดวิญญาณชีวิตของลูกทุกคน และก่อเกิดแรงบันดาลใจให้สร้างพื้นที่สวยงามแห่งนี้ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ มารดาดี

ที่ตั้งของรีสอร์ทไม่ได้ตั้งอยู่บนถนนสายหลัก แต่อยู่ท่ามกลางชุมชนของชาวบ้าน จึงทำให้รีสอร์ทแห่งนี้ค่อนข้างสงบและเป็นส่วนตัวเลยทีเดียวครับ

มีกิเลน 2 ตัว รอต้อนรับอยู่ด้านหน้าของอาคาร Lobby เมื่อเดินเข้าไปก็จะพบกับปราสาทไม้ตั้งอยู่ด้านหน้า ขนาบซ้ายขวาด้วยตั่งไม้โบราณ และชุดเก้าอี้ไม้ตัวใหญ่ ไว้สำหรับให้แขกได้นั่งพัก

เมื่อเดินผ่านปราสาทไม้เข้าไป จะมองเห็นเป็นโถงทางเดิน ซึ่งด้านหน้าจะมองเห็นแม่น้ำปิง ส่วนด้านซ้ายและขวา มีภาพเขียน พร้อมเฟอร์นิเจอร์โบราณ ไม่ว่าจะเป็นชุดเก้าอี้ไม้ หีบ และตู้ไม้สีแดงสด ตั้งอยู่

เมื่อเดินจนสุดทางเดินแล้วเลี้ยวซ้าย จะมีบันไดอยู่ด้านซ้ายมือ ความรู้สึกของผมขณะก้าวเท้าขึ้นบันไดในแต่ละขั้นมันเกิดอาการอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาทุกขณะ อยากรู้ว่าที่ปลายบันไดนั้นผมจะได้พบเจอกับอะไร

สุดทางของบันได ผมพบอาคารไม้ทรงไทยหลังเล็กๆ ทำหน้าที่เป็น Lobby ครับ

ผมขอเล่าที่มาที่ไปของ Marndadee Heritage River Village สักนิดก่อนนะครับ เจ้าของที่นี่ มีความหลงใหลในงานศิลปะและวัตถุโบราณ ทั้งคู่ต่างท่องไปทั่วทุกมุมโลกเพื่อเสาะแสวงหาสิ่งเหล่านี้ แรกเริ่มเป็นเพียงของสะสม พอครั้นกาลเวลาผ่านไป วัตถุเหล่านี้ได้เพิ่มคุณค่าในตัวเอง จนทั้งสองเห็นว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ควรอยู่เพียงแต่ในพื้นที่ส่วนตัว แต่คุณค่าเหล่านี้ควรถูกแบ่งปันสู่สังคม อาณาจักรแห่งนี้จึงถือกำเนิดขึ้นโดยเริ่มต้นจากที่ดินติดแม่น้ำเพียงแปลงเดียว แล้วขยายเป็นที่ดิน 11 แปลง โดยจากเจ้าของ 11 คน เมื่อรวมกันจึงมีอาณาบริเวณเชื่อมต่อแม่น้ำ 200 เมตร จากจุดเริ่มที่ตั้งใจแสวงหาเพียงเพื่อสะสม แต่บัดนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นการคิดแบ่งปันคุณค่าแห่งวัตถุโบราณสู่ชุมชน ในที่สุดขยับขยายกลายเป็นอาณาจักร บูทีค รีสอร์ท แหล่งชุมชนวัฒนธรรมริมน้ำ ที่นี่ยังคงไว้ซึ่งมรดกแห่งความทรงจำในงานศิลปะอีกหลากหลายรูปแบบ เช่น ภาพเขียน รูปปั้น ประติมากรรมอรหันต์องค์ 8 หีบโบราณ บ่อน้ำเก่า ตู้โบราณ จึงไม่แปลกใจเลยที่จะเห็นทุกสิ่งอย่างถูกจัดวางไว้ตามจุดต่างๆ อย่างลงตัว เปรียบเสมือนพื้นที่แสดงงานศิลป์และวัตถุโบราณต่างๆซึ่งนอกจากจะเป็นการถ่ายทอดเรื่องราวการเดินทางค้นหาสิ่งล้ำค่าของชายหญิงสองคนแล้ว ยังเป็นการแบ่งปันความงดงามในอดีตจากทั่วทุกมุมโลกอีกด้วย

Welcome Drink เป็นน้ำกระเจี๊ยบเย็นๆ เรียกความสดชื่นมาได้บ้าง นี่ถ้ามีผ้าเย็นให้แขกอีกสักผืน คงจะดีไม่น้อยเลยครับ

ฝั่งตรงข้ามของ Lobby จะเป็นสระว่ายน้ำน้ำแร่แห่งแรกของเชียงใหม่ พร้อมจากุชชี่ แขกสามารถว่ายน้ำไป ดื่มด่ำกับความสวยงามริมน้ำปิงไปพร้อมๆ กับเครื่องดื่มเย็นๆ ช่วงตะวันตกดิน

ผมสังเกตว่าภายในรีสอร์ทจะแบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วน คือส่วนที่เป็น Lobby และห้องอาหาร อีกส่วนคือพื้นที่สำหรับห้องพักครับ

Marndadee Heritage River Village มีจุดกำเนิดจากประตูโบราณล้ำค่าสี่บาน โดยประตูเหล่านี้จะนำทุกท่านไปสู่การ ค้นหา เปิดใจ เข้าใจ และใส่ใจ ในวิถีชีวิตมนุษย์ ผมไม่แน่ใจว่านี่คือ 1 ใน 4 ประตูไม้โบราณหรือเปล่านะครับ

เมื่อเดินผ่านประตูไม้โบราณเข้าไป เหมือนได้นั่ง Time Machine ย้อนเวลากลับไปสู่อดีตเลยครับ เบื้องหน้ามองเห็นหมู่เรือนไทยโบราณที่มีลักษณะคล้ายหลองข้าว มองเห็นตึกโบราณท่ามกลางแปลงนา เห็นความเขียวขจีของเหล่าพรรณไม้นานาชนิด เห็นต้นโพธิ์ขนาดใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขา ให้ความร่มรื่นมากๆ ครับ

ไปชมห้องพักของที่นี่กันดีกว่าครับ

อาคารที่เห็น เป็นตึกชิโนโคโลเนียล (Sino Colonial) เป็นตึกลูกผสมซึ่งเป็นการผสมผสานของศิลปะระหว่างตะวันตกและจีน ช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ช่วงเวลาที่ชาวจีนอพยพมาตั้งรกรากอยู่ในเชียงใหม่ เป็นคหบดีร่ำรวย กำเนิดสถาปัตยกรรมแบบ Sino Colonial เช่น ตึกเก่าย่านถนนท่าแพ โดยชั้นล่างมีเพดานสูงโปร่ง กำแพงหนา แต่ก็ยังมีความร่มรื่นแม้ในเวลาที่แดดสาดส่อง ห้องพักภายในตึกชิโนโคโลเนียล มีทั้งหมด 10 ห้องครับ

บริเวณทางเดินของตึกชิโนโคโลเนียล จะมีรูปภาพเก่าๆ ติดอยู่ตามผนัง ดูไม่ต่างอะไรกับ Gallery เลยครับ มีเก้าอี้ให้แขกได้นั่งพัก ซึมซับกับบรรยากาศด้วย

ประตูห้อง ที่เปิดประตู แม่กุญแจเป็นแบบโบราณ ดูคลาสสิคมากครับ ห้องพักแต่ละห้อง จะมีชื่อเป็นของตัวเอง โดยชื่อแต่ละชื่อจะมีความหมายด้วยครับ

อย่างห้องแรกชื่อ “แม่วิน" ชื่อที่มีแต่ความอุดมสมบูรณ์ ประกอบกับสายน้ำแม่วางที่ไหลผ่านด้วยแล้วทำให้ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง เป็นแหล่งสำคัญในการผลิตอาหาร พืชผักเมืองหนาว ที่ตำบลแม่วิน ยังเป็นที่ตั้งของโครงการหลวงถึง 4 โครงการ ห้องแม่วินเชื่อมต่อกับห้องแม่แวนครับ

ในแต่ละห้อง จะมีการตกแต่งไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับเฟอร์นิเจอร์ที่เจ้าของได้สะสมไว้ และโทนสีของแต่ละห้องก็จะแตกต่างกันออกไป แต่สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น จอทีวี LED 42" ตู้เย็นพร้อมมินิบาร์ เครื่องชงกาแฟ ตู้นิรภัย โทรศัพท์ เครื่องเป่าผม สัญญาณ wifi รองเท้าแตะและเสื้อคลุมอาบน้ำ มีไว้ให้ทุกห้องเหมือนกันหมด ห้องนี้จะเป็นแบบ Double Bedded Room ให้โทนสีเขียวครับ

ทุกห้องจะมีมุมพักผ่อนอยู่ที่ระเบียงหลังห้อง มองเห็นทุ่งนาแปลงน้อย และห้องพักแบบ Rice Barn Villa ครับ

ห้องน้ำแบ่งเป็นส่วนเปียก ส่วนแห้ง อย่างชัดเจน สายฉีดชำระ ฝักบัว ก๊อกน้ำ แบบโบราณดูคลาสสิคมากครับ

“แม่แวน" เป็นชื่อของลำน้ำแม่แวน เป็นสายน้ำที่ไหลมาจากจังหวัดเชียงราย หล่อเลี้ยงชุมชนกลายเป็นตำบลแม่แวนในอำเภอพร้าว ห้องแม่แวนเชื่อมต่อกับห้องแม่วินครับ สังเกตว่ารูปภาพที่หัวเตียงแต่ละห้องก็จะไม่เหมือนกันด้วยครับ

ห้องนี้เป็นแบบ Twin Bedded Room ออกโทนสีเหลืองครับ

“แม่ลอย" ชื่อหมู่บ้านและตำบลที่อยู่ระหว่างรอยต่อของจังหวัดเชียงรายและพะเยา ชาวบ้านที่บ้านแม่ลอย ทำนาปลูกข้าว มีชีวิตอย่างผาสุก แม่ลอย อยู่บนชั้น 2 เป็นแบบ Double Bedded Room ให้โทนสีน้ำเงิน โคมไฟจะเป็นก้านทองเหลืองโบราณครับ

จะมีเก้าอี้ไว้ให้นั่งเล่นที่ระเบียง มองเห็นวิวทุ่งนาแปลงน้อยๆ ด้วยเช่นกันครับ

“แม่ริม" ชื่ออำเภอที่อยู่ระหว่างรอยต่อของจังหวัดเชียงใหม่ มีชื่อเสียงสำหรับนักท่องเที่ยว เนื่องจากมีธรรมชาติที่สวยงาม

ห้องนี้เป็นแบบ Double Bedded Room ให้โทนสีเทาครับ

ข้ามไปดูอีกตึกหนึ่งกันครับ

ตึกที่เห็นเป็นแบบลานนาโคโลเนียล (Lanna Colonial) ย้อนสู่อาณานิคมศตวรรษที่ 19 เป็นยุคที่เฟื่องฟูหรูหราของคหบดีจีน และยังผสมผสานกลิ่นอายของอารยธรรมตะวันตกแบบยุโรปหลอมรวมกับความรู้เชิงช่างจากชาวล้านนา เนรมิตให้เกิดสถาปัตยกรรมแบบลานนาโคโลเนียล ตึกแบบลานนาโคโลเนียล เป็นอาคารปูนผสมไม้สักออกแบบสไตล์ยุคอาณานิคม ซึ่งเป็นที่นิยมในช่วงรัชสมัยรัชกาลที่ 5 มีความสง่างามและความหรูหรา ภายในตึกประดับด้วยประตูจากวังเก่า ภายในตึกลานนาโคโลเนียล ประกอบด้วย 4 ห้องครับ

ด้านหน้าตึกลานนาโคโลเนียล มีงานประติมากรรมของอาจารย์ธงชัยศรีสุขประเสริฐ เป็นรูป มรรค 8 ซึ่งเป็นสิ่งที่พบเห็นในอีกหลายๆ จุดภายในรีสอร์ทแห่งนี้ครับ

เข้ามาด้านในตัวตึก ชั้นล่างจะตกแต่งแบบตะวันออก มีพื้นที่สำหรับให้นั่งพักผ่อน เก้าอี้และโต๊ะโบราณ มองขึ้นไปด้านบน เห็น chandelier ห้อยระย้า สวยงามมาก ชั้นบนจะตกแต่งสไตล์ยุโรปครับ

ห้องแรกที่ผมจะพาชมถือเป็นห้องที่ใหญ่ที่สุดในตึกนี้ ชื่อห้อง “แม่หญิง" เป็นห้องสูท คำว่าแม่ญิง หมายถึงผู้หญิง เป็นภาษาเหนือที่ย่อมาจากคำว่า แม่ญ่าแม่ญิง ห้องนี้เป็นห้องชุดใหญ่แบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วน คือ พื้นที่สำหรับทำกิจกรรม เช่น ดูทีวี เขียนหนังสือ หรือทานข้าว และพื้นที่ห้องนอนครับ

ลองสังเกตลวดลายฉลุของไม้สักที่อยู่เหนือบานประตูดูนะครับ หากนำลายฉลุครึ่งวงกลมของบานประตูนำมาประกบกัน จะมีลักษณะคล้ายโลโก้ “มารดาดี" เลยครับ

เมื่อเปิดประตูห้องเข้ามา โซฟาสีแดงตัวนี้ แตะตาผมเป็นอย่างมากเลยครับ พื้นที่ส่วนนี้จะเป็นพื้นที่สำหรับให้แขกได้มาทำกิจกรรมร่วมกัน

มีโต๊ะทานข้าว มีที่เขียนหนังสือ และอ่างล้างมือ อ่างล้างมือดูคลาสสิคไม่เบาเลยครับ

เมื่อเปิดประตูที่อยู่ข้างๆ โซฟาสีแดง จะเป็นพื้นที่สำหรับในนั่งเล่นชมสวนเขียว ริมแม่น้ำปิงครับ

มาดูในส่วนของห้องนอนกันบ้าง ห้องนี้เป็นแบบ Double Bedded Roomดูหรูหราเชียวครับ ภายในห้องนี้มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น จอทีวี LED 42" ตู้เย็นพร้อมมินิบาร์ เครื่องชงกาแฟ ตู้นิรภัย โทรศัพท์ เครื่องเป่าผม สัญญาณ wifi รองเท้าแตะและเสื้อคลุมอาบน้ำ

ที่ปลายเตียงนอน บริเวณตั่งและตู้จะมองเห็นผ้าม่าน หลังผ้าม่านมีอะไร เราไปส่องดูกันครับ ด้านหลังผ้าม่านจะเป็นอ่างอาบน้ำวิคตอเรียนอยู่ด้านนอกระเบียงเพื่อให้ผู้มาพัก ได้ชมวิวแม่น้ำ ดูดาวยามค่ำ พร้อมกับแช่น้ำผ่อนคลายครับ

สำหรับห้องน้ำ ก็แบ่งเป็นส่วนเปียกส่วนแห้งอย่างชัดเจน มีสายฉีดชำระให้พร้อมครับ

มาดูห้องพักอีกแบบภายในตึกลานนาโคโลเนียลกันบ้างครับ คือห้อง “แม่อุ๊ย “ ซึ่งหมายถึงย่าหรือยายในภาษากลาง ห้องแม่อุ๊ย เป็นแบบ Double Bedded Room ครับ

ห้องนี้จะมีพื้นที่ใช้สอยเพียงห้องเดียว ไม่เหมือนห้องแรกที่ผมพาไปชม ที่จะมีทั้งพื้นที่ในส่วนที่เป็นห้องนั่งเล่นทำกิจกรรมร่วมกันและห้องนอน แต่สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มีไว้ให้ครบครันเช่นเดียวกันครับ

มาดูห้องพักอีกประเภทกันบ้างครับ ห้องพักนี้จะเป็นแบบหลองข้าว (Rice Barn Villa)

หมู่เรือนไม้ที่ตั้งเรียงรายอยู่ริมแม่น้ำให้ความรู้สึกราวกับย้อนกลับไปหาเชียงใหม่ในอดีตนั้นคือ หลองข้าว หมายถึงยุ้งข้าวในภาษากลาง หลองข้าวเป็นเรือนไม้ทั้งหลังใต้ถุนสูง ในอดีตด้านล่างของหลองข้าว คือ คอกวัวควาย วันนี้หลองข้าวกลายเป็นอดีตของชาวล้านนา ตั้งแต่มีโรงสีเกิดขึ้นจึงพบเห็นหลองข้าวน้อยลง หลองข้าวที่ยังเหลืออยู่ปัจจุบันจึงเป็นเรือนไม้ที่มีอายุหลายสิบปี

เรือนไม้เก่าเหล่านี้ถูกดัดแปลงให้เป็นบ้านพักแบบวิลลา ด้านล่างเป็นส่วนนั่งเล่น มีทั้งเปลญวน และโต๊ะอาหารสำหรับครอบครัว

“แม่อ้อ" แม่อ้อเป็นชื่อตำบลที่มีอาณาเขตกว้างขวางในจังหวัดเชียงราย ชาวบ้านแม่อ้อมีแม่น้ำคาวไหลผ่านหล่อเลี้ยงชุมชนมาช้านาน

ภายในห้องพักของ Rice Barn Villa ตกแต่งด้วยงานศิลปะ และรายละเอียดที่แตกต่างกัน จึงให้เสน่ห์ที่ต่างกันไป เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เช่น จอทีวี LED 42" ตู้เย็นพร้อมมินิบาร์ เครื่องชงกาแฟ ตู้นิรภัย โทรศัพท์ เครื่องเป่าผม สัญญาณ wifi รองเท้าแตะและเสื้อคลุมอาบน้ำ

ภายในห้องน้ำแยกเป็นส่วนเปียกส่วนแห้ง และมีอ่างอาบน้ำวิคตอเรียนให้ด้วยครับ

มาดูห้องพักของผมกันบ้างดีกว่า ห้องพักของผมก็เป็นแบบหลองข้าวครับ ชื่อ “แม่คะนิ้ง" แม่คะนิ้งแปลว่าน้ำค้างแข็งในภาษาเหนือ ให้อยู่ชุ่มเย็นแม้วันที่อากาศร้อนระอุ แม่คะนิ้งพิเศษกว่าห้องอื่นๆ คือ เป็นห้องแบบ Executive Rice Barn จะอยู่หลังแรกทางขวามือเมื่อเดินผ่านประตูไม้โบราณเข้ามาครับ

ทุกหลังของ Rice Barn Villa จะมีตุ่มน้ำไว้สำหรับให้ล้างเท้าครับ

ชั้นล่างจะเป็นส่วนนั่งเล่น มีเก้าอี้สำหรับนั่งเล่น และมีกองใบใหญ่ ที่ตอนนี้ทำหน้าที่เป็นโต๊ะสำหรับวางของไปแล้วครับ [img]

มีโต๊ะอาหารเตรียมไว้ให้พร้อม

มีทั้งเปลญวนให้นอนอ่านหนังสือเล่น

เมื่อเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง จะมีลานกว้างสำหรับให้นั่งชมบรรยากาศแม่น้ำปิงด้วยครับ

มุขของจั่ว มีรูปแกะสลักไม้เป็นนกยูง สวยงามเชียวครับ

เมื่อเปิดประตูห้องเข้ามา ก็จะพบกับพื้นที่ในส่วนของห้องนอน ห้องพักเป็นแบบ Double Bedded Roomครับ

หมอนมีให้เลือก 2 แบบ แบบนุ่ม และแบบหนา

ที่หัวเตียง มีโคมไฟวางอยู่บนตู้ไม้โบราณเล็กๆ ครับ

มีจอทีวี LED ขนาด 42"อยู่ที่มุมห้อง

ปลายเตียงมีตั่งไม้สำหรับให้นั่งเล่น นอนเล่นดูทีวี แล้วยังมีกองโบราณใบโตทำหน้าที่เป็นที่วางของครับ

ที่มุมห้อง ติดกับประตูทางเข้า มีโต๊ะสำหรับเขียนหนังสือ

มีตู้เก็บของโบราณสีแดง วางอยู่ใกล้ๆ ปลายเตียง

ข้างๆตู้เก็บของและโต๊ะเขียนหนังสือ จะมีประตูที่เปิดออกไปห้องน้ำครับ

ระเบียงที่จะไปยังส่วนของห้องน้ำ มีโต๊ะวางของและเก้าอี้ไว้ให้นั่งด้วย ผนังช่วงทางเดิน สามารถเลื่อนเปิด-ปิด เพื่อเปิดรับลมได้อีกด้วย

พื้นที่ในส่วนของห้องน้ำกว้างขวางกว่าทุกๆ ห้องที่ผมได้เข้าไปชม มีหีบไม้โบราณสีแดงวางอยู่กลางห้อง

มีอ่างอาบน้ำวิคตอเรียน พร้อมตู้เสื้อผ้าโบราณสีแดง อยู่ที่มุมของพื้นที่ห้องน้ำด้านในสุด ภายในตู้เสื้อผ้าไม่มีไม้แขวนเสื้อไว้ให้ผู้เข้าพักนะครับ แต่จะมีไม้แขวนเสื้อเฉพาะไว้แขวนเสื้อคลุมอาบน้ำเท่านั้น ที่เสาไม้แต่ละต้นจะมีตะขอสำหรับให้แขวนเสื้อผ้าแทน

ฝั่งตรงข้ามของอ่างอาบน้ำ จะเป็นห้องอาบน้ำแบบฝักบัว และกระจกสำหรับแต่งตัว

มีอ่างล้างหน้าไว้ให้สองอ่างเลยครับ

ด้านข้างของอ่างล้างหน้าจะเป็นโถสุขภัณฑ์ ที่มีสายฉีดชำระไว้ให้พร้อม โถสุขภัณฑ์ ตั้งอยู่บนพื้นไม้ขัดมัน

ลวดลายของอ่างล้างหน้า สวยมากครับ ผมไม่แน่ใจว่าทำมาจากวัสดุอะไร

อุปกรณ์อาบน้ำครับ เครื่องอาบน้ำมีทั้งแชมพู ครีมนวดผม ครีมอาบน้ำ และครีมทาผิว แต่ผมว่า ครีมอาบน้ำมีไม่เพียงพอสำหรับผู้เข้าพัก 2 ท่าน ที่ต้องอาบน้ำ 2 ครั้งในหนึ่งวันครับ

ผนังด้านข้างของห้องน้ำ นอกจากจะเป็นหน้าต่างแล้ว ยังมีลายไม้ฉลุโชว์ความสวยงามด้วย

มินิบาร์ครับ

ในส่วนที่เป็น complimentary มีน้ำเปล่าให้ 2 ขวด ชา กาแฟครับ

Welcome Fruit มีแอปเปิลและส้มครับ แอปเปิลผลใหญ่เลยทีเดียว แต่ไม่มีมีดสำหรับเฉาะ ผมกัดแอปเปิลที ขากรรไกรแทบค้าง เพราะต้องอ้าปากกว้างถึงจะกัดแอบเปิลได้ครับ ถ้าหากทางรีสอร์ทเตรียมมีดไว้ให้ด้วย จะดีมากๆ ครับ

ที่เปิดประตูไปยังห้องน้ำ เก๋เชียวครับ

พื้นที่รอบ ๆ ห้องพักของผมครับ

80 % ของการตกแต่งภายใน Marndadee Heritage River Village จะใช้ของเก่าทั้งจากในประเทศและต่างประเทศทั่วโลก เช่น จีน อินเดีย พม่า มาเป็นส่วนประกอบ โดยนำมาจัดวางให้เหมาะสม คละเคล้ากันไป ทำให้ภายในหนึ่งห้องมีความหลากหลาย เช่น ตู้จากชาวอังกฤษที่เคยอาศัยอยู่ในประเทศพม่า เตียงจากคนเชื้อชาติเดียวกันแต่อาศัยอยู่ในประเทศอินเดีย ประตูจากบ้านล้านนา โซฟาจากเยอรมันนีทั้งนี้ในการทำงานทั้งหมดก็มีการปรับแต่งให้อยู่สบาย ทั้งสวยงามและใช้งานได้จริงครับ

ชมห้องพักกันมาหมดแล้ว คราวนี้มาชมบรรยากาศอื่นๆ ที่ทางรีสอร์ทมีไว้ให้กันบ้างดีกว่าครับ

เริ่มที่ Art Gallery ซึ่งตั้งอยู่บริเวณชั้นล่างของอาคาร Lobby ครับ ด้านหน้าจะมีเก้าอี้โยกให้ผู้ที่เข้าพักได้มานั่งพักผ่อนชมบรรยากาศริมน้ำปิงด้วย นอกจากนี้ยังมีของเก่าตั้งโชว์อยู่โดยรอบ

นอกจาก Art Gallery จะเอาไว้ใช้จัดแสดงภาพเขียนแล้ว ที่นี่ยังใช้เป็นสถานที่สำหรับประชุมอีกด้วยครับ

ติดกับ Art Gallery จะเป็นลานสำหรับทำกิจกรรม Cooking Class และกิจกรรมตัดตุงครับ

และอีกจุดที่ผมชอบไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าบริเวณอื่นเลย คือห้องน้ำครับ สไตล์การตกแต่งโดนใจผมทีเดียว

ห้องน้ำจะอยู่อีกฝั่งของ Art Gallery ครับ ด้านหน้าห้องน้ำจะมีเตียงไม้สำหรับให้ผู้เข้าพักได้มานอนเอกเขนกชมวิวริมน้ำปิงได้เหมือนกัน

ป้ายบอกห้องน้ำชายหญิง เป็นรูปถ่ายเด็กชาย-หญิง แนว Artครับ

การตกแต่งภายใน โทนสีดูสะดุดตา เก๋ไก๋ไม่ซ้ำใครครับ

มาดูในส่วนของ Marnda Brasserie ซึ่งเป็นชื่อของห้องอาหารของที่นี่ครับ อยู่บนชั้น 2 ติดกับ Lobby เลยครับ

ในส่วนของห้องอาหาร แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนที่เป็น Outdoor สามารถนั่งทานอาหารไปชมบรรยากาศริมน้ำปิงไปพร้อมๆ กันครับ

อีกส่วนจะเป็นพื้นที่ภายในตัวอาคาร มีกิเลนคู่อยู่ตรงทางเข้า ภายในตกแต่งให้โทนสีเหลือง ดูอบอุ่นและคลาสสิคดีครับ สำหรับพื้นที่อีกส่วน จะอยู่ด้านข้างของจุดนี้ ไว้สำหรับทานอาหารเช้าครับ

มาดูเมนูสำหรับเย็นนี้กันบ้างครับ

เริ่มที่ เกี๊ยวกรอบซัลซ่ามะเขือเทศครับ

ตามมาด้วยกุ้งห่มสไบ

ปลาทับทิมทอดสมุนไพร

แกงมัสมั่น

ปิดท้ายด้วยต้มยำกุ้งครับ

หลังอาหารมื้อค่ำ ผมคงต้องขอตัวเข้าพักก่อนครับ ขอบอกว่า ช่วงหัวค่ำ เสียงจิ้งหรีด เสียงกบ เขียด ต่างแข่งกันขับขานกันอย่างเซ็งแซ่ รับรองได้ว่า บรรยากาศแบบนี้หาไม่ได้ในตัวเมืองอย่างแน่นอนครับ

และพื้นที่อีกส่วนหนึ่งของ Marnda Brasserie ซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับทานอาหารเช้าครับ

เป็นพื้นที่ส่วนระเบียงที่ใช้ไม้ระแนงมาทำเป็นหลังคา จุดนี้สามารถชมบรรยากาศของโซนห้องพักได้ครับ พื้นที่นี้นอกจากจะใช้สำหรับทานอาหารแล้ว ยังใช้สำหรับโชว์ของสะสมเก่าๆ ด้วยครับ

โคมไฟแบบนี้ ผมเพิ่งจะเคยเห็นจากที่นี่แหล่ะครับ

ตู้โชว์ของเก่าๆ มีทั้งเครื่องพิมพ์ดีด โคมไฟ พัดลม ซึ่งผมเพิ่งจะเคยเห็นพัดลม 2 ด้านครั้งนี้เป็นครั้งแรกครับ นอกจากนี้ยังมีเครื่องฉายภาพยนตร์ด้วย

อาหารจะเป็นจานเดียว มีให้เลือกหลายอย่างเหมือนกันครับ ทั้ง American breakfast , ข้าวผัด, ก๋วยเตี๋ยวผัด,ข้าวต้มกุ้ย หรือ ข้าวต้มเครื่องครับ เสริฟพร้อมขนมปัง กาแฟ น้ำผลไม้ ปิดท้ายด้วยผลไม้สดครับ

มุมนี้มองจากห้องอาหารครับ

หลังอาหารเช้า ผมขอพาชมบรรยากาศรอบๆ Marndadee Heritage River Village อีกครั้งครับ

ประตูไม้โบราณบริเวณทางเข้าโซนที่พักครับ

Rice Barn Villa

Sino Colonial

นาข้าวไรซ์เบอรี่

หอพระ

มีการทำขวัญข้าวก่อนที่ผมไปเพียงไม่กี่วันครับ

ผักปลอดสารพิษ ที่พ่อครัวปลูกไว้บนเรือเก่า เพื่อเอามาใช้ประกอบอาหารครับ

ช่วงบ่ายผมมีนัดทำ Spa ที่ห้อง Spa เพลินจิตต์ ซึ่งตั้งอยู่ติดกับตึก Sino Colonial ครับ

ห้องเพลินจิตต์เป็นอาคารชั้นเดียว ที่แวดล้อมไปด้วยทุ่งนาและสวนดอกไม้ ดูสดชื่นมากๆ ครับ มีเก้าอี้ให้ผู้มาใช้บริการได้มานั่งพักผ่อนชมสวนเขียว ด้านหน้ายังมีบ่อน้ำโบราณอีกด้วย

ประตูของห้องเพลินจิตต์ ตกแต่งด้วยประตูจีน เมื่อเปิดประตูเข้าไป ได้อารมณ์แบบจีนจริงๆครับ เหนือประตูเป็นภาพปูนปั้นนูนต่ำแสดงถึงสี่ฤดูในรอบปี ภายในห้องเพลินจิตต์ จะมีห้องนวด 2 ห้อง คือ ห้องนวดไทย และห้องทำ Spa

ห้องแรก ให้โทนสีเขียว เป็นห้องนวดแผนไทย ด้านในสุดของห้องเป็นห้องน้ำครับ

อีกห้องให้โทนสีแดง ห้องนี้จะมีเตียงนวด ด้านในจะเป็นในส่วนของ Jacuzzi ห้องอบไอน้ำ ห้องอาบน้ำ และห้องสุขาครับ

พลังน้ำวนที่อุณหภูมิ 38 องศา จะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ พร้อมทั้งบำบัดดูแลส่วนที่เมื่อยล้า หรือแม้แต่ช่วยลดไขมันในร่างกาย อ่าง Jacuzzi มีขนาดใหญ่ขนาด 2 คนลงแช่พร้อมๆ กันได้อย่างสบายครับ

ถัดจาก Jacuzzi จะเป็นห้องอาบน้ำ ห้องสุขา และห้องอบไอน้ำครับ

สำหรับ Package ที่ผมได้ใช้บริการคือ Aroma Spa Package จะเริ่มที่การเข้าห้องอบไอน้ำ 15 นาที เพื่อช่วยเรื่องการหมุนเวียนของเลือด ขับของเสียที่อยู่ในร่างกาย ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง จากนั้นเป็นการขัดผิวแบบ Oriental Scrub ซึ่ง Scrub มีให้เลือก 3 อย่าง คือ Jasmine Rice, Tamarind และ Tanaca ครับ ใช้เวลาในการ Scrub 1 ชั่วโมง จากนั้นแช่ Jacuzzi อีก 15 นาที และปิดท้ายด้วยนวดน้ำมันอีก 1 ชั่วโมงครับ ขอบอกว่า ในช่วงสองชั่วโมงครึ่ง ผมไม่อยากให้มันผ่านไปเลย เพราะเป็นช่วงเวลาที่ผมผ่อนคลายเป็นที่สุดครับ

ก่อนทานอาหารเย็นผมขอพาชมบรรยากาศยามพลบค่ำของที่นี่กันก่อนครับ

ด้านหน้ารีสอร์ท

ด้านหน้าของอาคาร Lobby

Lobby ยามค่ำ

Marnda Brasserie

ประตูไม้โบราณหน้าโซนห้องพัก

หน้าห้องพักแบบ Rice Barn Villa

เพลินจิตต์

Sino Colonial

Lanna Colonial

ไปต่อกันที่อาหารเย็นกันเลยครับ

เย็นนี้ผมได้ ยำปลาแซลมอน รสชาติจัดจ้านครับ

ต่อด้วยปลาทับทิมนึ่งมะนาว

และปิดท้ายด้วยต้มข่าไก่มะพร้าวอ่อน

วันนี้เป็นวันที่ผมได้ใช้ชีวิตช้าๆ ในเมืองเชียงใหม่ อย่างที่ผมต้องการมากที่สุดเลยครับ การที่เราได้ออกต่างจังหวัด เพื่อมาพักผ่อน ไม่จำเป็นเสมอไปว่าต้องไปตะเวนท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ เพียงแต่เรามาใช้ชีวิตในสถานที่เงียบ ๆ อยู่กับตัวเอง ก็ถือเป็นอีกหนึ่งการพักผ่อนที่มีความสุขจริงๆ ครับ

เริ่มต้นเช้าวันใหม่กับอาหารเช้าที่ห้องอาหาร Marnda Brasserie กับเมนูข้าวผัดแฮมไข่ดาว เสริฟพร้อมขนมปัง กาแฟ น้ำผลไม้ รวมถึงผลไม้สดครับ

ก่อนเดินทางกลับ ผมขอพาชมดอกไม้สวยๆ ที่แข่งกันเบ่งบานภายใน Marndadee Heritage River Village ดีกว่าครับ

กล้วยไม้สกุลฟาแลนนอฟซิส (Phalaenopsis)

ว่านดาบนารายณ์

เอื้องหมายนา

หางกระรอกแดง

พุดน้ำบุศย์

ชบา

ชบาออสเตรเลียดอกซ้อน

หนวดปลาหมึก

กระดังงาสงขลา

โมก

พลับพลึงตีนเป็ด

กาหลง

ต้อยติ่งฝรั่ง

คล้า

เฟิร์น

ปักษาสวรรค์ (Bird of paradise)

เฮลิโคเนีย (Heliconia)

พุทธรักษา

บัว

สำหรับผู้ที่เดินทางมาเอง สามารถเลือกเดินทางได้หลายเส้นทาง ไม่ว่าจะใช้เส้นทางเชียงใหม่-หางดง หรือเชียงใหม่-ลำพูน ก็ได้

Marndadee Heritage River Village รีสอร์ทน้องใหม่ริมน้ำปิง ที่เพิ่งเปิดบริการไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2556 นี่เอง จุดเด่นของที่นี่ผมว่าคือความเงียบสงบ ความเป็นส่วนตัว ความกลมกลืนกับธรรมชาติ เหมาะอย่างยิ่งกับการพักผ่อน การใช้ชีวิตช้าๆ หนีความวุ่นวายในตัวเมือง และที่นี่ยังมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นเป็นของตัวเองในเรื่องการนำของสะสมและผลงานมากกว่า 300 ชิ้น เข้ามาเป็นส่วนประกอบในการตกแต่งห้องพัก ทำให้ห้องพักของที่นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ห้องพัก แต่เป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์ที่ผู้เข้าพักสามารถสัมผัสและชื่นชมของของสะสมได้อย่างใกล้ชิด

สำหรับสิ่งที่ผมอยากได้เพิ่มเติมจากการเข้าพักที่นี่ ซึ่งอาจจะเป็นสิ่งเล็กๆ ที่ทางรีสอร์ทมองข้ามไป แต่ผมว่ามันมีความจำเป็นที่ผู้เข้าพักต้องใช้สอย คือ

- ไม้แขวนเสื้อ

- ครีมอาบน้ำที่มีให้มีปริมาณน้อยเกินไปสำหรับการเข้าพัก 2 ท่าน

- เมื่อเปิดตู้เสื้อผ้าจะมีกลิ่นอับ อาจเนื่องมาจากเป็นตู้ไม้โบราณ หากหาวัสดุที่สามารถดูดกลิ่นอับมาใส่ในตู้ คงจะดีไม่น้อย

- Welcome Fruit ควรจะมีมีดเล็กๆ สำหรับหั่นผลไม้ไว้ให้ผู้เข้าพักด้วย

- ป้ายบอกทางมารีสอร์ท ค่อนข้างน้อยและไม่ชัดเจน ทำให้หาทางมารีสอร์ทค่อนข้างยาก

ท้ายสุดนี้ผมขอขอบคุณบัตรเครดิต KTC ที่เปิดโอกาสดีๆ ให้กับผม ขอบคุณ Marndadee Heritage River Village ที่ให้การต้อนรับผมเป็นอย่างดี ทำให้ช่วงเวลา 3 วัน 2 คืน ที่ผ่านไปแต่ละนาทีของผมมีค่าเป็นอย่างมาก ทำให้ผมได้อยู่กับตัวเอง ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ครับ

แล้วเวลาที่ผมไม่อยากให้มาถึง ก็ต้องมาถึง คือผมจะต้องกลับไปใช้ชีวิตแบบเร่งรีบอีกครั้ง ผมเดินทางกลับโดย Bangkok Airways

Lounge ชั่วคราวของ Bangkok Airways ที่สนามบินเชียงใหม่ก็ยังไม่แล้วเสร็จครับ แต่ครั้งนี้อาหารว่างมากกว่าที่ผมเคยมาใช้บริการ ครั้งก่อนนั้นทางสายการบินจะใส่กล่องไว้ให้ผู้ใช้บริการ ไม่สามารถทานได้ไม่อั้นเหมือนครั้งนี้ คาดว่า Lounge ที่ปรับปรุงใหม่จะแล้วเสร็จในสิ้นเดือนสิงหาคมนี้ครับ

ท้องฟ้าที่เชียงใหม่ค่อนข้างใสครับ เมื่อเครื่องขึ้นได้สักพัก สายการบินก็บริการอาหารว่างครับ

ก่อนเครื่องบินจะลดเพดานบิน ก็มีเรื่องให้ตื่นเต้นเล็กน้อย เนื่องจากเครื่องบินต้องบินผ่านกลุ่มเมฆที่ดำทะมึน พร้อมกับสายฝนที่โปรยปราย ทำให้เครื่องมีอาการสั่นเล็กน้อย ทำเอาหัวใจผมเต้นแรงด้วยความตกใจ แต่เมื่อผ่านกลุ่มฝน ฟ้าก็สดใสเช่นเดิม ถือว่าเป็นการจบทริปด้วยความประทับใจครับ


ลุงเสื้อเขียว

 วันศุกร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 15.31 น.

ความคิดเห็น