"เป็นแฟนหงส์ต้องอดทน"

วลีสั้นๆ นี้ แฟนลิเวอร์พูลชาวไทยใช้ปลอบใจกันเองมาหลายรอบนักษัตรแล้ว TT

แต่ถึงแม้ว่าผลงานของทีมที่รักจะสร้างความชาชินชีช้ำขอบตาคล้ำเป็นหมีแพนด้าให้กับพลพรรคเดอะค็อปอย่างไร เชื่อเหลือเกินว่า แฟนหงส์พันธ์ุแท้แทบทุกคนต้องอยากไปเยี่ยมเยือนสนามแอนฟิลด์ รังเหย้าของทีมรักสักครั้งหนึ่งในชีวิต

เอาหละครับ หลังจากสมัครเป็นสาวกทีมนี้พี่รักมาร่วม 20+ ปี แล้ววันนี้ของผมก็มาถึง เย้ๆๆๆ \^O^/

^ ขอขอบคุณ https://fearlessreds.wordpress.com/30-2/ สำหรับภาพสนามแอนฟิลด์ ก่อนการปรับปรุงอัฒจันทร์ใหม่ ข้างบนนี้ครับ ^

สนามแอนฟิลด์ เป็นสนามฟุตบอลขนานแท้ เปิดใช้งานข้ามศตวรรษมาตั้งแต่ปี 1884 ต่อมาในปี 1892 เมื่อสโมสรลิเวอร์พูลได้ถูกก่อตั้งขึ้น สนามแห่งนี้ก็ได้กลายเป็นรังเหย้าถาวรของมหาอำนาจลูกหนังแห่งเกาะอังกฤษ (เอิ่ม... ก็ได้ครับ เติมคำว่า ในอดีต ก็ได้ TT) นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

ซึ่งตลอดระยะเวลาร่วมร้อยปีเศษที่ผ่านมา กล่าวได้ว่า แอนฟิลด์เป็นมากกว่าบ้านของสโมสรฟุตบอลแห่งหนึ่ง เพราะเรื่องราวมากมายในประวัติศาสตร์ลูกหนังได้ถือกำเนิดเกิดขึ้นที่นี้ สร้างรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และบ่อยครั้งที่อาบไปด้วยคราบน้ำตาของแฟนบอลเกือบครึ่งแสนในการแข่งขันแต่ละนัด

อ้อ!! ทีมชาติอังกฤษ ที่เคยมีซุปเปอร์สตาร์อย่างเดวิด เบ็คแฮม และสตีเว่น เจอร์ราร์ด เป็นกัปตันทีม ก็เคยแวะเวียนมาใช้ที่นี่เป็นสนามเหย้าอยู่บ้างเป็นครั้งคราว รวมทั้งเมื่อครั้งที่อังกฤษ เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 1996 แอนฟิลด์ก็ได้รับเกียรติให้เป็นหนึ่งในสนามแข่งขันคราวนั้นด้วยนะ ^^

สำหรับการเดินทางไปแอนฟิลด์ วิธีที่สะดวกที่สุดวิธีการหนึ่งก็คือ การเดินทางด้วยรถไฟแล้วต่อด้วยรถโดยสารประจำทาง

โดยหากต้องเดินทางโดยรถไฟจากเมืองอื่นๆ ในเกาะอังกฤษมายังเมืองลิเวอร์พูล ก็ให้เลือกลงที่สถานีปลายทาง Liverpool Lime Street Station ซึ่งรูปร่างหน้าตาภายนอกของสถานีนี้ดูไปก็คลับคล้ายคลับคลาสถานีรถไฟในเมืองกรุงไม่ใช่น้อย ส่วนภายในดูโอ่โถงทันสมัยมาก

ก่อนจะออกจากสถานี ขอแนะนำให้ซื้อบัตรโดยสารระบบขนส่งมวลชนในเมืองลิเวอร์พูล แบบ Solo Ticket ไว้เลย สะดวกใช้งานง่าย แถมประหยัดอีกด้วย

หลังจากนั้น ให้เดินตรงออกมาทางหน้าสถานี เพื่อมาขึ้นรถโดยสารประจำทางที่ Queen Square Center ระยะทางเพียงชั่วอึดใจยังไม่ทันเหนื่อย ระหว่างทางก็ท่องไว้ให้แม่นว่า "ไปแอนฟิลด์ ขึ้นรถโดยสารประจำทางสาย 17 ที่สแตนด์หมายเลข 6" แค่นี้ทุกอย่างก็ฉลุย

หลังจากขึ้นรถฯ แล้ว โชเฟอร์จะพาเราตะลอนรอบเมืองเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาให้เราตื่นเต้นกลัวหลงไม่เกิน 20 นาที ก็จะมาจอดเทียบท่าหน้าสนามให้เราเดินลงไปชมสนามแอนฟิลด์สมใจปรารถนา เย้ๆๆๆ

แอนฟิลด์เป็นสนามฟุตบอลมาตรฐาน UEFA Category 4 Stadium (มาตรฐานระดับสูงสุด) ที่มีความจุก่อนได้รับการขยายอัฒจันทร์เมื่อปี 2016 อยู่ราวๆ 45,000 ที่นั่ง ซึ่งถึงแม้ว่าจะมีขนาดไม่ใหญ่ไม่โตเมื่อเทียบกับสนามของสโมสรยักษ์ใหญ่ๆ ในทวีปยุโรปทีมอื่นๆ แต่ที่นี่กลับเปี่ยมล้นไปด้วยเสน่ห์ มนต์ขลัง เรื่องราวและประวัติศาสตร์ให้เราได้ชื่นชมรายรอบสนาม ซึ่งผมขออนุญาตเล่าในครั้งต่อไป ส่วนวันนี้ขอนำชม Liverpool FC Museum หรือพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมเรื่องราวเกียรติประวัติต่างๆ ของสโมสรไว้ให้ชาวหงส์มาดื่มด่ำรสชาติของอดีตอันโชติช่วงชัชวาลย์ก่อน

สำหรับ Liverpool FC Museum นั้นตั้งอยู่ใต้อัฒจันทร์ Spion Kop ซึ่งเป็นอัฒจันทร์ที่แฟนบอลพันธ์ุแท้ขาประจำของสโมสรจะตามเข้ามาให้กำลังใจนักเตะอยู่ทุกนัด และอัฒจันทร์นี้ก็หาไม่ยากเลย ตั้งอยู่ติดกับป้ายหยุดรถโดยสารประจำทางที่เราเพิ่งเดินลงมานั่นแหละครับ สังเกตอนุสาวรีย์ Bill Shankly ชูสองมือไว้ เดินผ่านเข้าประตูทางด้านหลังที่มีคำว่า Museum&Tour Centre ชำระเงินค่าผ่านประตู ก้าวเท้าขึ้นชั้น 2 แล้วไปตื่นตาตื่นใจกันได้เลย ^^

จะว่าไปแล้ว ในแง่ของพื้นที่ Liverpool FC Museum ดูไม่อลังการงานสร้างเท่าใด ออกจะดูมืดๆ ทึมๆ เสียด้วยซ้ำ ซึ่งอาจเป็นความตั้งใจของสโมสรที่เน้นสิ่งของ และเรื่องราวที่นำเสนอ มากกว่าจะให้แฟนานุแฟนโฟกัสที่สถานที่ แต่จะเป็นด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม ต้องขอยอมรับว่า ข้าวของต่างๆ ที่จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้นั้น มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และมีความหมายทางใจอย่างยิ่ง ภาพที่ถ่ายมา คงนับได้เป็นแค่เพียงเสี้ยวหนึ่งของความยิ่งใหญ่และความทรงจำที่มีเท่านั้น

เอาหละ อารัมภบทกันพอสมควรแล้ว ตะลุยกันเลยดีกว่า ^^

เสื้อ FA Cup นัดชิงชนะเลิศ 1974 - แชมป์แรกๆ ในช่วง 2 ทศวรรษแห่งความยิ่งใหญ่ของสโมสร

เสื้อแจ็คเก็ต European Cup (หรือ UEFA Champions League ในปัจจุบัน) นัดชิงชนะเลิศ 1978 - แชมป์ยุโรปสมัยที่ 2 ของสโมสร

ถ้วยข้างๆ คือ ถ้วย Milk Cup (หรือ League Cup) ที่ลิเวอร์พูลครองความยิ่งใหญ่ทำสถิติเป็นสโมสรแรกและสโมสรเดียวในประวัติศาสตร์ที่สามารถคว้าแชมป์ 4 สมัยติดต่อกันได้ในปี 1981-1984

เสื้อ European Cup (หรือ UEFA Champions League ในปัจจุบัน) นัดชิงชนะเลิศ 1981 - แชมป์ยุโรปสมัยที่ 3 ของสโมสร

เสื้อของ Alan Kennedy ที่ใส่ลงสนามยิงประตูโทนให้หงส์แดงเอาชนะเรอัล มาดริด คว้าแชมป์ European Cup (หรือ UEFA Champions League ในปัจจุบัน) 1981 - แชมป์ยุโรปสมัยที่ 3 ของสโมสร

เสื้อ FA Cup นัดชิงชนะเลิศ 1986 - ดับเบิ้ลแชมป์ (ลีกและบอลถ้วย) ครั้งแรกและครั้งเดียวในประวัติศาสตร์สโมสร

เสื้อ FA Cup นัดชิงชนะเลิศ 1989 - แชมป์ท้ายๆ ในช่วง 2 ทศวรรษแห่งความยิ่งใหญ่

เสื้อลายใบไผ่อันโด่งดัง - แชมป์ Division 1 (หรือเทียบเท่า English Premier League ในปัจจุบัน) ฤดูกาล 1989/90 แชมป์ลีกสูงสุดครั้งสุดท้ายของสโมสร TT

เสื้อ FA Cup นัดชิงชนะเลิศ 1992 และถ้วย FA Cup ใบจำลอง

เสื้อผู้รักษาประตูของ Sander Westerveld ในฤดูกาล 2000/01 ที่สโมสรสร้างประวัติศาสตร์ Treble Winners สโมสรแรกของเกาะอังกฤษ

เสื้อขาวๆ นั่นคือ Jumper ของ Gerard Houllier ผู้จัดการทีมชุดสร้างประวัติศาสตร์ในฤดูกาลเดียวกัน

ถ้วยข้างๆ คือ ถ้วย Milk Cup (หรือ League Cup) ที่ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ 4 สมัยติดต่อกันในปี 1981-1984 และถ้วย UEFA Cup 2001 ใบจำลอง

ขอชักภาพกับเสื้อเทสติโมเนี่ยล แมตช์ ของคิงเคนนี่ Kenny Dalglish ตำนานนักเตะและผู้จัดการทีมคนสุดท้ายที่พาลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ลีกสูงสุดเมื่อฤดูกาล 1989/90 สักหน่อย

ดูเสื้อแล้วมาดูถ้วยรางวัลกันบ้าง

ถ้วยนี้คือ ถ้วย Milk Cup (หรือ League Cup) ที่ลิเวอร์พูลครองความยิ่งใหญ่ทำสถิติเป็นสโมสรแรกและสโมสรเดียวในประวัติศาสตร์ที่สามารถคว้าแชมป์ 4 สมัยติดต่อกันได้ในปี 1981-1984

ถ้วยนี้คือ ถ้วย Coca Cola Cup (หรือ League Cup) 1995 นับเป็นแชมป์รายการนี้สมัยที่ 5 ของสโมสร

เอ๊ะ!! คล้ายใบข้างบน แต่ถ้วยนี้คือ ถ้วย Coca Cola Cup (หรือ League Cup) 2001

ถ้วยรางวัลใบแรกของ Treble Winners ประวัติศาสตร์ ที่ลิเวอร์พูลทำสถิติเป็นสโมสรแรกและสโมสรเดียวของเกาะอังกฤษที่สามารถคว้าแชมป์บอลถ้วย 3 รายการในฤดูกาลเดียวกัน

ถ้วยนี้คือ ถ้วย FA Cup 2001

ถ้วยรางวัลใบที่สองของ Treble Winners ประวัติศาสตร์สโมสรแรกและสโมสรเดียวของเกาะอังกฤษ

ถ้วยนี้คือ ถ้วย UEFA Cup 2001

ถ้วยรางวัลใบที่สามของ Treble Winners ประวัติศาสตร์สโมสรแรกและสโมสรเดียวของเกาะอังกฤษ

เอ๊ะ!! คล้ายใบข้างบนนู่นนนนอีกแล้ว แต่ถ้วยนี้คือ ถ้วย Coca Cola Cup (หรือ League Cup) 2012 ถ้วยรางวัลใบล่าสุดของสโมสร และนับเป็นแชมป์รายการนี้สมัยที่ 8 ของสโมสร ซึ่งถือเป็นเจ้าของสถิติแชมป์สูงสุดของรายการนี้เลยทีเดียว

ถ้วยนี้ก็สำคัญ ถ้วยแชมป์ Division 1 (หรือเทียบเท่า English Premier League ในปัจจุบัน) ฤดูกาล 1989/90 แชมป์ลีกสูงสุดครั้งสุดท้ายของสโมสร (ดูใหม่ เหมือนเพิ่งได้แชมป์ไม่นานมานี้เลยทีเดียว 55 หัวเราะทั้งน้ำตา)

ในยุคสมัยหนึ่ง ลิเวอร์พูลถือได้ว่าเป็นสโมสรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในทวีปยุโรป คว้าแชมป์กวาดถ้วยรางวลัเข้าสโมสรเป็นว่าเล่น จนถึงขนาดมีการ์ตูนล้อเลียนว่าแม่บ้านสโมสรทำความสะอาดถ้วยไม่ทัน ตู้โชว์ก็เต็มจนล้นเลยทีเดียว

นอกจากเสื้อและถ้วยรางวัลแล้ว เหรียญรางวัลชนะเลิศรายการต่างๆ ก็มีอีกไม่น้อย

จารึกถึงเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ของสโมสรก็มีนะ เช่น โศกนาฏกรรมที่เฮย์เซลล์ เมื่อปี 1985

ว่ากันว่า เหตุการณ์อันน่าเศร้าสลดซึ่งทำให้แฟนยูเวนตุส คู่ชิงชนะเลิศฟุตบอล European Cup (หรือ UEFA Champions League ในปัจจุบัน) 1985 เสียชีวิตถึง 39 คน ในครั้งนั้นถือเป็นจุดเริ่มต้นของการสิ้นสุดยุคมหาอำนาจครองยุโรปและเกาะอังกฤษของลิเวอร์พูล

โดยหลังจากลิเวอร์พูลได้แชมป์ European Cup (หรือ UEFA Champions League ในปัจจุบัน) ในยุครุ่งเรืองถึง 4 สมัย ในรอบ 8 ปีแล้ว หลังจากนั้นต้องรออีกนานถึง 21 ปี หนึ่งในตำนานนักเตะของสโมสรอย่างสตีเว่น เจอร์ราร์ด จึงได้นำลูกทีมสร้างปาฏิหาริย์ที่อิสตันบูล คว้าแชมป์สมัยที่ 5 ได้สำเร็จในปี 2005 และนี่คือถ้วยใบจำลองแชมป์ 5 สมัยดังกล่าว

ส่วนในตู้ตรงนี้ คือ ถ้วยแชมป์ European Cup 1977, 1978, 1981 และ 1984 ใบจำลองขนาดเท่าของจริง ที่สโมสรคว้าแชมป์มาได้ในยุครุ่งเรือง

ก่อนจะถึงทางออก ก็จะมาถึงไฮไลท์ที่สำคัญที่สุดๆๆๆ ของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ คือ ถ้วยแชมป์ UEFA Champions League 2005 ใบจริง!!

ใบจริง???

ฟังไม่ผิดหรอกครับ นี่คือ ถ้วยรางวัลใบจริง ซึ่งสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (UEFA) กำหนดไว้ว่า จะมอบให้แก่สโมสรที่ครองแชมป์ยุโรป 3 สมัยติดต่อกันหรือคว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 5 ซึ่งเมื่อลิเวอร์พูลทำได้สำเร็จในปี 2005 ถ้วยรางวัลประวัติศาสตร์ที่นักฟุตบอลดังๆ หลายคนเคยได้ชื่นชม เช่น ราอูล กอนซาเลซ แห่งเรอัล มาดริด เมื่อคราวคว้าแชมป์ในปี 1998, 2000, 2002 เดวิด เบ็คแฮม แห่งแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อครั้งสร้างปรากฏการณ์ในปี 1999 หรือเปาโล มัลดินี่ เมื่อคราวคว้าแชมป์ในปี 2003 ก็ได้มาอยู่ในความครอบครองของสโมสรลิเวอร์พูลเป็นการถาวร ว้าวๆๆๆ

อะแน่นอน ขอชักภาพด้วยท่ายอดนิยมกับถ้วยใบนี้สักหน่อย ^^

สำหรับแฟนบอลลิเวอร์พูลแล้ว ผลงานในปัจจุบันของสโมสรอาจจะดูไม่น่าอภิรมย์พิสมัยเท่าใดนัก แต่เรื่องราวในอดีตของมหาอำนาจแห่งเกาะอังกฤษทีมนี้มีแต่ความน่าตื่นตาตื่นใจจริงๆ

ยิ้มแก้มปริแบบฟินๆ กลับบ้านจ้าาาา ^^

# # # # #

#VACAVACA #UK #England #Liverpool #Anfield #UCL2005
#สหราชอาณาจักร #อังกฤษ #ลิเวอร์พูล #แอนฟิลด์ #ยูซีแอล2005

# # # # #

เรื่องเล่าจากการไปเยือนแอนฟิลด์ เมื่อปี 2009 และ 2012
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อเดือนเมษายน 2017
ข้อมูลต่างๆ และสภาพสนามแอนฟิลด์ในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากสนามได้รับการขยายอัฒจันทน์ใหม่ เมื่อปี 2016
ดูรายละเอียดข้อมูลการขยายสนามแอนฟิลด์ของสโมสรลิเวอร์พูลได้ที่ http://www.liverpoolfc.com/stadium/stadium-expansi...

# # # # #

สำหรับผู้ที่กรุณาอ่านรีวิวของเรา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมตตาช่วยกดไลค์กดแชร์ เราต้องขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงมา ณ ที่นี้
สำหรับผู้ที่ชื่นชอบหรือถูกใจในรีวิว มีข้อแนะนำหรือติชม รวมทั้งสนใจพูดคุยสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ก็ทักทายในกล่องข้อความด้านล่างรีวิวนี้หรือตามลิงค์ต่างๆ ด้านล่างได้เลย จักยินดีเป็นอย่างยิ่ง
อ้อ ฝากติดตามผลงานภายใต้ชื่อ VACA VACA นามปากกาใหม่ของเราบน Readme.me ด้วยน้าาาา
https://th.readme.me/id/sk38129
ขอบคุณมากครับ/ค่ะ ^/i\^

# # # # #

http://www.iamsk38129.com/
https://www.facebook.com/FootballandThailandLovers
https://instagram.com/ftls_store/?ref
https://twitter.com/FTLs_Store
https://plus.google.com/103925332040178584760/about
https://www.youtube.com/channel/UC_x851zlq7ufNa-dpQz04bQ

# # # # #

ดูรายละเอียดข้อมูลสนามแอนฟิลด์และการเดินทางไปรังเหย้าชาวหงส์แห่งนี้ได้ที่ http://www.liverpoolfc.com/stadium และ http://www.liverpoolfc.com/fans/fan-experience/get...
ดูรายละเอียดข้อมูลโครงข่ายการคมนาคมขนส่งมวลชนของเมืองลิเวอร์พูลได้ที่ MerseyTravel http://www.merseytravel.gov.uk/Pages/Welcome.aspx

VACA VACA

 วันอังคารที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2560 เวลา 16.38 น.

ความคิดเห็น