.

.

ผมได้ร่วมสนุกทาง FB : ไทยเที่ยวไทย และได้รับรางวัลเป็น Voucher ที่พักที่ ทับขวัญ รีสอร์ท แอนด์ สปา จ.นนทบุรี จำนวน 1 คืน พร้อมอาหารเช้าครับ รายละเอียดนอกเหนือจากการเข้าพัก เช่น ค่าเดินทาง ค่าอาหาร ค่าท่องเที่ยวที่เกาะเกร็ด ผมออกค่าใช้จ่ายเองทั้งหมดครับ

การเดินทางมาที่ทับขวัญ ก็ไม่ยากเลยครับ สามารถมาได้หลายเส้นทาง ทั้งมาจากทางท่าน้ำนนท์ หรือจะข้ามแยกแคราย มาทางถนนรัตนาธิเบศร์ก็ได้ครับ แต่ถนนช่วงก่อนที่จะถึงรีสอร์ทนิดหน่อยเส้นทางจะไม่ค่อยสะดวกนัก เนื่องจากกำลังก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งใหม่ เลยต้องมีการกลับรถกันหลายรอบมากกว่าจะมาถึงที่รีสอร์ทได้ครับ

เมื่อรถเลี้ยวเข้ามาในรีสอร์ทก็รับรู้ได้ถึงความสงบร่มรื่นเลยครับ บรรยากาศข้างในเต็มไปด้วยแมกไม้เขียวสดชื่นจริงๆ จากลานจอดรถ พนักงานจะขับรถกอล์ฟมาขนสัมภาระไปให้ครับ

รูปแบบของ ทับขวัญ รีสอร์ท แอนด์ สปา จะสร้างคล้ายๆ เรือนคหบดี ที่รายล้อมไปด้วยเรือนหมู่แบบไทยสมัยอยุธยา 7 หลัง สร้อยระย้า พุดจีบ แก้วมุกดา พิกุล บุญนาค พุดน้ำบุศย์ พุดพิชญา คือชื่อของดอกไม้ไทย ซึ่งรีสอร์ทได้นำมาตั้งเป็นชื่อของห้องพักของที่นี่ครับ

ชั้นล่างของเรือนหลังใหญ่ จะจัดพื้นที่เล็กๆ สำหรับทำเป็น Lobby มีของเก่าๆ ตั้งไว้ให้แขกได้ชื่นชมความสวยงามด้วยครับ

มีพื้นที่ให้แขกได้นั่งพักผ่อนระหว่างรอการ Check-in, Check-out ครับ

สำหรับคืนนี้ผมได้เข้าพักที่เรือน บุญนาค ครับ

ต้นโมกถูกตกแต่งเป็นแนวยาว เพื่อใช้บอกอาณาเขตของเรือนไทยแต่ละหลัง เมื่อก้าวผ่านประตูไม้ ความรู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปยังสมัยโบราณเลยครับ

เรือนไทยหลังใหญ่ยกใต้ถุนสูง ให้ความรู้สึกโปร่ง โล่ง มีโต๊ะและเก้าอี้ไว้ให้ผู้เข้าพักได้นอนเอนกายรับสายลมโชยชื่น ด้านหน้าของเรือนไทยยังมีศาลาริมน้ำส่วนตัว ไว้ให้ผู้เข้าพักชื่นชมกับสายน้ำ ที่เต็มไปด้วยกอบัวและปลาฝูงใหญ่แหวกว่ายไปมา

ใต้ถุนชั้นล่าง มีห้องน้ำให้ด้วยครับ ค่อนข้างกว้างเลยทีเดียว

ขึ้นบันไดมาดูชั้นบนกันบ้างดีกว่าครับ

เดินขึ้นบันไดมาจนสุด เมื่อเปิดประตูออกมาจะพบกับเรือนชาน มีตั่งไม้เตรียมไว้ให้นั่งเล่นพักผ่อน มีโต๊ะทานอาหารวางอยู่ริมหน้าต่างด้วยครับ

เมื่อเปิดประตูตรงเรือนชาน ก็จะเป็นในส่วนของห้องพักครับ

พื้นที่ภายในห้องจะเป็นลักษณะแนวยาวเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า พื้นห้องปูด้วยแผ่นไม้ขัดมัน ผมไม่แน่ใจในเรื่องกระบวนการขัดมันของทางรีสอร์ทว่าใช้วิธีไหนในการขัด แต่ผมรู้สึกว่าเวลาเท้าเปล่าสัมผัสกับพื้นห้องแล้วเดินไปมา มันรู้สึกเหมือนเท้าแหยะ ๆ มันลื่นเป็นจุดๆ คล้ายการลง wax ไม่สม่ำเสมอทั้งแผ่นครับ

มีมุ้งให้พร้อม

มีโต๊ะสำหรับไว้เขียนหนังสือหรือจะใช้เป็นโต๊ะเครื่องแป้งก็ได้ นอกจากนี้ยังมีกระจกบานใหญ่อีก 1 แผ่น อยู่ตรงข้ามกัน มีทีวีจอแบนอยู่บริเวณปลายเตียง รีโมททีวีแอบมีละอองน้ำมันเกาะอยู่เต็มรีโมทเลยครับ ไม่รู้ว่าสาเหตุของละอองน้ำมันเกิดจากวิธีการลง wax ของทางรีสอร์ทหรือเปล่าไม่แน่ใจครับ

ด้านข้างของเตียงจะเป็นชุดโซฟา ไว้สำหรับนั่งพักผ่อน ด้านข้างยังมีตู้สำหรับเก็บสัมภาระต่างๆ ที่เอาไว้ใช้ภายในห้องพักครับ

เปิดตู้ออกมา มีผ้าเช็ดตัว ผ้าเช็ดมือ ไดร์ฟเป่าผม ผ้าขาวม้า ผ้าถุง ชุดคลุมอาบน้ำ กระดาษทิชชู และตู้นิรภัย ด้านข้างของตู้เป็นราวสำหรับแขวนผ้าครับ

มีมินิบาร์บ้างเล็กน้อย

ที่เตะตาผมมากๆ เห็นจะเป็นสวิทซ์ปิด-เปิดไฟนี่แหละครับ ให้อารมณ์โบราณมากๆ ครับ

ห้องน้ำกว้างขวางเลยทีเดียว ผนังไม้ด้านข้างของโถสุขภัณฑ์ เป็นหน้าต่างบานเล็กๆ สามารถเปิดไปชมบรรยากาศด้านนอกได้ครับ

ดูบรรยากาศภายในห้องพักกันแล้ว ไปดูบรรยากาศด้านนอกกันบ้างครับ

ที่เรือนหลังใหญ่ ฝั่งตรงข้ามกับ Lobby จะเป็นห้องอาหารไทยครับ เปิดให้บริการทั้งวัน ห้องอาหารนี้ใช้เป็นห้องทานอาหารตอนเช้าด้วยครับ

ลักษณะของห้องจะมีผนังด้านหนึ่งเป็นกระจก สามารถนั่งทานอาหารไปชมบรรยากาศไป ทำให้รู้สึกเหมือนได้สัมผัสความเป็นธรรมชาติอยู่ตลอดเวลา ส่วนผนังอีกด้านประดับไปด้วยภาพเขียนสีผืนใหญ่ ลบความแข็งของผนังปูนได้เป็นอย่างดีครับ

มาดูชั้นบนกันบ้าง ช่วงที่ผมไป ทางรีสอร์ทกำลังจัดเตรียมพื้นที่สำหรับงานแต่งงานที่จะมีในวันรุ่งขึ้น มีการตกแต่งสถานที่อย่างสวยงามครับ ที่นี่นอกจากจะเป็นที่พักแล้ว ยังให้บริการในเรื่องของสถานที่แต่งงานอีกด้วย เริ่มตั้งแต่พิธีสงฆ์ตอนเช้า พื้นที่จัดเลี้ยงหลังเสร็จพิธีแบบ outdoor หรือจะเป็นห้องจัดเลี้ยง/สัมมนาแบบ indoor ด้วยครับ

บรรยากาศยามพลบค่ำครับ ดูมีเสน่ห์จริงๆ

เนื่องจากช่วงเช้ามีพิธีแต่งงาน ทางรีสอร์ทจึงนำอาหารเช้ามาเสริฟให้ผมถึงห้องพักเลยครับ สำหรับอาหารเช้าจะมีข้าวต้มแบบไทยๆ ที่มีให้เลือกทั้งข้าวต้มหมู,ปลา,กุ้ง หรือจะเป็น ABF ก็มีครับ เสริฟพร้อมกับกาแฟ น้ำส้ม และผลไม้ครับ

ช่วงเช้าแบบนี้ ดอกบัวเริ่มแข่งกันบานเต็มสระที่อยู่ด้านหน้าห้องพักเลยครับ สวยงามดีครับ

สำหรับจุดเด่นของที่ทับขวัญ รีสอร์ท แอนด์ สปา ผมว่าน่าจะเป็นเรื่องความร่มรื่นความสงบที่อยู่ท่ามกลางเมืองใหญ่ที่ปัจจุบันมีแต่ตึกรามบ้านช่องที่แข่งกันผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด จะหาพื้นที่สีเขียวแบบนี้ได้ค่อนข้างยากแล้ว ที่นี่จึงได้รับความนิยมในเรื่องของการใช้พื้นที่เพื่อจัดพิธีมงคลเป็นอย่างมาก อีกอย่างคือให้บรรยากาศย้อนยุคกับการใช้ชีวิตช้าๆ ได้ดีจริงๆ ครับ

ผมว่าแขกที่เข้าพักที่นี่มีค่อนข้างน้อย อาจจะเนื่องมาจากยังไม่ค่อยเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวมากนัก เพราะส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวใน กทม.และปริมณฑล จะเน้นดูทำเลที่พักที่ตั้งที่อยู่ใจกลางเมือง มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มากกว่า ผมเลยรู้สึกว่า บางครั้งห้องพักที่ได้ทำความสะอาดหลังจากแขก check out ไปแล้ว แล้วเมื่อไม่มีแขกมาพัก นานเข้าก็จะมีฝุ่นบ้าง ที่เห็นได้ชัดคืออุปกรณ์ภายในห้องน้ำ บริเวณอ่างล้างหน้า รวมถึงอุปกรณ์อาบน้ำ ไม่ว่าจะเป็นสบู่ ยาสระผม ครีมอาบน้ำ มีฝุ่นเกาะค่อนข้างเยอะ อีกเรื่องคือ พื้นห้อง ผมว่ามันลื่นแบบเป็นเมือกที่เท้า เดินแล้วไม่สบายเท้าเลยครับ

ด้านข้างของรีสอร์ทด้านหนึ่ง จะติดกับอพาร์ทเม้นท์สูงหลายชั้นเลยทีเดียว จึงทำให้เรือนพักที่หันหน้าเข้าหาอพาร์ทเม้นท์อาจดูอึดอัด และไม่เป็นส่วนตัวไปเสียหน่อยครับ

สำหรับใครที่ไปทำธุระหรือท่องเที่ยวในเมืองใหญ่ แล้วมีความจำเป็นที่จะต้องค้างคืน หากท่านเป็นคนเบื่อความเจริญในตัวเมืองใหญ่ ความวุ่นวายของการใช้ชีวิตในเมืองหลวง แล้วอยากจะหาบรรยากาศของที่พักแบบสงบ ร่มรื่น ผมว่าที่นี่ตอบโจทย์ได้ดีเลยทีเดียวครับ

ไหนๆ ผมก็เข้ามาเมืองหลวงทั้งทีแล้ว ยังพอมีเวลาช่วงสายๆ หลัง Check out ผมเลยเลือกไปหาที่เดินเล่น หาของทานเล่น ที่เกาะเกร็ดครับ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พักของผมสักเท่าไร

เกาะเกร็ดเป็นเกาะกลางแม่น้ำเจ้าพระยา ชาวบ้านที่อยู่บนเกาะส่วนใหญ่จะเป็นคนมอญครับ ที่นี่มีชื่อเสียงทางด้านเครื่องปั้นดินเผา เอกลักษณ์ของเกาะเกร็ดเห็นจะเป็นเจดีย์มุเตาสีขาว ที่เอียงอยู่ริมน้ำเจ้าพระยานี่แหล่ะครับ

เจดีย์มุเตานี้อยู่ภายในวัดปรมัยยิกาวาส วัดซึ่งยังคงเก็บรักษาพระไตรปิฎกภาษามอญไว้ ภายในอุโบสถมีการตกแต่งด้วยวัสดุนำเข้าจากอิตาลี ศิลปะยุโรปแบบพระราชนิยมในสมัย ร.5ด้านหลังพระอุโบสถมีพระมหารามัญเจดีย์ ซึ่งจำลองแบบมาจากเจดีย์ชเวดากอง ประเทศพม่าครับ

การท่องเที่ยวบนเกาะเกร็ด สามารถเดินไปตามทางเดินเท้าได้เรื่อยๆ เลยนะครับ ไม่มีหลงแน่นอน หรือใครจะเช่าจักรยานปั่นก็ได้ แต่ผมแนะนำให้เดินเล่นดีกว่า ได้อรรถรสเยอะเลย และรถจักรยานจะได้ไม่เป็นภาระเราเวลาจะแวะดูโน่นนี่นั่นด้วย ที่สำคัญ ช่วงวันเสาร์ อาทิตย์ คนมาเที่ยวบนเกาะเกร็ดมาก ทางเดินค่อนข้างแคบอยู่แล้ว คนเดินเท้าก็เยอะ คงไม่สะดวกในการปั่นจักรยานครับ

เท่าที่ผมเดินเล่น เห็นจะมีสินค้าอยู่ไม่กี่อย่างที่เป็นที่น่าสนใจคือ ของทานเล่น ไม่ว่าจะเป็นทั้งของคาวและของหวานครับ ของหวานบางชนิด พบเห็นได้ยาก บางชนิดผมเพิ่งจะเคยเห็นที่นี่แหล่ะครับ

เสน่ห์จันทร์

จ่ามงกุฎ

ช่อมะลิ หรือทองเอก

ไข่ในรัง

กุหลาบชาววัง

โอนี่แปะก๊วย

กระเช้าสีดา

อันนี้ผมจำชื่อไม่ได้ครับ

ขนมจีบไทย ผมเพิ่งจะเคยเห็นที่นี่แหล่ะครับ

ถุงทอง

ขนมกล้วย

ดอกจอก

ลาซานญ่า ดัดแปลงเอามาใส่ภาชนะดินเผาครับ

เมนูนี้พลาดไม่ได้ครับ ทอดมันหน่อกะลา หน่อกะลาเป็นผักพื้นบ้านของชาวเกาะเกร็ดครับ ลักษณะคล้ายกับต้นข่าทั้งใบและลำต้นครับ แต่จะมีขนาดเล็กกว่า

จริงๆ ยังมีดอกไม้ทอดต่างๆ ด้วย เสียดายที่ผมไม่ได้ถ่ายมาให้ชมกันครับ

หัวโขนเล็กๆ สำหรับเป็นของฝากก็เป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจครับ

มาถึงเกาะเกร็ดแล้ว อย่าลืมมาดูพระเอกของที่นี่ คือการปั้นเครื่องปั้นดินเผาด้วยนะครับ

ภายในโรงงานจะสาธิตการปั้นเครื่องปั้นดินเผาเริ่มตั้งแต่กระบวนการขึ้นรูปเลยครับ หลังจากขึ้นรูปเสร็จแล้วจะผ่านการแกะลวดลาย และนำเอาไปเผา กว่าจะได้สินค้ามาแต่ละชิ้นต้องใช้ฝีมือและเวลานานพอสมควรเลยครับ

ฝั่งตรงข้ามของเกาะเกร็ด มองเห็นพระองค์ใหญ่ของวัดบางจาก ตั้งตระหง่านอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาเลยครับ

สำหรับการเดินทางมาเที่ยวบนเกาะเกร็ด ทำได้ง่าย ๆ สามารถมาขึ้นเรือได้ที่วัดสนามเหนือ บริเวณวัดและพื้นที่ใกล้ๆ สามารถมาจอดรถไว้ได้ครับ จากนั้นให้เดินมาที่ท่าน้ำท้ายวัด จะมีเรือรับส่งจากท่าน้ำวัดสนามเหนือ-ท่าน้ำวัดปรมัยยิกาวาส ใช้เวลารอเรือแค่แป๊บเดียวครับ เรือจะหมุนสลับไปมาทั้งวัน การข้ามฟากแต่ละครั้งเสียค่าบริการเพียง 2 บาทเท่านั้น ใครพอมีเวลา แนะนำให้นั่งเรือไหว้พระรอบเกาะได้นะครับ ติดต่อได้ที่ท่าเรือวัดปรมัยยิกาวาสได้เลยครับ

ใครที่ยังไม่มีโปรแกรมไปไหนในวันหยุด ลองไปเดินเล่นที่เกาะเกร็ดดูนะครับ รับรองว่าจะได้ของทานของฝากติดไม้ติดมือกลับมาแน่นอนครับ

ลุงเสื้อเขียว

 วันศุกร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 15.32 น.

ความคิดเห็น