สวัสดีครับ วันนี้ผมนาย “ภรรยาหา สามีใช้" มีโปรแกรมดีๆ ที่จะพาทุกคนไปเที่ยว กทม. แบบง่ายๆ ชนิดที่ใช้เวลาไม่เกิน 5-6 ชั่วโมงมาแนะนำกันครับ โดยโปรแกรมนี้จะพาเราไปเที่ยวในสถานที่ที่สวยงาม คุ้มค่า ไม่ค่อยมีคนไปกันซักเท่าไหร่ และที่สำคัญมันยังฟรีและไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ในการเข้าชมด้วยนะครับ ^^



สำหรับจุดหมายปลายทางของผมในวันนี้จะแบ่งออกเป็น 2 ที่ได้แก่ "พระราชวังพญาไท" แล้วก็ "พิพิธภัณฑ์เทคโนโลยีทางภาพ" ของคณะวิทยาศาสตร์ทางภาพถ่ายและเทคโนโลยีทางการพิมพ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยครับและนอกจากที่เที่ยว 2 แห่งนี้แล้ว วันนี้ผมก็ยังจะรีวิวเจ้า "แอร์ส่วนตัว" หรือที่ศัพท์ทางการเรียกมันว่า "ผ้าพันคอไฟฟ้า G2T N1 Plus" อีกหนึ่งอย่างด้วย ซึ่งเท่าที่ผมลองค้นๆ ข้อมูลในอากู๋มา ก็พบว่ามีคนที่ทำรีวิวเจ้าแอร์ส่วนตัว G2T N1 Plus แบบจริงๆ จังๆ นี้เยอะแยะมากมายเกิน 10 อันแล้ว ดังนั้นวันนี้ผมก็เลยจะขอรีวิวมันแบบบ้านๆ ตามการใช้งานในชีวิตประจำวันผมแทนแล้วกันนะครับ โดยผมจะนำเจ้าของชิ้นนี้ออกไปใช้ ออกไปเที่ยวกับผมทั้งโปรแกรมเพื่อดูว่ามันเป็นอย่างไรบ้าง ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผมหรือเปล่า และเพื่อไม่ให้เสียอรรถรสในการรับชมสถานที่ท่องเที่ยวดีๆ ทั้งสองที่ในวันนี้ ผมจึงจะขอพูดถึงเจ้าแอร์ส่วนตัว G2T แค่ตอนเริ่มต้นกับตอนจบเท่านั้น ที่เหลือจะปล่อยให้เป็นเรื่องของสถานที่เที่ยวในวันนี้ทั้งหมดเลยครับ ^^



ก่อนอื่นเลยผมขอเกริ่นพอให้ทุกคนเข้าใจก่อนว่าเจ้า G2T เนี่ย มันคืออุปกรณ์ที่เปรียบเสมือนแอร์ส่วนตัวขนาดเล็กที่สามารถติดตัวไปกับเราได้แทบทุกที่ โดยในการใช้งานนั้นเราต้องสวมมันไว้ที่คอของเรา และตัวมันจะทำงานได้ก็ต่อเมื่อต่อเข้ากับ Power Bank ที่สามารถจ่ายไฟขนาด 2A ได้ครับ (หากการจ่ายไฟน้อยกว่า 2A ประสิทธิภาพการทำงานของมันจะตกลงพอควร ดังนั้นผมจึงไม่แนะนำให้ใช้กับมันซักเท่าไหร่ครับ)



ขนาดคร่าวๆ ของเจ้า G2T นั้นจะอยู่ที่ 17.1 x 17.3 x 4 เซนติเมตร และมีน้ำหนักอยู่ที่ 373 กรัม ซึ่งเป็นน้ำหนักที่ผมว่ากำลังพอดีกับผมนะ สวมใส่ที่คอแล้วยังไม่รู้สึกว่าหนักเท่าไหร่ แต่สำหรับผู้หญิงหรือคนตัวเล็กๆ อาจจะคิดว่ามันหนักไปนิดนึง โดยประสิทธิภาพและการทำงานเด่นๆ ของมันก็คือ เมื่อเสียบเข้ากับ Power Bank แล้วมันจะสามารถสร้างความเย็นหรือความร้อนออกมาได้ โดยในโหมดความเย็นจะสามารถช่วยลดอุณหภูมิลงได้ประมาณ 15 องศาเซลเซียส ส่วนในโหมดความร้อนจะช่วยเพิ่มอุณหภูมิได้ประมาณ 35 องศาเซลเซียส ซึ่งถือว่าเยอะและน่าสนใจมากเลยนะครับ โดยเฉพาะในโหมดความเย็นที่น่าจะเหมาะกับสภาพอากาศของเมืองไทยสุดๆ



เอาล่ะ ทีนี้ก็ได้เวลาไปเที่ยวกันซักที สำหรับจุดเริ่มต้นของผมในวันนี้ก็คือพระราชวังพญาไท ซึ่งอยู่ในเขตของโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า แถวๆ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิครับ โดยตัวผมเองเลือกเดินทางมาด้วยรถเมล์ ส่วนใครจะเดินทางมาทางด้วย Taxi หรือ BTS ก็ตามสะดวกนะครับ แต่คนที่มาด้วย BTS เนี่ยอาจจะต้องเดินต่อราวๆ 6-700 เมตร หรือไม่ก็ต้องนั่งรถเมล์ต่ออีกประมาณ 2-3 ป้ายนะครับ



ด้วยความที่ผมเคยมาพระราชวังแห่งนี้หลายครั้งแล้ว พอมารอบนี้ผมก็เลยไม่ได้ทำการบ้านหรือหาข้อมูลอะไรมาเลย และแน่นอนว่าคราวนี้ผมก็เงิบสิครับ เพราะปัจจุบันนี้พระราชวังพญาไทมีการเปลี่ยนแปลงไปเยอะพอควร และได้มีการเปิดให้เข้าชมเป็นรอบๆ ตามวันและเวลาดังนี้ครับ


• วันอังคารและพฤหัสบดี เปิดให้เข้าชมเวลา 13.30 น. (ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์)

• วันเสาร์และอาทิตย์ เปิดให้เข้าชมเวลา 9.30 น. และ 13.30 น.

โดยการจะเข้าชมนั้นเราต้องไปแจ้งเจ้าหน้าที่และลงชื่อไว้ก่อนนะครับ



หมายเหตุ : รายละเอียดการเข้าชมพระราชวังพญาไทของผมนั้นอาจจะไม่ครบถ้วนหรือคลาดเคลื่อนไปบ้าง เนื่องจากตอนที่ผมไปนั้นไม่มีเจ้าหน้าที่นั่งอยู่ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยและไม่ให้พลาดแบบผม แนะนำว่าก่อนที่จะไปให้โทรไปสอบถามข้อมูลต่างๆ ที่เบอร์ 02-3547987 ก่อนจะดีกว่าครับ



เอาล่ะๆ ในเมื่อมันปิดและเราไม่สามารถเข้าไปเดินชมภายในพระราชวังพญาไทได้ ผมก็ต้องเดินถ่ายรูปเล่นข้างนอกเท่านั้นซึ่งต้องบอกตรงๆ ว่าถึงแม้พระราชวังแห่งนี้จะเงียบกว่าที่ผมเคยมา แต่ก็ยังคงความงดงามและความมีเสน่ห์อยู่เช่นเดิม นอกจากนี้บริเวณสวนโรมันด้านหลังของพระราชวังก็เหมือนจะมีการปรับปรุงภูมิทัศน์ใหม่ด้วยครับ สวยงาม ดูสบายตากว่าเดิมเยอะเลย



ปล. ผมเคยมาพระราชวังแห่งนี้ตอนที่มีดอกชมพูพันทิพย์บานพอดีด้วย มันเป็นความงามที่ผมยังจำได้ไม่เคยลืมเลย ดังนั้นแนะนำเลยว่าหากใครสามารถไปในช่วงเวลานั้นได้ก็ควรจะหาโอกาสไปซักครั้ง



จริงๆ พระราชวังพญาไทนั้นมีหลายๆ ส่วนที่น่าสนใจมากเลยนะครับ เพราะนอกจากพระที่นั่งพิมานจักรีซึ่งเป็นพระที่นั่งองค์ประธานของหมู่พระที่นั่ง มีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบผสมผสานระหว่างโรมาเนสก์กับโกธิค และมียอดโดมสูงสำหรับชักธงมหาราชอันเป็นเอกลักษณ์ของพระที่นั่งแห่งนี้แล้ว ก็ยังมีพระที่นั่งอื่นๆ อีกมากมายที่สวยงามไม่แพ้กัน เช่น พระที่นั่งไวกูณฐเทพยสถาน, พระที่นั่งศรีสุทธนิวาส, พระที่นั่งเทวราชสภารมย์, พระที่นั่งอุดมวนาภรณ์ รวมไปถึงสถานที่อื่นๆ ที่น่าสนใจอย่างพระตำหนักเมขลารูจี, อาคารเทียบรถพระที่นั่ง, สวนโรมัน, ศาลท้าวหิรันยพนาสูร แล้วก็พระมหานาคชินะวร วรานุสรณ์มงกุฎราช อีกด้วยครับ



ดังนั้นแนะนำเลยว่า หากใครอยากจะไปเยี่ยมชมความงามของพระราชวังแห่งนี้แบบเต็มๆ และไม่ได้ติดขัดเรื่องเวลาอะไร ผมก็อยากให้ไปในช่วงเวลาที่เข้าเปิดให้เข้าชมนะครับ เพราะนอกจากจะได้ดูแบบเต็มๆ แล้ว ยังจะมีเจ้าหน้าที่บรรยายข้อมูลต่างๆ ให้อีกด้วย โดยเท่าๆ ที่ผมลองอ่านกระทู้เก่าๆ ของหลายคนที่ไปมา กระทู้นี้เค้าเขียนออกมาได้ละเอียดดีมากเลยครับ สามารถเข้าไปอ่านเป็นไกด์คร่าวๆ ได้เลย http://2g.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E11893016/E11893016.html



หลังจากที่ผมถ่ายรูปต่างๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่าสายกินอย่างผมต้องไม่พลาดที่จะแวะเข้าไปเติมพลังในร้านกาแฟที่แสนจะขึ้นชื่อร้านนี้ครับ “ร้านกาแฟนรสิงห์" โดยร้านกาแฟนรสิงห์นั้นจะตั้งอยู่ในตัวตึกที่เดิมเคยเป็นอาคารเทียบรถพระที่นั่ง ซึ่งก็คือตึกที่อยู่ด้านหน้าสุดของพระราชวังพญาไทนั่นเอง โดยในอดีตนั้นร้านกาแฟนรสิงห์เป็นชื่อของร้านกาแฟแห่งแรกของประเทศไทย ตั้งอยู่ที่มุมสนามเสือป่า และมีชื่อเสียงโด่งดังมากในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ โดยถือเป็นสถานที่พบปะสังสรรค์ของบรรดาพ่อค้า ประชาชนและข้าราชการในสมัยนั้นเลยทีเดียว และเมื่อพระราชวังพญาไทแห่งนี้ต้องการที่จะมีร้านกาแฟเล็กๆ เอาไว้ให้คนที่มาแถวนี้ได้พักผ่อน ได้สัมผัสบรรยากาศเก่าๆ ในอดีต ชื่อของร้านกาแฟนรสิงห์จึงได้ถูกนำกลับมาใช้ที่นี่อีกครั้งครับ



สำหรับภายในร้านกาแฟนรสิงห์นั้นไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมาย มีโต๊ะราวๆ 10 ตัวเท่านั้นเอง แต่ความสวยงามของเฟอร์นิเจอร์ รวมทั้งความสูงโปร่งของเพดานกับสถาปัตยกรรมต่างๆ ภายในร้านก็ทำให้ผมประทับใจสถานที่นี้ได้อย่างง่ายๆ เลยครับ



ผมเลือกมุมที่สงบสุดของร้าน เพื่อที่จะได้สัมผัสบรรยากาศต่างๆ ให้ได้มากที่สุด และโชคดีที่วันนั้นเป็นวันธรรมดาดังนั้นคนในร้านก็เลยน้อยมาก เปิดโอกาสให้ผมได้ดื่มด่ำความสวยงามต่างๆ รอบตัวได้อย่างเต็มที่



สำหรับสมุดเมนูของที่นี่สวยงามดีนะครับ มาในรูปของปกหนังที่ดูคลาสสิค ส่วนเมนูภายในเล่มนั้นค่อนข้างจะมีสภาพผ่านศึกมาพอควร ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะคนมาเยอะหรือเค้าตั้งใจอยากให้ออกมาเป็นแบบนี้ก็ไม่รู้ และแน่นอนว่าคนอย่างผมเวลาเข้ากินอาหารร้านอะไรก็มักจะสั่งเมนูแปลกๆ หรือไม่ก็เมนูเด่น เมนูแนะนำของร้านอยู่แล้ว ดังนั้นมื้อนี้รายการอาหารที่ผมสั่งก็ตามนี้เลยครับ

• ชุดหมูเค็มขนมปังปิ้ง (130 บาท) ที่ประกอบไปด้วยขนมปังแผ่นปิ้ง, หมูเค็มสูตรโบราณ แล้วก็น้ำพริกขิงปลาดุกฟู

• น้ำบ๊วยมะนาวเย็น (65 บาท)



ผมนั่งรอราวๆ 10 นาทีอาหารก็มาเสิร์ฟ หน้าตาดูดีเลยครับ ส่วนรสชาติอาหารและความคุ้มค่าผมก็ให้ผ่านนะเพราะราคาในเมนูคือราคาที่ net แล้วไม่มีบวกอะไรเพิ่มอีก โดยน้ำบ๊วยมะนาวเย็น ราคา 65 บาท นั้นถือว่าอยู่ในระดับราคาเดียวกับหลายร้านๆ ที่บรรยากาศดีๆ ครับ ซึ่งหากใครอยากจะประหยัดหน่อยก็จัดเป็นน้ำมะนาวเย็นธรรมดาไม่ต้องใส่บ๊วยเพิ่มก็ได้ เพราะถ้าผมจำไม่ผิดมันจะราคาแก้วละ 50 บาทเท่านั้นเอง แต่หากใครต้องการอะไรจี๊ดๆ กินแล้วตาสว่างและตื่นเลย ผมแนะนำเมนูเดียวกับผมนี่แหละ เค้าผสมมาได้เข้มข้นใช้ได้เลยครับ



ส่วนชุดหมูเค็มขนมปังปิ้งนั้นก็อร่อยดี ขนมปังแผ่นโตๆ 3 แผ่นที่มาเสิร์ฟตอนที่ยังร้อนๆ อยู่ ผสมกับหมูเค็มสูตรโบราณแล้วก็น้ำพริกปลาดุกฟู ผมว่ามันเข้ากันดีนะ ที่สำคัญเมนูนี้แปลกดีด้วย ไม่เคยเจอที่อื่นมาก่อนเลย โดยการทานชุดหมูเค็มขนมปังปิ้งนี้ผมแนะนำให้กินขนมปัง หมูเค็มและน้ำพริกพร้อมๆ กันนะครับ เพราะหากกินแยกกันแล้วมันจะไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่ โดยเฉพาะตัวหมูเค็มที่มันเค็มมากเลย @_@



หลังจากที่อิ่มหนำสำราญและเคลียร์ค่าใช้จ่ายต่างๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็เดินทางต่อไปยัง “พิพิธภัณฑ์เทคโนโลยีทางภาพ" ของคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยครับ ซึ่งหากใครจะเดินทางท่องเที่ยวตามผมก็สามารถนั่งรถเมล์ สาย 542 จากป้ายรถเมล์หน้าพระราชวังพญาไทไปได้เลย รถติดแอร์เย็นสบายและใช้เวลาไม่นานก็ถึง โดยให้เราเลือกลงที่ป้ายรถเมล์หน้าจุฬาฯ บริเวณพระบรมรูปสองรัชกาล หรือไม่ก็ที่หน้าคณะวิทยาศาสตร์ครับ เมื่อลงรถเมล์แล้วก็ให้ถามคนแถวนั้นว่า “พิพิธภัณฑ์เทคโนโลยีทางภาพ" หรือ “คณะวิดยาโฟโต้" ไปทางไหน จากนั้นเราก็ค่อยๆ ไปตามทางที่เค้าบอก ซึ่งจริงๆ ตัวตึกมันจะอยู่ติดกับถนนพญาไทแถวๆ ที่เราลงรถเมล์นั่นแหละครับ แต่ว่ามันจะแอบหายากหน่อยเพราะในคณะวิทยาศาสตร์นั้นจะมีหลายตึกมาก โดยหน้าตาตึกพิพิธภัณฑ์เทคโนโลยีทางภาพก็ตามนี้เลยครับ



หมายเหตุ : ในวันที่ผมไปนั้นผมไม่ได้นั่งรถเมล์สาย 542 จากพระราชวังพญาไทไปนะครับ เพราะผมต้องแวะไปทำธุระที่อื่นก่อน มันก็เลยทำให้ผมต้องนั่งทั้งรถเมล์ธรรมดาแล้วมอเตอร์ไซด์รับจ้างสองต่อแทน T__T



พอเรามาถึงที่หน้าตึก “พิพิธภัณฑ์เทคโนโลยีทางภาพ" แล้ว ก็ให้เราเดินไปทางขวามือของบันไดเพื่อขึ้นลิฟท์ไปยังชั้น 3 ของตึก หรือถ้าใครไม่อยากขึ้นลิฟท์ก็เดินขึ้นบันไดไปเลยก็ได้ครับ แค่ 3 ชั้นเองแป๊บเดียวก็ถึง



เมื่อออกจากลิฟท์มาให้เราเลี้ยวซ้าย จากนั้นเราก็จะเจอพิพิธภัณฑ์กล้องที่เราตามหาครับ ซึ่งโดยปกติแล้วพิพิธภัณฑ์แห่งนี้มันจะปิดประตูอยู่แทบจะตลอดเวลา ดังนั้นเมื่อเราไปถึงที่หน้าห้องแล้ว อันดับแรกที่เราควรจะต้องทำก็คือเราต้องไปบอกคนที่อยู่ในห้องตรงข้ามพิพิธภัณฑ์ว่าอยากจะขอเข้าชมพิพิธภัณฑ์ครับ เดี๋ยวเค้าจะมาเปิดห้องให้ ซึ่งการที่มันต้องใช้ระบบคนเปิดปิดแบบนี้นั่นก็หมายความว่าเวลาที่เราจะสามารถเข้าไปชมมันได้นั่นก็คือช่วงเวลา 8.30-16.30 น. โดยประมาณของวันธรรมดา หรือช่วงเวลาที่ข้าราชการทำงานกันนั่นแหละครับ ส่วนวันเสาร์ – อาทิตย์และวันหยุดต่างๆ หมดสิทธิ์เข้าชมนะครับ



หลังจากที่เจ้าหน้าที่เปิดห้องพิพิธภัณฑ์เรียบร้อยแล้ว นี่ก็คือสิ่งที่เราจะเห็นครับ



พิพิธภัณฑ์แห่งนี้มันจะเป็นห้องขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยตู้กระจกเต็มไปหมด ซึ่งตู้กระจกเหล่านี้จะมีข้อมูลต่างๆ ตั้งแต่สมัยการถ่ายภาพเริ่มแรก หรือเมื่อหลายร้อยปีก่อน ยุคที่กล้องมีขนาดใหญ่มาก ใช้เวลาในการถ่ายภาพและสร้างภาพยาวนานสุดๆ และต้องอาศัยความรู้ ความสามารถของช่างภาพในการคำนวณเรื่องราวต่างๆ เต็มไปหมด @_@



จากนั้นก็เป็นตู้ที่เก็บกล้องต่างๆ โดยแยกเป็นยี่ห้อและโซน เช่น โซนยุโรป, รัสเซีย, ญี่ปุ่น เป็นต้น ซึ่งต้องบอกเลยว่าคนที่รักกล้องเก่าๆ หรือชอบการถ่ายภาพแบบสุดๆ นี่คงจะชอบพิพิธภัณฑ์แห่งนี้มากๆ เพราะกล้องบางตัวอายุเกินกว่า 100 ปีอีก และผมคิดว่าบางตัวนี่ในประเทศไทยอาจจะมีแค่ที่นี่ที่เดียวเลยก็ว่าได้ครับ



จำนวนกล้องที่อยู่ในตู้ทั้งหมดนี้ผมว่าน่าจะมีเกิน 300 ตัวได้ และมีครบทุกแบบเลยตั้งแต่กล้อง SLR, compact, medium format, larger format, twin lens, กล้องใช้แล้วทิ้ง, กล้องสามมิติ จนไปถึงกล้องหน้าตาแปลกๆ และก็กล้องในอดีตหลายตัวที่เป็นตำนานจนหลายๆ ค่ายได้มีการปลุกชีพมันกลับขึ้นมาใหม่ในปัจจุบันในหน้าตาที่มีการปรับให้เข้ากับสมัยนิยมมากขึ้น



สำหรับการถ่ายภาพในห้องนี้สามารถถ่ายได้ตามสบายเลยนะครับ แต่ก็อาจจะมีบางจุดที่ทางเจ้าหน้าที่เค้าห้ามถ่ายเราก็ปฏิบัติตามกฏเค้าอย่างเคร่งครัดแล้วกันนะครับ โดยคนที่อยากจะถ่ายภาพในห้องนี้ผมแนะนำเลยว่าต้องเอากล้องที่เก่งในที่มืด นั่นก็คือ ดัน ISO ได้สูง, noise น้อยๆ ประกบกับเลนส์ช่วง 50mm ที่รูรับแสงกว้างๆ ไปครับ ไม่งั้นโอกาสได้ภาพจะน้อยมาก



และก็แน่นอนว่าอุตส่าห์เป็นพิพิธภัณฑ์ของคณะวิทยาศาสตร์ทั้งที ถ้าจะโชว์แค่กล้องเก่าๆ ในตู้มันก็คงเสียเชิงคณะหมด ดังนั้นในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้จึงมีการให้ความรู้เกี่ยวกับการถ่ายภาพเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นประวัติการถ่ายภาพ, แฟลช, ฟิลเตอร์ประเภทต่างๆ, แบตเตอรี่, โครงสร้างของกล้องและเลนส์ชนิดที่ชำแหละออกมาให้เราได้เห็นทุกซอกทุกมุม และครอบคลุมไปจนถึงอุปกรณ์เสริมที่เกี่ยวกับการถ่ายภาพ ซึ่งบอกเลยว่าใครที่อยากเห็นโครงสร้างกล้องและเลนส์แบบละเอียดๆ มาดูที่นี่ได้เลย รวมทั้งใครที่อยากเห็นแฟลชในสมัยโบราณที่ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้งก็สามารถมาดูได้ที่นี่เช่นกันครับ



ส่วนนี่คือไฮไลท์สุดๆ ของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ กับห้องที่ชื่อว่า “Canon Exploratrium" ห้องสีขาว ที่มีหน้าจอและการตกแต่งต่างๆ ให้ความรู้สึกที่ไฮเทค อวกาศและแตกต่างจากห้องที่แล้วเป็นอย่างมาก โดยห้องนี้จะเป็นห้องที่ให้ความรู้เกี่ยวกับพื้นฐานการถ่ายภาพ และความรู้เกี่ยวกับการพิมพ์ผ่านทางสื่อการสอนที่ทันสมัยครับ



อย่างเช่นหน้าจอนี้จะสอนความรู้เกี่ยวกับพื้นฐานการถ่ายภาพอย่าง Speed Shutter, รูรับแสง, ISO, White balance, ทางยาวโฟกัสของเลนส์ และขนาดเซนเซอร์ของกล้อง โดยเราสามารถเปรียบเทียบดูผลในเรื่องต่างๆ ผ่านหน้าจอด้านซ้ายและขวาได้เลย ซึ่งโดยส่วนตัวผมชอบและคิดว่ามันดีมากๆ สำหรับคนที่เริ่มถ่ายภาพนะครับ มันเห็นผลชัดเจน แสดงผลรวดเร็วและปรับค่าต่างๆ เล่นได้เยอะมาก



ส่วนสองเครื่องนี้ก็เจ๋งครับ เครื่องแรกจะมีหลายเรื่องเลย แต่จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการพิมพ์เป็นหลักนะครับ โดยถ้าเราอยากจะรู้เรื่องไหนก็ให้กดไปที่หน้าจอ จากนั้นมันจะมีข้อมูลแสดงที่หน้าจอรวมทั้งไฟแสดงที่บอร์ดด้านข้างๆ ของหน้าจอตามเรื่องที่เรากดครับ



ส่วนเครื่องที่สองนั้นจะเล่าเกี่ยวกับโครงการต่างๆ ของ Canon แต่สิ่งที่ทำให้ผมทึ่งก็คือ มันจะมีโปสการ์ดอยู่ 6 ใบ หากเราอยากรู้เรื่องไหนก็ให้เราเอาโปสการ์ดไปเสียบที่เครื่องที่อยู่ทางซ้ายมือแล้วเดี๋ยวหน้าจอมันจะเล่าเรื่องนั้นให้เราฟังครับ



และปิดท้ายกับห้องนี้ด้วยสมุดเยี่ยมชมหรือ Guest Book สุดไฮเทค ที่ให้เราไปยืนถ่ายรูปตัวเองที่หน้ากล้อง จากนั้นระบบจะทำการบันทึกภาพอัตโนมัติและสั่งพิมพ์ภาพของเราออกมาเป็นของที่ระลึกให้ครับ บอกเลยว่าอันนี้ดีและประทับใจมาก เพราะนอกจากจะไม่เสียค่าเข้าชมแล้วยังได้ของฟรีติดมือกลับบ้านมาด้วย 55555555



เอาล่ะครับ ตอนนี้ผมก็พาเที่ยววังพญาไทแล้วก็ชมพิพิธภัณฑ์กล้องที่จุฬาเสร็จเรียบร้อยแล้ว และเพื่อความสะดวกในการอ่าน ผมจึงขอสรุปสั้นๆ ทิ้งท้ายเกี่ยวกับทริปวันนี้ของผมตามนี้นะครับ



พระราชวังพญาไท

• พิกัด : โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ใกล้ๆ กับอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

• เหมาะกับคนรักวังหรือสถาปัตยกรรมเก่าๆ อาจจะร้อนแดดเล็กน้อยตอนที่อยู่บริเวณด้านนอกอาคาร แต่ก็ถือว่าคุ้มค่าในการไปชมแน่นอน

• เวลาที่ควรไปก็คือตอนที่เค้าเปิดให้เข้าชมภายใน ซึ่งก็ได้แก่

- วันอังคารและพฤหัสบดี เวลา 13.30 น. (ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์)

- วันเสาร์และอาทิตย์ เวลา 9.30 น. และ 13.30 น.

• คนรักกาแฟหรือคนที่อยากจะหาที่นั่งพัก นั่งคุยกับเพื่อน ในสถานที่เก๋ๆ บรรยากาศดีๆ ไม่ควรพลาดที่จะเข้าไปที่ร้านกาแฟนรสิงห์

• เพื่อความปลอดภัยและความสะดวกในการเข้าชม สามารถสอบถามข้อมูลต่างๆ ได้ที่เบอร์ 02-3547987



พิพิธภัณฑ์เทคโนโลยีทางภาพ

• พิกัด : ชั้น 3 ของตึกวิทยาศาสตร์ทางภาพถ่ายและเทคโนโลยีการพิมพ์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

• เวลาทำการ : 8.30 – 16. 30 น. (ยกเว้นวันเสาร์ – อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์) โดยในช่วง ก.ค. ของปีนี้ ทางพิพิธภัณฑ์มีแผนที่จะเปิดให้ชมในวันเสาร์ด้วย ดังนั้นใครที่ไม่สะดวกไปในวันธรรมดาก็ติดตามข่าวสารให้ดีนะครับ จะได้มีโอกาสไปชมกัน

• เหมาะสำหรับผู้ที่หลงใหลในการถ่ายภาพ หรืออยากจะรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์การถ่ายภาพ วิทยาศาสตร์การถ่ายภาพ จนไปถึงผู้ที่ชื่นชอบกล้องเก่าๆ และคนที่พึ่งเริ่มถ่ายรูปและยังงงเกี่ยวกับเรื่องของ Speed Shutter, รูรับแสง, iso เป็นต้น

• เพื่อความปลอดภัยและความสะดวกในการเข้าชม สามารถสอบถามข้อมูลต่างๆ ได้ที่เบอร์ 02-2185581-2


และสุดท้ายที่จะไม่พูดถึงไม่ได้นั่นก็คือเจ้าแอร์ส่วนตัว G2T N1 Plus ที่อยู่กับผมมาตลอดทั้งวัน หรือเอาจริงๆ ก็คือหลายวันเลยครับ โดยจากที่ผมได้ลองใช้มันมาผมค่อนข้างประทับใจมันหลายอย่างนะครับ โดยเฉพาะการที่มันช่วยให้ผมรู้สึกเย็นขึ้นได้ในช่วงเวลาหรือสถานที่ที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่ามันเป็นนวัตกรรมของสินค้าที่น่าทึ่งชิ้นนึงเลยครับ และเพื่อให้อ่านเข้าใจง่ายๆ ผมขอสรุปเกี่ยวกับมันสั้นๆ ดังนี้แล้วกันนะครับ



ข้อดีของแอร์ส่วนตัว G2T N1 Plus

• ช่วยทำให้ร่างกายรู้สึกเย็นขึ้นได้จริงๆ แม้จะแค่บริเวณคอและรอบๆ ก็ตามแต่สิ่งที่เห็นผลชัดๆ ก็คือ เหงื่อหยุดไหลเร็วขึ้น และช่วยให้ร่างกายรู้สึกดี มีกำลังให้ออกไปทำอะไรได้มากขึ้นและเร็วกว่าเดิม

• เย็นเร็ว เปิดเครื่องแค่ราวๆ 2 นาทีก็เย็นและพร้อมใช้งานแล้ว

• การใช้งานไม่ยาก มีปุ่มเพียงไม่กี่ปุ่ม เด็กและผู้สูงอายุสามารถที่จะเรียนรู้การใช้งานมันได้ในเวลาไม่เกิน 1 นาที

• ดีไซน์สวยงามตั้งแต่แพคเกจยันสินค้า และสำหรับผมแล้ว ผมว่าน้ำหนักมันกำลังพอดีกับการสวมใส่เลยครับ

• มีโหมดร้อน ซึ่ง ณ ตอนนี้อาจจะยังไม่ได้ใช้แต่ในบางสถานการณ์เราอาจจะได้พึ่งพามันครับ

• ด้วยรูปแบบการดีไซน์ของมันที่ต้องให้เราสวมเข้าที่คอ ทำให้เราสามารถนำไปใช้งานในหลากหลายสถานการณ์ โดยผมสามารถใช้งานมันได้ทั้งในขณะที่ผมนั่งทำงาน, เดินตากแดด, นั่งรถเมล์ หรือแม้กระทั่งขณะซ้อนมอเตอร์ไซด์รับจ้าง และมันก็ช่วยทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นเยอะเลยจากสถาวะอากาศในตอนนั้นครับ

• สามารถใช้งานได้นาน โดยจากการที่ผมเอา power bank ขนาด 5,000 มิลลิแอมป์ออกไปใช้งาน โดยเปิดๆ ปิดๆ ตามการใช้งานในแต่ละช่วง ก็พบว่าตอนจบทริป power bank ของผมยังเหลือแบตเกินครึ่งอีกครับ ซึ่งจาก spec นั้นเค้าบอกในคู่มือไว้ว่า power bank ขนาด 6,000 มิลลิแอมป์จะสามารถใช้งานในโหมด Turbo (ลดอุณภูมิได้ 15 องศาเซลเซียส) นานถึง 4 ชั่วโมง และใช้งานในโหมดปกติ (ลดอุณหภูมิได้ประมาณ 11 องศาเซลเซียส) นานถึง 5.5 ชั่วโมง

• ไม่มีแบตเตอรี่ในตัว ซึ่งตรงนี้หลายๆ คนอาจจะมองว่าเป็นข้อด้อยเพราะต้องคอยพก power bank ต่างหาก แต่สำหรับผม ผมว่ามันดีในเรื่องของความปลอดภัยนะครับ และมันทำให้ผมรู้สึกสบายใจที่จะใช้งานมันมากขึ้น เพราะที่ตัวมันเองไม่มีแบตเตอรี่หรืออะไรที่ดูแล้วจะเป็นอันตรายได้เลย



ข้อด้อยของแอร์ส่วนตัว G2T N1 Plus

• สำหรับคนที่ปกติไม่เคยพก power bank ติดตัว ก็ต้องหา power bank มาพกเพิ่มเพื่อใช้งานคู่กัน

• การใช้งานจะเห็นผลสุดก็ต่อเมื่อต่อกับ power bank ที่มีช่องจ่ายไฟขนาด 2 แอมป์ หากจ่ายไฟไม่ถึงประสิทธิภาพการทำงานจะตกลงพอควร

• ไม่สามารถใช้งานพร้อมกับการคล้องสายกล้องถ่ายรูปไว้ที่คอ ต้องเลี่ยงด้วยการถือกล้องด้วยมือเปล่าหรือพันสายคล้องกล้องไว้กับข้อมือแทน T_T

• ด้วยรูปทรงของมันทำให้ไม่สามารถยัดลงในกระเป๋ากล้องได้ (ยกเว้นกระเป๋ากล้องบางประเภท) ทำให้ต้องมีกระเป๋าอีกอันติดตัวไปด้วย และแยกไปเลยว่ากระเป๋าไหนใส่อะไรซึ่งพอชินแล้วก็หยิบใช้งานสะดวกขึ้น

• ตามคู่มือไม่แนะนำให้ใช้งานติดต่อกันเกิน 20 นาที ซึ่งสำหรับตัวผมเองไม่มีปัญหาอะไรเพราะเวลาเท่านี้ก็เพียงพอกับการนั่งพักแล้ว แต่สำหรับบางคนอาจจะมองว่าตัวเลขนี้แอบน้อยไปหน่อย ถ้าได้ซัก 30 นาทีก็คงจะแจ่มกว่านี้



เหมาะกับใคร

จากการที่ผมลองใช้มาในหลายๆ สถานการณ์ ผมมองว่าเจ้าแอร์ส่วนตัว G2T N 1 Plus นี้ เหมาะกับกลุ่มคนประเภทนี้ครับ

• คนขี้ร้อน เหงื่อออกง่าย ยิ่งเป็นคนที่ปกติต้องพกพัด, พัดลม หรืออะไรทำนองนี้บ่อยๆ แล้วน่าจะชอบ เพราะแค่เปลี่ยนของที่พกจากเดิมมาเป็นแอร์ส่วนตัวเท่านั้นเอง

• คนที่ออกไซต์งานกลางแจ้งบ่อยๆ และมีรถประจำตัว เช่น วิศวกร, ผู้รับเหมาก่อสร้าง เป็นต้น เพราะเราสามารถวางมันไว้บนรถได้เลย พอจะลงไปเจออะไรร้อนๆ ก็ค่อยหยิบมันติดมือลงไปด้วย

• คนที่เดินทางด้วยรถสาธารณะประเภทที่ไม่มีแอร์บ่อยๆ ยิ่งถ้าเป็นคนที่ปกติมีการพกกระเป๋าติดตัวอยู่แล้วจะยิ่งเหมาะมากเพราะแทบไม่ต้องปรับพฤติกรรมอะไรเลย

• นักกีฬาประเภทที่ไม่ต้องมีการเคลื่อนไหวของร่างกายมาก เช่น นักกอล์ฟ

• คนสูงอายุหรือคนที่มีปัญหาเรื่องปวดคอ ผมว่าโหมดร้อนน่าจะพอช่วยแก้ปัญหาตรงนี้ได้

• คนที่นั่งทำงานในสถานที่ไม่มีแอร์หรือต้องย้ายสถานที่ทำงานเป็นประจำ



ก็จบลงแล้วสำหรับเรื่องราวการเดินทางท่องเที่ยวของผมในครั้งนี้ หากขาดตกบกพร่องประการใดผมก็ต้องขออภัยด้วยนะครับ และบทความนี้เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของผมจากวันที่ไปใช้บริการเท่านั้น แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสไปใช้บริการอาจจะได้รับการบริการที่แตกต่างจากนี้ออกไป และหากใครชอบบทความของผม สามารถไปติดตามหรือแนะนำเพิ่มเติมได้ที่นี่เลยครับ https://www.facebook.com/amazingcouples



ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ แล้วพบกันใหม่ สวัสดีครับ



ความคิดเห็น