หากว่าทุกจุดเริ่มต้นของการเดินทางมันเต็มไปด้วยความกลัว....

กลัวที่จะเจอเรื่องร้ายๆที่ผ่านเข้ามา กลัวที่จะเจอเรื่องที่ไม่อาจคาดคิด กลัวที่จะก้าวต่อไปข้างหน้า กลัวที่เจอกับอันตรายต่างๆ

ความกลัวเหล่านี่คงเป็นเหมือนอุปสรรคที่จะทำให้เราไม่กล้าที่จะเดินออกไปเพื่อเริ่มทำในสิ่งที่อาจจะดีกว่าก็เป็นได้

เวียดนามอาจเป็นประเทศนึงที่หลายคนคิดว่าอันตรายและน่ากลัวแต่ถ้าเรากลัวเราก็คงอดที่จะไปสัมผัสความน่ารักของประเทศเล็กๆที่น่ารักก็เป็นได้

การเดินทางไปประเทศเวียดนาม สะดวกสบายขึ้นกว่าเมื่อก่อนเยอะเนื่องด้วยมีสายการบินตรงจากกรุงเทพมหานครทุกวัน การเดินทางมีทั้งทางรถยนตร์และเครื่องบิน

ใช้เวลาบินจากกรุงเทพมหานครสู่ท่าอากาศยานท่าอากาศยานนานาชาติเตินเซินเญิ้ต (อ่านว่ายังไงลองเข้าgoogle ดูนะครับ อ่านยากมากจริงๆ) กรุงโฮจิมินห์ประเทศเวียดนาม ประมาณ1ชั่วโมงกลับอีก30นาที โดยสายการบินนกแอร์ เครื่องดีเลย์ประมาณ20นาทีจากกำหนดการเดิม


การสาธิตการใช้อุปกรณ์บนเครื่องบินก่อนเครื่องขึ้นจากท่าอากาศยานดอนเมือง สำหรับอาหารว่างบนเครื่องบินนั้นน่าจะเป็นที่ตื่นตาตื่นใจในการใช้เวลา(นาน)พอสมควรในการเปิดออก ผู้โดยสารบางคนถึงงกับใช้วิธีตบถุงให้แตกออก ก็เป็นความแตกต่างของสายกรารบินนกแอร์ รวมแล้วก็แปลกดี ปริมาณอาหารว่างไม่มีทางกินอิ่มแน่นอนสำหรับใครที่บินไฟลท์เช้าควรรับประทานอาหารเช้าขึ้นเครื่องไปก่อน

เข้าเขตโฮจิมินห์แล้ว วันนี้ท่องฟ้าโปล่งโล่ง มองเห็นวิวได้อย่างชัดเจน ภาพท่เห็นด้านหน้ามันทำให้เห็นว่า เวียดนามในวันนี้โตขึ้นเจริญขึ้นและพัฒนาไปมากเมื่อเทียบกับ10ปีที่แล้วที่เดินทางมา

hello vietnam!! ถึงแล้วที่ท่าอากาศยานท่าอากาศยานนานาชาติเตินเซินเญิ้ต

การเดินทางเข้าไปในตัวเมืองมีหลายวิธีไม่ว่าจะเป็นรถเมลล์ รถแท๊กซี่ และGrab bike (เวียดนามมีgrab bike ใช้แล้วนะ)

แต่สิ่งที่เวียดนามยังไม่เปลี่ยนไปตามกาลเวลาก็คงเป็นวิถีชีวิตของคนที่นี่ที่ยังคงใช้งานมอเตอร์ไซต์กันเป็นจำนวนมากๆๆๆๆๆๆ มากจริงๆครับมองไปทางไหนไม่มีทางที่มองไม่เห็นอเตอร์ไซตแต่การเดินข้ามถนนที่นี่เราเดินได้อย่างปลอดภัยนะครับเราเดินไปช้าๆไม่ต้องวิ่งเพราะถ้าวิ่งทอเตอร์ไซต์คงชนเราแน่นอน มอเติร์ไซต์ที่นี่จะขับอ้อมตัวเราไปอย่างช้าๆ มั่นใจได้แน่นอนว่าปลอดภัย สำหรับใครที่จะเช่ารถขับในเมืองคงเป็นรื่องยากมากเพราะที่นี่ขับรถกันแบบวุ่นวายมากรวมทั้งมอเตอร์ไซต์สามารถขับบนฟุตบาทได้ ฟุตบาทที่โฮจิมินห์เรียกได้ว่าต่างจากบ้านเราโดยสิ้นเชิงขอบฟุตยาทที่นี่ออกแบบมาอย่างโค้งมนตลอดแนว รถติดตรงไหนมอเตอร์ไซต์ก็ขึ้นไปขี่ได้เลย แต่อีกหนึ่งสิ่งที่เรียกว่าประทับใจเลยคือคนเวียดนามขี่มอเตอร์ไซต์ใส่หมวกกันน็อคทุกคนรวมถึงคนซ้อนท้าย

ร้านอาหารริมทางเท้าเป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ไม่ควรพลาด อาหารfood street ในเวียดนามมีให้เลิกหลากหลายไม่ว่าจะเป็นเฝอ หรือขนมปังฝรั่งเศส ชาวเวียดนามที่นี่มีเวลาพักผ่อนในช่วงเที่ยงประมาณ2ชั่วโมงคือตั้งแต่11.30-13.30น.แต่เริ่มงานเร็วกว่าบ้านเรารวมถึงเลิกงานช้ากว่าบ้านเรา

สถานที่ท่องเที่ยวแรกที่ใครมาเวียดนามไม่ควรพลาดชมก็คือโบสถ์นอร์ทเธอดาม

ตั้งอยู่บริเวณกลางเมือง บนถนน Han Thuyen ได้รับการก่อสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ. 2420 ใช้ระยะเวลาการสร้าง 6 ปี โบสถ์นี้ไม่มีการประดับด้วยกระจกสีเหมือนโบสถ์คริสต์ที่อื่น เพราะได้รับความเสียหายจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สำหรับโบสถ์แห่งนี้ได้รับการยกย่องว่ามีความงดงามมากที่สุดแห่งหนึ่งใน เวียตนาม โดยในแต่ละวันมีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากมาย ลักษณะของตัวโบสถ์เป็นรูปแบบของสมัยอาณานิคม มีหอคอยคู่สี่เหลี่ยมอยู่ด้านบนสูง 40 เมตร เป็นเอกลักษณ์ที่งดงามของโบสถ์แห่งนี้ ด้านหน้าโบสถ์มีรูปปั้นขนาดใหญ่สีขาวเด่นเป็นสง่าของพระแม่มารี นักท่องเที่ยวนิยมเข้ามาชมกันมาก เพราะเป็นเสมือนสัญลักษณ์ร่วม อันหมายถึงการเข้ามาของตะวันตก และเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญอย่างหนึ่งของโฮจิมินห์

สำหรับการเข้าชมโบสถ์ด้านในนั้นต้องมาพอดีเวลาสวดของเช้าคริสต์ ในส่วนเวลาที่แน่นอนไม่ทราบเหมือนกันครับเพราะตอนที่ไปมันปิดอดเข้าไปดูด้านในเลย

การถ่ายรูปพรีเวดดิ้งในย่านนี้มีเยอะมากแต่ที่แปลกและไม่เหมือนบ้านเราคือถ่ายรูปโดยไม่มีเจ้าบ่าวงงไปอีกครับ เป็นการถายรูปที่มีแต่เจ้าสาวจริงๆครับ

ฝากนี้ก็มีครับในส่วนของฝั่งนี้ก็คือ ไปรษณีย์กลางโฮจิมินห์(Main Post Office) ตั้ง อยู่บริเวณใจกลางเมืองโฮจิมินห์ ใกล้กับโบสถ์นอร์ทเธอดาม ได้รับการก่อสร้างขึ้นเมื่อ ปี พ.ศ. 2439 เสร็จในปี พ.ศ. 2444 มีการออกแบบและก่อสร้างในสไตล์ฝรั่งเศสและได้รับการออกแบบตกแต่งอย่างงดงาม ด้วยกระจกสี เป็นไปรษณีย์ที่ใหญ่ที่สุดในเวียตนาม มีความโอ่โถงและอ่อนช้อยทว่ามั่นคง จนทำให้นักออกแบบมากมายต้องมาศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับการออกแบบตกแต่งอาคาร แห่งนี้ ภายในตัวอาคารมีการระดับภาพแผนที่ทางทะเลโบราณ และภาพของอดีตผู้นำประเทศโฮจิมินห์ มีการบริการทั้งการส่งจดหมาย แสตมป์เพื่อการสะสม โปสการ์ด โทรศัพท์ระหว่างประเทศในอัตราค่าบริการมาตรฐาน


ตึกสีเหลืองตัดกับบรรยากาศท้องฟ้าสีเขียวก็ดูสวยงามแปลกตาไปอีกแบบนึง

ภายในยังคงรักษาเอกลักษณ์และยังสามารถส่งจดหมายรวมทั้งโทรศัพท์ข้ามประเทศได้จริง




ร้านขายของที่ระลึกที่ตั้งอยู่ภายในไปรษณีย์กลาง มีสิ่งของที่ระลึกให้เลือกมากมายครับ

กระดาษพับเป็นแบบโปสการด์ก็น่ารักไปอีกแบบ ซื้อแล้วก็ส่งกลับประเทศได้เลย ขายอยู่ด้านหน้าไปรษณีย์กลางก็มีอยู่หลายเจ้าหลายราคา ลองๆต่อดูราคาก็เป็นอีกอย่างที่สนุกและตื่นเต้ดีที่เวียดนาม

วิถีชีวิตที่ยังคงไม่เลือนหายไปตามกาลเวลา น่าเสียดายที่วันนึงมันจะค่อยๆเลือนหายไป

******คำเตือนภาพต่อไปนี้มีความรุนแรงและโหดร้าย********

มันคงเป็นเหมือนความทรงจำที่โหดร้ายที่อยากให้มันลายเป็นความฝันและอยากจะตื่นจากฝันขึ้นมาแล้วรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องจริงความโหดร้ายของสงครามเวียดนาม

War Remnants Museum จัดแสดงเนื้อหาและภาพถ่ายที่ถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับสงครามเวียดนาม

พิพิธภัณฑ์สงครามแห่งนี้ตั้งอยู่ในอาคารเก่าของรัฐบาลอเมริกา ภายในจัดแสดงนิทรรศการที่แสดงถึงผลกระทบของสงครามเวียดนามที่มีต่อชาวเวียดนาม พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เปิดขึ้นหลังจากสงครามจบลงเพียงไม่กี่เดือน โดยเดิมใช้ชื่อว่า "Exhibition House for US and Puppet Crimes" ถึงนิทรรศการส่วนใหญ่จะมีเนื้อหาต่อต้านอเมริกา แต่จุดประสงค์หลักของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้คือการแสดงถึงความโหดร้ายน่าสะพรึงกลัวของสงคราม


ส่วนจัดแสดงประกอบด้วยห้องจัดแสดงทั้งหมด3ชั้นจัดแสดงเป็นนิทรรศการรูปภาพพร้อมคำบรรยาย

มันคงเป็นอย่างนึงที่ความดีของคนไม่ได้ตัดสินจากความยุติธรรมแต่ตัดสินจากปลายกระบอกปืน

ไม่มีใครที่ไม่มีน้ำตาไหลออกมามันเป็นภาพที่เลวร้ายเกินที่กว่าใครจะขาดคิดและทุกคนก็รับรู้ได้แม้เป็นเพียงแค่รูปภาพ

สถานที่จำลองคุกในสมัยสงครามเวียดนาม


ผลงานภาพถ่ายของ Ishikawa Bunyo ช่างภาพสงครามชาวญี่ปุ่นที่เกาะติดสถานการณ์ของสงครามเวียดนามโดยตลอด การจัดแสดงภาพถ่ายกว่า 250 ภาพ ที่ถ่ายทอดภาพของทหารและประชาชนที่ได้รับผลจากสงครามนี้ เป็นอีกหนึ่งห้องแสดงสำคัญภาพในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้

เฮลิตอปเตอร์ที่ใช้ในสงครามเวียดนาม

จากความโหดร้ายของสงครามเวียดนามเปลี่ยนอารมณ์มาดูภาพวิถีชีวิตยามเย็นของคนที่นี่กันบ้าง


เรามามองตากันดีกว่า.....

คุณป้าขายหวย-หวยที่นี่มีออกแบบรายวันและออกแบบบ้านเราด้วยนะ

ถนนภายในเมืองโฮจิมินห์จะสังเกตุได้ว่าไม่ได้ใหญ่มากรถที่นี่ไม่ทำความเร็วเท่าบ้านเราขับเร็วสุดก็ประมาณ60-70กม/ชม.ในเมืองโฮจิมินห์ยังคงรักษาต้นไม้ที่ใหญ่โตไว้มากมายเป็นเมืองที่ร่มรื่นและอากาศก็ไม่ร้อนเท่ากรุงเทพฯต้นไม้แต่ละต้นภายในเมืองมีเลขกำกับไว้อย่างชัดเจนเลย คนที่ขี่มอเตอร์ไซต์ที่นี่ส่วนใหญ่ใส่ผ้าปิดปากกันทุกคน น่าจะเป็นเรื่องของการป้องกันมลพิษที่ดีเลยทีเดียว

เดินเที่ยวเล่นในย่านชุมชนเมืองเป็นอีกหนึ่งแหล่งที่มีร้านค้าขายสิ่งของวางตัวกันอยู่

ล่องเรือชมแม่น้ำไซ่ง่อนก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ไม่พลาดสำหรับเรือมีขึ้นชื่อ Tàu Bến Nghéสัญลักษณ์เป็นรูปปลาฉลาม สามารถจองก่อนล่วงหน้าหรือจะเข้าไปสอบถามได้แต่ว่าวันไหนที่ดวงไม่ดีทัวร์ลงก็อาจเต็มได้สำหรับค้าล่องเรือก็ประมาณ50-60 บาทครับ นั่งเรือไปก็กินข้าวไป อิ่มทั้งอาหารตาและอาหารกระเพาะเลยครับ ที่นั้งบริเวณชั้นสามบรรยากาศดีมากๆเพราะเห็นด้านหน้าของเรือได้อย่างชัดเจนนั้งเรือชมแม่น้ำไซ่ง่อนก็ใช้เวลาประมาณ1ชั่วโมงครับ เรืออกจากท่าประมาณ1ทุ่มวนเข้าไปในเมืองแล้ววนกลับครับ

เวียดนามในวันนี้มีตึกรามประดับไฟแสงสีอย่างสวยงาม ตึกด้านซ้ายสุดคือตึกใหม่ที่มีความสูงที่สุดในเวียดนามตอนนี้

เช้าวันใหม่ที่เมืองโฮจิมินห์ เรามีแพลนที่จะออกเดินทางไปยัง เมืองหมีทอ(My Tho) จังหวัดเตี่ยนยาง กันครับเมืองนี่เป็นเมืองปากแม่น้ำโขงที่ไหลยาวมาจากประเทศจีนผ่านทั้งพม่า ลาว ไทย กัมพูชา และไหลออกทะเลที่ประเทศเวียดนาม บริเวณนี้ยังเป็นพื้นที่ที่ยังอุดมสมบูรณ์เพราะเป็นดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำมีการปลูกผักผลไม้มากมายในแทบนี้ การเดินทางไปเมือหมีเทอ ใช้เวลาประมาณ2ชั่วโมง ด้วยระยะทาง70 กม. ที่ใช้เวลานานพอสมควรเพราะที่ประเทศเวียดนามนี้จำกัดความเร็วในการขับขี่รถที่60 กม./ชม.นั้นเอง การเดินทางเพื่อไปชมสามเหลี่ยมปากแม่น้ำมีหลายวิธีทั้งการหาทัวร์ภายในตัวเมืองโฮจิมินห์ที่มีอยู่หลากหลายและราคาย่อมเยา มีทั้งทัวร์3-5วัน หรือทัวร์ 1day trips นัดจุดกันแล้วรอรถเดินทางกันเป็นคณะใหญ่มีทั้งนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติซะเป็นส่วนมากและชาวเอเชีย อย่างเกาหลีใต้ ไม่น้อยเลยทีเดียว

การเดินทางในวันนี้ดูจะเป็นไปอย่างราบรื่นแต่ด้วยอุบัติเหตุภายในเมืองโฮจิมินทร์ทำให้รถติดหนักมากหมักกว่ารถติดในกรุงเทพฯก็ว่าได้

เมืองหลวงของจังหวัดเตียงยาง คือเมืองหมีทอ และยังเป็นเมืองท่องเทียวทางผ่านต่อไปยังเกิ่นเทอ มีการสร้างสะพานแขวนข้ามแม่น้ำโขงเชื่อมเวียดนามใต้เข้าด้วยกัน สะพานแขวนนี้เชื่อมจังหวัดเตียงยาง กับจังหวัดเบ๊นแตร

สะพานแขวนที่เชื่อมจังหวัดเตียงยาง กับจังหวัดเบ๊นแตร

เดินทางมาที่เกาะกลางน้ำภายในเกาะยังคงรักษาวิธีชีวิตไว้ถ้าเปรียบเกาะนี้กับบ้านเราก็คงเหมือนเกาะเกร็ดหรือแถวพระประแดงที่เมืองไทย ชาวเวียดนามที่อาศัยอยู่ที่นี่ประกอบอาชีพหลักคือการทำสวนผลไม้การเลี้ยงผึ้งและการทำขนมจากมะพร้าว ขนมจากมะพร้าวของที่นี่เป็นที่ขึ้นชื่อมาก และมีหลายรสให้เลือกทานไม่ว่าจะเป็นสับปะรส จนไปถึงทุเรียนเลย สำหรับผมรสชาติก็แปลกดี แต่ที่แน่ๆมันเหนียวติดฟันมากๆ



ขบวนการผลิตที่ยังรักษาเอกลักษณ์เดิมไว้


ตลาดภายในชุมชนมีสินค้าของที่ระลึกขายอีกเช่นเคยใครที่พกเงินมาเยอะก็เลือกซื้อกันได้สบายใจครับ

ใครๆก็ชมว่าสาวเวียดงามแท้ งามขนาดก็ดูจากรูปนี้ละกัน



ออกจากเกาะได้ไม่นานนักฝนก็เทลงมาอย่างหนักเลย มาเที่ยวทั้งที่ก็ยังมีอุปสรรคเป็นฝน แต่ไม่เป็นไรอากาศก็เย็นลงเยอะเลย

ตอนแรกก็คิดว่าตกนานผ่านไปครึ่งชั่วโมงฝนก็หยุดตกเดินทางกันต่อไปที่ วัดวินห์ตะรางซึ่งอยู่ไม่ไกลมากนักจากท่าเรือ วัดนี้เป็นวัดนึงที่ผสมผสานศิลปะระหว่างเวียดนาม อินเดีย จีน เขมร ญี่ปุ่นและ ศิลปะชิโนโปรตุกิส ได้อย่างลงตัว วัดนี้เป็นวัดที่เรียกได้ว่าใหญ่ที่สุด และเก่าแก่ที่สุด ในจังหวัดก็ว่าได้


ชมกันอย่างจุใจแล้วก็ถึงเวลาเดินทางกลับโฮจิมินห์แล้ว การเดินทางก็ใช้ระยะเวลาประมาณ2ชั่วโมงเหมือนขามา แต่สถาพตลอดทางกลับเต็มไปด้วยมอเตอร์ไซต์ตลอดระยะทางกว่า70กิโลเมตร

เป็นประเทศนึงที่เรียกได้ว่ามอเตอร์ไซต์แทบจะครองเมืองก็ว่าได้


สำหรับใครที่ปวดห้องน้ำริมทางก็มีปั๊มน้ำมันไว้ให้เข้ากันแต่ก็คงไม่เหมือน ปตท.บ้านเรา ห้องน้ำก็ถือว่าไม่ได้สกปรกขนาดเข้าไม่


และการเดินทางในวันสุดท้ายที่เวียดนามก็ใกล้จบลง เช้าวันใหม่ก็เริ่มขึ้น


เริ่มต้นกับการไปสักการะวัดเทียนหาวหรือ "วัดเจ้าแม่สวรรค์" ซึ่งอยู่ในเขตไชน่าทาวน์ ถือเป็นวัดเก่าแก่อายุเกือบ 300 ปี เลยทีเดียว วัดแห่งนี้เป็นวัดจีนอันเป็นที่เคารพบูชาของชาวเวียดนามเชื้อสายจีน สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับแม่พระผู้คุ้มครองชาวเรือเปรียบได้กับศาลเจ้าแม่ทับทิมในบ้านเรา ซึ่งนอกจากวัดแห่งนี้จะเป็นที่เคารพนับถือของชาวประมงและผู้ประกอบอาชีพเกี่ยวกับทะเลเป็นอย่างมากแล้ว วัดเทียนหาวยังโดดเด่นไปด้วยรูปเคารพเจ้าแม่ทับทิม เทพเจ้ากวนอู และรูปเคารพเทวรูปอื่นๆอีกหลายองค์ และเจดีย์สูงใหญ่แบบจีนอีกด้วย


ที่นี่เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญที่ใครมาเยือนเวียดนามไม่ควรพลาด

ธูปทรงยาวมีไว้สำหรับให้คนบูชา ที่เห็นว่าลอยอยู่ไม่ใช่ว่าสามารถนำขึ้นไปแขวนเองได้นะครับ จะมีเจ้าหน้าที่มาจัดการแขวนให้อย่างเรียบร้อย


ด้านหน้าทางเข้าของวัดเทียนหาว มีทางเข้าออกได้สองทาง คือด้านหน้าและซอยข้างวัดเหมือนเป็นการเดินทะลุตึกแถวก็ว่าได้ วัดนี้ตั้งอยู่ระหว่างตึกแถว ในเมืองโฮจิมินห์มองหาบ้านเดียวแบบบ้านเราไม่ได้ต้องไปในแถบชานเมืองถึงจะพบเห็น ส่วนมากจะเป็นตึกแถวขนาดสูง ส่วนอาคารเป็นหลังนั้นเป็น สถานที่ราชการหรือ สถานที่ทางประวัติศาสตร์ ทั้งหมด

ขนมปังฝรั่งเศสเป็นอาหารเช้ายอดนิยมที่ใครๆมาเยือนเมืองไซ่ง่อนไม่ควรพลาด สำหรับหรับไส้ด้านในนั้นทำมาจากตับหมูบด รสชาติก็แปลกใหม่ดี ถือว่าใครมาแล้วไม่ควรพลาดที่จะลองชิมนะ...แต่รสชาติก็แล้วแต่ว่าจะถูกปากหรือไม่นะครับ

ภายในเมืองโฮจิมินห์วันนี้มีการแข่งขันวิ่งมาลาทอนกันเป็นงานใหญ่เรียกได้ว่าเป็นงานระดับมหาโปรเจคกันก็ว่าได้ด้านหน้าของสถานีโทรทัศน์ที่นี่มีการถ่ายทอดสดและมีผู้คนมากมายมาชมด้วยการขี่มอเตอร์ไซด์เป็นจำนวนมาก สำหรับจอled ของที่กล่าวมาก็คงเทียบได้กับสถานีโทรทัศน์ itv ในบ้านเราก็ว่าได้

ในย่านใจกลางเมืองของประเทศเวียดนามยังมีตึกที่สูงที่สุดในเวียดนามขณะนี่นั้นก็คือตึก BITEXCO FINANCIAL TOWER

สถานที่แห่งนี้ยังเป็นที่ตั้งของ SAIGON SKYDESK จุดชมวิวที่มีความสูงกว่า49ชั้นสามารถมองชมวิวของประเทศเวียดนามได้อย่างชัดเจน สำหรับตึกBITEXCO FINANCIAL TOWER มีความสูงกว่า68ชั้น อีกทั้งยังมีลานจอดเฮลิคอปเตอร์ ขนาดใหญ่อยู่ด้านบนอีกด้วย



เป็นอีกหนึ่งแลนมาร์คที่ควรปักหมุดไว้ได้เลย

เดินจากตึกมาตามถนน จะเป็นลานกว้างขนานไปตามถนน สามารถมองเห็นอนุสาวรีย์ ลุงโฮ หรือโฮจิมินห์ได้อย่างชัดเจน

จัตุรัสโฮจิมินห์ แต่เดิมบริเวณนี่มีรูปปั้นของลุงโฮอุ้มเด็ก หรือ "อนุสาวรีย์อดีตประธานาธิบดีโฮจิมินห์" ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ในสวนเบื้องหน้าสภาประชาชน จุดนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ของนครโฮจิมินห์ที่ใช้เป็นจุดตั้งหลักและจุดนัดพบเลยก็ว่าได้ ในตอนกลางคืนบริเวณลานน้ำพุในจตุรัสแห่งนี้มักมีชาวเวียดนามและชาวต่างชาติมานั่งพักผ่อนชมวิวกันทุกคืน แต่ปัจจุบันเปลี่ยนกลายเป็นอนุสาวรีย์ลุงโฮ ยืนเด่นเป็นสง่าเลย

เวียดนามในวันนี้เจริญขึ้นเยอะมากมาย บรรยากาศทำให้นึกถึงประเทศในแถบยุโรปก็ว่าได้

"ศาลาว่าการเมือง" หรือ"สภาประชาชน" (People's Committee Building) หรือที่รู้จักกันอีกชื่อว่า "โฮจิมินห์ซิตี้ ฮอลล์"(Ho Chi Minh City Hall) เป็นตึกสไตล์ฝรั่งเศส ตรงกลางเป็นหอนาฬิกาขนาบข้างด้วยอาคาร 2 หลังที่สูงเด่นขึ้นมา มีซุ้มประตู-หน้าต่างโค้งมนแซมด้วยเสากรีกและลวดลายปูนปั้นอันอ่อนช้อยดูแล้วสมส่วนสวยงามมาก

จะกลับทั้งทีจะพลาดของฝากไปได้อย่างไรอีกหนึ่งสถานที่ที่เป็นแหล่งช็อปปิ่งก็คือ "ตลาดเบนถันห์" (Ben Thanh Market) แหล่งช้อปแหล่งใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุดของโฮจิมินห์ สร้างขึ้นเมื่อปีพ.ศ.2457 ด้านหน้าตลาดมีหอนาฬิกาตั้งตระหง่านโดดเด่นเป็นสัญลักษณ์ของตลาดแห่งนี้ ภายในนั้นตลาดเต็มไปด้วยของขายมากมายสารพัดอย่างในราคาที่สามารถต่อรองกันได้

ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า อาหารการกิน ชา กาแฟของที่ระลึก รองเท้า กระเป๋าแบรนด์เนม ที่นี่แม่ค้าชาวเวียดนามหลายๆคนในตลาดเบนถันห์ยังพูดไทยได้บ้างและพูดภาษาอังกฤษเก่งทีเดียว การต่อรองราคาสินค้าที่นี่เป็นเรื่องสนุกอีกอย่างนึงของนักท่องเที่ยวที่ได้มาเยือนเนื่องจากเวลาเราเดินผ่านแล้วไม่สนใจในราคาที่แม่ค้าบอก เขาก็จะนำเครื่องคิดเลขมายื่นให้เราเลย พร้อมกับคุ้นเคย what's your maximum price you want ? ต่อได้เรื่อยๆจนราคาเป็นที่พอใจนะครับ


ถึงเวลาก็ได้เวลาโบกมือลาเวียดนามกันแล้วเป็นอีกหนึ่งความประทับใจที่ไม่มีวันพลาดมาเยือนแน่นอน


สรุปแล้วว่าเวียดนามอันตรายไหม

เวียดนามเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ต้องใช้ความระมัดระวังในการเดินทางและสิ่งของ แต่ก็ไม่หน้ากลัวขนาดไม่น่าเที่ยว

เวียดนามเป็นประเทศที่ปลอดภัยในด้านการจราจร และเวลาข้ามถนน

เวียดนามเป็นประเทศที่ยังต้องระวังตัว แต่ เรื่องโจรหรือเรื่องขโมยก็เป็นไปได้ในทุกประเทศ ยังไงเสียระวังไว้ก็ไม่เสียหายนะครับ

ได้เลยนะครับฝากติดตามเพจที่

https://www.facebook.com/onthejourneythai/

ด้วยนะครับ





















journeyXreview

 วันศุกร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 12.20 น.

ความคิดเห็น