" ถ้ำพุงช้าง "

ความเชื่อ ตำนาน วิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และ จินตนาการ
ซึ่งยังคงอยู่ในถ้ำที่เต็มไปด้วยความอัศจรรย์ใจของนักท่องเที่ยวที่เดินเข้ามา ณ แห่งนี้คนแล้วคนเล่า
(เรื่องของตำนานนั้นใครอยากอ่านสามารถไปฟังเขาเล่ากันได้ที่ ตำนานถ้ำพุงช้าง )

ทำไมเราจึงไม่ค่อยเห็น รีวิวถ้ำพุงช้าง ???
เพราะ ผู้ได้รับสัมปทานนำเที่ยวถ้ำพุงช้าง ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพหรือ VDO ใดๆ ภายในถ้ำ

ทำไมถึงต้องห้าม ???
เนื่องจากภายในถ้ำนั้นมีหินงอกหินย้อยที่สวยงาม และ เสี่ยงต่อการเติบโตเมื่อพบกับความร้อน
รวมถึงการอาศัยของค้างคาวคุณกิตติ ที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก อาจจะได้รับผลกระทบจากแสงต่างๆ

ทำไมถึงมีรีวิวนี้ ???
ผู้เขียนรีวิวได้รับโอกาสจากทาง ททท.จังหวัดพังงา ในการช่วยประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดพังงา
และความเชื่อใจของเจ้าของสัมปทานในฐานะคนพังงาด้วยกัน ให้ถ่ายภาพได้ภายใต้เงื่อนไขหลายๆ ข้อ
อาทิเช่น ไม่ใช้แฟลตในการถ่ายภาพ ไม่ใช้ไฟฉายหรืออุปกรณ์ที่มีความร้อน
สุดท้ายจึงได้แค่พกกล้องเล็กๆ ที่ไม่มีแฟลตไปเพียง 1 ชิ้น
และ ใช้ไฟฉายของทางผู้ดูแล พร้อมกับคนดูแลอย่างเข้มงวด
ดังนั้นภาพที่ได้มา "อาจชัดบ้างไม่ชัดบ้าง ต้องขออภัยครับ"

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ถ้ำพุงช้าง
ตั้งอยู่ในตัวเมืองจังหวัดพังงา หาไม่ยาก หากคุณเห็น "เขาช้าง" ที่ใหญ่กลางตัวเมือง
ตรงกลางของเขาช้าง คือ "ถ้ำพุงช้าง" นั่นเอง และ ถ้ำตั้งอยู่ในพื้นทีวัดประพาสประจิมเขต

ด้านหน้าของถ้ำเป็นชะง่อนผากว้าง มีต้นไม้ร่มรื่น
และมีการปรับภูมิทัศน์ให้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจสำหรับชาวเมืองและนักท่องเที่ยว

พื้นที่บริเวณถ้ำสะอาดเรียบร้อย ไม่ว่าจะเข้ามานั่งพักผ่อนหรือไหว้พ่อตาเขาช้างก็ดูสบายตา

บริเวณด้านหน้าก่อนเข้าถ้ำพุงช้าง เป็นที่ตั้งของ "ศาลพ่อตาเขาช้าง" ซึ่งเป็นที่สักการะของชาวพังงามานาน

ทั้ง เขาช้าง และ ถ้ำพุงช้าง ชาวพังงาเชื่อว่าเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์คู่กับเมืองพังงา

สมัยก่อนจำได้ว่าตอนเด็กๆ เดินทะลุถ้ำออกไปอีกฝั่งได้
แต่เดี่ยวนี้นั้น ทางผู้สัมปทานทัวร์ไม่ให้เดินทะลุผ่านไปแล้ว เนื่องจากเห็นว่าอันตรายและค่อนข้างไกล
จึงสามารถเข้าไปได้เพียงระยะหนึ่งและกลับออกทางปากถ้ำเดิม
รวมแล้วใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที


มาดูรายละเอียดกันหน่อย
ระยะทางนำเที่ยวถ้ำถึง 1.2 กม.
ช่วงแรกชมถ้ำด้วยเรือแคนนู ระดับน้ำลึก (มีคนพายให้)
ช่วงที่สองเป็นแพไม้ไผ่ ระดับน้ำประมาณ หัวเข่าถึงเอว
ช่วงที่สามระดับน้ำตื้น สามารถเดินได้

เรือแคนนูถูกจอดเตรียมพร้อมบริเวณหน้าถ้ำที่มีฝายเล็กๆ กั้นน้ำอยู่
เราจะได้รับไฟฉายเล็กๆ คนละ 1 อัน เพื่อส่องดูความสวยงามของถ้ำนี้
^_^
พร้อมแล้วไปกันเลยครับ


ช่วงแรกนั่งเรือแคนนูจับภาพอะไรไม่ได้เลย เนื่องจากเคลื่อนที่ท่ามกลางความมืด

ด้านบนเราพบค้างคาวหน้าหนู ห้อยหัวกันบนผนังถ้ำ
แต่ที่นี่ไร้กลิ่นขี้ค้างคาว แตกต่างจากถ้ำอื่นๆ เพราะ ถ้ำพุงช้างเป็นถ้ำที่มีน้ำไหลตลอดเวลา
และ มีอากาศถ่ายเทหายใจได้สะดวก

ภาพที่่ถ่ายในถ้ำที่แสงไฟน้อยนั้น เบลอสุดๆ แต่ ของจริงนั้นสวยงามมาก

ยามเรือแคนนูช้าลงหน่อยก็พอจะจับภาพได้บ้าง แต่ภาพก็ยังเบลออยู่ เพราะความไม่ชำนาญในการถ่ายภาพที่มืด
แถมยังต้องอยู่บนเรือที่เคลื่อนไหวตลอดเวลา
และผู้นำทางของเราก็ยังอธิบายจุดต่างๆ และ หินรูปร่างแปลกๆ ไปตลอดทาง
โดยเฉพาะหินที่มีรูปร่างคล้ายช้างไปตลอดเส้นทาง

เมื่อมาถึงจุดต้องเปลี่ยนจากเรือแคนนูเป็นแพไม้ไผ่จึงจะได้ถ่ายชัดๆ บ้าง

หินงอกขนาดใหญ่คล้ายเจดีย์ที่มีช้างตัวเล็กๆ เดินกันเป็นวงกลมซ้อนกันขึ้นไป กะด้วยสายตาคงประมาณ 2-3เมตร
Elephant Stupa Rock

เส้นทางต่อไปเป็นระดับน้ำความลึดระดับกลางที่เราต้องนั่งแพไม้ไผ่เข้าไปโดยมีน้องๆ คอยลากให้

กว่าจะได้ถ่ายถาพก็ตอนลงเดินในถ้ำ ซึ่งเป็นช่วงสุดท้าย
เราได้พบค้างคาวกิตติ ที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก
ค้างคาวประเภทนี้ไม่อยู่รวมกลุ่ม อาศัยแบบโดดๆ ในพื้นที่ของมัน มีขนาดเล็กประมาณครึ่งหนึ่งของกำปั้น

หินงอกที่เกิดจากหินปูนสีขาวรูปร่างคล้ายนกกระเรียน (คล้ายมั้ย?)

ถ้ำพุงช้าง เคยเป็นถ้ำที่อยู่ใต้ทะเลมาก่อน
หลักฐานคือ ฟอสซิลของดอกไม้ทะเล และ หอยทะเล ที่ถูกฝังอยู่ในหินแกรนิต ที่เกิดจากแมกม่าเย็นตัวลง

ถ้าใครเคยเข้ามาถ้ำพุงช้าง จะรู้ว่าภายในที่นี่อากาศดีมาก ... ดีมากหมายถึง หายใจสะดวก ไม่มีกลิ่น แต่รู้สึกสดชื่น
นั่นก็เพราะ ในถ้ำด้านในนี้ธารน้ำใสและบริสุทธิ์ไหลผ่านตลอด ทำให้มีอ๊อกซิเจนเป็นจำนวนมาก ประกอบกับเคยเป็นถ้ำใต้ทะเลมาก่อนผมคิดว่าคงมีแร่จำพวกเกลืออยู่ด้วยเป็นจำนวนมาก ทำให้รู้สึกสดชื่นเหมือนอยู่ริมทะเล (แต่ไม่ได้กลิ่นน้ำทะเลนะ)

ลายของหินแกรนิตเป็นเส้นขีดดั่งภาพวาดที่เกิดโดยธรรมชาติ

คล้ายหญิงกำลังตกปลา ด้านข้างมีถังใส่ปลา (มองออกมั้ยครับ ฮ่าๆๆ)

ผู้นำทางชี้จุดต่างๆ ของหินงอก และ หินย้อย ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกัน

หินย้อยบางก้อนมีขนาดใหญ่ มีสีแดง และ มีความวิบวับเพราะมีแร่จำพวกแก้ว หรือ ซิลิกา
(รูปไม่ชัดอีกแล้ว = =" )

หินย้อยพันล้านปี
หินย้อยก้อนนี้มีขนาดใหญ่มาก ขนาดที่ว่า ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เลยทีเดียว
และยังคงใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ทุกๆ ปี
แถมเมื่อเอาไฟส่องผ่านยังโปร่งแสง (แสงทะลุผ่าน) เสียด้วย
*** ปกติหินงอกหินยาวจะยาวขึ้น 1 มิลลิเมตร ใช้เวลา 10-30 ปี และ จะหยุดเติบโตทันทีเมื่อสัมผัสมือเรา
ดังนั้น ห้ามจับ เด็ดขาด ***



ก้อนหินปูนผสมกับแร่อื่นๆ เกิดเป็นนรูปร่างคล้ายปลาตัวใหญ่ยักษ์ราวกับมีชีิิวิตอยู่ภายในถ้ำ
เรามองไม่ออกว่าเป็นปลาอะไร ฮ่าๆๆ

สุดปลายทางเป็นหินงอก คนนำเที่ยวบอกว่า
นี่คือ "บัลลังค์ทอง"

หินบัลลังค์ทอง เป็นหินงอกสีแดงส่องประกายวิบวับของแก้วซิลิก้าที่ฝังตัวอยู่ภายใน
ด้านบนถูกน้ำที่หยดจากผนังถ้ำกัดเซาะจนมีลักษณะเป็นอ่าง

จริงๆ บน หินงอกบัลลังค์ทอง จะมีกริสเตอร์ส่งประกายวิบๆ วับๆ เยอะมาก
แต่ผมถ่ายได้ไม่ดีเลยมองไม่ค่อยเห็น

สุดท้ายไฮไลท์ของ ถ้ำพุงช้าง คือ
พญาช้างเผือก ปกร่มเสวตฉัตรสีแดง ฉายแววตาจ้องมาที่เรา


หินแกรนิตลายสีขาว ที่กระเทาะออกให้เป็นหินแกรไฟต์สีแดง เป็นดวงตา

ช่างเหมาะเจาะพอดิบพอดี ราวกับช้างเชือกนี้มีชีวิต
ภายใต้หินสีเหลือง ส้ม แดง ด้านบนราวกับฉัตรคอยปกช้างเชือกนี้

และ นี่ คือ ภาพของความอัศจรรย์อันเกิดจากธรรมชาติ เรื่องเล่า ความเชื่อ และ วิทยาศาสตร์ ของคนพังงา

ถ้ำพุงช้าง จึงเสมือนเพชรของจังหวัดพังงา ที่คู่กับบ้านเมืองนี้มานาน

เรื่องพังง๊า ... พังงา ที่ www.facebook.com/hellophangnga

Hello Phang-Nga

 วันศุกร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 21.40 น.

ความคิดเห็น