เมืองเชียงตุง (Kengtung Town in Myanmar) เป็นจังหวัดหนึ่งในรัฐฉานของพม่า ตั้งอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำสาละวิน

ประวัติศาสตร์ในช่วงแรกของเชียงตุงไม่ชัดเจน แต่มีตำนานเล่าขานกันว่า เคยเกิดน้ำท่วมใหญ่ท่วมเมือง มีฤๅษีนามว่า ตุงคฤๅษี แสดงอิทธิฤทธิ์ทำให้นำไหลออกไปอยู่ตรงกลางเมือง ทำให้เกิดเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ เรียกกันว่า หนองตุง อันเป็นที่มาของชื่อ เชียงตุง เป็นแว่นแคว้นที่เจริญรุ่งเรืองด้วยพระพุทธศาสนา และ วัฒนธรรม

พี่เอ่ยปากชวนกลุ่มถ่ายภาพไปเยือนเมืองเชียงตุงด้วยว่าไปครั้งก่อนได้ภาพมายังไม่เป็นที่พอใจ จึงได้จัดการลาก กระชาก แกมบังคับน้องๆให้ไปเป็นเพื่อน (ให้ช่วยหารค่าทริป ว่ากันแบบบ้านๆ) ลางาน จองตั๋ว บอกภรรยาเป็นอันเสร็จสรรพ (ภรรยาขอตามไปด้วย งานเข้า...) หอบกระเป๋าพะรุงพะรัง กระหืดกระหอบ ไปนั่งรอนกเหล็ก ณ สนามบินดอนเมืองอันเคยรุ่งเรือง ... ว่าแล้วกระโดดตามกันมาเลยครับ มุ่งหน้าสู่ เมืองเชียงตุง เมืองแห่งวัด



ทริปนี้สะพายอุปกรณ์คู่กายเต็มพิกัด


Sony A7 mk II + Lens Kit FE 28-70

เลนส์มือหมุน Mamiya Sekkor 55/F2 + Vivita 135/F2.8 + Samyang 12mm Fisheyeคณะทัวร์สะพายกล้องออกจากดอนเมือง มุ่งตรงเชียงรายด้วยสายการบินสีแดง ตามนัดหมายกับพี่ๆน้องๆอีกกลุ่มที่รอที่สนามบิน เที่ยวบินเช้ามืด เล่นเอาคนระยองอย่างผมต้องปลุกภรรยาตั้งแต่ตี 3 ออกจากบ้าน ผ่านพิธีการทางด้านการบินพลเรือน (แอบเม้าท์ ภรรยาเพิ่งเคยขึ้นเครื่องบินครั้งแรก อิอิอิ) ถึงปลายทางสนามบินแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ก็สายๆกำลังดี



นั่งรถถึงยังด่านแม่สายก็ใกล้เที่ยง ทำใบผ่านแดนด้วยเอกสารเพียงบัตรประชาชนยื่นที่ที่ว่าการอำเภอแม่สาย มีส่วนทำหนังสือผ่านแดนสะดวกสบายมากครับ น่าชื่นชม


เดินข้ามด่านมาพบกับไกด์ที่เราได้นัดกันไว้ล่วงหน้าแล้ว ดำเนินการเอกสารคนเข้าเมืองกับทางฝั่งพม่า รูปถ่าย1 นิ้ว 3รูป พร้อมสำเนาบัตรประชาชน ไกด์อำนวยความสะดวกให้เสร็จสรรพ เราก็ไปเดินช๊อปปิ้งได้สักกระเป๋าแบนแฟนทิ้ง อิอิอิ เสร็จเรียบร้อยก็ออกเดินทางสู่จุดหมาย เมืองเชียงตุง ด้วยรถตู้ใหญ่โตสะดวกสบาย ระยะทาง 150 กิโลเมตร แต่เชื่อเถอะเอาหัวเป็นประกัน คุณจะได้นั่งรถ 500 กิโลเมตรแน่นอน (ระยะเวลาเท่ากัน อิอิอิ)



สองข้างทางของเส้นทางจะปรากฏนาขั้นบันได ทั้งเขียว ทั้งเหลืองสลับกันไป ประหนึ่งแม่กลางหลวง หรือป่าปงเปียงเมืองไทย หรือจะประหนึ่งซาปา เวียดนามก็ไม่ปาน (ที่ว่ามาผมก็ไม่เคยไปน่ะ มโนเอาเรื่อย อิอิอิ) แต่เชื่อผมเถอะ ฉายาเจ้าชายฟ้าเน่า ไม่เคยไม่ทำให้ใครผิดหวัง ฝนตั้งเค้า ท้องฟ้ามืดครึ้ม สายฝนเริ่มโปรยปราย เห็นดังนั้น ผมขอเพิ่มแอลกอฮอล์ในเลือดนั่งชมสายฝนไปพลางๆ ดีกว่า



กะว่าจะถึงที่พักสักสี่โมงเย็น แต่ด้วยวิสัยถ่ายรูปแม้ฟ้าเน่าเราก็ไม่หวั่น จอดซื้อของตามเมืองรายทาง ลงไปถ่ายรูป เข้าห้องน้ำ ปลายทางเราบรรลุที่ เวลา 6 โมงเย็น ใช้เวลา 5 ชั่วโมง.... ฟังไม่ผิดหรอกครับ 150 กิโลเมตร ใช้เวลา 5 ชั่วโมง ได้เวลาถ่ายมุมมหาชนพอดี แต่ด้วยฟ้าไม่เป็นใจ สายฝนโปรยปราย จึงทำได้เพียงภาพแห่งความทรงจำ



หลังจากนอนหลับพักผ่อนเอาแรงพร้อมเสียงสายฝนพรำบรรยากาศรื่นรมย์สำหรับคนมีคู่ แต่โหดร้ายกับคนโสดยิ่งนัก พี่ไกด์บอกว่าตอนเช้าหน้าที่พัก (โรงแรม Harry ) จะมีตลาดของสดทุกเช้า ด้วยนิสัยตากล้องจะพลาดได้อย่างไร รีบตื่นมาแต่เช้าปลุกภรรยา เดินชมตลาดกัน (ฝนตกยังมีตลาด) เป็นตลาดเล็กๆ ที่ชาวเชียงตุงออกมาหาผักสด เนื้อสัตว์ เพื่อใช้ทำอาหารตอนเช้า ผมก็แอบไปฝากท้องอยู่หลายเมนู แต่ลืมถ่ายรูป (ไม่เคยถ่ายทันจริงๆของกินเนี้ย อิอิอิ)



ช่วงแรกของวันแรกในเชียงตุง ตระเวณถ่ายวัด ไกด์บอกเข้าเฉพาะที่เป็นวัดเก่าแก่อายุเกิน 200 ปีเท่านั้น ส่วนเป็นวัดอะไรบ้าง ขอฝากไว้เป็นการบ้าน ท่านอื่นๆน่ะครับ ช่วยไประบุชื่อวัดให้ที ผมจำไม่หมดจริงๆ รู้แค่ว่า วัดอยู่นานที่สุดคือ "วัดอิน"



หลังจากถ่ายวัดมาพอหอมปากหอมคอ ไกด์บอกว่าไปเดินช๊อปปิ้งบ้างดีกว่า ก่อนที่ กาดจะเปิดเที่ยง .... อะไรน่ะมีปิดตอนเที่ยง ไม่ผิดครับ พอเที่ยงตลาดจะปิดจริงๆ เป็นตลาดใจกลางเมืองเชียงตุง ที่เดียว สาวๆไม่รอช้าเดินนำหน้าทิ้งเราไว้ข้างหลัง ให้ส่องกล้องมองหาวิถีชีวติคนในตลาด กับสาวๆเมืองเชียงตุง พร้อมทั้งอาหารใส่ปากประทังความหิวจนท้องเกินจะรับไหว



ภาคบ่าย ก็ตระเวณวัดเช่นเดิมวัดน้อยใหญ่ ต้นไม้ประจำเมือง วัดหลวง วัดนอกเมือง ชุมชนเก่า นาข้าว วนรถไปทั่วสงสารคนขับรถทีเดียวเชียว ทั้งฝนก็ยังปรอยๆทั้งวัน จนทำให้อุณหภูมิลดต่ำลงถึง 18 องศาขนลุกชูชัน อย่างกับปวดอุจาระ กันเลย .... ช่วงนี้ชมรูปกันยาวๆไปเลยน่ะครับ



หมดวัน จะกลับไปเก็บมุมมหาชนที่หนองตุงอีกครั้ง แต่โชคก็ไม่เข้าข้าง วันนี้หมูบ้านฝั่งพระธาตุจองกลางไม่เปิดไฟ เนื่องจากต้องสลับให้หมู่บ้านอื่นใช้กัน ไฟฟ้าเมืองเชียงตุงมีแค่พอใช้ให้แสงสว่าง ซึ่งผมมองว่าเป็นอะไรที่พอเพียงในการดำรงชีวิตแล้วล่ะครับวันที่สาม เช้าวันกลับ เราแวะเก็บประตูเมืองและวัดอีกสองสามวัดจากนั้นก็พาสาวๆไปช๊อปปิ้งของฝากอีกรอบ เร่งเดินทางกลับเพราะเดี๋ยวจะไม่ทันเที่ยวบินกลับ กทม. ฝนก็ตกปรอยๆทั้งวัน ใช้เวลาเดินทางก็นานอยู่ ระหว่างทางถือโอกาสแวะเก็บมุมที่ไม่ได้เก็บช่วงขามาไม่ได้เก็บไปด้วย



สุดท้ายต้องขอบคุณพี่ๆน้องๆ ที่ฉุดกระชาก ลาก ถู พาผมมายังเมืองเชียงตุง เมืองที่มีมนต์ กล่าวไว้ว่าถ้าได้มาแล้วจะต้องมาให้ครบสามรอบ ผมก็เชื่อว่าอย่างนั้น เมืองสงบน่าอยู่ ผู้คนใจดี วัฒนธรรมที่ยังคงความเป็นวิถีแห่ง เมืองร้อยวัด แล้วพบกันใหม่ " เชียงตุง "



Suwit Gamolglang

 วันพฤหัสที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 20.27 น.

ความคิดเห็น