ถ้าพูดถึงหน้าร้อนหลายๆ คนมักจะต้องนึกถึงผลไม้สีเหลืองแสนสวยงามอย่างมะม่วงขึ้นมาในหัวอย่างแน่นอน และมันก็ทำให้ทุกๆ ปี ในช่วงนี้เกิดกระแสเมนูอาหารต่างๆ ที่ทำด้วยมะม่วงออกมามากมายเต็มไปหมด แต่จริงๆ แล้วผมอยากจะบอกว่าสำหรับคนที่รักการกินมะม่วงแล้ว เราสามารถที่จะกินมันได้ตลอดทั้งปีและไม่เบื่อเลยที่จะกินมัน โดยเฉพาะกับร้านที่ทำเมนูสวยๆ งามๆ ออกมาล่อตาล่อใจครับ



สำหรับวันนี้ผมนาย “ภรรยาหา สามีใช้" จะพาทุกท่านไปรู้จักกับร้านเปิดใหม่สดๆ ซิงๆ ที่ชื่อว่า “The Mango Garden" ร้านที่มีเมนูมะม่วงอยู่เต็มไปหมด!! โดยร้านนี้ตั้งอยู่ที่สยามพารากอน ชั้น G ใกล้ๆ กับร้าน After You ครับ



อ้อ....เห็นชื่อร้านมีคำว่า Mango แบบนี้ อย่าไปคิดนะครับว่าเค้าเป็นเฟรนไชส์มาจากที่ไหน เพราะนี่คือร้านที่มีเพียง 2 สาขาในประเทศไทยเท่านั้น โดยสาขาแรกต้นตำรับจะอยู่ที่เกาะพีพี และมีชื่อเสียงโด่งดังจนเป็นร้านที่ติดอันดับต้นๆ ใน Trip Advisor ซึ่งหลายต่อหลายเสียงถึงกับบอกว่าถ้าไปเกาะพีพีแล้วห้ามพลาดที่จะไป Check in ที่ร้านนี้เลยครับ



สำหรับร้าน The Mango Garden สาขาสยามพารากอนนั้น เป็นร้านขนาดเล็กที่มีโต๊ะประมาณ 10 ตัว จุคนได้ราวๆ 30-35 คน ตกแต่งร้านออกมาในโทนสีเหลือง-ดำ และโทนสีไม้ ซึ่งดูเก๋และเข้ากับโลโก้ของร้านที่เป็นรูปตะกร้อสอยมะม่วงมากๆ โดยเมนูหลักๆ ของทางร้านจะมี 2 ประเภทก็คืออาหารคาวและเครื่องดื่ม ซึ่งเมนูส่วนใหญ่ของมันนั้นจะมีส่วนประกอบของมะม่วงเป็นหลัก แต่ก็ไม่ทุกเมนูนะครับ จะมีบ้างบางเมนูที่ไม่มีมะม่วงเลย ซึ่งผมว่าเค้าทำเผื่อไว้สำหรับกรณีที่คนไม่ชอบมะม่วงแต่ต้องมาที่ร้านเพราะโดนเพื่อนบังคับ 5555555



สำหรับเมนูที่ผมได้ทานวันนั้น ก็มีตามนี้เลยครับ


• Sunrise Mango (215 บาท) : ข้าวเหนียวมะม่วงและปลาแห้ง สูตรชาววัง

• Garden Ruben Toast (245 บาท) : โทสต์ข้าวเหนียวมะม่วง และไอศกรีมโฮมเมด

• Mango Coconut Pudding (175 บาท) : พุดดิ้งมะพร้าว มะม่วงสุก และธัญพืช

• Mango (110 บาท) : น้ำมะม่วง

• Mango with Passion fruit (130 บาท) : น้ำมะม่วงเสาวรส



เรามาเปิดฉากกันด้วยน้ำมะม่วงและน้ำมะม่วงเสาวรสกันก่อนเลยนะครับ ขนาดแก้วถือว่ากำลังดีไม่น้อยไม่มากเกินไป ส่วนราคาผมว่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานของน้ำมะม่วงนะครับ แก้วละ 110-130 บาท ซึ่งทั้งสองแก้วนี้ทางร้าน The Mango Garden ก็ให้เนื้อมะม่วงมาเยอะทั้งคู่เลย ถือว่าทำคะแนนในยกแรกที่เกี่ยวกับหน้าตาแรกพบได้ดีเลยทีเดียว



ส่วนในเรื่องรสชาตินั้นผมว่าอร่อยเข้มข้นทั้งคู่ โดยหากเป็นน้ำมะม่วงเพียวๆ รสชาติจะออกหวานกว่าหน่อย ส่วนแบบที่มีเสาวรสผสมด้วยจะมีความอมเปรี้ยวกว่าแต่ก็ไม่ได้มากมายอะไรนะครับ เหมือนกับมันจะมาช่วยเบรกความหวานของมะม่วงให้ไม่มากเกินไปเท่านั้น ซึ่งอันนี้แล้วแต่คนจริงๆ ว่าจะชอบแบบไหน อย่างตัวผมนั้นชอบน้ำมะม่วงธรรมดามากกว่า ส่วนภรรยาผมเธอชอบแบบที่มีเสาวรสด้วยครับ



หมายเหตุ : ผมลืมถ่ายภาพน้ำมะม่วงเสาวรสมานะครับ แต่ว่าหน้าตาจะคล้ายๆ กันนี่แหละ เพียงแต่น้ำมะม่วงเสาวรสจะมีจุดเล็กๆ สีดำๆ ผสมอยู่ด้วย ทั้งนี้สำหรับเมนูอื่นๆ ที่ทางร้านบอกว่าคนนิยมไม่แพ้กันก็คือน้ำมะม่วงแบบที่ใส่เฉาก๊วย และก็แบบที่ผสมน้ำมะพร้าวครับ ใครที่ชอบแนวไหนก็ลองจัดดู หรือหากใครไม่ชอบอะไรเลยก็ทานน้ำเปล่าที่ร้านก็ได้ เค้ามีบริการฟรีแต่ต้องบริการตัวเองนะครับ ^^



มาดูกันที่ของหวานของเรามื้อนี้กันดีกว่าเริ่มจาก Sunrise Mango หรือข้าวเหนียวมะม่วงและปลาแห้ง สูตรชาววัง ที่หน้าตาดูดีมาก ตัวข้าวเหนียวมูนมาทั้งหมด 2 ก้อนด้วยกันได้แก่แบบธรรมดาและก็แบบข้าวเหนียวอัญชัน ขนาดแต่ละก้อนไม่ใหญ่มากนักและมีการปิดทองพร้อมโรยงาที่ด้านบนมาอย่างสวยงาม ส่วนมะม่วงนั้นก็จัดตกแต่งมาสวยงามไม่แพ้กันด้วยปริมาณ 1 ลูกโตๆ



นอกจากข้าวเหนียวมูนและมะม่วงแล้ว ในจานยังประกอบด้วยกะทิแล้วก็ปลาแห้ง ซึ่งทางร้านภูมิใจนำเสนอตัวเมนูนี้มากๆ เพราะการเสิร์ฟโดยการปิดทอง, โรยงาบนข้าวเหนียวมูนนั้นเป็นการกินตามรูปแบบสมัยก่อน ซึ่งจะผิดจากสมัยนี้ที่จะกินข้าวเหนียวมูนคู่กับถั่วเหลืองคั่ว ส่วนปลาแห้งที่เสิร์ฟคู่กันนั้นก็เป็นการทำมาจากปลาช่อนนาไม่ใช่ปลาช่อนเลี้ยงทั่วไป ดังนั้นในเรื่องของรสชาติและกลิ่นจึงหอมและน่าทานกว่า



โดยรวมๆ แล้ว เมนูนี้ผมกับภรรยาชอบนะครับ ข้าวเหนียวมูนนิ่มดี ไม่ติดกันเป็นก้อน มะม่วงก็หวานกำลังดี ส่วนปลาแห้งนั้นก็อร่อย โดยเราสามารถกินปลาแห้งได้ทั้งแบบคู่กับข้าวเหนียวมูนหรือจะกินเล่นๆ เลยก็ได้ ซึ่งผมว่าตอนกินเล่นๆ มันก็เพลินดีนะ อ้อ......ตัวกะทิของที่นี่จะแยกมาเป็นจานต่างหาก ดังนั้นใครอยากกินมากกินน้อยก็จัดการราดเองได้ตามใจชอบเลย รสชาติกะทิดี ออกเค็มนิดๆ ชิมแล้วพอจะรู้เลยว่าเป็นน้ำกะทิคุณภาพดีตามที่ทางร้านเคลมไว้จริงๆ ว่าเค้าให้ความสำคัญในส่วนนี้มากตั้งแต่การแปรรูปจากมะพร้าวว่าต้องเป็นมะพร้าวขูดขาวเท่านั้น ห้ามแช่น้ำ ห้ามใส่สารกันบูด และต้องใช้นมและเนยแท้ในการทำ



สำหรับรายการนี้หากใครไม่อยากจะกินปลาแห้งก็สามารถสั่งอีกเมนูได้นะครับ มันชื่อว่า “ข้าวเหนียวมะม่วงสูตรชาววัง" หน้าตาจะคล้ายๆ กันเลยเพียงแต่จะไม่มีปลาแห้งและราคาจะถูกลงไป 30 บาทครับ



จานถัดมาคือ Garden Ruben Toast โทสต์ข้าวเหนียวมะม่วงที่ประกอบไปด้วยขนมปังปิ้งสองแผ่นที่มีความหนาไม่มาก แล้วก็ข้าวเหนียวมูนสองรสพร้อมกับไอศกรีมอีกทั้งหมด 3 ลูก แล้วก็น้ำกะทิครับ



ตัวขนมปังปิ้งผมว่าเฉยๆ นะ ส่วนไอศกรีมทั้ง 3 รส ผมชอบหมดเลยตั้งแต่กะทิ, มะม่วงแล้วก็ช็อคโกแลต โดยรสช็อคโกแลตนั้นไม่ขมมาก ทานแล้วอร่อยดำลังดี ส่วนมะม่วงก็หอมเข้มข้นดี ทั้งนี้ไอศกรีมของทางร้าน The Mango Garden จะเป็นไอศกรีมโฮมเมดที่คิดค้นสูตรเองและใช้น้ำตาลที่นำเข้าจากอิตาลี ไม่ใส่สารที่ทำให้ไอศกรีมละลายช้า ดังนั้นมันก็เลยมีความคล้ายคลึงเจลาโตอยู่หน่อยๆ



สำหรับการทานเมนูนี้ผมว่ามันแอบจะลำบากนิดนึง เพราะว่ามีทั้งขนมปัง ข้าวเหนียวมูน แล้วก็ไอศกรีมอีก หากจะตักกินคำเดียวนี่อาจจะคำโตเกินไปสำหรับบางคน แต่ผมอยากจะบอกว่าพยายามตักทานด้วยกันให้ได้นะครับ โดยเฉพาะขนมปังนั้นเวลาทานรวมกับอย่างอื่นแล้วจะทำให้รสชาติดีขึ้นมากกว่าการกินขนมปังเปล่าๆ พอควรครับ



และจานสุดท้ายสำหรับมื้อนี้ก็คือ Mango Coconut Pudding เมนูที่ทางร้านบอกว่าสามารถกินได้ทั้งคนที่ทานมังสวิรัติหรือแพ้นมวัว เพราะว่าทางร้านเลือกใช้ครีมที่ทำมาจากพืช (Base Plant) รวมทั้งยังไม่ใช้เจลาตินในการทำพุดดิ้งแต่ไปเลือกใช้ Agar-Agar ซึ่งทำมาจากสาหร่ายแทนก็เลยไม่มีส่วนผสมที่ทำมาจากสัตว์ครับ



จานนี้ประกอบไปด้วยพุดดิ้งมะพร้าว, มะม่วงสุกแล้วก็มีกราโนล่าที่มีส่วนผสมของธัญพืชอย่างข้าวโอ้ตและงาเป็นทอปปิ้ง รสชาติโดยรวมๆ ของจานนี้ผมชอบนะครับ เนื้อมะพร้าวที่ให้มานั้นรสชาติอาจจะไม่ได้เด่นหรือหอมอะไรมากนัก แต่ปริมาณที่ได้มานั้นเยอะดีแถมเนื้อยังนุ่มและเคี้ยวง่ายด้วยครับ



เอาล่ะครับ ตอนนี้เราก็ทานครบทุกเมนูกันไปหมดแล้ว ผมก็ขอสรุปทิ้งท้ายเกี่ยวกับร้าน The Mango Garden ตามนี้นะครับ



วันที่รับประทาน : วันจันทร์ที่ 1 พฤษภาคม 2560

ช่วงเวลา : 17.30 – 18.30 น.

จำนวน : 2 คน



รสชาติอาหาร : โดยส่วนตัวแล้วผมเป็นคนที่ชอบทานมะม่วงอยู่แล้วครับ โดยเฉพาะข้าวเหนียวมะม่วงและน้ำมะม่วงนั้นเป็นอะไรที่ผมชอบมาก และรสชาติอาหารต่างๆ ของ The Mango Garden ก็ทำมาได้ถูกปากผมดีครับ เรียกว่าทั้ง 4-5 เมนูที่ผมได้กินนั้นผมให้ผ่านหมดเลย เพราะถึงแม้ว่ามันจะมีติดอะไรนิดๆ หน่อยๆ แต่ก็เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่กระทบกับรสชาติโดยรวมครับ



ความหลากหลายของอาหาร : อันนี้ต้องบอกเลยว่ามันเป็นจุดเด่นและจุดด้อยไปพร้อมๆ กัน สำหรับคนที่ชอบมะม่วงคงจะชอบร้านนี้มาก เพราะเค้าสามารถนำมะม่วงมาทำเมนูอาหารและเครื่องดื่มได้หลากหลายดี แต่สำหรับคนที่ไม่ค่อยชอบมะม่วงแล้วคงจะร้องยี้และหาเมนูทานค่อนข้างยากซักหน่อย เพราะถึงแม้ทางร้านพอจะมีเมนูอื่นที่ไม่มีมะม่วงให้เลือกบ้างแต่ก็มีแค่ไม่กี่เมนูเท่านั้นครับ



ความสะอาดของร้าน : สะอาด และสวยงามดีครับ ผมชอบในรูปแบบและการดีไซน์ของร้านหลายจุดเลย ส่วนในเรื่องความเรียบร้อยของร้านนั้นต้องบอกว่าวันที่ผมไปนั้นเป็นวันที่ร้านยังไม่ได้เปิดอย่างเป็นทางการ เป็นแค่ช่วง Soft Opening เท่านั้น ซึ่งก็เลยทำให้มีความเรียบร้อยของงานก่อสร้างบางอย่างที่รอการเก็บรายละเอียดขั้นสุดท้ายอยู่ แต่คิดว่าอย่างช้าสุดกลางเดือน พ.ค. นี้ทุกอย่างก็คงเรียบร้อย สวยงามแบบ 100% แล้วครับ



การบริการของพนักงาน : ดีนะครับ รวดเร็วดี ด้วยความที่ร้านมีขนาดเล็กด้วย ก้าวแค่ 4-5 ก้าวก็ถึงเคาน์เตอร์กับห้องครัวแล้วก็เลยไม่มีปัญหาอะไรในเรื่องนี้ครับ



ความสะดวกของการเดินทาง : ร้าน The Mango Garden ตั้งอยู่ในสยามพารากอนดังนั้นไม่ต้องเป็นห่วงในเรื่องความสะดวกในการเดินทางเลย เพราะมีทั้ง BTS และรถเมล์หลายสายผ่าน ส่วนที่จอดรถนั้นก็มีเยอะพอควร ยกเว้นช่วงเวลาที่พีคจริงๆ ที่ต้องทำใจว่าเราต้องวนหาที่จอดนานหน่อย.......และบางครั้งที่พีคสุดๆ ก็อาจจะไม่มีที่จอดจนต้องไปจอดที่อื่นครับ T_____T



ความคุ้มค่า : ถ้าว่ากันแต่ราคาอย่างเดียวไม่มองอย่างอื่นหลายคนอาจจะมองว่าราคาแอบสูงไปหน่อย แต่ถ้ามองว่ามันคืออาหารและเครื่องดื่มที่ทำมาจากมะม่วงแล้วเราจะรู้สึกว่าราคามันสมเหตุสมผลขึ้นมาทันทีเลย ไม่ว่าจะเป็นน้ำมะม่วงแก้วละประมาณ 110-130 บาท หรือของหวานช่วงราคา 180-240 บาท ก็อยู่ในเกณฑ์เดียวกับของหวานอีกหลายๆ ประเภทเลย ที่สำคัญร้าน The Mango Garden นั้นนอกจากจะมีรสชาติที่ดีแล้วยังให้ปริมาณที่เยอะอีกด้วย โดยผมว่าบางจานนี่เราสามารถกิน 2 คนยังได้เลย ดังนั้นในเรื่องความคุ้มค่านี้ผมให้ผ่านครับ



สรุป : หากคุณเป็นคนที่ชอบทานมะม่วงเป็นชีวิตจิตใจ หรืออยากจะเติมความหวานเข้าสู่ร่างกาย หรือไม่ก็อยากจะหาที่นั่งคุยกับเพื่อนเก๋ๆ ในร้านเปิดใหม่ สวยๆ ไม่ซ้ำใคร อาหารหน้าตาดี รสชาติถูกปาก แถมเดินทางสะดวก ผมว่าร้านนี้เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีเลยครับ แต่ต้องบอกเลยนะครับว่าร้านนี้จะไม่เหมาะกับคุณเลยถ้าคุณเป็นคนที่ไม่ชอบทานมะม่วง ไม่ชอบทานของหวาน เพราะนี่เป็นจุดเด่นของร้านเค้าเลยครับ!



ก็จบลงแล้วสำหรับรีวิวนี้ หากผมรีวิวขาดตกบกพร่องประการใดต้องขออภัยด้วยและการรีวิวนี้เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของผมจากวันที่ไปใช้บริการเท่านั้น แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสไปใช้บริการอาจจะได้รับการบริการหรือรสชาติที่แตกต่างจากนี้ออกไปครับ



สำหรับใครที่ชอบการรีวิวของผม ก็สามารถไปติดตามหรือแนะนำข้อมูลต่างๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่เลยครับ https://www.facebook.com/amazingcouples



แล้วพบกันใหม่รีวิวหน้า สวัสดีครับ



ความคิดเห็น