.

.

ผมรู้ถึงความอลังการงานสร้างของดาราเทวีมานาน แต่ก็คงทำได้แค่เพียงชื่นชมจากภาพถ่ายตามสื่อต่างๆ เท่านั้น เหตุเพราะราคาห้องพักของที่นี่ก็อลังการเกินความสามารถของผมที่จะยอมควักเงินในกระเป๋าเพื่อออกมาเป็นค่าห้องได้จนมาเมื่อต้นปี 2557 ได้ข่าวว่าดาราเทวีเปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปได้เข้าไปถ่ายภาพบริเวณ Main Lobby ได้ถึงประมาณเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ผมจะได้ขึ้นไปเที่ยวเชียงใหม่ด้วย ผมจึงหมายหมั้นปั้นมือว่าจะขอไปสัมผัสความยิ่งใหญ่ในดินแดนล้านนาดาราเทวีดูบ้าง แต่เนื่องจากเวลาในทริปนั้นของผมค่อนข้างเร่งรีบ จึงทำให้พลาดโอกาสอันงามนั้นไป แต่มารู้ภายหลังว่าดาราเทวีขยายเวลาในการเที่ยวชมออกไปอีก ผมจึงไม่เลิกล้มความตั้งใจ พยายามหาโอกาสนั้นอีกครั้ง

จนราวๆ ปลายเดือน มีนาคม ผมได้รับข่าวสารการร่วมกิจกรรมจาก FB : Welovetogo ( https://www.facebook.com/welovetogodotcom) ที่ฉลองครบรอบ 1 ปีโดยการพาแฟนเพจไปเที่ยวสงกรานต์ ณ ดินแดนล้านนาดาราเทวี โดยแฟนเพจที่สนใจร่วมกิจกรรมจะต้องโพสรูปที่เกี่ยวกับเชียงใหม่หรือประเพณีสงกรานต์พร้อมบอกเหตุผลว่า “ทำไมคุณถึงอยากไปร่วมทริปสงกรานต์ดาราเทวีกับ Welovetogo" ผมเห็นว่านี่อาจจะเป็นช่องทางที่จะทำให้ผมได้เข้าไปสัมผัสความอลังการของดาราเทวีได้ จึงได้เลือกรูปถ่ายที่ผมเคยถ่ายในจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมคำบรรยายถึงความอยากไปร่วมทริปสงกรานต์กับ Welovetogo ยอมรับเลยว่าตอนแรกไม่คิดจะร่วมกิจกรรมเสียด้วยซ้ำ เพราะผมติดตามกิจกรรมของเพจ Welovetogo มาโดยตลอด รู้ว่ามีแฟนเพจเข้ามาร่วมสนุกเป็นจำนวนมาก และกติกาการร่วมสนุกค่อนข้างเยอะ ซึ่งจะต้องผ่านการคัดเลือกรอบแรกก่อน จากนั้นทีมงานจะมีวิธีการในรอบสองเพื่อให้ได้มาซึ่งผู้โชคดี มันคงยากที่ผมจะเป็น 1 ใน 3 ผู้โชคดีที่จะได้ไปร่วมทริปในครั้งนี้ที่ดาราเทวี แต่ไหน ๆ ผมมีอาวุธอยู่ในมือ ทั้งภาพถ่ายและความคิดหาเหตุผลที่จะบรรยาย อีกทั้งรอบนี้การตัดสินก็ง่ายกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา คือทีมงานจะประกาศรายชื่อผู้โชคดีเลย ก็เลยเป็นแรงผลักดันที่จะร่วมกิจกรรมครับ และไม่คิดไม่ฝัน ในวันประกาศผล ผมมีรายชื่อติด 1 ใน 3 ของผู้โชคดีครับ

แล้ววันสงกรานต์ซึ่งเป็นวันเดินทางของพวกเราก็มาถึง ทีมงานนัดผู้โชคดีเจอกันที่สนามบินสุวรรณภูมิเวลา 05.30 น.

เมื่อสมาชิกมารวมตัวกันครบก่อนเวลานัดหมาย ทีมงานจึงพาไป Check in ทริปนี้เราได้รับการสนับสนุนการเดินทางจาก Thai Smile ครับ

Thai Smile เป็นสายการบิน Low Cost ของการบินไทย ที่เปิดให้บริการบินลงที่สนามบินเชียงใหม่ 7 Flight/วัน ครับ

07.10 น.เราก็ได้ทะยานสู่น่านฟ้าประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยครับ ระหว่างที่อยู่บนเครื่องจะมีของว่างรองท้องเป็นขนมปังไส้เผือก และน้ำขวดเล็กให้ 1 ขวด รวมถึงเครื่องดื่มเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นกาแฟ น้ำส้ม หรือน้ำอัดลมก็มีบริการให้ฟรีครับ เราใช้เวลาบินอยู่ประมาณ 1.10 ชม. ก็ถึงท่าอากาศยานเชียงใหม่ครับ

เมื่อรับกระเป๋าจากสายพานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราก็ออกมายืนรอรถที่ประตูด้านหน้าสนามบิน แล้วทีมงานก็มี Surprise เล็กๆ ให้พวกเรา ผมแอบอมยิ้มและขำเล็กๆ สำหรับเซอร์ไพร์สในครั้งนี้ ที่ขำเพราะว่าผมเห็นถึงความตั้งใจที่ทีมงานอุตส่าห์ควักพวงมาลัยห้อยคอออกมาจากถุงที่อุตส่าห์หอบหิ้วมาจากกรุงเทพ และทีมงานทำตัวเหมือนเจ้าบ้านที่มาคอยต้อนรับพวกเราทั้งๆ ที่ก็เดินทางมาพร้อมกับพวกเรานั่นเอง

หลังจากถ่ายรูปหมู่กันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คุณฟ่าง แห่ง “กิน เที่ยว รถเช่าเชียงใหม่" ก็ส่งรถตู้มาให้บริการกับคณะเราตลอดการเดินทางในเชียงใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการรับ-ส่ง จากสนามบิน-ดาราเทวี หรือพาตะเวนไปที่ต่างๆ ในตัวเมืองเชียงใหม่ครับ

จากสนามบินเชียงใหม่ใช้เวลาประมาณ 20 นาที ก็มาถึงจุดหมายของเราครับ อาณาจักรล้านนาดาราเทวี

จาก Main Gate รถตู้พาเราเข้ามาส่งยัง Main Lobby ครับ โดยปกติทางโรงแรมจะอนุญาตให้นำรถเข้าไปได้เฉพาะส่งแขกเท่านั้น แต่ไม่อนุญาตให้นำรถเข้าไปจอดด้านในโรงแรม จะต้องมาจอดที่ด้านหน้าก่อนที่จะเข้าประตูหลัก ซึ่งทางโรงแรมได้เตรียมพื้นที่จอดรถไว้ให้ และจะมีรถ Buggy (รถกอล์ฟ) คอยบริการพาแขกเข้าไปยังส่วนต่างๆ ภายในโรงแรม แต่วันอาทิตย์ช่วงเที่ยงเป็นต้นไปจะเป็นกรณีพิเศษ ให้จอดรถได้บริเวณหน้า Main Lobby เฉพาะแขกที่มารับประทาน Sunday Brunch เท่านั้นครับ

เมื่อมาถึง Main Lobby พนักงานก็ออกมาต้อนรับพร้อมมอบพวงมาลัยคล้องคอให้คนละ 1 พวง และพาเราเข้าไปนั่งพักผ่อนภายใน Lobby ครับ

มีหลายมุมที่ให้แขกได้นั่งพักครับ ขณะทำการ Check in มีบริการ Welcome Drink ครับ

ผมมัวแต่สาละวนกับการ Check in พอเสร็จก็เผลอดื่มไปด้วยความกระหาย เลยไม่ได้ถ่ายภาพ Welcome Drink มาให้ชม ครับ

ห้องน้ำในบริเวณ Main Lobby ดูหรูหราไม่เบาเลยครับ

เมื่อคณะทำการ Check in กันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คุณนุ้ย ตัวแทนของดาราเทวีก็มากล่าวต้อนรับและดูแลคณะของพวกเราเป็นอย่างดีครับ

หลังจากนั้นทีมงานก็มีเวลาให้เรานิดหน่อยเพื่อเอาสัมภาระไปเก็บและนัดรวมพลกันอีกทีในเวลาประมาณ 10 โมง เพื่อเตรียมเที่ยวชมศิลปวัฒนธรรมในอาณาจักรล้านนาดาราเทวีครับ

รถ Buggy พาผมไปยังที่พัก ระหว่างทางพนักงานขับรถ Buggy ก็บรรยายถึงสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ที่อยู่ระหว่างทาง ท้ายสุดก็มาจอดที่หน้าวิลล่าสวนผักครับ

ห้องพักแบบวิลล่าสวนผัก สร้างในลักษณะบ้านไม้ทรงไทยพื้นเมืองที่สร้างจากไม้สักที่มีการยกใต้ถุนสูง มีบริเวณกว้างขวางสะดวกสบายครับ

คืนนี้ผมพักที่วิลล่า 27 ครับ บริเวณเสาของห้องพักจะมีตรอกไม้ไผ่สานเป็นรูปนก รูปม้าที่ถูกแขวนไว้กับไม้ไผ่ เสียบอยู่ในกระบอกไม้ไผ่สาน ซึ่งแสดงให้รู้ว่า ห้องนี้มีแขกเข้าพักครับ

เมื่อเดินขึ้นบันไดขึ้นมา จะพบพื้นที่เป็นชานระเบียงอยู่หน้าห้องพัก มีชุดโซฟาสีเขียวสดใส สำหรับให้แขกได้มานั่งสูดอากาศ ดูบรรยากาศสวนผักด้วยครับ แต่ช่วงที่ผมไปแดดร้อนมากๆ เลยแทบไม่ได้ใช้พื้นที่ส่วนนี้เลย

เมื่อเปิดประตูห้องพักเข้าไป จะพบชุดโซฟาตัวใหญ่พร้อมหีบกำปั่นซึ่งทำหน้าที่เป็นโต๊ะวางของอยู่กลางห้อง ด้านขวามือเป็นชั้นวางทีวีและตู้เย็น ส่วนด้านซ้ายมือจะเป็นเตียงขนาดใหญ่ ที่ตกแต่งด้วยผ้าบางๆ ทำหน้าที่เป็นมุ้ง จับจีบจับมุมดูหรูหรามากครับ

ข้างๆ ตู้ทีวี มีโต๊ะเขียนหนังสือพร้อมอุปกรณ์เครื่องเขียนไว้ให้พร้อม รวมถึงน้ำดื่ม กาต้มน้ำ และกระติกน้ำแข็งไว้ให้ด้วยครับ

ด้านข้างของเตียงนอน จะเป็นทางเดินไปสู่พื้นที่ของห้องแต่งตัวและห้องน้ำครับ

เมื่อเดินผ่านเตียงนอนเข้าไป เบื้องหน้าจะมองเห็นอาบน้ำแบบน้ำวนครับ

ด้านซ้ายมือของอ่างอาบน้ำ จะเป็นโถสุขภัณฑ์ มีรูปยั่วยวนชวนสยิวเล็ก ๆ แขวนอยู่ด้านบนโถสุขภัณฑ์ด้วยครับ

ส่วนด้านขวามือ จะเป็นพื้นที่สำหรับอาบน้ำฝักบัวครับ

ฝั่งตรงข้ามของอ่างอาบน้ำ ซึ่งอยู่ด้านหลังหัวเตียงจะเป็นส่วนของอ่างล้างหน้า ซึ่งมีอ่างล้างหน้าให้ 2 อ่าง แขกสามารถมาใช้งาน ณ จุดนี้ได้พร้อมกัน

ที่เห็นไม่ใช่รอยร้าวของอ่างล้างหน้านะครับ แต่เป็นลวดลายของอ่าง ดูคลาสสิคดีครับ

อุปกรณ์ที่ใช้ในห้องน้ำ ที่แตะตาผมที่สุดเห็นจะเป็นสเปรย์กันยุงนี่แหล่ะครับ ปกติผมเข้าพักที่ไหนที่มียุงเยอะ ผมจะเห็นก็แค่อุปกรณ์ไล่ยุงที่ต้องเสียบเข้ากับปลั๊กไฟ แต่ที่นี่นอกจากอุปกรณ์ไล่ยุงที่ว่าแล้ว ยังมีสเปรย์ฉีดผิวสำหรับกันยุงให้อีกด้วยครับ

นอกจากนั้นยังมีเกลือขัดผิวให้ด้วย สำหรับภาชนะที่ใส่แชมพู ครีมอาบน้ำ ผมติงอยู่เรื่องเดียวครับ คือภาชนะจะเป็นเซรามิคลักษณะทรงกลม ช่วงเวลาอาบน้ำฟอกตัว เมื่อครีมอาบน้ำโดนน้ำ เวลาจับขวดเซรามิคจะค่อนข้างลื่นทีเดียว ถ้าหากไม่ระวังมีโอกาสลื่นหลุดมือแตกเอาได้ง่ายๆ ครับ สำหรับเรื่องกลิ่นของแชมพูและครีมอาบน้ำ โดนใจผมมากครับ หอมกลิ่นตะไคร้ ดมแล้วชื่นใจจริงๆ ครับ

ป้ายห้ามรบกวน ออกแบบได้สวยงามครับ

ที่นี่ยังใช้งานระบบกุญแจ ในการเปิด-ปิดห้องครับ

จะเห็นได้ว่าภายในห้องพักแบบวิลล่าออกแบบในสไตล์ประยุกต์เพื่อให้สามารถรองรับการพักผ่อนส่วนตัวอันเพียบพร้อมไปด้วยความหรูหรา สง่างามแบบไทยจริงๆ ครับ

มาดูในส่วนของใต้ถุนชั้นล่างกันบ้างครับ ชั้นล่างถูกออกแบบให้เป็นห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่และส่วนรับรองให้นั่งทานของว่างรวมถึงนั่งชมสวนผักด้วย จุดนี้ทางโรงแรมจะเตรียมผลไม้ซึ่งประกอบด้วย กล้วยไข่ ส้ม และฝรั่งไว้ให้ทุกวันครับ

รอบๆ วิลล่าจะมีสวนครัวขนาดเล็กและแปลงผักปลอดสารพิษที่ทางโรงแรมปลูกไว้เป็นแปลงสาธิต และนำไปประกอบการทำอาหาร ณ สถาบันสอนการทำอาหารไทยครับ

ในส่วนของวิลล่าหลังอื่นๆ เมื่อมองแหงนหน้าขึ้นไปบนหลังคา จะเห็นลูกเล่นที่ทางโรงแรมใส่ใจในรายละเอียด คือจะมีการแกะสลักไม้เป็นรูปสัตว์ต่างๆ ติดไว้บนหลังคา ไม่ว่าจะเป็นลิง หนู หรือนกยูงครับ

เหลียวมองไปยังนาฬิกา ปรากฏว่าถึงเวลานัดหมายที่จะไปชมบรรยากาศรอบๆ โรงแรมแล้วครับ

สำหรับการเที่ยวชมศิลปวัฒนธรรมแบบดาราเทวีครั้งนี้ มีคุณธีรยุทธ ผู้ชำนาญการด้านกิจกรรมวัฒนธรรมของดาราเทวี เป็นผู้พาพวกเราเที่ยวชมครับ ผมมารู้ตอนหลังจากพนักงานว่า คุณธีรยุทธคือหนึ่งในทีมงานการออกแบบศิลปะล้านนาภายในดาราเทวีด้วยครับ

คุณธีรยุทธแม่นเรื่องข้อมูลมากๆ พูดเร็วจนฟังแทบไม่ทันเลยครับ จริงๆ คุณธีรยุทธเล่าเรื่องที่มาของชื่อดาราเทวีด้วย ชื่อของดาราเทวีมีหลากหลายที่มา ซึ่งนำมารวมเป็นต้นกำเนิดของชื่อ “ดาราเทวี" ผมจำได้ชื่อหนึ่งครับ คือชื่อของเจ้าดารารัศมีครับ

มาเริ่มที่ Main Gate กันก่อนครับ ประตูนี้มีชื่อว่า ไชยะดารา และจะมีสิงห์คู่ ซึ่งทำหน้าที่เป็นยามเฝ้าเมืองตรงหน้าประตู สิงห์คู่นี้ได้รับอิทธิพลมาจากพม่าครับ สังเกตได้จากสิงห์จะหย่อนสะโพกนั่งลงกับพื้น ซึ่งแตกต่างจากสิงห์ที่อยู่บริเวณ Main Lobby ซึ่งเป็นสิงห์ไทยที่จะโก่งสะโพกขึ้นครับ

มาดูในส่วนรอบนอกประตูไชยะดารากันก่อน เมื่อหันหน้าเข้าประตูไชยะดารา ด้านซ้ายมือจะเป็นส่วนของห้องอาหารเลอ กรองด์ ลานนา (Le Grand Lanna) เป็นห้องอาหารไทยแบบล้านนา ที่เป็นเรือนโบราณอายุกว่า 80 ปีครับ อาคารทางด้านขวาของภาพใช้เป็นสถานที่จัดแสดงภาพถ่ายของนักถ่ายภาพชื่อดังของโลกอยู่ครับ

สำหรับด้านซ้ายมือเคยใช้ต้อนรับบุคคลสำคัญระดับประเทศอยู่หลายท่านเช่น เจ้าหญิงไดอาน่ากับเจ้าฟ้าชายชาลล์ พอเจ้าหญิงไดอาน่าเสียชีวิตไป ทางร้านจึงปิดห้องนี้ไว้และตั้งชื่อว่า ห้องไดอาน่า ครับ

ห้องอาหารเลอ กรองด์ ลานนา เป็นห้องอาหารไทยแบบร่วมสมัย ที่มีชื่อมาจากภาษาฝรั่งเศส ประกอบด้วยหมู่เรือน 5 หมู่ ที่บอกเล่าเรื่องราวของชาวล้านนา ไม่ว่าจะเป็นความงดงามทางด้านสถาปัตยกรรม ศิลปวัตถุ การตกแต่งครับ

เลอ กรองด์ ล้านนา ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นมนต์เสน่ห์แห่งการรับประทานอาหารอย่างมีระดับ บนเรือนไม้เก่าหลังใหญ่ที่รายล้อมไปด้วยงานศิลปะและสถาปัตยกรรมล้ำค่าตามแบบฉบับของชาวล้านนาครับ

ในยามเย็นที่แสงอาทิตย์พาดผ่านมายังสระบัวเบื้องหน้า ยิ่งทำให้บรรยากาศภายในห้องอาหารไทยแห่งนี้น่ามองมากยิ่งขึ้น

มาดูด้านในของประตูไชยะดารากันบ้างครับ

ดาราเทวี เป็นเมืองที่ได้รับการออกแบบและก่อสร้างขึ้นจากแนวความคิดที่จะรวบรวมรูปแบบศิลปกรรมที่มีความงดงามในอาณาจักรล้านนา ทั้งบ้านเรือน หอแก้ว หอคำ และพระราชวัง คุ้มหลวง ทั้งในรูปแบบ ไท-ยวน,ไท-ลื้อ, ไท-ลาว, ไท-เขิน, ไท-ใหญ่ และมอญ พม่า มารวบรวมไว้ให้เกิดความรู้สึกย้อนนึกไปถึงความรุ่งเรืองโอฬารของอาณาจักรที่เคยรุ่งเรืองมานับตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน มนต์เสน่ห์แห่งเมืองที่ได้รับการสร้างขึ้นบนเนื้อที่กว่า 150 ไร่ ถูกรังสรรค์ปั้นแต่งด้วยความวิจิตรบรรจง อุดมคติที่จะดำรงอนุรักษ์ไว้ซึ่งศิลปวัฒนธรรมที่ดีงาม ทั้งศิลปะสถาปัตยกรรมและวิถีชีวิตครับ

เมื่อเดินผ่านประตูไชยะดารา ด้านขวามือจะเป็นอาคารเล็ก ๆ ที่ภายในตกแต่งได้บรรยากาศล้านนาให้แขกได้มาถ่ายรูปเล่นกันครับ

ด้านซ้ายมือ ก็จะเป็นอาคารหลังเล็กๆ เหมือนกัน ภายในเป็นที่จัดแสดงภาพถ่ายครับ

เดินถัดมาอีกนิดหน่อยด้านขวา จะเป็นอาคารหอประชุมขนาดใหญ่ ชื่อ หอจุมทอง (Jum Thong Hall-Grand Ballroom) ครับ

หอจุมทองตกแต่งด้วยศิลปะแบบวัดเชียงทอง เมืองหลวงพระบางของประเทศลาวครับ มีบันไดพญานาค ซึ่งเป็นลายที่เรียกว่า มะกรคายนาค (มะ-กะ-ระ หมายถึง จระเข้) ส่วนนาคที่โผล่มาจากปากของจระเข้ เรียกว่า นาคปากแล ครับ

สังเกตที่มือของมะกรทั้งสอง จะเห็นว่ากำลังจับปลาและกบอยู่ในมือครับ

และต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทองนี้ถือเป็นเอกลักษณ์ของวัดเชียงทองในหลวงพระบาง และเป็นจุดเด่นของหอจุมทองด้วยครับ ใครที่ผ่านไปผ่านมาผมว่าอดใจถ่ายภาพเป็นไม่ได้ครับ

จะเห็นว่าที่นี่ให้ความสำคัญกับนกยูงเป็นอย่างมาก ถือว่านกยูงเป็นเอกลักษณ์ของดาราเทวีคงไม่ผิด เดินไปไหนมาไหนจะพบเห็นแต่นกยูงครับ

ฝั่งตรงข้ามของหอจุมทองเป็นลานกว้าง ชื่อ ข่วงโขงขาว ภาษาเหนือคำว่า ข่วงแปลว่า ลาน ใช้จัดเลี้ยงและจัดแสดงการแจ้งครับ บริเวณข่วงโขงขาว ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นไม้แหลมๆปักอยู่ (ด้านขวามือของภาพ) แล้วจะมีลายฉลุที่ทำจากโลหะสีทองติดอยู่บนไม้แหลมๆ นั้น เรียกว่า ตุงกระด้าง เป็นตุงที่ทำจากโลหะ ใช้ประกอบพิธีกรรมต่างๆ ความเชื่อของคนล้านนาเชื่อว่า ตุงเป็นจุดเชื่อมระหว่างสวรรค์กับนรก ด้านบนตุงติดกับสวรรค์ ด้านล่างติดกับนรก จึงมักใช้ประกอบพิธีกรรมโดยเฉพาะในงานศพ หากผู้ตายพลาดพลั้งจะลงนรกก็จะสามารถปีนตุงขึ้นสวรรค์ได้

เมื่อหันหลังให้หอจุมทอง มองออกไปผ่านข่วงโขงขาว จะมองเห็นสุสวรรณสถาน ซึ่งเป็นแหล่งรวมใจของพนักงานในโรงแรม ใช้ทำพิธีกรรมในวันสำคัญต่างๆ ครับ

ถัดจากหอจุมทอง จะเป็นหอจุมเงิน (Jum Ngern Hall-Junior Ball room) ซึ่งใช้ในการจัดประชุมเช่นเดียวกับหอจุมทอง แต่จะมีขนาดเล็กกว่าครับ

ฝั่งตรงข้ามของหอจุมเงิน จะมองเห็นพญานาคครับ เมื่อมองไปตามลำตัวของพญานาคไปเรื่อยๆ จะเห็นซุ้มประตูสีเหลืองทอง จุดนี้เรียก ซุ้มประตูโขง ซึ่งสามารถเดินเข้าสู่ข่วงโขงขาวได้ครับ ที่เรียกซุ้มประตูโขงเพราะเป็นประตูที่เกิดจากรูปปั้นพญานาคหินสองตัว หันหางมาชนกัน แล้วตรงจุดที่หางชนกันเป็นซุ้มประตู ตัวพญานาคจำลองมาจากวัดภูมินทร์ จังหวัดน่าน แต่ซุ้มประโตโขงจำลองมาจากวัดพระธาตุลำปางหลวงครับ สำหรับสีเหลืองทองที่ติดอยู่ที่ซุ้มประตู คุณธีรยุทธเล่าว่าเกิดจากการนำขี้วัวขี้ควายมาผสมน้ำแล้วนำมาทาที่ซุ้มประตู จึงเกิดสีเหลืองทองแบบนี้ ผมจำไม่ได้แล้วว่าเพื่อวัตถุประสงค์ใด

ติดกับซุ้มประตูโขงจะเป็นหอพระ สุวรรณสถานดาราฟ้าแก้วครับ อาคารจะเป็นทรงวิหารแบบล้านนาในยุคดั้งเดิม ซึ่งได้คัดลอกแบบมาจากพระวิหารวัดไหล่หินแก้วช้างยืน อ.เกาะคา จ.ลำปาง เพื่อใช้เป็นหอพระ ซึ่งมีชื่อเรียกอย่างไพเราะว่า สุวรรณสถานดาราฟ้าแก้ว ซึ่งมีความหมายว่าสถานที่ที่ประดับประดาไปด้วยทองคำและอัญมณีที่เปรียบเสมือนดวงดาวที่สุกสกาวในท้องฟ้า

ที่นี่เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธศิลปะพม่าอายุนับร้อยปี คุณธีรยุทธเล่าว่า มีพ่อค้าขายของเก่านำพระองค์นี้มาขาย เจ้าของโรงแรมเห็นแล้วชอบจึงติดต่อขอซื้อขายและเมื่อนำพระองค์นี้มาประดิษฐานไว้ที่หอพระแห่งนี้ เป็นที่น่าอัศจรรย์เป็นอย่างมากที่ฐานขององค์พระสวมเข้าพอดีกับฐานที่ตั้งที่มีไว้อยู่เดิมครับ

ถ้าใครมีโอกาสได้เข้ามาเยี่ยมชมที่หอพระแห่งนี้ เมื่อลอดซุ้มประตูแล้ว ลองมองดูที่เพดานของซุ้มประตูนะครับ จะพบตุ๊กแกอยู่หนึ่งตัว ตุ๊กแกตัวนี้ถูกปั้นโดนช่างที่สร้างหอพระ ซึ่งใช้แทนลายเซนของช่างผู้สร้างหอพระครับ

ด้านข้างของวิหารจะรายรอบไปด้วยระเบียงที่เรียกว่าศาลาบาตร ซึ่งใช้เป็นที่เก็บรักษาศิลปวัตถุอันมีค่าเพื่อการอนุรักษ์และศึกษาหาความรู้

จากหอพระสุวรรณสถานดาราฟ้าแก้ว คุณธีรยุทธพาเดินทะลุผ่านประตูหลังออกมา ก็จะพบกับเทวาสปาครับ

เทวาสปา เป็นอาคารไม้ทรงพญาธาตุที่ได้จำลองความงดงามของสถาปัตยกรรมแบบพระราชวังมัณฑะเลย์ของพระเจ้ามินดง กษัตริย์แห่งราชวงศ์อลองพญาของพม่าครับ

ที่นี่มีความโดดเด่นเรื่องอาคารไม้ทรงมหาปราสาทพญาธาตุที่ซ้อนชั้นกันสูงขึ้นไปจำนวน 7 ชั้น อันเป็นเครื่องหมายที่แสดงออกถึงความเป็นเจ้านายและชนชั้นสูงผู้มีสถานภาพทางสังคม และหมู่อาคารที่รายล้อมมหาปราสาทเหล่านี้ได้แบ่งสัดส่วนการใช้งานออกเป็นหมวดหมู่ โดยการจำลองภาพแห่งความงดงามของราชสำนักในสมัยก่อนที่มักจะมีตำหนักใหญ่น้อยของเจ้านายต่างๆ ซึ่งมักจะมีแขกผู้แวะเวียนเข้าเยี่ยมชม โดยสร้างความรู้สึกพิเศษที่ได้เป็นอาคันตุกะของเมือง ด้วยการดูแล พัดวี และการนวดเฟ้นตามแบบราชสำนัก ตามชื่อ เทวาสปา อันหมายถึงสปาแห่งทวยเทพ

ผมมีโอกาสได้ไปชมพระราชวังมัณฑเลย์ของจริงที่ประเทศพม่ามาแล้ว และเมื่อได้มาเห็นสถาปัตยกรรมแบบพระราชวังมัณฑะเลย์ของที่ดาราเทวี ยอมรับเลยว่าที่นี่ดูสวยงามไม่แพ้ของจริงเลยครับ ผมว่าที่นี่จะดูสวยงามเสียกว่าด้วยซ้ำ อาจเนื่องมาจากพระราชวังของจริงมีอายุเก่าแก่ ความสมบูรณ์ของชิ้นงานมีการชำรุดเสียหาย แต่ที่นี่ยังคงมีความสมบูรณ์ของชิ้นงานมากกว่า แถมความละเอียดอ่อนของงานแกะสลักไม้ก็ไม่น้อยหน้าคนพม่าเลยครับ

ถัดจากเทวาสปามาเล็กน้อย จะพบหอคำน้อยสุวรรณดารา แต่เดิมใช้เป็น Lobby สำหรับ Check in ในส่วนของ Villa แต่ภายหลังได้นำการ Check in ไปรวมไว้ที่ Main Lobby ทั้งหมดครับ

หอคำน้อยสุวรรณดาราเป็นอาคารไม้ทรงพญาธาตุที่จำลองความงดงามของท้องพระโรงแบบราชสำนักไทใหญ่ในแถบรัฐฉาน ประเทศพม่า ซึ่งมีลักษณะเด่นคือด้านหน้าซึ่งเป็นป้อมปราการขนาดเล็กเพื่อใช้ตรวจตราความสงบเรียบร้อยต่าง ๆ และอาคารไม้หลังใหญ่ที่มีหลังคาซ้อนชั้นกันเรียงสูงขึ้นไป และในส่วนยอดเป็นจองปราสาท อันเปรียบเสมือนกับวิมาน โดยมีหน้าที่ใช้เป็นสถานที่ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองหรือออกราชการ ซึ่งได้รับการจำลองมาเพื่อใช้สอยเป็นส่วนรับรองแบบส่วนกลางของแขกผู้มาพัก ภายในได้รับการตกแต่งด้วยศิลปวัตถุอันมีค่าและเครื่องอุปโภคบริโภคต่างๆ

ลวดลายของกระเบื้องโบราณที่มีอายุหลายสิบปี ยังหนีไม่พ้นลายนกยูงครับ ถ้าผมจำไม่ผิดคุณธีรยุทธเล่าว่ากระเบื้องที่ปูพื้นที่ราคาถูกที่สุด ราคาแผ่นละ 500 บาทครับ

เดินทะลุออกไปทางด้านหลังของหอคำน้อยสุวรรณดารา จะเป็น Rice Terrace ที่สามารถนั่งชมวิวท้องทุ่งนาได้อย่างสวยงามครับ

ติดกับหอคำน้อยสุวรรณดาราจะเป็นห้องอาหารฝรั่งเศส ห้องอาหารนี้มีการออกแบบตัวอาคารที่โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมล้านนา ลักษณะอาคารที่มีเพดานโค้งสูง ภายในตกแต่งด้วยเครื่องไม้โบราณ โคมไฟระย้า และเสาไม้สักขนาดใหญ่ที่หุ้มแผ่นดีบุกสลักลวดลายไทยไว้อย่างวิจิตรบรรจง พร้อมทั้งเครื่องประดับตกแต่งอื่นๆ ที่แสดงถึงศิลปะล้านนาประยุกต์ได้อย่างลงตัว ห้องอาหารนี้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของผืนนากว้างและต้นไม้เขียวขจีได้โดยรอบ

เราออกจากหอคำน้อยสุวรรณดารา ก็เดินผ่านหน้าเทวาสปา ก็จะพบแนวคูน้ำและกำแพงเก่าที่ด้านหลังกำแพงเป็นโรงละครกลางแจ้ง ใช้แสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านของล้านนาและของไทยครับ

เดินต่ออีกไม่ไกล ก็จะมาถึงบ้านโฮ่งสามหลัง ซึ่งตั้งอยู่ทางขวามือของทางเดิน

เรือนล้านนาแบบดั้งเดิมทั้งสามหลัง เป็นเอกลักษณ์จำเพาะของเรือนล้านนาแบบชาวไท-ยอง ซึ่งอดีตนั้นมีถิ่นฐานเดิมมาจากหัวเมืองยองในแถบรัฐฉาน และสิบสองปันนา ซึ่งภายหลังได้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานการทำมาหากินในเขต อ.บ้านโฮ่ง อ.ป่าซาง และอีกหลายพื้นที่ของจังหวัดลำพูน

เรือนทั้งสามหลังได้จัดให้เป็นเรือนสำหรับสาธิตวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ เครื่องแต่งกายและภาษาพื้นถิ่นของล้านนา โดยเรือนทั้งสามหลังจัดแบ่งหน้าที่ใช้สอยคือ เรือนเล่นสำหรับเด็กเล็ก เรือสำหรับจัดเก็บศิลปวัตถุ และเรือนสำหรับจัดแสดงวิถีชีวิต ซึ่งจะมีการทำศิลปหัตถกรรมในครัวเรือน จัดแสดงการทอผ้า การทำกระดาษสา การจักสาน การประดิษฐ์ งานฝีมือต่างๆ เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจในวิถีชีวิตของคนเมืองมากยิ่งขึ้น

หลังที่สามจะอยู่ค่อนไปทางด้านในสุด เป็นเรือนสำหรับเด็กเล็กครับ

ล้านนา คิดส์ คลับ เป็นสโมสรสำหรับเด็กที่โรงแรมดาราเทวีได้จัดเตรียมไว้ให้กับเด็กๆน้องๆ หนูๆ จะได้สนุกกับการวาดภาพ ระบายสี ตัดกระดาษในแบบศิลปะไทยภาคเหนือ การปั้นตุ๊กตาดินเหนียวรูปสัตว์ต่างๆ และการพับกลีบดอกบัว สำหรับเด็กต่างชาติจะมีกิจกรรมหัดเขียนภาษาไทยเป็นชื่อตนเอง และคำทักทายง่ายๆ เรียนรำไทย มวยไทย และแต่งกายด้วยชุดไทยล้านนา เหล่านี้ล้วนเป็นกิจกรรมที่มอบความเพลิดเพลิน สร้างสรรค์ และก่อให้เกิดความทรงจำที่ดีกับเด็กๆ นับเป็นการช่วยถ่ายทอดความรู้ทางด้านศิลปวัฒนธรรมของไทยภาคเหนือให้แก่ชาวต่างชาติได้อีกทางหนึ่ง

ฝั่งตรงข้ามของบ้านโฮ่งสามหลังจะเป็นศูนย์สุขภาพครับ

ภายในเป็นที่ออกกำลังกาย ให้บริการอุปกรณ์ออกกำลังกายหลากหลายชนิด พร้อมผู้ฝึกสอนส่วนตัว และที่นี่ยังเป็นที่ให้แขกได้มาลงชื่อเพื่อยืมรถจักรยานไปปั่นรอบโรงแรมด้วยครับ ด้านบนของ Fitness จะเป็นเรือนโยคะและที่สอนมวยไทยครับ

ด้านข้างของ Fitness จะเป็นสระลอยคำ ผมว่าสระแห่งนี้มีจุดเด่นเป็นรูปปั้นใบบัว และยังสามารถชมทิวทัศน์ของทุ่งนาได้อย่างสบายตา กระซิบนิดนึงว่ามีอ่างน้ำสีทองไว้ให้นอนแช่ด้วย ด้านข้างของสระจะมีบาร์ไว้คอยต้อนรับด้วยครับ

ด้านข้างของสระลอยคำอีกมุมนึงจะมีลักษณะคล้ายอุโมงค์ อุโมงค์นี้จำลองมาจากวัดอุโมงค์ ภายในมีการเขียนลวดลายอยู่เต็มผนัง ภาพเขียนบริเวณผนัง จิตรกรใช้วิธีเขียนภาพแบบ Fresco คือต้องวาดลวดลายในขณะที่ปูนยังเปียกๆ อยู่ ถ้าแห้งแล้วจะไม่สามารถวาดต่อได้ ภายในอุโมงค์จะแบ่งเป็นห้องแต่งตัว ห้องอาบน้ำ ห้องอบซาวน่าครับ

ชมบรรยากาศของดาราเทวีกันมาหอมปากหอมคอแล้ว ไปชิมอาหารกันบ้างดีกว่าครับ เที่ยงนี้ผมไปใช้บริการที่ห้องอาหาร เลอ กรองด์ ล้านนา ซึ่งเป็นห้องอาหารไทยและอาหารเมืองเหนือครับ

เลอ กรองด์ ล้านนา ให้บริการทั้งห้องรับรองปรับอากาศที่จัดสรรพื้นที่พิเศษเพื่อความเป็นส่วนตัวและชานระเบียงที่ได้รับการติดตั้งพัดลมไอน้ำ สามารถช่วยผ่อนคลายความร้อนได้เป็นอย่างดี แต่มื้อนี้ทางโรงแรมจัดห้องรับรองปรับอากาศไว้ต้อนรับคณะผมครับ ช่วงค่ำเห็นว่าที่นี่มีการแสดงที่น่าตื่นตาตื่นใจในแบบล้านนาให้ชมด้วยครับ

ที่นี่มีรายการอาหารที่หลากหลาย เพราะได้ผสมผสานวัฒนธรรมการปรุงอาหารไทยจากทั่วทุกสารทิศเข้าไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นอาหารรสชาติจัดจ้านแบบชาวใต้ หรือรสกลมกล่อมแบบคนเมือง (เหนือ) ซึ่งถือว่าเป็นรสชาติที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งมีมานานนับจากอดีตถึงปัจจุบัน

เมนูนี้เหมือนจะเป็นออเดิฟครับ

ผมไม่ชัวร์เรื่องชื่อเมนูเหมือนกันลักษณะเป็นเมี่ยง

ไม่แน่ใจว่าเป็นรากบัวฝานบางๆ แล้วเอามาทอดหรือเปล่า แต่กรอบ รสชาติมันดีครับ

เมนูนี้เป็นเหมือนกุ้งพันเส้นหมี่ครับ ผมไม่ได้ชิมเพราะที่เสริฟมา มีไม่ครบจำนวนคนครับ

ออเดิฟเมืองเหนือ มีทั้งหมูยอ แหนม ไส้อั่ว หมูทอด แคบหมู น้ำพริกอ่อง น้ำพริกหนุ่มครับ

ไข่ผัดแหนม ที่แปลกคือเหมือนเขาใช้ใข่ต้มมาผัดรวมกับแหนมครับ ไม่เหมือนกับภาคกลางที่จะเอาไข่ตอกลงไปในแหนม แล้วตีให้เข้ากันถึงเอามาทอด

เมนูนี้คือยำมะม่วงกับปลาทอด ผมไม่แน่ใจว่าเป็นปลาสำลีหรือปลากระพงทอดนี่แหล่ะครับ

ส้มตำปูนิ่มครับ

ยำฝรั่งใส่กุ้ง

แกงกะทิใส่ปูนิ่มครับ ไม่ทันได้ชิมเลย ผมมัวแต่ถ่ายรูป หันกลับมาอีกทีเหลือแต่น้ำแกงแล้วครับ อิอิ

สองเมนูนี้คืออะไรไม่ทราบครับ ผมไม่ได้ชิมเลย ที่ไม่ได้ชิมเพราะอาหารส่งมาไม่ถึงครับ

ตบท้ายด้วยผลไม้ครับ ที่ถูกใจผมที่สุดคือเมล่อนครับ หวานเจี๊ยบแบบธรรมชาติจริงๆ นี่ถ้ามีขายแถวบ้านผม ผมคงจะคิดว่าเป็นเมลอนแช่น้ำเชื่อมแน่ๆ

มื้อนี้สำหรับผมไม่ค่อยอิ่มสักเท่าไร เนื่องจากอาหารที่นำมาเสริฟ บางเมนูมีชุดเดียว บางเมนูมี 2 ชุด ถ้าจำไม่ผิด ออเดิฟจะมา 2 ชุด ส่วนอาหารหลักจะมีแค่ชุดเดียว ต่อปริมาณคน 13 คนครับ หรือนี่อาจจะเป็นแผนที่ให้ผมเหลือพื้นที่กระเพาะเพื่อไปทานบุฟเฟต์ขนมหวานก็เป็นได้

หลังจากทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว ก่อนที่จะเดินลงจากห้องอาหาร จะมีห้องครัวเล็กๆ ที่ทางโรงแรมจัดเตรียมไว้ให้แขกได้มาดูวิถีชีวิตการทำครัวของชาวบ้าน แม่อุ๊ยกำลังทำขนมเทียนตั้งแต่ช่วงที่เราเริ่มทานข้าว หลังทานข้าวผมกะจะไปลองชิมสักหน่อย แต่ขนมเทียนยังไม่สุกครับ เลยอดชิมเลย

ช่วงบ่ายนี้ ทีมงานให้พักผ่อนตามอิสระครับ แต่ผมขอชมรอบ ๆ โรงแรมต่อดีกว่า ผมเลยมุ่งหน้าไปที่ฟิตเนสเพื่อจะไปขอยืมจักรยานปั่นรอบโรงแรม แต่วันที่ผมไปแขกมาใช้บริการที่ดาราเทวีค่อนข้างเยอะ ทำให้จักรยานมีไม่เพียงพอครับ ต้องลงชื่อจองไว้ครับ ระหว่างรอ ผมคงทำได้แค่เพียงเดินชมดาราเทวีด้วยสองขาผมครับ

ผมมาตั้งต้นที่หอจุมทอง แล้วมองย้อนกลับไปชมความงามของ Main Lobby มุมนี้คือมุมในหนังสือนิตยสารที่ทำให้ผมรู้จักดาราเทวีเป็นครั้งแรกครับ

Lobby ของโรงแรมดาราเทวีเป็นเสมือนศูนย์กลางของอาณาจักร มีชื่อเรียกว่า หอคำหลวง มีลักษณะเป็นอาคารไม้ทรงพญาธาตุขนาดใหญ่ ลักษณะมหาปราสาทซึ่งมีหลังคาเหลื่อมซ้อนชั้นลดหลั่นกันตั้งแต่ 3-5 จนถึง 7 ชั้น ตั้งอยู่บนฐานของอาคารตึกก่ออิฐถือปูนแบบโบราณ ได้รับแรงบันดาลใจมาจากวัดออโตมาฉี ซึ่งมีความหมายถึงสภาวะความงามอันเหนือกาลเวลา ในส่วนของยอดมหาปราสาทนั้นได้รับการออกแบบใหม่ และมีชื่อเรียกว่า จองคำ อันเปรียบเสมือนกับวิมานของเทวดา อาคารนี้ใช้เป็นสถานที่ต้อนรับแขกภายในโรงแรม ได้รับการตกแต่งภายในด้วยศิลปวัตถุอันมีค่า และเครื่องเรือนที่ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษ ส่วนด้านล่างที่เป็นอิฐถือปูน จะเป็น Office และร้านค้าต่างๆ

ผู้ออกแบบตั้งใจทำหอคำหลวงให้เสมือนเป็นเขาพระสุเมรุ ดังนั้นจึงสังเกตเห็นบริเวณหลังคาของหอคำหลวงจะมีชั้นทั้งหมด 7 ชั้น ซึ่งหมายถึง เขาสัตตบริภัณฑ์ทั้ง 7 ที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุนั่นเองครับ

ด้านหลังของหอคำหลวง จะเป็นห้องอาหารอกาลิโก (Akaligo)

ในส่วนนี้จะเป็นที่พักแบบโคโลเนียลสวีท (Colonial Suite) มีลักษณะเป็นอาคาร 2 ชั้น รวม 54 ห้อง ความพิเศษของห้องสวีทที่อยู่ชั้นล่างคือระเบียงกว้างที่เชื่อมตรงสู่สวนสวยเขียวขจีและสระว่ายน้ำลายคราม ในขณะเดียวกันห้องสวีทที่อยู่ชั้นบนก็มองบรรยากาศของสระว่ายน้ำและภูมิทัศน์ที่สวยงามไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าบริเวณอื่นๆ

ลักษณะของห้องสวีทเหล่านี้ จำลองภาพความยิ่งใหญ่ของสถาปัตยกรรมเอเชียในช่วงศตวรรษที่ 19 ผสมผสานการออกแบบของอาคารสไตล์บริติช-โคโลเนียลที่เลื่องชื่อ อันเปรียบเสมือนการรวมมรดกทางสถาปัตยกรรมไว้ด้วยกัน

สระว่ายน้ำจุดนี้ผมชอบมากครับ สีของสระว่ายน้ำมีสีครามตัดกับสีแดงของกระเบื้องปูพื้นและหลังคา และสีเขียวของต้นไม้ใหญ่ สวยงามมาก และที่เตะตาที่สุด คงเป็นลวดลายของกระเบื้องในสระน้ำที่เป็นรูปโลโก้ของดาราเทวีครับ

ผมเดินเก็บรายละเอียดในส่วนอื่นๆ ที่คุณธีรยุทธยังไม่ได้พาชม เดินไปยังโซน Villa แล้วเดินทะลุเข้าไปยังทุ่งนาครับ

ทุ่งนาในดาราเทวีจะมี 2 โซน คือโซนเหนือและโซนใต้ ที่ผมจะพาไปชมคือทุ่งนาที่อยู่โซนเหนือครับ (โซนใต้เดินไปไม่ไหว เพราะแดดร้อนและอากาศร้อนมากๆ)ช่วงที่ผมไปนาข้าวกำลังแตกรวง จึงทำให้ท้องนาเป็นสีเขียวอมเหลืองครับ สังเกตว่าแต่ละจุดจะมีทางเดินที่เป็นไม้ทอดยาวไปในท้องนา เพื่อให้แขกที่เข้าพักสามารถเข้าไปสัมผัสท้องนาได้อย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ยังมีหุ่นไล่กากระจายอยู่ทั่วผืนนา ที่สำคัญหุ่นไล่กาแต่ละตัวจะมีชื่อของเขาด้วยครับ

ขึ้นจากท้องนาก็เดินชมวิวไปเรื่อยๆ มองไปทางไหนก็จะเจอแต่รูปนกยูงครับ

ลวดลายฉลุบนหลังคาของอีกหนึ่ง Villa

ผมเดินย้อนกลับไปที่หอจุมทอง ที่อยู่โซนด้านหน้าของดาราเทวีอีกครั้ง ด้านหลังของหอจุมทองคือหอจุมศรีครับ

ภายในหอจุมศรีใช้เป็นหอสมุดครับ มีหนังสือให้เลือกอ่านหลากหลายประเภทกว่า 5,000 เล่ม สำหรับทุกเพศทุกวัย หลากหลายภาษา ทั้งหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรมและประเพณีท้องถิ่นของประเทศต่างๆ ในแถบเอเชีย หนังสือเกี่ยวกับการทำอาหาร สุขภาพและความงาม โยคะ การนั่งสมาธิ ท่องเที่ยว และที่พิเศษคือส่วนหนังสือเด็กและเยาวชนคุณภาพดี ให้เลือกอ่านอย่างเพลิดเพลินได้ตลอดทั้งวัน

นอกจากนี้ยังมีเพลงและภาพยนตร์อีกมากมายหลายประเภทให้เลือกอย่างเต็มอิ่มโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมตลอดระยะเวลาที่พักผ่อนอยู่ในโรงแรมสามารถยืมแผ่นไปเปิดชมที่ห้องพักได้ 5 แผ่นต่อครั้งครับ

ฝั่งตรงข้ามของหอจุมศรี คือกาสะลองบุฟเฟต์ครับ จุดนี้คือจุดที่ผมรอการสัมผัสมานาน และเป็นช่วงเวลาที่ผมรอคอยจริงๆ บุฟเฟ่ต์ขนมหวาน "กาสะลอง" หนึ่งเดียวในเชียงใหม่ครับ ราคา 425++บาทต่อท่าน (ราคา 425++ จำนวน ++ สองตัวคือเพิ่มค่า service charge และ VAT เป็นจำนวน 17.7% ครับ) ราคานี้รวมชาและกาแฟร้อน สามารถนั่งทานได้ 2 ชั่วโมง

บรรยากาศภายนอกร้านครับ ใครที่ชอบสัมผัสกับบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติก็สามารถมาใช้บริการในส่วนนี้ได้ แต่หากใครขี้ร้อน แนะนำให้เข้าไปนั่งในห้องปรับอากาศด้านในดีกว่าครับ

เมื่อเปิดประตูร้านเข้ามาก็พบกับขนมหวานละลานตา แข่งกันอวดสีสันอยู่เต็มไปหมดครับ เรียกได้ว่าเยอะจนเลือกไม่ถูกเลยก็ว่าได้ ขนาดผมทานไปชนิดละชิ้น ยังไม่สามารถทานครบทุกชนิดเลย เพราะอิ่มเสียก่อน นี่ขนาดเหลือพื้นที่กระเพาะจากมื้อกลางวันไว้เยอะแล้วนะเนี่ย ยอมรับว่าขนมแต่ละชิ้นคุณภาพคับปากจริงๆ ใครที่เป็นคอของหวานแนะนำว่าไม่ควรพลาดนะครับ งานนี้ผมขอยอมเบาหวานขึ้นตาครับ

ที่พลาดไม่ได้คงจะเป็นมาการองหลากรสชาติที่มีเติมไม่อั้น ผมทานไปร่วมสิบอัน อิอิ แต่ที่เสียดายคือ ผมไม่ได้ชิมเอแคล ผลิตภัณฑ์ใหม่มาแรงที่กำลังโด่งดังอยู่ในขณะนี้ ไม่รู้ว่าเพราะผมมาทานช่วงบ่ายแก่ๆ แล้วหรือเปล่า ทำให้เอแคลอาจจะหมด หรือไม่ เอแคลอาจจะไม่ได้อยู่ในบุฟเฟต์ก็เป็นได้ หวังลึกๆ ว่าผมคงได้ลิ้มรสชาติของเอแคลในเร็ววันครับ ที่นี่ให้นั่งทานได้ 2 ชม. แต่ผมยอมแพ้ตั้งแต่ชั่วโมงแรกแล้ว บุฟเฟ่ต์ขนมหวาน "กาสะลอง" เปิดบริการทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา13.00-18.00 น.ครับ

หลังจากอิ่มแปล้จากของหวานก็ใกล้เวลาอาหารเย็นอีกแล้ว ผมคงต้องหาวิธีสลายน้ำตาลในตัวให้หมดซะก่อนครับ ไม่งั้นคงจะทานข้าวเย็นไม่ได้ เลยเดินเล่นอยู่แถวๆ หอจุมเงิน,หอจุมทองนี่แหล่ะครับ ช่วงระหว่างเดินเล่นก็เป็นเวลาที่พระอาทิตย์ใกล้ตกพอดี ช่วงที่ผมไปเมฆค่อนข้างมาก หมดหวังที่จะเห็นพระอาทิตย์ตกครับ แต่ท้ายสุดเหมือนฟ้าเป็นใจ ยังพอให้ผมได้เห็นแสงสีทองอยู่นิดหน่อยครับ

ค่ำนี้ทีมงานพาไปทานอาหารแบบล้านนาแท้ๆ ในบรรยากาศพื้นเมืองที่คุ้มขันโตกครับ

คุ้มขันโตกจะเป็นร้านอาหารสไตล์ล้านนาแบบบุฟเฟต์ ที่ให้บริการอาหารพื้นเมืองและมีการแสดงให้แขกได้ชม เรียกได้ว่าบริการทั้งอาหารตาและอาหารปากก็คงไม่ผิดครับ

บรรยากาศด้านหน้าคุ้มขันโตก จะมีการแสดงเล็กๆ ให้แขกได้ชมกันแบบเรียกน้ำย่อย ก่อนที่จะไปชมกันอย่างจริงจังในลานขันโตกครับ วันที่ผมไปทางคุ้มขันโตกได้นำพระพุทธรูปมาให้แขกได้สรงน้ำพระ และมีการผูกข้อไม้ข้อมือจากแม่อุ้ย การโชว์ร้อยมาลัย การตีขิม รวมถึงการโชว์รำกระทบไม้ด้วยครับ ภายในคุ้มยังมีจุดที่น่าสนใจอยู่หลายจุดเหมือนกัน ผมเองก็เดินสำรวจได้ไม่ครบครับ นอกจากนี้ด้านหน้าคุ้มยังมีร้านขายของที่ระลึกอีกด้วยครับ

ลานขันโตก ประกอบด้วยเรือนไม้ลักษณะศาลาเรียกว่าคุ้มอยู่จำนวน 4 หลัง ซึ่งในแต่ละคุ้มจัดเป็นที่นั่งแบบหย่อนเท้า ตรงกลางของ 4 คุ้มเป็นลานโล่ง จัดเป็นที่นั่งบนพื้นบนเบาะมีหมอนอิงรูปสามเหลี่ยม ลานขันโตกทั้งหมดสามารถรองรับแขกได้ประมาณ 800 ที่นั่งครับ

มาดูในส่วนของอาหารกันบ้างดีกว่าครับ บนโตกจะมีเมนู น้ำพริกหนุ่ม น้ำพริกอ่อง พร้อมผักลวก แคบหมู แกงฮังเล ผัดหมี่ ซุปใส ข้าวเหนียว/ข้าวสวย กล้วยทอด รวมถึงผลไม้ตามฤดูกาล ทุกอย่างทานหมดแล้วสามารถเติมได้ครับ

การแสดงจะเริ่มจากขบวนแห่บูรณคตะบูชาสโตกคำและฟ้อนเล็บ ถือเป็นการแสดงการต้อนรับแขกผู้มาเยือนด้วยความเป็นมิตรและความยินดี

จากนั้นเป็นการแสดงของนกกิงกะลากับตัวโต ซึ่งเป็นศิลปะการร่ายรำของชาวไทยใหญ่ แสดงถึงเรื่องราวของสัตว์ที่เล่าขานมาแต่โบราณ

การแสดงกลองสะบัดชัย เพื่อเสริมสร้างกำลังใจให้แก่ไพร่พลในยามมีศึกสงครามด้วยลีลาการตีที่โลดโผน

การฟ้อนที ศิลปะการฟ้อนรำที่นำเอาร่มหรือทีในภาษาไตมาเป็นส่วนประกอบที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตพื้นบ้านผสมผสานกับจังหวะลีลาการฟ้อนรำตามแบบฉบับพื้นบ้านล้านนาอย่างแท้จริง และอีกหลายๆ การแสดงครับ

หลังการแสดงจบ คุณนิภาพรรณ ได้พาพวกเราไปชมคุ้มคำ อาคารที่กำลังก่อสร้างหลังใหญ่ ขนาด 3 ชั้น เมื่อสร้างเสร็จสามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้ถึง 1,200 ที่นั่ง ภายในขอบอกว่าอลังการมากๆ ตามผนังของห้องโถง และบานประตู ใช้ทองคำเปลวเข้ามาเป็นวัสดุในการตกแต่งด้วยครับ สุดยอดงานสร้างจริงๆ

หลังจากอิ่มหนำกันเต็มที่แล้ว ก็มุ่งหน้ากลับสู่ดาราเทวีครับ วันนี้เหน็ดเหนื่อยมาพอสมควร เนื่องจากผมต้องตื่นตั้งแต่ตี 4 เพื่อเตรียมเดินทาง แล้วช่วงบ่ายยังเดินเท้าท่ามกลางแดดร้อน ตะเวนเกือบรอบดาราเทวี เมื่อเปิดประตูห้องพักเข้าไป เจอแอร์เย็น ๆ มันทำให้ผมแทบสลบไสลเลยครับ ทางโรงแรมคลี่ผ้าที่อยู่รอบๆ เตียงเพื่อทำเป็นมุ้งไว้ให้เรียบร้อย เมื่อผมเปิดมุ้งออกมา สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือ ของที่ระลึกที่ทีมงาน Welovetogo ได้จัดเตรียมไว้ให้ผม มีทั้งสมุดจดบันทึก กระดาษโน้ต อุปกรณ์สำหรับเล่นสงกรานต์ ซึ่งประกอบด้วยขันน้ำ ดินสอพองและน้ำอบ พร้อมมีโน้ตเล็ก ๆ ถึงผมด้วย มันทำให้ผมรู้สึกสดชื่น และดีใจกับสิ่งดีๆ ที่ทาง Welovetogo มอบให้ผมในครั้งนี้ครับ

เมื่อทิ้งตัวลงที่นอน ขอบอกว่าเตียงและหมอนนุ่มมากๆ ครับ ถ้าจะเรียกว่า เตียงและหมอนดูดวิญญาณคงไม่ผิดนัก คืนนี้ผมหลับสบายมากๆ ครับ

เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นตอนตี 5 ผมไม่อยากจะลุกจากเตียงอันแสนนุ่มเลย แต่ก็ต้องข่มตาตื่น เพียงเพราะอยากจะไปชมแสงแรกในดาราเทวีครับ กว่าจะอิดออด ล้างหน้าล้างตา อาบน้ำ ก็ปาเข้าไปเกือบตีห้าครึ่งแล้ว

ฤดูนี้ฟ้าสว่างเร็วมาก ตีห้าครึ่งฟ้าเริ่มสว่างแล้ว ผมมองขึ้นไปยังท้องฟ้าก็ต้องถอดใจ เพราะฟ้าเต็มไปด้วยเมฆหนา แต่ก็ยังพอมีเวลาให้ลุ้นอยู่บ้าง เพราะช่วงนี้ดวงอาทิตย์น่าจะขึ้นประมาณหกโมงกว่าๆใกล้เวลาเหมือนฟ้าจะเป็นใจครับ ก้อนเมฆที่จับตัวอย่างหนาแน่นเริ่มกระจายตัวออกมา จนพอที่จะมีช่องว่างให้ดวงอาทิตย์ได้โผล่มาปรากฎโฉมให้กับผมได้ชมครับ

หลังจากที่ได้ชื่นชมแสงแรกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมเดินมาที่หอพระสุวรรณสถานดาราฟ้าแก้วครับ ทางดาราเทวีได้จัดเตรียมชุดใส่บาตรไว้ให้กับผมและคณะ พร้อมนิมนต์พระมาให้คณะของผมได้ใส่บาตรที่นี่ ถือว่าครั้งนี้เป็นโอกาสอันดีที่ผมได้มีโอกาสได้ใส่บาตรแบบนี้ เพราะผมแทบไม่ได้ใส่บาตรตอนเช้าแบบนี้มานานนับปีครับ

หลังจากใส่บาตรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมมายังห้องอาหารอกาลิโก (Akaligo) ซึ่งอยู่ทางด้านหลังของอาคาร Lobby ครับ คำว่า “อกาลิโก" เป็นภาษาสันสกฤต แปลตามศัพท์ได้ว่า “ไร้กาลเวลา"

ภายในห้องอาหารถูกออกแบบให้เป็นกระจกบานกว้าง สามารถมองเห็นสวนสวยและต้นไม้ใหญ่เขียวชอุ่มเบื้องล่าง ที่นั่งด้านในห้องอาหาร จะให้ความรู้สึกอบอุ่นร่วมสมัย ด้วยโทนสีน้ำตาลเข้มของเนื้อไม้

ในขณะที่โต๊ะอาหารบริเวณระเบียงกว้างด้านนอกนั้น สามารถชื่นชมความงามของอาคารโคโลเนียล สวีทยามเช้า เมื่อแสงแดดอ่อนและสายลมมาเยือนครับ

มาดูในส่วนของไลน์อาหารเช้ากันบ้างครับ มีหลากหลายเชื้อชาติมาก ไม่ว่าจะเป็นอาหารไทย จีน ฝรั่ง แขก ญี่ปุ่นครับ นอกจากนี้ยังมีมุม Active station ที่จะมีเชฟมาทำอาหารให้สดๆ จานต่อจานครับ

น้ำผึ้งที่นี่ เรียกได้ว่าคั้นกันสดๆ ครับ ใครจะทานก็คั้นกันเองเลย เรียกได้ว่ายกมาเป็นรัง (รังเลี้ยง) ครับ

ช่วงสายๆ สักแปดโมงครึ่ง จะมีคุณบุญชอบ กระบือเผือก มาแทะเล็มหญ้าอยู่บริเวณด้านหน้าอาคารโคโลเนียล สวีท จริงๆ จะมีการเป่าขลุ่ยบนหลังคุณบุญชอบด้วย แต่ช่วงที่ผมไปแว่วๆ มาว่าคนเป่าขลุ่ยลากลับบ้านครับ เลยอดฟังเลย ใครที่อยากจะทานอาหารไปด้วย ซึมซับกับบรรยากาศเสียงขลุ่ยไปด้วย แนะนำให้มานั่งทานอาหารเช้าที่ริมระเบียงนะครับ

สายนี้ผมมีกิจกรรมร่วมกับดาราเทวีคือการเรียนรู้การทำนาครับ ก่อนอื่นต้องไปแปลงโฉมเป็นชาวนากันก่อนที่คิดส์คลับครับ ทางโรงแรมจะเตรียมเสื้อม่อฮ่อมพร้อมกางเกง ผ้าขาวม้า หมวก และถุงเท้าสีดำยาวคลุมถึงหัวเข่าไว้ให้กับพวกเรา จากนั้นก็นั่งรถ Buggy เพื่อไปยังท้องนาที่เราจะทำนากัน เมื่อถึงท้องนาก็เดินเท้าเปล่าที่สวมถุงเท้าสีดำลงไปยังพื้นที่นาเลยครับ

จากนั้นเซเลปของที่นี่ก็มาถึง คุณบุญชอบของเรานี่เองครับ

เจ้าหน้าที่บอกว่า พันธุ์ข้าวที่ปลูกนั้นเป็นพันธุ์ข้าวเหนียว เมื่อข้าวออกรวงและทำการสีข้าวแล้ว ทางโรงแรมจะเอาไปบริจาคให้กับโรงเรียนที่ยากจนเพื่อนำไปเลี้ยงนักเรียนครับ

หลังจากฟังบรรยายเสร็จแล้วก็ขอไปทำความคุ้นเคยกับคุณบุญชอบก่อน เจ้าหน้าที่บอกว่าสามารถขี่คุณบุญชอบได้ ผมเองก็สองจิตสองใจ ใจนึงอยากที่จะขี่ แต่อีกใจก็กลัว ที่กลัวคือกลัวคุณบุญชอบจะเกเรครับ เพราะเมื่อวานช่วงบ่ายผมเดินสวนกับคุณบุญชอบ ปรากฏว่าอยู่ๆ คุณบุญชอบก็หยุดเดินไปซะงั้น แล้วมองมายังผม ดูเหมือนมีอาการหวาดระแวง ผมเองก็ระแวงคุณบุญชอบเช่นกัน เราต่างดูทีท่าซึ่งกันและกัน จนคุณลุงที่คอยดูแลคุณบุญชอบเข้าไปใกล้ๆ คุณบุญชอบเพื่อทำให้คุณบุญชอบลดอาการหวาดระแวงลง ช่วงเวลานั้นผมจึงรีบเดินผ่านคุณบุญชอบไปครับ และวันนี้ผมกับคุณบุญชอบต้องมาเผชิญหน้ากันอีกครั้ง แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ ใจที่อยากจะลองขี่คุณบุญชอบมีมากกว่าอาการกลัวเล็กน้อย บวกกับแรงเชียร์ของเหล่าพนักงานว่าคุณบุญชอบเชื่อง และผมก็ดูคนอื่นขี่คุณบุญชอบไปหลายคนแล้ว เห็นว่าปลอดภัยดีเลยตัดสินใจลองขี่คุณบุญชอบดู ผมเคยขี่ช้าง ขี่อูฐมาแล้ว รอบนี้มาขี่ควาย ได้อีกหนึ่งประสบการณ์ครับ

หลังจากลงจากหลังคุณบุญชอบเรียบร้อยแล้ว ผมก็สวมบทบาทเป็นชาวนาครับ

เริ่มแรกพวกผมต้องไปถอนต้นกล้า เพื่อนำต้นกล้ามาปลูกในอีกแปลงครับ ถอนกันมันมือไปเลยครับ

หลังจากนั้นขยับมาอีกแปลงนึง ตอนนี้ต้นกล้าอยู่ในมือใครแค่ไหน ก็ต้องปลูกให้หมดครับ ผมแบ่งต้นกล้ามาทีละหยิบมือ จับต้นกล้าคล้าย ๆ จับปากกา แล้วกดลงไปในขี้เลน ดูเหมือนจะง่ายนะครับ แต่เอาเข้าจริงๆ ผมดำนาโค้งไปโค้งมาเลยทีเดียว

สำหรับกิจกรรมขี่ควาย ดำนา ถือเป็นกิจกรรมที่ผมชอบมากที่สุดในทริปนี้เลยครับ ทำให้ผมได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ และคงไม่มีโอกาสจะได้ทำเป็นแน่ๆ ถ้าหากดาราเทวีไม่จัดกิจกรรมแบบนี้ให้ผม ผมรู้สึกสนุกและรู้ถึงขั้นตอนกรรมวิธีของการได้มาซึ่งข้าวแต่ละเมล็ดว่ามันลำบากและต้องใช้เวลาขนาดไหน ข้าวไม่ได้โตเพราะน้ำหล่อเลี้ยงต้นอย่างเดียว แต่โตจากหยาดเหงื่อทุกหยดของชาวนาด้วย ก่อนเสร็จสิ้นกิจกรรม ขอถ่ายภาพหมู่คู่กับคุณบุญชอบกันก่อนครับ

หลังจากที่ดำนากันเสร็จแล้ว ก็ถึงกรรมวิธีในการตำข้าวเปลือกเพื่อให้ได้ข้าวเหนียวครับ ที่นี่ยังใช้กรรมวิธีแบบดั้งเดิมคือการใช้ครกกระเดื่อง จากนั้นนำข้าวมาฝัด จนเสร็จสิ้นกระบวนการได้ข้าวเหนียวครับ

เมื่อเสร็จสิ้นกิจกรรมทุกอย่างแล้ว ทางทีมงานให้เวลาพักผ่อน อาบน้ำอาบท่า ก่อนที่จะไปทานอาหารเที่ยงกันครับ มื้อนี้คณะผมฝากท้องไว้ที่ร้านตำลำยำแซ่บครับ

ร้านตำลำยำแซ่บอยู่บนถนนบำรุงราษฎร์ อยู่ระหว่างสี่แยกปริ๊นซ์ และแยกสันป่าข่อย ตั้งอยู่ส่วนหน้าของโรงแรม ECO Resort ครับ อาหารแนะนำจะเป็นประเภท ส้มตำ ไก่ย่าง ข้าวซอยเจียงใหม่ น้ำเงี้ยวเชียงราย นั่งทานในบรรยากาศร่มรื่นสไตล์รีสอร์ทครับ โดยมีคุณติ๋วเป็นผู้ดูแลกิจการ และให้การต้อนรับคณะเราเป็นอย่างดีครับ

มาดูในส่วนของอาหารกันบ้างครับ

เริ่มที่ประเภททอดย่าง

ไก่ย่าง-น่องติดสะโพก

คอหมูย่าง

ปีกไก่ทอดงา

หมูแดดเดียว

ประเภทย่าง/น้ำตก

ลาบหมู

ตับหวาน

ประเภทยำ

ยำวุ้นเส้น

ประเภทน้ำ

ต้มแซบกระดูกหมู

เมนูพิเศษ

ขนมจีนน้ำเงี้ยว

ข้าวซอยไก่

ไส้อั่ว

ประเภทส้มตำ

เขยฝรั่งลุยสวน เมนูนี้แนะนำว่าไม่ควรพลาดครับ เป็นแอบเปิ้ลเขียวนำมาคลุกเคล้าด้วยน้ำปูและปรุงรสด้วยเครื่องส้มตำ ผมว่ารสชาติแซ่ปมาก ได้รสเปรี้ยวของแอปเปิ้ล บวกความหอมของน้ำปูครับ

ตำข้าวโพดไข่เค็ม

และเมนูแนะนำประจำร้านกับเมนู ตำลำ ยำแซ่บ เป็นการนำเครื่องของส้มตำ ไม่ว่าจะเป็นมะละกอ มะเขือเทศ ถั่วฝักยาว ถั่วงอก ปูอัด ลูกชิ้นปลา และปลาสวรรค์ มาปรุงรสด้วยน้ำยำครับ อร่อยดีครับ

หลังจากอิ่มท้องแล้ว ทีมงานสอบถามความคิดเห็นว่า กิจกรรมต่อไปอยากไปเล่นน้ำในตัวเมืองเชียงใหม่หรือกลับเข้าที่พักที่ดาราเทวี แทบไม่ต้องปรึกษาหารือกันเลยครับ ทุกเสียงตอบกลับมาว่า กลับไปพักผ่อนที่ดาราเทวีครับ

หลังจากกลับมาถึงที่พัก ยอมรับว่าบ่ายนี้ผมซ่าส์ไม่ออกจริงๆ เพราะอากาศข้างนอกร้อนมากๆขอนอนพักตากแอร์เย็นๆ ในห้องพักดีกว่า จนเวลาล่วงถึงสี่โมงเย็น ผมถึงเริ่มออกเดินสำรวจโรงแรมอีกครั้ง

ช่วงที่ผมไป ทางโรงแรมได้เปิดโอกาสให้บุคคลภายนอกได้เข้ามาเที่ยวชมความสวยงามอลังการของดาราเทวี แต่สามารถเข้าชมได้เพียงบางส่วนเท่านั้น พร้อมกันนี้ทางดาราเทวียังให้บริการของว่างในกาดหมั้วแบบล้านนาฟรี เช่น ไข่ป่าม หมี่ลับแล ข้าวแคบ เมี่ยงคำ ขนมวง กล้วยทอด น้ำสมุนไพรล้านนา โดยกาดหมั้วจะตั้งอยู่ที่หน้าหอพระสุวรรณสถานดาราฟ้าแก้ว โดยเริ่มเปิดกาดตั้งแต่ 17.00-19.00 น.ครับ ผมเลยได้ของว่างรองท้องก่อนไปทานอาหารเย็นที่กาดหมั้วครับ

มื้อค่ำนี้ทางทีมงาน Welovetogo ได้พาเราไปทานอาหารเย็นที่ Sala Lanna ครับ

Sala Lanna ตั้งอยู่ติดกับแม่น้ำปิง ตรงข้ามกับกาดต้นลำไย ห้องอาหารที่นี่จะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือห้องอาหารไทยและห้องอาหารอิตาเลี่ยนครับ คืนนี้ Sala Lanna เตรียมอาหารอิตาเลี่ยนไว้ให้กับคณะของผมครับ

Sala Lanna ได้จัดเตรียมพื้นที่สำหรับมื้อค่ำให้กับเราบริเวณริมแม่น้ำปิงเลยครับ บรรยากาศดีมากๆ

คุณปิยพร ผู้จัดการโรงแรมมาแนะนำรายละเอียดเกี่ยวกับโรงแรมและห้องอาหารให้พวกเราฟังครับ

ก่อนทานมื้อค่ำ ทีมงาน Welovetogo ก็ได้จัดกิจกรรมให้พวกเราร่วมสืบสานประเพณีไทยกันครับ โดยจัดพิธีรดน้ำดำหัว ซึ่งผู้ใหญ่ที่ให้เรารดน้ำดำหัวคือคุณพ่อของผู้โชคดีที่ได้ร่วมทริปกับผม จากนั้นทีมงานได้มอบประกาศนียบัตรเพื่อแสดงว่าผมได้เข้าร่วมโครงการ “Welovetogo สนุกสงกรานต์ สำราญดาราเทวี" ครับ (แอบเป็นทางการนิดนึง)

เสร็จพิธี อาหารเริ่มเสริฟครับ

เริ่มด้วยที่เครื่องดื่ม mango smoothie รสชาตินุ่มละมุนลิ้นครับ

เมนู Starter เป็น Octopus Carpaccio ครับ เชฟจะนำหนวดปลาหมึกยักษ์ญี่ปุ่นมาลวกและแร่บาง ๆ เสริฟพร้อมกับผักทอดกรอบ ผักสดตามฤดูกาล และน้ำสลัดโหระพาครับ เมนูนี้เรียกน้ำย่อยได้เป็นอย่างดีครับ

เมนู Soup เป็น Mushroom Soup ซุปเห็ดที่เสริมรสชาติด้วยเห็ดทรัฟเฟิลสีดำและไข่นกกระทาลวก หอมกลิ่นน้ำมันมะกอก เสริฟพร้อมขนมปังกรอบครับ เมนูนี้ถ้าใครไม่ชอบเห็ดคงแย่หน่อยนะครับ แต่ถ้าสำหรับผม โปรดปรานเป็นอย่างมากครับ

เมนู Main Course มีให้เลือก 2 เมนูครับ

เมนูแรกคือ Spring Chicken เชฟจะนำไก่อ่อนเนื้อนุ่มอบในขนมปังกรอบ เสิร์ฟพร้อมมันทอดและผักโขม เมนูนี้ผมไม่ได้เลือกทานครับ

และอีกหนึ่งเมนูคือ Norwegian Salmon ปลาแซลมอนจากนอร์เวย์ย่าง ทานคู่กับพริกยักษ์สามสีในซอสมะนาว ขอบอกว่าเนื้อปลาแน่นและสดมากๆ แถมชิ้นใหญ่มากๆ ด้วยครับ

เมนูปิดท้ายเป็นของหวาน กับ Classic Tiramisu ทีรามิสุสูตรต้นตำรับ ทำจากมาสคาร์โปนชีส บิสกิต และมาร์ซาลาไวน์ อร่อยมากๆ ครับ ทานแล้วสดชื่นดีจริงๆ

เมนูทั้งหมดต่อ 1 คนครับ (แต่ Main Course ให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง) มื้อนี้ถือเป็นอีกหนึ่งมื้อที่ทำให้ผมมีความสุขกับการทานอาหารมากๆ ก่อนกลับเชฟจากอิตาเลี่ยนออกมาทักทายแล้วถามความเห็นในรสชาติของอาหารด้วย เชฟอัธยาศัยดีมากๆ ให้ความเป็นกันเอง แถมพูดไทยได้นิดหน่อยด้วย ก่อนจะกลับ เชฟหยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูปคู่กับคณะพวกเราด้วย น่ารักจริงๆ

เมื่ออิ่มอกอิ่มใจไปกับอาหารอิตาเลี่ยนมื้อเย็นแล้วก็เดินทางกลับที่พักครับ

วันนี้ผมได้พักผ่อนช่วงบ่าย ช่วงค่ำนี้เลยพอมีแรงเหลือ เลยออกเดินถ่ายรูปเก็บบรรยากาศรอบ ๆ โรงแรมต่ออีกสักหน่อยครับ

เริ่มที่ประตูไชยะดาราครับ เมื่อโดนแสงไฟ ผมว่าสวยกว่าช่วงกลางวันอีกครับ

บริเวณกาดดาราซึ่งอยู่ที่โซนด้านหน้าของโรงแรมครับ พื้นที่ด้านหน้ากาดดารา ใช้เป็นที่จอดรถของแขกที่เข้าพักในโรงแรมครับ

ส่องกล้องระยะไกลจากประตูไชยะดารา ยามที่หอคำหลวงต้องแสงไฟ สวยงามเกินบรรยายเลยครับ

บริเวณด้านหน้าของหอจุมทอง มองทอดยาวไปเห็นหอคำหลวง

หอพระสุวรรณสถานดาราฟ้าแก้วยามค่ำคืน ตอนที่ผมถ่ายรูปนี้เสร็จ พลันหางตาก็เห็นคนใส่ชุดสีขาวทั้งชุด ผมถึงกับขนหัวลุกทันที แต่ก็ทำใจแข็งมองไปที่ชุดขาวนั่น ปรากฏว่าเป็นเชฟใส่ชุดขาวสวมหมวกเชฟ เดินผ่านด้านหน้าหอพระนั่นเองครับ เล่นเอาใจไม่ดีเลยจริงๆ อิอิ

ด้านหน้าของหอจุมเงิน จะพบกับพญานาค ซึ่งหางของพญานาคจะเป็นซุ้มประตูโขงครับ

สะพานที่จะข้ามไปยังหอคำหลวง บุคคลภายนอกที่ไม่ใช่แขกของโรงแรม จะสามารถเข้ามาเยี่ยมชมได้แค่ตรงสะพานนี้ครับ

ความงามของหอคำหลวงยามค่ำคืนครับ

Colonial Pool ช่วงที่มีแสงก็ว่าสวยแล้ว ช่วงพลบค่ำยิ่งสวยขึ้นไปอีกครับ

บริเวณ Colonial Suite ครับ

ค่ำนี้หมดแรงจริงๆ ผมนึกถึงเตียงนอนนุ่มๆ ขึ้นมาทันที เลยตัดใจกลับไปพักผ่อนที่ห้องครับ

คืนที่ 2 ที่ได้เข้าพักที่นี่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เช้านี้ผมไม่ได้ออกไปชมแสงแรกแล้ว อยากจะใช้เวลาพักผ่อนให้เต็มที่ เพราะเช้านี้ผมจะได้ร่วมพิธีแห่ขบวน 7 นางสงกรานต์และพิธีแห่ไม้ค้ำโพธิ์-ไม้ค้ำสะหลี ซึ่งเป็นประเพณีที่ทรงคุณค่าแห่งล้านนาด้วยครับ หลังจากทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารอกาลิโกแล้ว ยังพอมีเวลาเหลือ เลยเดินเก็บรายละเอียดอีกรอบที่หอจุมทองครับ

จากนั้นก็ขึ้นมารอชมขบวนแห่นางสงกรานต์อยู่ที่ Lobby ไม่นานนักนางสงกรานต์ทั้ง 7 ก็ปรากฏโฉมครับ

พิธีเริ่มจากนางสงกรานต์พร้อมขบวนกลองยาวเดินวนเข้าไปในห้องอาหารอกาลิโก น่าจะเพื่อบอกเป็นนัยๆ ให้กับแขกชาวต่างชาติได้รู้ว่าจะมีกิจกรรมแห่นางสงกรานต์ จากนั้นนางสงกรานต์ทั้ง 7 พร้อมขบวนกลองยาวก็เดินผ่าน Colonial Pool เพื่อไปตั้งขบวนยังสนามหญ้าหน้า Colonial Suite ครับ

นอกจากนางสงกรานต์ทั้ง 7 แล้ว ยังมีขบวนม้าแคระที่แต่งตัวสวมชฎา ทัดดอกลีลาวดี สวมกระโปรงลายลูกไม้ มาเข้าร่วมขบวนด้วยอีก 3 ตัว ช่วงแรกๆ ม้าแคระ 3 ตัวนี้ขโมยซีนนางสงกรานต์ไปเยอะเลยครับ เพราะทุกคนอดใจที่จะถ่ายรูปเจ้าม้าแคระไว้ไม่ได้ รวมถึงนางสงกรานต์เองก็ขอถ่ายรูปม้าแคระกับเขาด้วย

ขบวนเดินผ่านทุ่งนาด้วย ดูสวยงามมากๆ ครับ

ขบวนมาสิ้นสุดที่หอพระสุวรรณสถานดาราฟ้าแก้วครับ

จากนั้นผู้บริหารและพนักงานของดาราเทวีร่วมพิธีทำบุญพร้อมถวายปราสาททรายเนื่องในวันทำบุญประจำปีของที่นี่ครับ หลังจากทำบุญเพื่อความเป็นสิริมงคลของทุกคนเรียบร้อยแล้ว ผมและเพื่อนสมาชิกก็เตรียมตัวกลับไปเก็บข้าวของเพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับกรุงเทพครับ

ก่อนกลับขอถ่ายรูปหมู่กันที่หน้าหอคำหลวงกันก่อน สำหรับมื้อกลางวันเราทานกันไม่ทันครับ เพราะเราจะต้องบินกลับกรุงเทพในเวลาบ่ายสองครับ แต่ทางดาราเทวีก็ยังอุตส่าห์จัดเตรียมแซนวิซสุดอร่อยไว้ให้พวกเรา ก่อนที่รถตู้จะออกไปจากอาณาจักรล้านนาดาราเทวี พวกเราแวะซื้อของฝากเป็นมาการองจากดาราเทวีไปฝากคนที่บ้านกันคนละนิดละหน่อยครับ

ผมมาถึงสนามบินอย่างฉิวเฉียด ตอนแรกกะว่าเมื่อ Check in เสร็จจะงัดแซนวิชที่ดาราเทวีเตรียมไว้ให้ออกมาทาน แต่เมื่อ Check in เรียบร้อยก็ได้ยินเสียงประกาศให้ขึ้นเครื่องแล้ว เลยต้องกระเตงแซนวิซพร้อมหิ้วท้องขึ้นไปบนเครื่องครับ

ผมเดินทางออกจากเชียงใหม่ Flight บ่ายสองโมง ระหว่างบินก็ได้ของว่างบนเครื่องมาช่วยประทังชีวิตไปได้ครับ ตอนแรกจะงัดแซนวิชขึ้นมาทานระหว่างบิน แต่ก็กลัวว่าแอร์ฯ จะตำหนิเอา เลยไม่กล้าครับ ท้ายสุดงัดแซนวิชออกมาทานตอนที่รับกระเป๋าจากสายพรานเสร็จเรียบร้อยแล้ว

ทริปนี้ผมต้องขอขอบคุณสปอนเซอร์ใจดีอย่าง

- Thai Smile ที่สนับสนุนการเดินทางทั้งไปและกลับ กรุงเทพ-เชียงใหม่-กรุงเทพ ให้กับพวกเรา

-คุณฟ่าง จาก “กิน เที่ยว รถเช่าเชียงใหม่" ที่สนับสนุนรถตู้ตลอดการเดินทางในเชียงใหม่ให้กับพวกเรา

- ดาราเทวี ที่มอบโอกาสในการเข้าพักตลอด 3 วัน 2 คืน รวมถึงประสบการณ์ดีๆ ที่เราได้ร่วมทำกิจกรรมที่ทางดาราเทวีจัดไว้ให้ รวมถึงขอบคุณพนักงานทุกๆ ท่านที่ให้การต้อนรับที่อบอุ่นให้กับพวกเรา

- คุ้มขันโตก ที่สนับสนุนอาหารค่ำสไตล์ล้านนาพร้อมการแสดงที่สวยงามให้กับพวกเราได้ชมกัน

- ร้านตำลำยำแซ่บ ที่สนับสนุนอาหารมื้อกลางวันรสชาติแซ่บๆ ให้กับพวกเรา

- Sala Lanna ที่สนับสนุนอาหารอิตาเลี่ยนให้พวกเราได้ลิ้มชิมรส

และที่ขาดไม่ได้คือ ทีมงาน Welovetogo ทุกคนที่มอบโอกาสดีๆ ให้กับผม ทำให้ฝันที่ผมอยากจะเข้าพักที่ดาราเทวีเป็นจริงขึ้นมา ขอบคุณในความห่วงใยดูแล ใส่ใจในรายละเอียดทุกเม็ดที่ผมเห็นและแอบประทับใจในหลายๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นwifi เคลื่อนที่ หรือแม้กระทั่ง Power Bank ที่ทีมงานเตรียมไว้ให้กับสมาชิกทุกคน ถึงแม้มันจะเป็นรายละเอียดเล็กๆ ในสายตาคนอื่น แต่สำหรับผม ผมมองถึงความใส่ใจที่ทีมงานมีให้กับแฟนเพจทุกคนครับ

ความคิดเห็น