.
.
ผมได้ร่วมสนุกทาง FB : Next Travel Magazine และได้รับรางวัลเป็น Voucher ที่พักที่ THE DEWA Koh Chang เป็นห้องแบบ Deluxe จำนวน 2 คืน พร้อมอาหารเช้าครับ สำหรับค่าภาษีจากการรับรางวัล (980 บาท), ค่าใช้จ่ายจากการเดินทาง, ค่าพาหนะต่างๆ, ค่าทัวร์ One Day Trip ผมเป็นคนออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดครับ
ทริปนี้ผมเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว จากกรุงเทพ ใช้ถนนมอเตอร์เวย์ (ทางหลวงพิเศษหมายเลข 7) เมื่อเห็นป้ายจันทบุรี บ้านบึง ให้เลี้ยวซ้ายไปทางบ้านบึง (ทางหลวงหมายเลข 334) จากนั้นตรงตลอดไปถึงสามแยกแกลง ให้เลี้ยวซ้ายอีกที (ตามทางหลวงหมายเลข 3 สุขุมวิท) วิ่งตรงยาวผ่านจันทบุรีถึงแยกไฟแดงพลับพลาให้เลี้ยวขวา จากนั้นตรงยาวไปเรื่อย ๆ จนข้ามแม่น้ำเวฬุ จากนั้นเลยไฟแดงแรกไปก่อน พอเจอสามแยกไฟแดงที่สองจะเห็นป้ายเฟอร์รี่เกาะช้าง ให้เลี้ยวขวาตรงไปอีก จะมีป้ายบอกไปตลอดทางครับ
การจะไปเที่ยวเกาะช้างโดยรถส่วนตัวนั้นจะต้องใช้บริการของเรือเฟอร์รี่ขนาดใหญ่จากฝั่งแหลมงอบ จ.ตราด ซึ่งมีอยู่ 2 ท่าครับ ท่าแรกคือท่าเรือเกาะช้างเฟอร์รี่ ตั้งอยู่ที่อ่าวธรรมชาติ และอีกท่าคือท่าเรือเซนเตอร์พอยด์ เฟอร์รี่ ต.คลองใหญ่ครับ
ผมจะขอให้รายละเอียดสำหรับท่าเรือเฟอร์รี่ทั้งสองท่า เพื่อให้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจเลือกใช้บริการนะครับ
ท่าเรือเกาะช้างเฟอร์รี่ จะอยู่ถึงก่อนท่าเรือเซนเตอร์พอยด์ หากมาตามเส้นทางที่ผมบอก ท่าเรือเกาะช้างเฟอร์รี่จะอยู่ใกล้เกาะช้างที่สุด ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 30 นาที เรือจะออกทุกครึ่งชั่วโมง สำหรับค่าบริการ 80 บาท/คน, 120 บาท/รถ 1 คัน สำหรับท่าเรือเซนเตอร์พอยด์ จะอยู่เลยจากท่าเรือเกาะช้างเฟอร์รี่ไปอีก ใช้เวลาในการข้ามฟากประมาณ 1 ชั่วโมง สำหรับค่าบริการ 80 บาท/คน (ถ้าซื้อตั๋วแบบไป-กลับ ราคา 120 บาท/คน/รอบ), 100 บาท/รถ 1 คัน (ถ้าซื้อตั๋วแบบไป-กลับ ราคา 160 บาท/คัน/รอบ)
ผมเลือกใช้บริการของท่าเรือเกาะช้างเฟอร์รี่ครับ
หลังจากซื้อตั๋วเรียบร้อยแล้ว เก็บตั๋วไว้ให้ดีๆ นะครับ ก่อนที่จะเข้าไปที่ลานจอดเพื่อรอขึ้นเรือ จะมีเจ้าหน้าที่คอยเดินเก็บตั๋วครับ ผมรออยู่ประมาณ 10 นาที เจ้าหน้าที่ก็ให้นำรถขึ้นไปบนเรือเฟอร์รี่ครับ เมื่อขึ้นเรือ เกาะที่ใหญ่ๆ ที่เห็นอยู่ตรงหน้า นั่นคือเกาะช้างครับ
ลำที่ผมไปจะแบ่งเป็น 3 ชั้น ชั้นล่างสุดสำหรับจอดรถ ชั้นที่สองและชั้นที่สามจะเป็นในส่วนของผู้โดยสาร โดยชั้นที่ 2 จะมีร้านค้าจำหน่ายของขบเคี้ยวระหว่างเดินทางครับ
เพียง 30 นาที ก็มาถึงท่าเรือฝั่งเกาะช้าง ท่าอ่าวสับปะรดแล้วครับ
เมื่อเรือมาถึงเกาะช้างแล้ว ผมมุ่งหน้าสู่หาดคลองพร้าว ซึ่งเป็นที่ตั้งของ The Dewa ทางเข้า The Dewa อยู่ในซอย คงจะต้องสังเกตป้ายกันสักนิดนะครับ เพราะป้ายตรงปากทางเข้าค่อนข้างเล็กกว่าของโรงแรม Amari ผมแนะนำว่าให้สังเกตป้ายของ Amari จะเด่นชัดกว่าครับ ทางเข้า The Dewa จะอยู่ในซอยเดียวกับ Amari จากปากทางเข้าไปประมาณ 300 เมตร ก็จะถึง The Dewa ครับ
ด้านซ้ายมือจะเห็นเป็นพื้นที่สำหรับให้แขกได้นั่งพักผ่อนระหว่างรอ Check in
ด้านขวามือจะเป็นในส่วนของ Front Desk ที่ออกแบบเป็นรูปช้างครับ
ด้านข้างของ Front Desk ก็ยังมีพื้นที่สำหรับให้แขกได้นั่งอ่านหนังสือเล่นด้วยครับ
เมื่อ Check in เสร็จผมก็มานั่งชิวที่สวนหย่อมเล็กๆ ที่อยู่ถัดจากพื้นที่ Front Desk จิบ Welcome Drink น้ำใบเตย หอมชื่นใจครับ
คำว่า Dewa มาจากคำว่า เทวะ การตกแต่งของที่นี่จะเป็นการตกแต่งสไตล์ Rustic Tropicalเน้นการนำเอาวัฒนธรรมของชาวชนบทพื้นเมืองในเขตร้อนมาผสมผสาน ดังนั้นการออกแบบจึงเป็นการผสมผสานระหว่างงานโครงสร้างที่เรียบง่าย (Rustic) กับธรรมชาติแบบทรอปิคอล (Tropical) ของเกาะช้าง ตัวอาคารและวิลล่าของรีสอร์ทจึงเป็นปูนเปลือยขัดมัน และนำเอาวัสดุธรรมชาติเข้ามาตกแต่ง เช่น หลังคาจะนำหญ้าคาและไม้สนซีดาร์มาเป็นส่วนประกอบ เพื่อความกลมกลืนกับธรรมชาติ นอกจากนี้ภายในรีสอร์ทยังมีการตกแต่งสวนได้อย่างลงตัวมากๆ ครับ
ทางเดินที่จะไปยังห้องพัก ถูกตกแต่งได้อย่างร่มรื่นจริงๆ ครับ ห้องผมอยู่ถัดจากแผนกต้อนรับไปไม่กี่ห้อง ถึงแม้ว่าจะเปิดประตูห้องพักมาแล้วจะไม่สามารถก้าวเดินลงสระว่ายน้ำได้เลย แต่ผมว่าไม่เป็นปัญหาสำหรับผมครับ เพราะห้องที่ผมพักผมว่าเงียบสงบดี และเพียงแค่ยืนจากประตูห้องพัก ผมก็มองเห็นสระว่ายน้ำแล้ว ผมว่าห้องพักที่ติดสระน้ำจะไม่ค่อยส่วนตัวสักเท่าไร เพราะจะมีแขกมาว่ายน้ำ นอนเล่นอยู่ริมสระว่ายน้ำกันตลอดแทบทั้งวันครับ
2 คืนนี้ ผมพักที่ห้องนี้ครับ ป้ายบอกห้ามรบกวนที่นี่ก็ออกแบบเก๋ไก๋ดีจัง อย่างรูปนี้บอกว่า ผมอยากจะพักผ่อน ห้ามรบกวนครับ
ที่หน้าห้องมีพื้นที่ให้นั่งพักผ่อนชมบรรยากาศโดยรอบ แถมมีตะเกียงให้จุดเทียนช่วงค่ำๆ สร้างความโรแมนติกอีกด้วยครับ
เข้ามาดูในห้องกันบ้างครับ เปิดประตูเข้ามา เจอเตียงอยู่กลางห้องเลยครับ ผนังและพื้นห้องเป็นแบบปูนเปลือย ผนังด้านหนึ่งใช้ผ้าม่านเข้ามาเป็นส่วนประกอบ บนเพดานเหนือเตียงมีการนำผ้าบางๆ สีขาวมาตกแต่ง เพิ่มความหรูหราให้กับห้องได้เป็นอย่างดี
ที่ปลายเตียงมีโซฟาพร้อมหมอนใบโตให้แขกนั่งนั่งเอกเขนกชมโทรทัศน์ด้วยครับ
ด้านหลังของเตียงเป็นพื้นที่สำหรับนั่งทำงาน และตู้เสื้อผ้าครับ
ภายในตู้เสื้อผ้าจะมีเสื้อคลุม ตู้เซฟ ไฟฉาย ไม้แขวนเสื้อ รองเท้าผ้าสำหรับเดินภายในห้อง รองเท้าฟองน้ำสำหรับใส่เดินนอกห้อง และยังมีผ้าเช็ดตัวสำหรับใช้หลังว่ายน้ำครับ
ที่มุมห้อง ด้านหัวเตียง จะเป็นทางเข้าของห้องน้ำครับ
พื้นที่ภายในห้องน้ำจะออกแบบเป็นพื้นที่แคบ ๆ ขนานไปกับความยาวของตัวห้องพัก มีการนำเอาไม้ไผ่มาเป็นส่วนประกอบในการตกแต่งด้วยภายในห้องน้ำจะแยกพื้นที่ออกเป็นสองส่วน เมื่อเปิดประตูห้องน้ำเข้าไป ด้านซ้ายมือจะเป็นในส่วนของอ่างล้างหน้าและอ่างอาบน้ำครับ
บริเวณอ่างล้างหน้าทางรีสอร์ทจัดเตรียมอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับใช้ในห้องน้ำ รวมถึงไดร์เป่าผม และบริเวณอ่างอาบน้ำจะมีผ้าเช็ดตัว แชมพูและสบู่เหลวไว้ให้ครับ
ส่วนด้านขวาของประตูจะเป็นในส่วนของโถสุขภัณฑ์พร้อมสายฉีดและพื้นที่ฝักบัวอาบน้ำแบบ Rain Shower แยกส่วนเปียกส่วนแห้งอย่างชัดเจนครับ
บริเวณหัวเตียงมีกระดาษไว้ให้เขียนโน้ตด้วยครับ
Minibar เครื่องดื่ม ขนมขบเคี้ยว ชากาแฟ ที่ทางรีสอร์ทจัดเตรียมไว้ให้ครับ
เมื่อดึงมูลี่บริเวณอ่างอาบน้ำขึ้น จะสามารถมองเห็นพื้นที่ในส่วนของห้องพักได้
ผมว่าการนำเตียงมาอยู่กลางห้องแบบนี้ทำให้พื้นที่ภายในห้องดูจะแคบไปสักนิด พื้นที่ใช้สอยจะอยู่บริเวณรอบ ๆ เตียง ซึ่งใช้งานได้ไม่เต็มที่เท่าที่ควร
มาดูสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ที่ทางรีสอร์ทจัดเตรียมไว้ให้กับแขกกันบ้างครับ เริ่มต้นที่ Shop ขายของเล็ก ๆ Shop จะอยู่ติดกับส่วนแผนกต้อนรับครับ
ข้างๆ Shop จะเป็นบันไดทางขึ้นเพื่อไปยัง The Spa ครับ The Spa เปิดให้บริการตั้งแต่ 09.00-20.00 น.
เมื่อขึ้นมาถึงชั้นสอง จะพบในส่วน Spa Reception
มีพื้นที่ให้แขกได้นั่งรอครับ
ถ้าแขกท่านใดสนใจที่จะนวดไปพร้อมดื่มด่ำกับบรรยากาศด้านนอกไปก็สามารถครับ เพราะที่นี่จัดเตรียมพื้นที่ไว้ให้เรียบร้อยครับ
หรือถ้าใครอยากจัดเต็มกับการทำ spa ก็คงต้องเข้าห้องที่ทางรีสอร์ทได้จัดเตรียมไว้ให้ครับ ด้านในตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่ดูดีครับ
ภายในห้อง spa แต่ละห้องจะมีพื้นที่สำหรับทำ Spa และพื้นที่ที่เป็นอ่างแช่ บางห้องมีห้องสตีมด้วยครับ
ใครที่เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางแล้วอยากจะมาผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ลองมาใช้บริการที่ The Spa ดูนะครับ ที่นี่มีบริการ Treatment ที่หลากหลายภายใต้บรรยากาศที่สุดหรู กับการนวดผ่อนคลายที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพและผลิตภัณฑ์ Spa คุณภาพเยี่ยมครับ
มาเดินดูบรรยากาศภายนอกกันบ้างดีกว่าครับ
พื้นที่สีเขียว มุมนี้ใครผ่านไปผ่านมา ผมเชื่อแน่ว่าคงห้ามใจไม่ได้ ต้องขอแชะภาพกันทุกคนครับ
มาต่อกันที่มุมสระว่ายน้ำกันบ้างครับ สระว่ายน้ำเปิดบริการตั้งแต่ 07.00-19.00 น. พื้นที่สระประมาณ 700 ตารางเมตร ถือว่าใหญ่ทีเดียวครับ
มีมุมสำหรับเด็ก ๆ ด้วย อยู่ข้าง Bar น้ำครับ
ว่ายน้ำมาเหนื่อย ๆ ก็สามารถหาอะไรเคี้ยวเล่น หรือจะจิบเครื่องดื่มเย็น ๆ ที่ Pool Bar ได้ครับ
สระว่ายน้ำของที่นี่จะเป็นสีดำประกายทอง เมื่อต้องกับแสงจะดูระยิบระยับมากครับ
บรรยากาศรอบ ๆ สระว่ายน้ำครับ
สัญลักษณ์คล้ายก้นหอย ที่พบเห็นได้หลาย ๆ มุมใน The Dewa ผมคิดว่าคงจะเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ครับ
มาดูที่พักแบบ Villa กันบ้างครับ
รูปแบบของวิลล่าก็จะเป็นปูนเปลือยขัดมันและมีการนำหญ้าคามาตกแต่งร่วมด้วย รูปแบบของ Villa แต่ละหลังก็จะออกแบบแตกต่างกันออกไป ในพื้นที่ของ Villa ส่วนใหญ่จะมองเห็นทะเลครับ
เดินหลุดจาก Villa มา จะเป็นพื้นที่ในส่วนของ The Beach มีโต๊ะอาหารไว้คอยบริการให้กับแขก ที่ The Beach เปิดบริการตั้งแต่ 10.00-22.30 น. ครับ
และด้านข้างของ The Beach จะเป็นพื้นที่พักผ่อนริมทะเลครับ
หลังจากพักผ่อนในรีสอร์ทจนหายเหนื่อยแล้ว ผมก็ออกไปหาซื้อแพคเกจทัวร์สำหรับที่จะไปเที่ยวในวันรุ่งขึ้น แถว ๆ หาดไก่แบ้ครับ แพคเกจทัวร์มีให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการดำน้ำชมปะการัง หรือกิจกรรม ขี่ช้าง ลุยป่า ขับ ATV แต่ผมเลือกจะไปดำน้ำชมปะการังครับ สำหรับราคา Package tour ก็มีหลากหลายขึ้นอยู่กับ บริษัทนำเที่ยวและชนิดของเรือ ผมเลือกใช้บริการของ เกาะช้างโบ๊ททริป ซึ่งเป็นการนั่งเรือขนาดใหญ่ ชม 4 เกาะ ประกอบไปด้วย เกาะยักษ์ เกาะรัง เกาะโล้น และเกาะหวายครับ สำหรับค่าบริการ 500 บาท/คน แต่สำหรับใครที่ไม่ชอบนั่งเรือนานๆ อาจจะซื้อทัวร์ที่เป็น speed Boat ก็ได้ครับ ราคาประมาณ 900 บาท/คนครับ
หลังจากตะเวนหาทัวร์ได้เรียบร้อยแล้ว ผมกลับไปที่รีสอร์ทอีกครั้งเพื่อรอชมพระอาทิตย์ตกที่ชายหาดของรีสอร์ทครับ
สำหรับผู้ที่ชอบถ่ายภาพ บริเวณชายหาดด้านหลังรีสอร์ทสามารถหามุมถ่ายภาพได้พอสมควรครับ สามารถหาองค์ประกอบร่วมหลายอย่างจับเข้ามาอยู่ในเฟรมกล้องได้
กิจกรรมที่ทางรีสอร์ทจัดเตรียมไว้ให้ก็มีหลายอย่างครับ
ช่วงระหว่างรอพระอาทิตย์ตก ผมก็หามุมถ่ายภาพไปเรื่อยๆ ครับ
ทุกๆ วันศุกร์ที่ The Beach จะมีการจัด Thai Buffet ริมหาดใน Theme Cabaret Night ครับ โดยงานจะเริ่มตั้งแต่ 18.30 น. สำหรับค่าบริการ ผู้ใหญ่ท่านละ 599 บาท เด็กคนละ 300 บาทครับ
ชายหาดตอนนี้ถูกจัดเตรียมเป็นพื้นที่สำหรับจัดงาน Cabaret Night เป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ ทีม Chef ก็พร้อมให้บริการครับ ลองดูที่ด้ามช้อนส้อมนะครับ ยังเป็นรูปขดหอยเลยครับ
สำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว ทางรีสอร์ทสามารถจัดเตรียมพื้นที่ส่วนตัวให้ได้ครับ
มาดูในส่วนของอาหารกันก่อนดีกว่าครับ ในส่วนนี้คือส่วนที่ Chef ได้จัดเตรียมไว้ให้กับแขกล่วงหน้าแล้ว ในวันที่ผมไป มีเมนู ผัดผักรวม ทะเลผัดฉ่า แกงเผ็ดหมูย่าง ไก่ผัดเม็ดมะม่วง หมูผัดขิง ต้มแซบ ต้มข่าไก่ สำหรับเครื่องดื่ม มีพรั้นช์ และยาดองครับ (ยาดอง พวกฝรั่งชอบดื่มครับ)
แดดร่มลมตก บรรยากาศโรแมนติกมากครับ
นอกจากอาหารที่ทางโรงแรมจัดเตรียมไว้แล้ว ยังมีอีกหลายเมนูที่ Chef จะคอยบริการแบบสดๆ ใหม่ๆ ครับ ไม่ว่าจะเป็นเมนูก๋วยเตี๋ยว ผัดไท ทอดมันครับ
ช่วงประมาณทุ่มกว่า ๆ จะมีการแสดงของคาบาเร่ แสดงหลายชุดอยู่เหมือนกันครับ จบจากคาบาเร่จะเป็นการแสดงดนตรีสดโดยนักร้องจากฟิลิปปินส์ครับ ช่วงที่แสดงคาบาเร่ ก็จะมีแขกของรีสอร์ทข้างเคียงมายืนดูให้ความสนใจกันพอสมควร พอจบการแสดงคาบาเร่ รีสอร์ทข้าง ๆ ก็แสดงการควงไฟ ผมก็เลยไปแจมกับเขาด้วยเหมือนกัน
หลังจากเต็มอิ่มจากมื้อค่ำแล้ว ผมก็กลับเข้าห้องเพื่อพักผ่อน เปิดห้องมาเจอกับ Welcome Fruit ที่ช่วงบ่ายผมเห็นพนักงานเดินมาเสริฟให้กับแต่ละห้องครับ คืนนี้ขอตัวพักผ่อนเอาแรงก่อนครับ เพราะพรุ่งนี้บริษัททัวร์จะส่งรถมารับผมที่หน้ารีสอร์ทครับ
เช้าวันใหม่ ก่อนออกไปดำน้ำดูปะการัง ผมขอเติมกำลังกันก่อนครับ ที่ The Restaurant ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับห้องพักของผม ติดกับสระว่ายน้ำครับ The Restaurant เปิดบริการตั้งแต่ 06.30-10.30 น.ครับ
บรรยากาศภายใน The Restaurant ค่อนข้างกว้างขวางครับ มีโต๊ะไว้ให้บริการทั้งปีกซ้าย ปีกขวา และช่วงกลางของอาคารเลยครับ
มาดูเมนูอาหารเช้าวันนี้กันบ้างครับ ค่อนข้างหลากหลายมาก ๆ เริ่มด้วย Potato Au Gartin, ไก่ราดซอสพริกไทอ่อน, แฮม, ไส้กรอกชิปาโลต้า, ผักแขนงผัดน้ำมันหอย, ปลาผัดคื่นฉ่าย,สลัดผัก,ขนมปัง, ฟรุทสลัด, โยเกิต, ผลไม้สด, Papaya Smoothie นอกจากนี้ยังมีเมนูไข่ เบคอน แพนเค๊ก ก๋วยเตี๋ยวทะเล ที่ทำกันสดใหม่ตรงนั้นเลยครับ สำหรับผม ผมประทับใจเบคอนเป็นพิเศษ เพราะที่นี่ทอดออกมาได้กรอบ อร่อยเชียวครับ
08.15 น.รถโดยสารสองแถวของ บ.เกาะช้างโบ๊ททริปก็มารับผมที่หน้ารีสอร์ท เพื่อไปส่งที่ท่าเรือบางเบ้าครับ ช่วงเช้าที่ท่าเรือบางเบ้าจะคึกคักเป็นพิเศษ เนื่องจากหลายบริษัททัวร์ใช้ท่าเรือนี้ในการเป็นจุดเริ่มเดินทางครับ
ที่บางเบ้าเป็นหมู่บ้านประมง มีร้านอาหารทะเลมากมาย ที่นี่ยังมีเอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งด้วยคือ ประภาคารครับ
ตามกำหนดการ เรือจะออกจากท่าเรือ 09.00 น. แต่วันนี้เรือออกช้าประมาณครึ่งชั่วโมงครับ ยิ่งออกไปจากฝั่งไกลเท่าไร น้ำทะเลยิ่งใสครับ
เกาะแรก คนเรือแวะมาเอาของ เขาบอกชื่อเหมือนกันแต่ผมจำไม่ได้แล้ว เห็นความใสของน้ำไหมครับ น้ำสีสวยมากครับ ผมไม่คิดว่าฝั่งอ่าวไทยจะมีน้ำใสเทียบเท่าฝั่งอันดามันเลยนะครับเนี่ย
จุดหมายแรกของวันนี้คือ เกาะทองหลาง หรือเกาะยักษ์เล็กครับเกาะยักษ์เล็กเป็นเกาะเล็ก ๆ ผุดขึ้นมากลางน้ำ ไม่มีชายหาด มีแต่โขดหิน บริเวณนี้หอยเม่นค่อนข้างเยอะ ปลาเล็กปลาน้อยก็เยอะเช่นกัน
หลังจากขึ้นจากน้ำแล้ว ก็ถึงเวลาอาหารกลางวันครับ มื้อนี้เป็นบุฟเฟต์ ที่มีเมนูคือ ไข่เจียว ผัดวุ้นเส้น และแกงไก่ใส่มะเขือ ทานไปได้สักแป๊บ ก็มาถึงจุดหมายที่สอง คือเกาะรัง ครับ ที่นี่น้ำใส ทรายขาว มองออกไปไกล ๆ เห็นความแตกต่างของสีน้ำทะเล นี่ถ้าไม่บอกว่าเป็นทะเลตราด ผมยังคิดว่าผมมาเที่ยวฝั่งอันดามันเลยครับ
มองออกไปอีกมุม เกาะตรงกลางคือเกาะยักษ์เล็ก จุดหมายแรกของผม แล้วเกาะทางขวา คือจุดหมายต่อไปของผมครับ
ออกจากเกาะรัง มาต่อกันที่เกาะโล้นหรือเกาะยักษ์ใหญ่ครับ ซึ่งเกาะยักษ์ใหญ่ก็อยู่ติดกับเกาะยักษ์เล็กนั่นเอง ที่เกาะยักษ์ใหญ่พอจะมองเห็นแนวปะการังได้ชัดกว่าเกาะยักษ์เล็กครับ มีฝูงปลาตัวเล็กตัวน้อยอยู่เต็มไปหมด
จุดหมายสุดท้ายของวันนี้อยู่ที่เกาะหวายครับ ระหว่างเดินทางคนเรือจะแจกบาร์บิคิวไก่คนละ 1 ไม้ รวมถึงข้าวโพดต้มคนละครึ่งฝัก สับปะรดคนละ 3 ชิ้น แตงโมคนละ 2 ชิ้น จัดรวมมาในจานเดียว เรียกความสดชื่นกลับมาได้บ้างครับ เกาะหวายถือเป็นเกาะที่ใหญ่ จุดเด่นคือสะพานไม้ที่ทอดยาวจากท่าเรือไปยังชายหาด ด้านบนมีร้านอาหารไว้คอยบริการนักท่องเที่ยวด้วยครับ
ปิดโปรแกรมของทริปนี้ที่เกาะหวาย จากนั้นเรือจะมาส่งเราที่ท่าเรือบางเบ้า ถึงท่าเรือประมาณ 17.00 น.และจะพาไปส่งยังที่พักของเราครับ
หลังจากที่รถของ บ.เกาะช้างโบ๊ททริปมาส่งผมยังรีสอร์ทเรียบร้อยแล้ว ผมวางแผนจะไปชมพระอาทิตย์ตกที่จุดชมวิวไก่แบ้ครับ
จากรีสอร์ทใช้เวลาไม่นานก็มาถึงจุดชมวิวไก่แบ้แล้วครับที่จุดชมวิวแห่งนี้สามารถมองเห็นเกาะมันใน เกาะมันนอก เกาะปลี และเกาะหยวก ด้วยครับ ผมยืน ณ จุดชมวิวแห่งนี้ มองลงไปยังหมู่เกาะเบื้องล่าง เห็นมีนักท่องเที่ยวพายเรือคายัคจากฝั่งเกาะช้างข้ามไปยังเกาะมันในด้วย ต้องนับถือว่าแข็งแกร่ง อึด ทน ซะจริง ๆ ผมกะระยะของทั้งสองเกาะด้วยสายตาก็ไกลโขอยู่พอสมควร ที่จุดชมวิวแห่งนี้ยังมีตู้ไปรษณีย์รูปร่างจรวดสีแดงแปร๊ดตั้งตระหง่านให้นักท่องเที่ยวได้มาถ่ายรูปคู่ด้วยครับ
หลังพระอาทิตย์ตกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมรีบกลับไปยังรีสอร์ทเพื่อไปเก็บบรรยากาศที่รีสอร์ทยามพลบค่ำอีกครั้งครับ
เริ่มกันที่ด้านหน้ารีสอร์ท และส่วนต้อนรับครับ
บริเวณ The Restaurant และสระว่ายน้ำครับ
บริเวณ Villa และ The Beach ครับ
ก่อนจะเข้านอน กลับมาที่สระว่ายน้ำอีกครั้ง วันนี้ดาวเต็มฟ้าเลยครับ
ส่งเข้านอนด้วยเบเกอรี่ที่ทางรีสอร์ทเตรียมไว้ให้ครับ
เช้าวันใหม่ก่อนเดินทางกลับ ผมคงต้องตุนเสบียงใส่ท้องก่อนออกเดินทางครับ เวลาเดิม สถานที่เดิม ณ The Restaurant ครับ
สำหรับเมนูอาหารเช้านี้ เริ่มที่ปลาราดซอสไวน์ขาว, มันฮัชบราวน์, Breakfast Veal Sausage, ผักกาดขาวน้ำแดงเนื้อปู, ปลาหมึกผัดผงกระหรี่, Mix Fruit Smoothie และก๋วยเตี๋ยวไก่มะระ สังเกตว่าเมนูที่เปลี่ยน ส่วนใหญ่จะเป็นเมนูอาหารไทยครับ
ถึงแม้ว่าที่นี่จะติดทะเล แต่ห้องพักแบบ Deluxe ทุกห้องจะมองไม่เห็นทะเล แต่ผมว่าก็ไม่เป็นปัญหาอะไรเพราะจากห้องพักเดินไม่ถึงสองร้อยเมตรก็ถึงชายหาดแล้ว สำหรับการเข้าพักตลอด 2 คืนที่ The Dewa นั้น ผมได้รับความสุขจากการพักผ่อนเป็นอย่างมาก ที่นี่เงียบสงบ ร่มรื่น เป็นส่วนตัว พนักงานให้บริการเป็นอย่างดี เรียกได้ว่าการพักผ่อนครั้งนี้ของผม ผมกินอิ่ม(อร่อย) นอนหลับอย่างสบายครับ
ก่อนกลับ ผมกลับไปเก็บความประทับใจที่จุดชมวิวไก่แบ้อีกครั้งครับ
จากนั้นมุ่งหน้าสู่ท่าเรืออ่าวสับปะรด ระหว่างทางแวะถ่ายภาพจุดชมวิวหาดทรายขาวอีกสักจุดครับ
ผมเลือกใช้บริการของเกาะช้างเฟอร์รี่เหมือนเดิมครับ
เกาะข้างหน้าคือแผ่นดินประเทศไทย จ.ตราดครับ
การเดินทางบนเกาะช้าง หากไม่ได้มารถส่วนตัว สามารถใช้บริการของรถสองแถวได้ หรือไม่เช่นนั้นก็สามารถเช่ามอเตอร์ไซด์ขับรอบเกาะได้ครับ แต่ถนนบนเกาะช้างค่อนข้างแคบ แถมความชันก็เรียกได้ว่าน้องๆ ภาคเหนือเลยครับ บางจุดทั้งสูง ทั้งชัน หักศอกอีกต่างหาก
อุทยานแห่งชาติเกาะช้างประกอบด้วยเกาะบริวารถึง 52 เกาะ โดยมีเกาะช้างเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในเขตอุทยาน และเป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศรองจากภูเก็ต บนเกาะช้างนอกจากจะมีทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลที่สวยงามแล้ว บนเกาะยังมีแหล่งน้ำจืดธรรมชาติอย่างน้ำตกหลายแห่งด้วยกัน และในปี 2557 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้บรรจุให้เกาะช้างเป็น 1 ใน 10 Dream Destinations กาลครั้งหนึ่ง..ต้องไปด้วยครับ จริงๆ นอกจากเกาะช้างแล้ว ยังมีอีกหลายเกาะที่มีความสวยงามไม่แพ้กัน เช่น เกาะหมาก เกาะกูด เกาะกระดาษ และอีกหลาย ๆ เกาะที่ยังคงความบริสุทธิ์อยู่ครับ หวังลึกๆ ว่าผมคงจะมีโอกาสได้กลับมาเยือนอุทยานแห่งชาติเกาะช้างอีก และได้ไปสัมผัสเกาะกูด เกาะหมาก เกาะที่ผมใฝ่ฝันในเร็ววันนี้ครับ
สำหรับของฝากจากเกาะช้าง ที่ขึ้นชื่อคืออาหารทะเลประเภทปลาเค็ม นอกจากนี้ทุเรียนเกาะช้างก็ขึ้นชื่อครับ ไม่ว่าจะเป็นทุเรียนสดหรือทุเรียนกวนก็ตาม เสียดายที่ผมมาไม่ตรงกับช่วงที่ทุเรียนออกผลผลิต เลยไม่ได้ชิมเลยครับ
หลังจากขึ้นสู่ฝั่ง จ.ตราดเรียบร้อยแล้ว จุดหมายสุดท้ายที่ผมจะไปคือ ศูนย์การท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติหาดทรายดำและป่าชายเลนครับ ที่นี่มีความพิเศษคือ หาดทรายมีสีดำ ซึ่งมีเพียง 5 แห่งในโลกเท่านั้น (ไต้หวัน มาเลเซีย แคลิฟอร์เนีย ฮาวาย และที่จ.ตราด แห่งนี้ครับ)
หาดทรายดำอยู่ห่างจากแยกไปท่าเรือธรรมชาติประมาณ 15 กม.ครับ มีป้ายบอกไปตลอดทาง แต่ป้ายมาทำพิษเอาตอนถึงสามแยกใหญ่ เพราะป้ายบอกทางหายไป เอาเป็นว่าเมื่อมาเจอสามแยกใหญ่ จะมีป้ายบอกทางให้เลี้ยวซ้ายมาทางตราด ให้เราเลี้ยวซ้ายมานะครับ จากสามแยก ประมาณ 500 เมตร จะเห็นป้ายบอกทางให้เลี้ยวขวาเข้าหาดทรายดำเล็กๆๆๆๆ อยู่ข้างทางครับ
หาดทรายดำเป็นหาดทรายแห่งเดียวในประเทศไทยที่มีสีดำ ทรายดำมีชื่อทางวิชาวิทยาศาสตร์ว่า ไลโมไนต์ (Limonite) มีลักษณะเป็นสีน้ำตาลแดงไปจนถึงดำ เป็นแร่ที่เกิดจากการสลายตัวของเศษเหมืองและเปลือกหอย และผสมด้วยควอตซ์ซิลิกาครับ แต่เดิมป่าชายเลนบริเวณหาดทรายดำมีสภาพเป็นป่าเสื่อมโทรม ต่อมาได้มีการปลูกป่าชายเลนเสริมในพื้นที่ ทำให้ปัจจุบันป่าชายเลนมีความอุดมสมบูรณ์ ได้รับการฟื้นฟูให้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ เป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำวัยอ่อนด้วยครับ
ทางศูนย์ฯ ได้จัดทำเป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติป่าชายเลนขึ้นมา ระหว่างทางจะพบพันธุ์ไม้หลากหลาย เช่น โกงกางใบใหญ่
ฝาดดอกขาว
เดินตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติมาประมาณ 500 เมตรก็จะมาถึงบริเวณที่พบหาดทรายสีดำครับ เสียดายว่าช่วงที่ผมมา น้ำขึ้น เลยทำให้มองไม่เห็นหาดทรายดำเลย แต่ก็พอยังมีเศษทรายที่ถูกกระแสน้ำพัดพามาติดอยู่บนฝั่งอยู่บ้าง บริเวณที่พบหาดทรายสีดำ จะมีศาลาไว้ให้นั่งพักผ่อนด้วย จากศาลาแห่งนี้สามารถมองเห็นวิวเกาะช้างได้ด้วยครับ
สำหรับใครที่จะมาชมหาดทรายสีดำ สามารถโทรมาสอบถามถึงน้ำขึ้นน้ำลงก่อนได้นะครับที่ 039-619326-7 หรือโทรสอบถามพี่เก๋ 089-6051614 ก่อนเยี่ยมชมได้นะครับ
ผมคงจะหาโอกาสกลับมาล้างตาที่นี่อีกสักรอบ อยากเห็นว่าหาดทรายสีดำ มันจะดำซะขนาดไหนครับ
ผมปิดทริปหมู่เกาะสุดแดนบูรพาที่นี่ครับ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งทริปที่ประทับใจสำหรับผมครับ
ลุงเสื้อเขียว
วันศุกร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 15.33 น.