.

.

ผมได้ร่วมสนุกทาง FB กับเพจ Thailand Boutique Awards แล้วได้รับรางวัลเป็น Voucher ที่พักที่ The Rock Hua Hin , Room Type : Zen Jacuzzi pool Suite 2 วัน 1 คืน พร้อมอาหารเช้าสำหรับ 2 ท่านครับ สำหรับการเดินทาง ค่าพาหนะต่าง ๆ ผมเป็นคนออกค่าใช้จ่ายเองทั้งหมดครับ

ผมเลือกเดินทางโดยรถตู้ ปราณบุรี-หัวหิน-ชะอำ ที่อนุสาวรีย์ชัย รถตู้ที่จะไปหัวหินมีหลายวินมาก ก่อนขึ้นรถต้องสอบถามวินรถตู้ด้วยนะครับว่าเข้าตัวเมืองหัวหินหรือไม่ ผมเลือกใช้บริการวินรถตู้ฝั่งเกาะพญาไท รถจะจอดอยู่ตรงหัวมุมทางที่จะไปยังสถานี BTS พญาไท (ใต้สะพานลอย) วินนี้รถจะออกทุกๆ 30 นาที ค่าโดยสาร 180 บาท เพียงไม่ถึงสามชั่วโมง ก็ถึงหัวหินครับ

ผมลงรถตู้ที่หอนาฬิกา จากนั้นเดินย้อนกลับไปนิดหน่อยเพื่อไปหาเช่ารถมอเตอร์ไซด์ ละแวกนั้นผมเจอร้านเช่ามอเตอร์ไซด์เพียงร้านเดียว เลยตัดสินใจเช่าที่นั่น อัตราค่าเช่าอยู่ที่ 200 บาทต่อวัน (ไม่รวมค่าน้ำมัน) หากเช่า 3 วันขึ้นไป ค่าเช่าจะอยู่ที่ 180 บาท การขี่มอเตอร์ไซด์ที่นี่ควรจะต้องมีใบขับขี่มอเตอร์ไซด์ด้วยนะครับ เจ้าของรถเช่าบอกว่าที่นี่จะกวดขันเรื่องใบขับขี่ค่อนข้างมาก และควรสวมหมวกกันน๊อกด้วย หลังจากได้รถเรียบร้อยแล้ว ผมขี่ย้อนกลับมาทางเพลินวาน เพื่อมาหาปั้มน้ำมันเติมน้ำมันให้เรียบร้อยก่อนเริ่มเดินทาง ค่าน้ำมัน 100 บาท สามารถขี่รถเที่ยวในตัวเมืองหัวหินได้อย่างสบายครับ

จุดหมายแรกของผมอยู่ที่เพลินวานครับ

ที่เพลินวานยังได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวอยู่เหมือนเดิม แม้ว่าจะมีสถานที่ท่องเที่ยวเปิดตัวใหม่ในหัวหินมากมาย จุดเด่นของเพลินวานคือเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เยี่ยมชมโดยไม่เก็บค่าบริการครับ

ร้านค้าต่าง ๆ ในเพลินวานตกแต่งแนวย้อนยุค แต่ละร้านจะงัดแนวคิดเก๋ ๆ มาอวดโฉมเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้แวะชมสินค้าของตนเอง ช่วงที่ผมไปแดดค่อนข้างแรง อากาศร้อนมาก ผมเดินชมแบบผ่าน ๆ เพราะทนร้อนไม่ไหว ผมใช้เวลาอยู่ที่นี่ประมาณครึ่งชั่วโมง ก็เลยตัดสินใจไปเที่ยวที่อื่นต่อ ช่วงที่กำลังเดินออกจากเพลินวานผมโชคดีสุด ๆ ผมเห็นนักท่องเที่ยวหลายคนมานั่งรออยู่ที่ริมฟุตบาท ผมรู้เลยว่า จะต้องมีขบวนเสด็จผ่านแน่ๆ ในใจแอบหวังลึกๆ ว่าขอให้เป็นขบวนเสด็จของในหลวง ผมนั่งรอสักพัก ก็เริ่มมีรถตำรวจนำขบวน แล้วรถพระที่นั่งก็แล่นผ่านหน้าผมไป ผมมองเห็นในหลวงประทับอยู่ในรถยนต์พระที่นั่งครับ สุดยอดของชีวิตจริงๆ

จากเพลินวาน มุ่งหน้าสู่ตลาดหัวหินอีกครั้ง จุดหมายต่อไปของผมอยู่ที่ชายหาดหัวหินครับ สำหรับทางไปหาดหัวหินให้ขี่รถเลยหอนาฬิกาไปก่อน จนเจอสี่แยกไฟแดง ให้เลี้ยวซ้าย เส้นทางนี้จะผ่านทางเข้าโรงแรม Centara Grand Beach Resort & Villas Hua Hin ครับ

เมื่อเลี้ยวซ้ายมาแล้ว ผมเห็นร้านเช่ารถมอเตอร์ไซด์เยอะหมดเลยครับ แต่ผมไม่ได้ถามค่าเช่าว่าราคาเท่าไร เพราะกลัวถามราคาแล้วจะช้ำใจครับ หลังจากจอดรถมอเตอร์ไซด์เสร็จก็เดินเท้าต่อผ่านหน้าโรงแรม Centara สองข้างทางก็จะเป็นร้านขายของที่ระลึกเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นเสื้อ ของที่ระลึกหลากหลายรูปแบบ เมื่อเดินไปจนสุดถนน ก็จะเห็นม้าที่พ่อค้าแม่ค้าที่นำมาผูกไว้ เพื่อรอให้บริการนักท่องเที่ยวได้ขี่เล่นริมหาดทรายครับ

บริเวณทางเดินลงชายหาด จะมีหินน้อยใหญ่อยู่เต็มไปหมด ที่หินค่อนข้างขรุขระและแหลมคมจากซากหอยที่เกาะอยู่ตามหิน ไม่แปลกใจเลยที่เคยมีคนแต่งเพลงไว้ว่า หัวหินเป็นถิ่นมีหอย ฝรั่งนั่งคอยจนหอยติดหิน...

ด้านซ้ายของทางเดินลงหาด จะเต็มไปด้วยเตียงผ้าใบพร้อมร่มชายหาดหนาแน่นไปหมด ไม่ต่างอะไรกับชุมชนแออัดเลยครับ ส่วนด้านขวา บรรยากาศผิดกันลิบลับ มองเห็นชายหาดทอดยาวสุดสายตา มองไปเห็นถึงเขาตะเกียบเลยครับ ที่ชายหาดมีกิจกรรมหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นขี่ม้า บานาน่าโบ๊ท ร่มบิน ผมว่าทรายที่หัวหิน ขาว สะอาด นุ่มเท้าดีครับ ผมเดินเล่นที่ชายหาดสักพัก ก็ไปยังจุดหมายต่อไป

ออกจากชายหาดหัวหินมา ขี่รถต่อมาจนถึงสี่แยกไฟแดง ผมตัดสินใจขี่รถตรงต่อไปยังสถานีรถไฟหัวหินครับ

อาคารสถานีรถไฟ หัวหินเป็นอาคารครึ่งตึกครึ่งไม้ ได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมวิคทอเรีย รายละเอียดสวยงามมากครับ เน้นโทนสีแดงและสีไข่ สถานีรถไฟแห่งนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นสถานีรถไฟที่สวยที่สุดในประเทศไทย ใครไปใครมาก็จะอดถ่ายภาพคู่กับป้ายสถานีหัวหินไม่ได้ จนทำให้ป้ายสถานหัวหินเป็นเอกลักษณ์คู่กับเมืองหัวหินไปแล้ว ไปทางไหนก็จะเห็นป้ายหัวหินอยู่ตลอดสองข้างทาง ไม่ว่าจะเป็นป้ายบอกชื่อซอย ตามร้านค้าต่าง ๆ ก็จะวาดรูปหรือจำลองป้ายหัวหินไว้ที่หน้าร้านของตัวเอง

ช่วงที่ผมไป ดอกตะแบกกำลังเบ่งบานแข่งกับสีสด ๆ ของสถานีรถไฟหัวหินครับ ดูสวยงามจริงๆ

ถ่ายรูปคู่กับป้ายสถานีรถไฟหัวหินกันพอสมควรแล้ว ผมขี่รถย้อนกลับมายังสี่แยกอีกครั้งหนึ่ง ทีนี้ผมเลี้ยวขวาเพื่อมุ่งหน้าไปสู่อีกจุดหมายคือ สวนสนประดิพัทธ์ เมื่อเลี้ยวขวาแล้วก็ขี่รถตรงไปเรื่อย ๆ จนเจอสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก เบี่ยงขวาเพื่อขึ้นสะพานมุ่งหน้าไปยัง อ.ปราณบุรี (ถ้าตรงไปไม่ขึ้นสะพาน จะเป็นเส้นทางที่ไปเขาตะเกียบ) เมื่อลงสะพานขี่รถตรงไปเรื่อยๆ อีกสักหน่อย จะเจอทางแยกเข้าสวนสนประดิพัทธ์อยู่ทางซ้ายมือ สังเกตทางเข้าจะมีปั๊มน้ำมัน ปตท.อยู่ติดกับทางเข้าเลยครับ

สวนสนประดิพัทธ์เป็นสถานพักฟื้นและพักผ่อนของกองทัพบก การเข้ามาเที่ยวที่นี่จึงต้องเสียค่าบำรุงสถานที่ด้วย 10 บาทสำหรับรถมอเตอร์ไซด์ และ20 บาทสำหรับรถยนต์ครับ แต่ถ้าหากใครนึกอยากจะนั่งรถไฟมาเล่นน้ำที่สวนสนประดิพัทธ์ก็สามารถทำได้ครับ เพราะที่นี่มีสถานีรถไฟย่อยสวนสนประดิพัทธ์ แต่คงจะต้องเช็คเวลาของรถไฟดี ๆ เพราะรู้สึกว่ารถไฟสายใต้ไม่ได้จอดที่สถานีนี้ทุกขบวนครับ

ผมว่าทรายที่ชายหาดหัวหินขาวและละเอียดกว่าที่สวนสน แต่ที่บรรยากาศที่สวนสนจะเงียบ คนไม่พลุกพล่านเท่าที่ชายหาดหัวหินครับ ใครที่ชอบความสงบ แนะนำว่าไม่ควรพลาดที่นี่ บริเวณชายหาดมีให้บริการเช่าเตียงผ้าใบ มีร้านอาหารสวัสดิการของทหารบกด้วยครับ ผมนั่งเล่นที่นี่ประมาณ 15 นาทีก็เดินทางสู่จุดหมายต่อไปครับ

ผมขี่รถย้อนกลับออกมาสู่ถนนสายหลักเช่นเดิม จากนั้นเลี้ยวซ้ายมุ่งหน้าต่อสู่ อ.ปราณบุรี ขี่รถต่อไปอีกเรื่อย ๆ สังเกตด้านซ้ายมือจะเห็นป้ายบอกทางไป ศูนย์ศึกษาการเรียนรู้ระบบนิเวศน์ป่าชายเลน สังเกตตรงทางแยกจะมี Family mart อยู่ตรงทางเข้าครับ เมื่อเลี้ยวซ้ายก็ขี่รถตรงไปนิดหน่อยจะข้ามทางรถไฟ เมื่อข้ามทางรถไฟให้เลี้ยวขวา ขับรถไปตามทางเรื่อย ๆ ประมาณสิบกว่ากิโลเมตร จะเจอแยกซ้ายมือเพื่อไปปากน้ำปราณ และศูนย์ศึกษาการเรียนรู้ฯ ครับ เลี้ยวซ้ายไปตามทางอีกสักระยะจะเห็นทางแยกเข้าศูนย์ศึกษาอยู่ทางซ้ายมือครับ


ศูนย์ศึกษาการเรียนรู้ระบบนิเวศน์ป่าชายเลน สิรินาถราชินี อยู่ในพื้นที่ อ.ปราณบุรี แต่เดิมป่าชายเลนของที่นี่อยู่ในสภาพเสื่อมโทรมอย่างหนัก เนื่องมาจากการทำนากุ้งจนทำให้ดินเสีย จนเมื่อปี 2539 ในหลวงเสด็จพระราชดำเนินมาที่วนอุทยานปราณบุรี และทรงห่วงใยสถานการณ์ของป่าชายเลน กรมป่าไม้จึงได้ยกเลิกการต่อใบอนุญาตการใช้พื้นที่ป่าชายเลน จากนั้นชาวชุมชนปากน้ำปราณ จึงได้เริ่มปลูกป่าชายเลนกันอย่างจริงจัง และ บริษัท ปตท.ก็ได้เลือกพันธุ์ไม้ให้เหมาะสมกับพื้นที่ครับภายในศูนย์ศึกษาฯ มีเส้นทางศึกษาธรรมชาติเพื่อเรียนรู้ระบบนิเวศน์ป่าชายเลน ด้านหน้ามีการตกแต่งภูมิทัศน์สวยงามดีครับ

ที่เห็นคือ ต้นโกงกางประวัติศาสตร์ครับ เป็นต้นโกงกางใบเล็กที่ในหลวงและพระเทพฯ ทรงปลูก นับเป็นต้นไม้แห่งประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่ายิ่งในศูนย์แห่งนี้ นอกจากในเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติแห่งนี้จะมีต้นโกงกางใบเล็กแล้ว ที่นี่ยังมีโกงกางใบใหญ่ ต้นแสม ต้นโปรง ตาตุ่มทะเล และพันธุ์ไม้อื่น ๆ เป็นสังคมป่าชายเลนที่อุดมสมบูรณ์มาก ๆ ครับ

สภาพทางเดินในเส้นทางศึกษาธรรมชาติถูกสร้างอย่างแข็งแรง สร้างด้วยแผ่นคอนกรีตเสริมเหล็ก ผมว่ามันแข็งแรงดีแต่มันดูแข็ง ๆผิดกับหลาย ๆ ที่ที่ผมเคยได้เที่ยวชมมา ที่สร้างจากไม้ มันดูกลมกลืนกับธรรมชาติมากกว่า ความแข็งแรงก็ถือว่าใช้ได้ แต่ทางเดินที่ทำจากไม้อาจมีอายุการใช้งานที่สั้นกว่า ที่นี่เลยเลือกใช้วัสดุแบบแผ่นคอนกรีตเสริมเหล็กครับ

เมื่อเริ่มเดินเข้าเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ผมมาเตะตากับแนวต้นโกงกางที่โน้มเอียงเข้าหาเส้นทางเดิน ดูคล้าย ๆ กับเป็นอุโมงค์เลยครับ สองข้างทางก็พบรากของป่าชายเลนเต็มไปหมด เสียดายที่ช่วงที่ผมไป หอชะคาม ซึ่งเป็นหอคอยที่ชมวิวมุมสูงของป่าชายเลนอยู่ระหว่างการปรับปรุง ผมเลยอดขึ้นไปดูวิวมุมสูงของที่นี่เลยครับ

ที่ศูนย์แห่งนี้เปรียบความสำคัญของป่าชายเลนเป็น “มดลูกของทะเล" เพราะป่าชายเลนแห่งนี้เป็นทั้งแหล่งกำเนิด แหล่งอาศัย แหล่งอนุบาล เป็นเป็นแหล่งอาหารตามธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตที่หลากหลายในห่วงโซ่อาหารเหมือนมดลูกของมารดาที่โอบอุ้มบุตรในครรภ์ ก่อนที่จะออกไปเผชิญกับโลกภายนอก

จากศูนย์ศึกษาการเรียนรู้ระบบนิเวศน์ป่าชายเลน สิรินาถราชินีเราไปกันต่อที่ปากน้ำปราณครับ ปากน้ำปราณ อยู่ห่างจากศูนย์ฯ ไม่ไกลมากนักครับ ที่นี่ผมได้ไปดูกรรมวิธีผลิตปลากหมึกแห้งด้วยครับ

คนงานจะนำปลาหมึกมาล้างให้สะอาด จากนั้นจะนำมาเรียงบนตะแกรง เพื่อนำไปตากแดด ปลาหมึกที่นำมาตากจะมี 2 แบบครับ แบบแรกเป็นแบบตัวเล็ก ๆ ตากทั้งตัว เมื่อแห้งแล้วนิยมมาทอดทาน แบบที่สองจะเป็นปลาหมึกขนาดใหญ่ขึ้นมาหน่อย ก่อนตากจะทำกาผ่าปลาหมึกให้เป็นแผ่นบาง ๆเมื่อแห้งแล้วนิยมนำมาย่างทานครับ สำหรับสถานที่ตากก็จะนำมาตากกันริมทะเลเลย คนงานส่วนใหญ่จะเป็นแรงงานจากพม่าครับ สังเกตได้จากการทา ทานาคา นี่แหล่ะครับ

แรงงานพม่าก็จะพาลูกๆ มาดูแลอยู่ใกล้ๆ ผมเห็นแล้วเลยเข้าไปขอถ่ายรูป เด็ก ๆ ดูสนุกสนานกันใหญ่เลยครับ

จากนั้นผมขี่รถย้อนกลับออกมาทางเดิม ผ่านทางเข้าศูนย์ศึกษาการเรียนรู้ระบบนิเวศน์ป่าชายเลนอีกครั้ง แล้วขี่ต่อไปจนถึงทางรถไฟ ที่เราขี่รถข้ามมาตั้งแต่ตอนต้น แต่ผมยังไม่ข้ามทางรถไฟครับ ผมตรงต่อไปเพื่อไปยังวนอุทยานปราณบุรี

ที่นี่เหมาะสำหรับการเที่ยวชมและศึกษาธรรมชาติเกี่ยวกับป่าชายเลนครับ โดยจะมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติป่าชายเลนเป็นสะพานไม้ทอดยาวเป็นวงกลม ทางเดินถือว่าสะดวกสบายและกลมกลืนกับธรรมชาติเป็นอย่างดีครับ ระหว่างเส้นทางจะพบวิถีชีวิตของสัตว์น้ำที่มาอาศัยอยู่ในป่าชายเลน ไม่ว่าจะเป็นปูราชินี ปูก้ามดาบ กุ้งดีดขัน นอกจากนั้นยังพบพันธุ์ไม้ป่าชายเลนหลายสายพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็น แสม โปรงขาว โปรงแดง ตะบูนดำ มาที่นี่แล้วผมไม่อยากให้พลาดการขึ้นชมวิวมุมสูงของป่าชายเลนที่นี่บนหอคอยสูง 3 ชั้น เมื่อขึ้นไปอยู่บนหอคอยจะมองเห็นท้องทุ่งของป่าชายเลนที่เขียวสดเต็มพื้นที่ไปหมดครับ

หลังจากเต็มอิ่มกับบรรยากาศของป่าชายเลน คราวนี้ผมเปลี่ยนแนวมาเที่ยวตลาดน้ำบ้างครับ ผมย้อนกลับทางเดิม ผ่านทางเข้าสวนสนประดิพัทธ์ และก็มุ่งหน้าตรงมาเรื่อย ๆ ก่อนที่จะขึ้นสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กเพื่อข้ามไปยังตัวเมืองหัวหินให้สังเกตดี ๆ จะพบทางแยกด้านซ้ายมือ มีป้ายบอกทางไปยังตลาดน้ำหัวหินสามพันนามครับ เลี้ยวซ้ายแล้วตรงดิ่งเลยครับ จากแยกนี้ไปยังตลาดน้ำหัวหิน ประมาณ 15 กม ครับ

ผมมองเห็นตลาดน้ำอยู่ริมถนนด้านซ้ายมือ ก็จัดแจงจอดรถมอเตอร์ไซด์เพื่อเตรียมไปเดินเล่น แต่พอแหงนหน้ามองป้ายชื่อตลาดน้ำ เอ๊ยยย... ไม่ใช่ตลาดน้ำหัวหินสามพันนามนี่ แต่นี่คือตลาดน้ำหัวหิน เอ้า ไหน ๆ ก็จอดรถเรียบร้อยแล้ว ก็ขอเดินชมบรรยากาศด้านในสักแป๊บก็ยังดี การเที่ยวชมตลาดน้ำแห่งนี้ ชมฟรีครับ

บรรยากาศด้านในกว้างขวางมาก ๆ และก็เงียบสงัดมาก ๆ ผมไม่แน่ใจว่าที่นี่สร้างมานานหรือยัง เพราะร้านรวงเปิดให้นักท่องเที่ยวได้จับจ่ายเพียงไม่กี่ร้านเอง ผมคิดว่าตลาดน้ำแห่งนี้น่าจะสร้างเพื่อดักนักท่องเที่ยวที่ตลาดน้ำหัวหินสามพันนามเป็นแน่ๆ แต่ไม่ประสบผลสำเร็จครับ ทำให้ตลาดน้ำแห่งนี้แทบไม่มีนักท่องเที่ยวมาเดินเล่นกันเลยครับ

ด้านหลังของตลาดน้ำ มีร้านกาแฟ ที่ตกแต่งได้อย่างน่ารัก มีการสร้างจุดขายด้วยการมีฟาร์มแกะเล็ก ๆและมีการเลี้ยงสัตว์ขนาดเล็ก เช่น กระต่าย ไว้ให้นักท่องเที่ยวได้มาถ่ายภาพเล่นด้วยครับ แต่การมาช่วงเที่ยงขนาดนี้ ยอมรับว่าสู้ความร้อนไม่ได้จริง ๆ ครับ ขนาดแกะยังนอนกันหงอยเลย

จากตลาดน้ำหัวหิน ขี่รถตรงต่อไปอีกหน่อย จะพบแยกซ้ายมือ มีป้ายขนาดใหญ่บอกทางไปยังตลาดน้ำหัวหินสามพันนามครับ

บรรยากาศภายในตลาดน้ำหัวหินสามพันนามคึกคักผิดกับตลาดน้ำหัวหินเป็นอย่างมากเลยครับ ด้านในมีบริการนั่งรถไฟเล็กชมบรรยากาศโดยรอบของตลาดด้วย นอกจากรถไฟเล็กแล้วยังมีเรือ ไว้เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับความเป็นตลาดน้ำของที่นี่ครับ หรือถ้าใครมีแรงอยากจะเดินเล่นให้รอบตลาดก็ไม่มีใครห้ามครับ แต่ขอบอกว่า พื้นที่ภายในกว้างเอาเรื่องเหมือนกันครับ ภายในตลาดมีทั้งร้านขายอาหาร ที่มีทั้งของฝากของเด่นของที่นี่ หรือจะเป็นของทานเล่นทั่ว ๆ ไป นอกจากนี้ยังมีร้านขายของที่ระลึกต่างๆ มากมายครับ

เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ผมขอไปพักผ่อนเอนกาย นอนตากลมทะเลที่ The Rock ดีกว่าครับ


The Rock Hua Hin เป็นบูติครีสอร์ทที่อยู่ติดชายหาดหัวหินใกล้กับเขาตะเกียบ ได้รับการออกแบบโดยผสมผสานแนวคิดไทยร่วมสมัยกับความเงียบสงบอย่างลงตัวและมีระดับ ออกแบบและตกแต่งภายในโดยดีไซน์เนอร์ไทยฝีมือเยี่ยมที่ได้รับรางวัลในเวทีนานาชาติ ล่าสุดเพิ่งได้รับการปรับโฉมใหม่ทั้งหมด ทำให้รู้สึกอบอวลด้วยบรรยากาศสุดหรู และเพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน ทำให้การเข้าพักที่นี่มีความสะดวกสบายอย่างสมบูรณ์แบบครับ

การเดินทางไป The Rock ใช้เส้นทางเดียวกับทางไปเขาตะเกียบครับ เมื่อถึงตลาดจักจั่น (Cicada) แล้ว ให้ชะลอรถได้เลย The Rock อยู่ห่างจาก Cicada ประมาณ 1 กม.ครับ รีสอร์ทอยู่ทางซ้ายมือ ถึงแม้ว่าป้ายถาวรของรีสอร์ทจะดูเล็กจนแทบสังเกตไม่เห็น บางครั้งอาจมีรถมาจอดบังป้ายอีกด้วย แต่ทางรีสอร์ทก็ได้ทำป้ายไวนิลขนาดใหญ่ไว้ริมถนนเลย เรียกได้ว่าไม่มองผ่านตาไปอย่างแน่นอน ด้านหน้าของรีสอร์ทมีพื้นที่สำหรับจอดรถได้นิดหน่อย แต่ทางรีสอร์ทก็เตรียมพื้นที่จอดรถไว้ให้ลูกค้าที่ฝั่งตรงข้ามเยื้องรีสอร์ทไปนิดเดียวครับ

ด้านหน้ารีสอร์ทมีชุดเก้าอี้หวายสีฉูดฉาดให้นั่งเล่นครับ

เปิดประตูเข้าไปจะเจอ Lobby พร้อมพื้นที่สำหรับให้แขกได้นั่งพักครับ

Welcome Drink มาพร้อมผ้าเย็นครับ เจอ 2 สิ่งนี้ ช่วยลดอุณหภูมิความร้อนได้เป็นอย่างดีเลยครับ

ถัดจาก Lobby จะเป็นห้องอาหารครับ ห้องอาหารเป็นแบบเรียบง่าย พื้นที่ไม่กว้างสักเท่าไร ผมกะจากสายตาคร่าว ๆ น่าจะรองรับลูกค้าพร้อมๆ กันได้ประมาณ 50 คนครับ

เดินผ่านห้องอาหารจะเจอสวนหย่อมเล็ก ๆ ก่อนที่จะไปถึงยังทางเดินไปห้องพักต่างๆครับ

(The) Rock แปลว่า หิน ซึ่งมีที่มาจากคำว่า “หัวหิน" ครับ ดังนั้นการตกแต่งทั้งหมดภายในรีสอร์ทจะมีการนำหินเข้ามาเป็นส่วนประกอบในการตกแต่งด้วย ไม่ว่าจะเป็นผนังหิน หรือการตกแต่งด้วยหินโรยขนาดเล็กและเพิ่มความร่มรื่นด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ทั่วทั้งรีสอร์ทครับ

มาดูห้องพักของผมในคืนนี้กันดีกว่าครับ ห้องพักแบบZen Jacuzzi pool Suite ครับ ที่มีแนวคิดการออกแบบและตกแต่งบนพื้นฐานแนวคิดตามปรัชญา เพื่อสร้างบรรยากาศอันเงียบสงบอย่างแท้จริง

ป้ายบอกชื่อห้องออกแบบด้วยกระเบื้องหิน ด้านล่างของชื่อห้องมีข้อความ “Do not Disturb" และ “Make Up" หากเราต้องการจะสื่อความหมายอะไร ก็ให้เอาก้อนหินเล็ก ๆ ไปวางไว้ที่ตรงนั้น เก๋มาก ๆ ครับสำหรับแนวคิดนี้

เปิดประตูห้องเข้ามา ก็มาเจอห้องน้ำเลยครับ ประตูห้องน้ำเป็นแบบบานเลื่อนซึ่งจะติดกระจกเงาบานใหญ่ไว้บนประตู พอเลื่อนปิดประตูห้องน้ำ ผมถึงกับตกใจ เพราะห้องน้ำเป็นกระจกใส มองเห็นภายในห้องน้ำหมดเลยครับ

ข้างๆ ห้องน้ำจะเห็นประตูเลื่อนที่มีหวายเป็นส่วนประกอบเมื่อเลื่อนประตูเลื่อนด้านซ้ายจะเป็นราวแขวนเสื้อผ้า ซึ่งมีรองเท้าฟองน้ำแบบหูคีบ และรองเท้าผ้าสำหรับใช้เดินในห้องพัก ส่วนด้านขวาจะเป็นตู้เซฟครับ

มาดูส่วนพื้นที่เตียงนอนกันบ้าง เป็นเตียงสองเตียงวางติดกัน แต่ละเตียงมีขนาดค่อนข้างใหญ่ มีพื้นที่ให้กลิ้งไปกลิ้งมาได้เยอะอยู่ครับ ที่ปลายเตียงมีพื้นที่สำหรับให้นั่งเล่น และสามารถใช้เป็นโต๊ะเขียนหนังสือได้ด้วย ด้านข้างเป็นชุดโซฟาหวาย ออกแบบดูคล้ายกับชิงช้า สำหรับพื้นห้องปูด้วยพื้นไม้สักครับ

มาดูในส่วนของห้องน้ำกันบ้าง ในส่วนของห้องน้ำถือว่ากว้างขวางครับ เมื่อก้าวเข้าไปสู่พื้นที่ในส่วนห้องน้ำ ด้านซ้ายมือจะพบอ่างอาบน้ำที่สามารถมองทะลุผ่านไปยังส่วนพื้นที่ที่เป็นเตียงนอน ติดกับอ่างอาบน้ำจะเป็นพื้นที่ในส่วน Rain showerส่วนด้านขวาจะเป็นอ่างล้างหน้าขนาดใหญ่ ซึ่งทางรีสอร์ทได้จัดเตรียมก๊อกน้ำไว้ให้ถึง 2 จุด จึงทำให้ใช้งานได้พร้อมกันทั้ง 2 คนครับ ติดกับอ่างล้างหน้าเป็นโถสุขภัณฑ์พร้อมสายฉีดชำระ สำหรับช่วงเวลาอาบน้ำ หากไม่ต้องการให้คนที่อยู่ด้านนอกเห็น ก็สามารถดึงมูลี่ลงมาปิดกระจกใสได้ครับ

สิ่งอำนวยความสะดวกที่ทางรีสอร์ทจัดเตรียมไว้ในห้องพักก็มีหลากหลาย และยังมี Minibar ไว้บริการด้วยครับ

เมื่อเปิดประตูที่อยู่ถัดจากเตียงนอน ก็จะเป็นพื้นที่ในส่วนของระเบียงให้นั่งเล่นครับ เพียงไม่กี่ก้าวจากระเบียงก็สามารถผ่อนคลายไปกับ Jacuzzi ส่วนตัวครับ

คราวนี้มาดูบรรยากาศรอบ ๆ รีสอร์ทกันบ้างครับThe Rock มีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่แบบ Infinite-edge pool ริมชายหาด ทำให้แขกที่เข้าพักได้เพลิดเพลินกับการว่ายน้ำและรับลมทะเล พร้อมกับสัมผัสวิวแบบพาโนราม่าที่สวยงามของทะเลหัวหินครับ

ทางรีสอร์ทได้จัดเตรียม Daybed รวมถึงเฟอร์นิเจอร์หวายโทนสีขาว และเบาะรองนั่งรวมถึงหมอนสีฟ้า ที่ดูแล้วให้บรรยากาศความเป็นทะเลมาก ๆ เลยครับ

จากสระว่ายน้ำมองย้อนกลับไปทางห้องพัก จะมีจุดให้นั่งชมวิวดูทะเลมุมสูงด้วย ด้านข้างก็จะเป็นพื้นที่ที่ชำระล้างตัวก่อนขึ้นและลงสระว่ายน้ำครับ

ช่วงเย็น ๆ แดดร่มลมตก ด้านข้างของสระว่ายน้ำจะเปลี่ยนสภาพเป็น Sea-Through Pool Bar ครับ ตรง Bar นี้จะบริการ cocktails และของบขบเคี้ยวด้วยครับ

จากสระว่ายน้ำสามารถเดินลงชายหาดได้ด้วยบันไดด้านข้างสระว่ายน้ำครับ

ช่วงที่ผมไป ตอนเย็นน้ำจะลง สามารถทำกิจกรรมที่ชายหาดได้ตามความต้องการเลยครับ

หันหน้าลงทะเล ด้านซ้ายมือจะเป็นชายหาดหัวหินครับ

ด้านขวามือจะเป็นเขาตะเกียบครับ

ผมเองเลือกที่จะนั่งอยู่ริมสระว่ายน้ำ มองออกไปในทะเล ได้เห็นทั้งคนในพื้นที่ที่ยังต้องปากกัดตีนถีบทำมาหากิน ไม่ว่าจะเป็นการหาหอย การขี่รถขายปลาหมึกย่าง และได้เห็นนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศที่มาทำกิจกรรมริมหาด ไม่ว่าจะเป็นขี่ม้า ปั่นจักรยาน แนวการใช้ชีวิตของทั้งสองต่างกันอย่างสิ้นเชิง ดูแล้วก็นึกว่าตัวเองโชคดี ที่ได้มีโอกาสดีๆ กว่าใครอีกหลายๆ คนครับ การได้มานั่งปลดปล่อยอารมณ์ริมชายหาดแบบนี้มันก็ดีนะครับ มันเหมือนหยุดโลกได้จริงๆ ลืมเรื่องวุ่นวายในชีวิตต่าง ๆ ลงได้ชั่วขณะ แล้วจิตใจมันสงบขึ้นเยอะเลย

แดดร่มลมตกแล้ว ผมขอไปเก็บบรรยากาศดูหัวหินมุมสูงที่เขาตะเกียบครับ

จากรีสอร์ทไปยังเขาตะเกียบไม่ไกลกันมากนัก ช่วงทางขึ้นไปบนเขาทางค่อนข้างชัน ต้องขี่รถด้วยความระมัดระวัง ด้านบนเขามีลิงเยอะมากๆ ครับ มาถึงเขาตะเกียบแล้ว แนะนำให้เดินขึ้นบันไดไปด้านบนสุดที่ทำเป็นมณฑปนะครับ จุดนี้สามารถชมวิวหัวหินมุมสูงได้อย่างสวยงาม และยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกได้อีกด้วย รับรองว่าคุ้มค่าเหนื่อยกับการขึ้นบันไดอย่างแน่นอนครับ

หลังพระอาทิตย์ตกแล้ว ผมย้อนกลับมาเก็บบรรยากาศยามพลบค่ำที่รีสอร์ทอีกครั้งครับ

บริเวณหน้ารีสอร์ทและบริเวณ Lobby ครับ

ที่ชั้นสองจัดไว้เป็นมุมกาแฟเล็กๆ ครับ ไว้นั่งคุยกัน สั่งกาแฟ เบเกอรี่มาทาน ข้าง ๆ มีมุม Free internet และมุมนั่งเล่นพักผ่อนให้ด้วยครับ

บริเวณทางเดินไปยังห้องพัก และสระว่ายน้ำริมทะเลครับ

บรรยากาศริมสระว่ายน้ำครับ ยามพลบค่ำแบบนี้สระว่ายน้ำสวยมากครับ

มาดูในส่วนของห้องพักกันอีกทีครับ

มุม Jacuzzi เวลาหมดแสงสุดท้ายแล้ว ไฟที่สระน้ำจะสว่างขึ้น แสงของดวงไฟกระทบกับผิวน้ำและผิวกระเบื้อง ดูแล้วชวนให้ลงไปแช่มาก ๆ เลยครับ

หลังจากพักให้หายเหนื่อยแล้ว ผมขอออกไปย่ำราตรีเมืองหัวหินสักหน่อยครับ

จากรีสอร์ทเพียง 1 กิโลเมตร ก็มาถึงจุดหมายแรก คือตลาด Cicada ครับ ผมมาหัวหินกี่ทีต่อกี่ทีก็ไม่พลาดที่จะมาเดินเล่นที่นี่ บรรยากาศยามค่ำของที่นี่ดีมาก ๆ มีร้านค้ามาขายของ Handmade ที่มีไอเดียเจ๋ง ๆ ให้เดินดู เดินชอปกันหลากหลายจริงๆ นอกจากจะมีสินค้าขายแล้ว ยังมีร้านอาหาร การแสดงดนตรี ละคร และมีกิจกรรมให้เลือกทำเลือกดูหลายอย่างมากครับ ใครมาเที่ยวหัวหินผมแนะนำว่าไม่ควรพลาดครับ ตลาด Cicada จะเปิดเฉพาะวันศุกร์-อาทิตย์นะครับ วันศุกร์ เสาร์ เปิดตั้งแต่ 16.00-23.00 น. ส่วนวันอาทิตย์ เปิด 16.00-22.00 น.ครับ

จุดหมายต่อไปของผมอยู่ที่สถานีรถไฟหัวหินครับ ยามค่ำ สถานีแห่งนี้ก็มีเสน่ห์ไปอีกแบบครับ ได้ความรู้สึกที่แตกต่างจากบรรยากาศช่วงกลางวันเลยครับ

ผมขี่รถเลียบทางรถไฟไปนิดหน่อย ก็จะถึงตลาดโต้รุ่ง จุดนี้ต้องจอดรถไว้ที่ริมทางรถไฟ แล้วใช้การเดินเท้าเอา ที่ตลาดโต้รุ่งนี้ สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านอาหารทะเล ร้านอาหาร และร้านขายของฝากมากมาย ช่วงวันหยุด จะมีนักท่องเที่ยวเยอะมากครับ เรียกได้ว่าต้องไหลไปตามๆ กัน สำหรับร้านอาหารที่นี่มีหลายร้านที่เคยออกรายการทีวีด้วยครับ ไม่ว่าจะเป็นร้านขายไอศกรีม ร้านขายข้าวเหนียวมะม่วง หรือแม้กระทั่งมะม่วงน้ำปลาหวานครับ จากทางรถไฟ ผมเดินตรงมาเรื่อย ๆ จนถึงทางเข้าตลาดฉัตรศิลา

ตลาดฉัตรศิลาเป็นอีกตลาดนัดกลางคืนที่ตกแต่งในสไตล์ย้อนยุคสุดคลาสสิกครับ จุดเด่นผมว่าอยู่ที่เรือนแถวไม้โบราณสีขาว ภายในเรือนแถวไม้โบราณจะนำของเก่ามาจัดแต่งให้เข้ากับบรรยากาศเก่าๆ แบบนี้ ลงตัวมากครับ อีกอย่างที่เสริมความโบราณคือธงสามเหลี่ยมหลากสีนี่แหล่ะครับ มันทำให้ที่นี่ดูมีเสน่ห์มากๆ

ปิดท้ายโปรแกรมของวันนี้ที่ รฤก หัวหินครับ รฤก หัวหินเป็นศูนย์อาหารที่มีทั้งอาหาร ขนม เครื่องดื่ม ที่นี่ตกแต่งแบบเก๋ไก๋ มีมุมให้ถ่ายรูปเล่นเยอะเลยครับ แต่วันที่ผมไปที่นี่ค่อนข้างเงียบเหงาเลย ทั้งๆ ที่เป็นวันหยุดแท้ๆ คิดว่านักท่องเที่ยวคงแห่ไปที่ตลาดโต้รุ่ง และ Cicada กันหมดแน่ๆ ครับ

วันนี้ผมเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ขอตัวกลับไปนอนพักที่รีสอร์ทก่อนครับ

เช้าวันใหม่ตื่นมาพร้อมกับความงัวเงีย ตั้งใจว่าจะตื่นมาถ่ายแสงแรก แต่ตื่นไม่ไหวจริงๆ ครับ แต่ก็ยังพอได้เห็นแสงงามๆ อยู่บ้าง

ช่วงเช้าน้ำขึ้นครับ เลยไม่สามารถเดินเล่นบนชายหาดได้ หลังจากสาละวนกับการหามุมถ่ายภาพแล้ว ตอนนี้ท้องเริ่มหิวครับ ขอไปหาอะไรใส่ท้องก่อนที่จะเดินทางกลับบ้านครับ

ผมมาทานอาหารเช้าที่ห้องอาหาร Seashell ครับ ภายในห้องอาหารไม่ค่อยกว้างสักเท่าไร ถ้าแขกมาทานอาหารพร้อมกันอาจจะไม่สะดวกเท่าที่ควรครับ แต่ผมมาทานแต่เช้า เลยไม่มีปัญหาในจุดนี้ครับ

เมนูอาหารมีทั้งอาหารไทยและอาหารเทศครับ และสามารถเสริมเมนูไข่ต่างๆ ได้ โดยพนักงานจะมาสอบถาม order ที่โต๊ะและจะส่ง order ต่อไปให้ Chef เพื่อเข้าไปทำในครัว สำหรับน้ำผลไม้จะบรรจุมาในขวดแก้วครับ

หลังอาหารเช้าผมต้องเตรียมตัวเดินทางกลับแล้วครับ ถือว่าทริปนี้เป็นอีกหนึ่งทริปที่ผมประทับใจ เพราะการได้มาท่องเที่ยวในครั้งนี้ มีหลายสถานที่ที่ผมเคยมาครั้งแรก และอีกหลายสถานที่ ที่ผมมาหัวหินเมื่อไร จะไม่พลาดที่จะกลับมาเที่ยวอีกครั้ง และหวังว่าอีกไม่นานผมคงจะได้กลับมาเที่ยวที่หัวหินอีกครับ

สำหรับการเข้าพักที่ The Rock ผมประทับใจกับการตกแต่งห้องพัก ดูหรูหรา พื้นที่ใช้สอยในห้องค่อนข้างกว้าง พนักงานยิ้มแย้มแจ่มใสและให้บริการดีมากสัญญา Wifi บริเวณห้องผมใช้ไม่ได้ โทรแจ้งพนักงาน พนักงานนำ router ใหม่มาเปลี่ยนให้เลยครับ ที่นี่ Free wifi ทั้งรีสอร์ทครับ นั่งกินลมชิมวิวริมสระว่ายน้ำก็ยังนั่งเล่น wifi ได้เหมือนกัน พูดถึงเรื่องทำเลที่ตั้งผมว่าใช้ได้เลยครับ อยู่ไม่ไกลจากแหล่งท่องเที่ยว และหลังรีสอร์ทก็ติดทะเลเลย ถึงแม้ว่ารีสอร์ทจะติดถนน แต่เมื่อเข้ามาในรีสอร์ทแล้วจะรู้ได้ถึงความสงบ ความเป็นส่วนตัว เหมาะกับการพักผ่อนมาก ๆ ครับ

ถึงแม้ว่า The Rock จะอยู่ติดทะเลเลย แต่ห้องพักทุกห้องจะมองเห็นทะเลไม่ได้เต็ม ๆ ต้องออกมายืนที่ระเบียงห้องถึงจะมองเห็นวิวทะเลได้ แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรเพราะเพียงเดินไม่ถึง 100 เมตร ก็สามารถดื่มด่ำกับบรรยากาศทะเลได้แล้ว ห้องอาหารของที่นี่มีพื้นที่น้อยไปหน่อย หากแขกมาทานอาหารพร้อมกันอาจไม่ค่อยสะดวก แนะนำว่าให้มาใช้บริการแต่เช้าครับ เพราะสายหน่อยแขกจะค่อนข้างเยอะ ที่นี่ยุงเยอะมาก ปัญหาเรื่องยุงไม่ได้เกิดกับที่นี่ที่เดียว ผมคิดว่าน่าจะเป็นปัญหาของเมืองหัวหินครับ เพราะหลายครั้งที่ผมมาพักที่หัวหิน ผมก็เจอปัญหาแบบนี้เหมือนกัน ใครจะมาพักที่หัวหินอาจจะต้องหาโลชั่นทากันยุงมาด้วยนะครับ

ความคิดเห็น