.
.
ผมได้ส่ง Blog เข้าไปประกวดในโครงการ "เล่าเรื่องรักษ์ ฮักเมืองเหนือ" ที่จัดโดย ชุมชนคนเที่ยวเหนือ GoNorthThailand.com ซึ่งเป็นชุมชนที่ทาง ททท. จัดตั้งขึ้นสำหรับคนชอบท่องเที่ยวภาคเหนือ รางวัลสำหรับผู้ชนะในการเขียน Blog จำนวน 6 คนและผู้ติดตามอีก 6 คน รวมเป็น 12 คน จะได้ไปออกทริปกับตากล้องและนักเขียนจาก อ.ส.ท. (คุณภาคภูมิ น้อยวัฒน์) ที่ ปาย-ป่าสนวัดจันทร์ เป็นเวลา 3 วัน ซึ่งผมได้รับคัดเลือกเป็น 1 ใน 6 ผู้โชคดีครับ
แล้ววันเดินทางก็มา ถึง เราออกเดินทางกันวันที่ 14 ก.พ.57 ซึ่งถือเป็นฤกษ์งามยามดี คือเป็นวันพระใหญ่ มาฆบูชาครับ ทีมงานนัดหมายกันที่สนามบินดอนเมือง เวลา 06.00 น. การเดินทางในครั้งนี้เราได้สปอนเซอร์ใจดีจากแอร์เอเซียสนับสนุนการเดินทาง ของคณะเราทั้งไปและกลับครับ
07.40 เราออกเดินทางสู่เชียงใหม่ด้วยเที่ยวบิน FD3445 ครับ ท้องฟ้ามีหมอกเล็กน้อยครับ
หลังเครื่องขึ้นได้สักพัก ทาง Air Asia ก็สนับสนุนอาหารบนเครื่องให้พวกเราด้วยครับ กราบขอบพระคุณอย่างยิ่ง
ทานข้าวเสร็จ ก็มานั่งชมวิวนอกหน้าต่างต่อ ไม่นานนักผมก็เริ่มเห็นทิวภูเขาสูง น่าจะเข้าเขตภาคเหนือแล้วครับ ผมไม่เคยใช้เส้นทางบินทางภาคเหนือเลย ได้มาเห็นวิวรอบนี้ยอมรับว่าวิวระหว่างทางสวยดีครับ
มองไปไกล ๆ เห็นหมอกบาง ๆ ตามซอกเขาด้วย กัปตันประกาศว่า อุณหภูมิภาคพื้นที่สนามบินเชียงใหม่ประมาณ 18 องศาครับ
เวลาผ่านไปชั่วโมงนิด ๆ ก็ได้ยินเสียงประกาศจากแอร์โฮสเตสว่า "เราเดินทางมาถึงสนามบินเชียงใหม่แล้ว และมีความยินดีจะแจ้งให้ท่านได้ทราบว่า เรามาถึงก่อนกำหนดเวลาเป็นเวลา 20 นาที" หลังจากออกจากเครื่องมาเรียบร้อยแล้ว ก็เลยขอเก็บภาพเครื่องบินไว้เป็นที่ระลึกสักหน่อยครับ ผมชอบลวดลายบนเครื่องนี้มาก เป็นลายมังกร สวยดีครับ
หลังจากรับกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว ก็มุ่งหน้าสู่ อ.แม่แตง ครับ จุดหมายแรกของทริปนี้คือวัดเด่นสะหลีศรีเมืองแกน หรือที่รู้จักกันในนาม วัดบ้านเด่น
วัดบ้านเด่นตั้งอยู่บนเนินเขาเตี้ย ๆ ที่แวดล้อมด้วยภูมิประเทศที่สวยงาม รูปแบบของสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างศิลปะไทยและศิลปะล้านนา วัดแห่งนี้ไม่ได้เน้นเรื่องการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา แต่จะเน้นเรื่องการสร้างให้เป็นสถานที่พักผ่อนทางจิตใจเสียมากกว่า จึงพยายามสร้างให้วัดมีความสวยงาม เพื่อดึงดูดให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาชมความสวยงามที่แฝงไว้ด้วยคติธรรม ถือว่าเป็นกุศสโลบายในการดึงคนให้ใกล้ชิดศาสนาอย่างไม่รู้ตัวครับ ต้องนับถือแนวคิดนี้จริงๆ
ภายในวัดมีหลายจุดที่น่าสนใจครับ เริ่มที่หอไตร
หลังคาด้านบนของหอไตร สวยงามมากเลยครับ ลวดลายละเอียดมาก ๆ
ถ้าสังเกตดี ๆ จะเห็นทั้ง ช้าง ทั้งพญานาค ทั้งไก่ (หรือหงส์ก็ไม่รู้)ครับ
ถัดมาหน่อยจะเป็นพระวิหารครับ สวยงามไม่แพ้กัน
ซุ้มหน้าต่าง รายละเอียดสวยงามมาก
ผนังวิหาร เป็นรูปลอยปูนปั้น สีขาว บอกเล่าเรื่องราวที่แฝงไว้ด้วยคติธรรม
ซุ้มประตูสีทองเป็นรูปนกยูง เสริมความสวยงามด้วยกระเบื้องสีน้ำเงินและแดง
ภายในวิหารประดิษฐานพระประธานครับ
ด้านข้างของวิหาร เป็นศาลาที่ประดิษฐานพระพุทธรูปชื่อดังหลายแห่งในเมืองไทยครับ
เนื่องจากพื้นที่วัดค่อนข้างกว้าง แต่ผมมีเวลาค่อนข้างจำกัด เลยทำให้เดินสำรวจได้ไม่เยอะ ช่วงที่ผมไปทางวัดกำลังก่อสร้างและบูรณะสิ่งก่อสร้างอยู่หลายอย่างเหมือนกันครับ
หลังจากเยี่ยมชมวัดบ้านเด่นเรียบร้อยแล้ว ก็มุ่งหน้าสู่ อ.ปายครับ ระหว่างทางแวะทานอาหารกลางวันที่ร้านแป้นเกล็ด คอฟฟี่ คอร์เนอร์ครับ รูปแบบร้านเป็นร้านกาแฟ ที่ขายอาหารด้วย
เมนูส่วนใหญ่เป็นอาหารจานเดียวครับ เมนูนี้คือก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่
ข้าวผัด
กระเพาไข่ดาว
ตบท้ายด้วยของหวานและกาแฟเย็นครับ
ร้านแป้นเกล็ด คอฟฟี่ คอร์เนอร์ มีฟาร์มแกะด้วยนะครับ ผมมัวแต่ฝอยซะเพลิน เลยไม่ทันได้เก็บบรรยากาศรอบ ๆ ร้านและฟาร์มแกะมาฝากเลยครับ
หลังอาหารเราแวะเข้าห้องน้ำกลางทางแค่จุดเดียว แล้วตียาวเข้าเขต อ.ปาย เลยครับ แต่ก่อนเข้าที่พัก ทางทีมงานให้เราแวะยืดเส้นยืดสาย จิบกาแฟกันที่ร้านกาแฟเล็ก ๆ ที่ชื่อ บ้านปายนาปายตา ครับ
ป้ายชื่อร้านมีรูปแมวอยู่ข้างถนน ตกแต่งน่ารักมากครับ
มีมุมเล็ก ๆ น่ารัก ๆ อยู่เต็มไปหมด ที่นี่นอกจากจะเป็นร้านกาแฟแล้ว ยังทำเป็นที่พักอีกด้วยครับ
คุณกบ เจ้าของร้านพาคณะของเราเดินมาพักผ่อนที่ศาลาอเนกประสงค์ ที่จัดเตรียมไว้รองรับลูกค้าบนศาลานี้จะมีพื้นที่สำหรับจัดเตรียมกาแฟที่ใช้งานจริง โดยมีเตาถ่านและกาน้ำดำ ๆ ที่ถือว่าเป็นของเก่าของแก่ของที่นี่เลยครับ
ของว่างที่คุณกบเตรียมไว้คอยต้อนรับคณะของเรา เค๊กกล้วยหอมกับน้ำกระเจี๊ยบ เรียกความสดชื่นให้กับคณะของเราได้เป็นอย่างดีครับ
ระหว่างนั่งพัก พี่ต้อย พี่ใหญ่แห่ง ททท. ของทริปนี้ ผู้ดูแลการท่องเที่ยวทางภาคเหนือเล่าให้ฟังว่า ช่วงที่เรามาเป็นช่วงเวลาที่เมืองปายเริ่มพักตัว หลังจากที่รับใช้นักท่องเที่ยวช่วง High Season ในช่วงฤดูหนาวที่ผ่านมาอย่างหนักหน่วง ปายช่วงนี้เริ่มดูแห้งแล้ง ดอกไม้เริ่มโรยรา พี่ต้อยบอกว่า คงต้องปล่อยให้ปายฟื้นตัวอีกสักนิด รอจนหน้าฝน ปายจะกลับมาสวยงามอีกครั้ง ท้องทุ่งนาที่ดูแห้งแล้งในตอนนี้ จะกลับกลายเป็นเขียวขจี มีหมอกให้ได้ชมด้วย พี่ต้องบอกว่า ปายหน้าฝน สวยสู้หน้าหนาวได้อย่างสบายครับ
สำหรับใครที่ชอบแมว มาที่นี่คงถูกอกถูกใจเป็นแน่ ๆ เพราะคุณกบเลี้ยงแมวไว้หลายตัวมาก ๆ เลยครับ
หลังจากหายเหนื่อยกันแล้ว ก็เดินทางเข้าที่พักเพื่อเก็บข้าวของและเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวให้ทะมัดทะแมง เตรียมตัวไปทำกิจกรรมกันต่อครับ
คืนนี้ผมเข้าพักที่ ปายวิมานรีสอร์ทครับ
บรรยากาศภายนอก บ้านพักของปายวิมานมี 2 แบบ คือแบบเป็นหลังสองชั้นแบบนี้ และเป็นแบบ villa ลักษณะเป็นเต้นท์ครับ ผมไม่ได้ถ่ายภาพมาให้ชม
รีสอร์ทนี้ตั้งติดอยู่ริมน้ำปายเลยครับ
ห้องผมอยู่ชั้นล่าง เมื่อเดินเข้าห้องไปเปิดประตูออกมาก็จะพบเตียงขนาดใหญ่ มีโต๊ะสำหรับเขียนหนังสือ มีทีวี และมีที่นั่งเล่นที่ทำคล้ายกับเป็นระเบียงอยู่ที่ปลายเตียงครับ ห้องถือว่ากว้างขวางดีครับ
ภายในห้องน้ำ มีการแยกส่วนเปียกส่วนแห้ง มีสายชำระ มีไดร์เป่าผมให้พร้อม ส่วนเปียกจะเป็น Rain Shower ครับ
เดินขึ้นบันไดมาบนชั้นสอง สามารถยืนชมวิวมุมสูงตรงระเบียงชั้นสองได้ครับ
หลังจากเก็บข้าวของ เปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเตรียมทำกิจกรรมกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็เดินทางกันต่อ จุดหมายต่อไปอยู่ที่วัดศรีดอนชัยครับ
วัดศรีดอนชัย เป็นวัดแห่งแรกของเมืองปาย สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.1855 สถาปัตยกรรมเป็นแบบล้านนา ที่มีจิตกรรมฝาผนังที่สวยงาม เป็นวัดเล็ก ๆ ที่เงียบสงบมากครับ ผมได้มีโอกาสมาถวายสังฆทานที่วัดแห่งนี้ด้วย
วัดศรีดอนชัย เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์หรือพระสิงห์เมืองปาย พระเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองปายครับ จากที่ผมสังเกต ผมเห็นพระพุทธรูปที่มีลักษณะเหมือนกัน 3 องค์ คือ องค์กลางที่ตั้งอยู่ด้านหน้า แล้วอีก 2 องค์ อยู่ขนาบข้างซ้ายและขวา แต่ผมคาดว่าพระสิงห์เมืองปาย คือองค์ที่อยู่ตรงกลางครับ
หลังจากไหว้พระ ทำบุญเพื่อความเป็นสิริมงคลกันเรียบร้อยแล้ว ก็ถืงการทำกิจกรรมของพวกผมแล้วครับ กิจกรรมที่ว่าคือ กิจกรรมปั่นจักรยานลดโลกร้อน รอบเมืองปายครับ
พี่คนนี้คือคนที่จะพาเราไปปั่นจักรยานชมเมืองปายครับ จักรยานที่พวกเราปั่นไม่มีเกียร์ แต่ก็ไม่ลำบากเกินความสามารถของพวกเรา เส้นทางที่จะปั่นจะผ่านเนินชันประมาณ 2 จุด รวมระยะทางทั้งสิ้นประมาณ 3 กม.ครับ
ระหว่างเส้นทางที่ปั่นจะได้ชมวิถีชีวิตของชาวบ้าน ได้เห็นทิวเขาสวย ๆ เห็นลำน้ำปาย ซึ่งช่วงที่ผมมา ลำน้ำปายน้ำค่อนข้างน้อยแล้วครับ ยอมรับว่าช่วงที่ปั่นขึ้นเนิน ผมเหนื่อยแทบขาดใจเลยครับ เพราะปกติไม่เคยได้ออกกำลังกายแบบนี้มาก่อนเลย เล่นเอาหายใจแทบไม่ทันเหมือนกัน เรามาจบทริปปั่นจักรยานกันที่ที่ว่าการอำเภอเมืองปายครับ
หลังจากหมดพลังไปกับการปั่นจักรยานแล้ว ก็ถึงเวลาให้อาหารกันแล้ว อิอิ มื้อเย็นนี้เราฝากท้องไว้ที่ร้าน ปายสุดใจ ครับ
อาหารมีทั้งอาหารพื้นบ้าน ตั้งแต่น้ำพริก แคปหมู รวมถึงอาหารภาคกลาง ไม่ว่าจะเป็นผัดผัก แกงไก่ ไก่ย่าง ครับ หลังอาหารมื้อค่ำ ทางทีมงานปล่อยให้พวกผมอิสระในการเดินเล่น ผมเห็นว่าวันนี้เป็นวันมาฆบูชา ผมเลยเลือกที่จะไปเวียนเทียน จากนั้นจะเดินเล่นที่ถนนคนเดินครับ
ไม่น่าเชื่อเลยว่าเมืองเล็ก ๆ อย่างเมืองปาย ในพื้นที่ที่เป็นถนนคนเดินที่ผมสามารถเดินเที่ยวได้ จะมีวัดอยู่หลายแห่ง เท่าที่ผมเดินจากรีสอร์ทไปตามถนนคนเดิน นับวัดได้รวม 3 วัดครับ
วัดแรกคือวัดป่าขาม วัดเล็ก ๆ ที่อยู่ในเส้นทางเดินของถนนคนเดินครับ ศิลปะเป็นแบบล้านนาครับ มีเจดีย์องค์ทองตั้งอยู่กลางวัด รอบ ๆ เจดีย์จะมีพระประจำวันเกิดประดิษฐานอยู่โดยรอบครับ
เดินถัดมาอีกนิด จะเป็นวัดกลาง มีพระเจดีย์องค์ใหญ่ศิลปะไทยใหญ่ประดิษฐานอยู่กลางลานวัด บริเวณเจดีย์ประดับด้วยดวงไฟดวงน้อย ๆ เวลาค่ำคืนยามเปิดไฟ ดูสวยงามดีครับ รอบ ๆ เจดีย์มีซุ้มพระประจำวันเกิดประดิษฐานอยู่โดยรอบเช่นกันผมเลือกเวียนเทียนที่วัดนี้ครับ
วัดสุดท้ายที่ผมได้เดินชมคือวัดหลวง ผมมาปายทีไรก็จะมาอาศัยพื้นที่วัดแห่งนี้เป็นที่จอดรถเพื่อไปเดินเล่นที่ถนนคนเดิน แต่ผมไม่เคยรู้เลยว่าภายในวัดจะมีเจดีย์ที่ใหญ่ เก่าแก่และสวยงามแบบนี้
การเวียนเทียนที่วัดในเมืองปาย เขาจะเริ่มเวียนเทียนกันราวหนึ่งทุ่ม ใครสะดวกเวลาไหนก็สามารถมาเวียนกันได้ตลอดเวลา ผิดกับวัดแถวภาคกลางที่จะมีเวลาเวียนเทียนที่ชัดเจนครับ
หลังจากเดินชมความงามของทั้ง 3 วัดเสร็จแล้ว ผมก็เดินย้อนกลับมาตามถนนคนเดินอีกครั้ง ช่วงที่ผมไปเป็นวันหยุดยาว 3 วัน เลยทำให้ที่ปายมีนักท่องเที่ยวเยอะพอสมควรครับ ระหว่างทางก็เดินดูของ เดินชิมอาหารพื้นเมืองไปเรื่อย จนถึงที่พัก
ช่วงค่ำ ปายวิมานรีสอร์ทดูสว่างไสวสวยงามมากครับ เลยเก็บบรรยากาศห้องพักยามค่ำมาให้ชมครับ คืนนี้ผมหลับสนิทมาก ๆ อาจเนื่องมาจากอ่อนแรงจากการเดินทางมาทั้งวัน เพราะผมตื่นตั้งแต่ตี 2 ครึ่งเพื่อเตรียมเดินทางจากลพบุรี แล้วไหนจะต้องเดินทางต่อมาถึงปายแถมมาปั่นจักรยาน และเดินเล่นที่ถนนคนเดินอีก หมดแรงจริง ๆ ครับ
เช้าวันใหม่ ทีมงานนัดเราเวลา 05.45 น. เพื่อเตรียมออกเดินทางสู่จุดชมวิวหยุนไหลครับ จุดชมวิวแห่งนี้อยู่ห่างจากตัวเมืองปายประมาณ 6 กม. ใช้เส้นทางเดียวกับทางไปวัดน้ำฮู และหมู่บ้านสันติชล เราทำการเปลี่ยนพาหนะจากรถตู้เป็นรถปิคอัพตรงหมู่บ้านสันติชลครับ เส้นทางจากนี้ไปจะเป็นเส้นทางที่ขึ้นเขา บางช่วงสูงชันเหมือนกันครับ จุดชมวิวนี้อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 440 เมตรครับ
รถปิคอัพมาจอดบริเวณลานจอดรถ ผมมองออกไปที่ท้องฟ้า ยามนี้ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีจากสีดำเป็นสีแดงเรื่อ ๆ แล้วครับ ผมไม่รอช้า รีบเดินขึ้นไปยังจุดชมวิว แต่เนื่องจากจุดชมวิวนี้เป็นของเอกชน ต้องเสียค่าเข้าพื้นที่คนละ 10 บาทครับ
คำว่า “ทะเลหมอกหยุนไหล" ภาษาจีนกลางหมายถึงแหล่งที่เมฆไหลมารวมกัน ซึ่งเปรียบเสมือนคนจีนยูนานที่อพยพมาจากเมืองจีน แต่ในที่สุดก็อพยพถิ่นฐานมาอยู่รวมกัน สำหรับช่วงเวลาที่จะเห็นหมอก จะอยู่ในช่วงฤดูหนาว แต่ยามที่มีหมอกเบา ๆ แบบนี้ก็สวยไปอีกแบบครับ มองเห็นดาวบนดินเมืองปาย สวยงามมาก ๆยามเช้า ได้มาจิบน้ำชาอุ่น ๆ นั่งชมพระอาทิตย์ขึ้น สุดจะบรรยายจริง ๆ ครับ
ที่จุดชมวิวหยุนไหล เป็น 1 ใน 100 ที่บอกรัก 20 ที่ขอแต่งงานด้วยครับ ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมที่นี่ถึงติดอันดับด้วย
เนื่องจากว่าเมืองปายมีภูเขาเยอะ ดวงอาทิตย์ที่โผล่ขึ้นรับอรุณ เมื่อโผล่ผ่านยอดเขาแล้วจะเปล่งแสงค่อนข้างแรง มองไม่เห็นเป็นไข่ดาวดวงโต แต่ช่วงเวลาที่เปล่งแสงออกมา ก็สวยงามมาก ๆ ครับ แสงสาดส่องผ่านตามง่ามเขา สาดลงมาผ่านทิวต้นไม้แทรกตัวไปกับสายหมอกบาง ๆ มองเห็นเป็นลำแสงได้อย่างน่าประทับใจจริงๆ
อีกหนึ่งกิจกรรมที่ไม่ควรพลาดช่วงยามเช้าแบบนี้กับการถ่ายภาพย้อนแสงครับ บ้างบอกรักผ่านท่าทาง ตามสไตล์ใครสไตล์มัน มาคู่ก็บอกรักเป็นคู่ มาเดี่ยวก็บอกรักแบบเดี่ยวไค้ครับ แต่ที่ขาดไม่ได้ เห็นจะเป็นท่ากระโดดครับ
หลังจากเต็มอิ่มกับการเก็บบรรยากาศยามเช้า ณ จุดชมวิวหยุนไหลแล้ว ก็เดินทางกลับที่พักเพื่อตักตวงเสบียงเข้าท้องให้ได้มากที่สุด เพราะกิจกรรมต่อไปเราจะไปเรียนรู้วิถีชีวิตแบบพอเพียงกันครับ
หลังอาหารเช้า เรามีกิจกรรมที่จะไปเรียนรู้วิถีชีวิตแบบพอเพียง ไม่พึ่งพาเทคโนโลยีที่ไฮ่อุ๊ยต๋าคำครับ
ไฮ่อุ๊ยต๋าคำ เป็นฟาร์มอินทรีย์ชุมชนดั้งเดิมแบบวิถีครอบครัวโญน ที่ดำเนินการโดยพี่สันโดษ สุขแก้ว อดีตหนุ่มโรงงานที่ทำงานอยู่ใน กทม. และเคยไปทำงานที่ต่างประเทศ แต่ท้ายสุดได้ตัดสินใจกลับมาใช้ชีวิตง่าย ๆ แบบพอเพียงที่เมืองปายที่นี่เป็นแหล่งเรียนรู้วิถีชีวิตที่พึ่งพิงธรรมชาติ มีการปลูกข้าว ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ไว้กินเอง สร้างบ้านด้วยตัวเองจากวัสดุธรรมชาติและอื่น ๆ อีกมากมาย เรียกได้ว่าเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ได้จากประสบการณ์จริง ด้วยความคิดและความตั้งใจของพี่สันโดษจริง ๆ ครับ
หลังจากพี่สันโดษเล่าเรื่องการใช้ชีวิตความเป็นอยู่ของแกให้ฟังแล้ว พี่สันโดษพาพวกเราเดินเยี่ยมชมกิจกรรมต่าง ๆ ที่มีอยู่ในไฮ่อุ๊ยต๋าคำ เริ่มที่พาชมบ้านพักที่ทำเป็นโฮมสเตย์สำหรับให้นักท่องเที่ยวได้มาพักครับ
แต่เดิมที่นี่ไม่พึ่งพาเทคโนโลยีใด ๆ แต่ช่วงหลังพี่สันโดษเล่าให้ฟังว่า มีชาวต่างชาติได้เข้ามาเรียนรู้วิถีชีวิตและเข้าพักที่นี่เป็นจำนวนมาก เลยมีความจำเป็นที่จะต้องนำ Wifi เข้ามาติดตั้ง เพื่อให้ชาวต่างชาติได้ใช้เพื่อการสื่อสาร และปัจจุบัน ได้นำแผงโซลาเซลเข้ามาใช้บ้าง อย่างหลอดไฟที่เห็นในภาพ ก็ใช้พลังงานโซลาเซลครับ พี่สันโดษบอกว่า ไฟดวงนี้ถ้าไม่นับแผงโซลาเซลแล้ว จะมีต้นทุนเพียงไม่กี่บาทเองครับ พี่สันโดษลองเปิดไฟให้ดู ปรากฏว่า ขนาดช่วงกลางวัน ไฟยังสามารถส่องสว่างอย่างมากเลยครับ
ทุกอย่างในบ้านพักจะเป็นกลไกต่าง ๆ อย่างที่เห็นเป็นก๊อกน้ำ หัววาล์วเปิดปิดก๊อกทำมาจากไม้ เมื่อเปิดก๊อก น้ำจะไหลมาจากรางไม้ไผ่ที่เห็นอยู่ทางด้านขวาของภาพครับ
บ่อกรองน้ำดื่ม ภูมิปัญญาชาวบ้านแท้ๆ
เครื่องซักผ้าครับ ขอบอกว่าไม่ได้ใช้ระบบไฟฟ้านะครับ แต่ใช้พลังขาของเรานี่แหล่ะครับ จักรยานด้านซ้ายจะใช้เกี่ยวกับระบบประปา ส่วนจักรยานด้านหลังของเครื่องซักผ้า คือตัวที่ทำให้เครื่องซักผ้าทำงานครับ
เราเดินชมกิจกรรมหลายอย่างมาก ๆ โดยที่มีเจ้าเหมียวตัวนี้เป็นไกด์ครับ พาเราเดินไปทุกที่เลยครับ
นี่คือโรงเพาะเห็ดแบบง่าย ๆ ครับ มีเห็ดให้เด็ดทานตลอดทุกวันครับ
มีการปลูกกาแฟ ผลิตกาแฟผงดื่มเองด้วยครับ
ผมทึ่งในแนวคิดการบริหารงานของพี่สันโดษมาก ๆ ครับ ที่นี่มีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก นั่งเครื่องบินข้ามน้ำข้ามทะเลมาที่นี่เพื่อเรียนรู้การใช้วิถีชีวิตที่พึ่งพิงธรรมชาติ อย่างในภาพ มีการเปิด BAMBOO COURSE โดยผู้สนใจจะต้องเสียเงินค่าเรียน 400 บาท เพื่อมานั่งเหลาไม้ไผ่ให้เป็นช้อน และถ้วย ผมอยากให้คนไทยรุ่นใหม่เห็นความสำคัญของการใช้ชีวิตที่พึ่งพาธรรมชาติแบบนี้บ้างจังครับ เรามีดีอยู่ในมือ แต่ไม่เห็นถึงประโยชน์ของมัน
อย่างที่ผมเกริ่นไว้แต่ต้นแล้วว่าที่นี่มีการปลูกข้าว ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ด้วย บางอย่างพี่สันโดษไม่ต้องลงมือทำเองกับมือ แต่จะมีชาวต่างชาติที่มาเรียนรู้นี่แหล่ะครับ ต้องมาเสียเงินค่าเรียนปลูกข้าว ปลูกผัก ขุดดิน เพื่อแลกกับความรู้ที่เขาจะได้ติดตัวกลับบ้านกลับเมืองไป เป็นไงครับ แนวคิดนี้ดีมาก ๆ เลยใช่ไหมครับ ไม่ต้องเหนื่อย แถมได้ผลผลิตไว้ทานในโฮมสเตย์ แถมยังได้เงินค่าเรียนอีกด้วย
สาวน้อยคนนี้มาจากมาเลเซีย มาเรียนที่เชียงรายและมาเป็นเหมือนอาสาสมัครที่นี่ เธอพูดไทยได้ชัดถ้อยชัดคำเลยทีเดียว พี่สันโดษให้เธอมาบรรยายให้พวกเราฟังด้วย แถมท้ายเป็นแม่ครัวทำอาหารมื้อกลางวันให้พวกเราทานด้วยครับ
มื้อกลางวันของเราครับ มีการหุงข้าวโดยใช้กระบอกไม้ไผ่ด้วย มีการทำอาหาร เมนูมื้อกลางวันคือ ไข่เจียว และผัดผัก และทาง ททท.ได้เตรียมไก่ทอดและน้ำพริกเอามาเสริมให้ มื้อนี้ผมได้ใช้ช้อนและถ้วยไม้ไผ่ด้วยครับ
สำหรับผู้ที่สนใจที่จะเข้ามาเรียนรู้การใช้ชีวิตแบบพึ่งพาธรรมชาติ ใช้ชีวิตแบบพอเพียง สามารถแวะมาเยี่ยมชมที่ไฮ่อุ้ยต๋าคำได้นะครับ ที่นี่อยู่ห่างจากตัวเมืองปาย ประมาณ 6 กม เองครับ หรือจะมาพักค้างคืนเอาบรรยากาศโฮมสเตย์แบบวิถีคนโญน ก็สามารถมาได้ พี่สันโดษคิดค่าบริการ 150 บาท/คน/คืนครับ ท้ายนี้ต้องขอขอบคุณพี่สันโดษที่แบ่งปันความรู้ให้กับพวกเรานะครับ
จากนั้นเดินทางกันต่อสู่สะพานประวัติศาสตร์ปายครับ
แต่เดิมสะพานแห่งนี้เป็นสะพานไม้ สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพญี่ปุ่นใช้เป็นเส้นทางจากเชียงใหม่ผ่าน อ.ปาย ไปยังประเทศพม่า ภายหลังสงครามได้มีการถอดแยกชิ้นส่วนของสะพานนวรัฐในตัวเมืองเชียงใหม่ มาประกอบใหม่ที่นี่ครับ
บริเวณปลายสะพานประวัติศาสตร์ทั้งสองด้าน ปัจจุบันเต็มไปด้วยร้านขายของที่ระลึกมากมาย และที่ผมเตะตามากที่สุดคือ จะมีเด็กน้อย และผู้ใหญ่ อย่างละหนึ่งคน แต่งตัวเป็นทหารญี่ปุ่น ไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูปด้วยกันครับ ได้บรรยากาศแบบญี่ปุ่นดีครับ
หลังจากเดินอาบแดดกันที่สะพานประวัติศาสตร์ปายแล้ว เราเดินทางกันต่อโดยใช้เส้นทางย้อนกลับไปทางเชียงใหม่ จากสะพานประวัติศาสตร์ไปอีกประมาณ 5 กม. ก็จะมาเจอแยกขวามือเพื่อเข้าสู่ป่าสนวัดจันทร์ครับ แต่จุดหมายต่อไปของผมอยู่ที่ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงวัดจันทร์ครับ
ระหว่างทางจะพบน้ำพุร้อนธรรมชาติอยู่ข้างถนนเลยครับ น้ำพุร้อนนี้ กฝผ.ได้เจาะสำรวจไว้เมื่อ พ.ศ.2536 ความลึกที่เจาะลงไปประมาณ 100 เมตร แต่น้ำพุร้อนพึ่งจะประทุขึ้นมาเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2556 นี่เองครับ สามารถเอาไข่ไปต้มไปลวกได้ตามสะดวก บริเวณบ่อจะมีน้ำพุพุ่งขึ้นมาตลอดเวลา สูงราว 1 เมตรครับ
จากนั้นมุ่งหน้าต่อสู่ อ.กัลยาณิวัฒนา เพื่อมาเยี่ยมชมศูนย์พัฒนาโครงการหลวงวัดจันทร์ ที่นี่เป็นศูนย์ส่งเสริมพัฒนาอาชีพและรายได้ให้เกษตรกรให้พออยู่พอกิน นอกจากนี้ยังใช้เป็นแปลงสาธิตเพื่อทดสอบพืชพันธุ์ใหม่ ๆ โดยเน้นความต้านทานโรคและคุณภาพผลผลิต ผลผลิตที่นี่ก็มีหลายชนิดมากครับ ทั้งผักและผลไม้
จุดแรกที่น้องเจ้าหน้าที่พามาเยี่ยมชมคือโรงคัดแยกผักและผลไม้ครับ ตอนที่ผมไปเขาคัดแยกกันเสร็จหมดแล้ว เลยไม่ค่อยได้เห็นผลผลิตที่หลากหลายเลย ถ้าหากใครจะมาซื้อผลผลิตที่นี่คงต้องเช็ควันเวลาอีกทีนะครับ เพราะการซื้อขายที่นี่จะทำได้แค่ซื้อขายกับเกษตรกรโดยตรง ศูนย์จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการซื้อขายครับ
จุดต่อไปคือแปลงสตอเบอรี่ ที่มีผลผลิตอยู่แทบทุกต้น แต่ผลจะเป็นขนาดย่อม ๆ ครับ
ข้าง ๆ แปลงสตอเบอรี่เป็นแปลงผักหลากหลายชนิดครับ เช่น กะหล่ำปลีรูปหัวใจ ผักกาดหอมห่อ คะน้า แล้วผักชื่อแปลก ๆ อีกเยอะเลยครับ
นอกจากผักแล้ว ที่นี่ก็ยังมีผลไม้หลากหลายเหมือนกันครับ ช่วงที่ผมไปเป็นช่วงสตอเบอรี่ ส่วนภาพที่เห็นคือดอกบ๊วยครับ ดอกสีขาวเป็นพวง สวยมาก ๆ ครับ นอกจากนี้ที่นี่ยังปลูกส้ม อะโวกาโด พลับ พลัมมะม่วงนวลคำ และสาลี่ครับ
มีแปลงเพาะกล้าหลากหลายพันธุ์มาก ๆ
ช่วงที่ผมไป ยังพอโชคดีได้เจอเมเปิ้ลแดงด้วยครับ ถึงแม้จะมีไม่กี่ใบ ก็ทำให้คณะผมตื่นเต้นกันใหญ่เลย
ที่นี่ยังมีสวนสนสามใบกินพื้นที่ค่อนข้างกว้างเลยครับ มีทั้งต้นใหญ่และต้นเล็ก จากภาพนี่ขนาดกลาง ๆ นะครับ ลำต้นประมาณหนึ่งคนโอบครับ
หลังจากใช้เวลาเยี่ยมชมที่ศูนย์พัฒนาฯ กันพอสมควรแล้ว ผมก็เดินทางย้อนกลับมานิดหน่อย เพื่อเข้าที่พักของเราในคืนนี้ คือที่โครงการหลวงบ้านวัดจันทร์ ที่นี่อยู่ในความดูแลของอุตสาหกรรมป่าไม้ครับ
มาถึงก็จัดแจงเก็บของเข้าที่พักกันก่อนเลยครับ คืนนี้ผมได้ห้องพักริมน้ำ เป็นบ้านหลังใหญ่ 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ภายในห้องไม่มีโทรทัศน์ ไม่มีตู้เย็น ไม่มีพัดลม ไม่มีแอร์ ครับ ที่นี่เหมาะกับการพักผ่อนจริงๆ เรียกได้ว่าตัดขาดจากโลกภายนอกก็ยังได้ครับ แต่ถ้าหากว่าใครติดโทรทัศน์จริง ๆ สามารถไปดูที่ส่วนกลางได้นะครับ ด้านหลังห้องที่ผมพัก เมื่อมองออกจากหน้าต่างจะมองเห็นอ่างเก็บน้ำได้ด้วยครับ ขอบอกว่าบรรยากาศดีมาก ๆ ครับ
หลังจากเก็บของเข้าห้องพักเรียบร้อยแล้ว ผมยังเห็นมีเวลาเหลืออีกเยอะ เลยออกไปปั่นจักรยานชมพื้นที่รอบ ๆ ป่าสนวัดจันทร์ ที่นี่มีบริการให้เช่ารถจักรยานแบบมีเกียร์ปั่นด้วยนะครับ จุดหมายแรก ผมปั่นย้อนออกไปที่ประตูทางเข้าของป่าสนวัดจันทร์ เพราะผมเห็นดงของต้นผลไม้อะไรสักอย่างกำลังออกดอกสีขาวอยู่เต็มไปหมด บางช่อยังเห็นผลอ่อนของผลไม้นั้นด้วย ลักษณะคล้ายผลแอบเปิ้ลลูกเล็ก ๆ แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นต้นแอบเปิ้ลหรือเปล่า
จากนั้นปั่นต่อไปอีกหน่อยจนไปเจอทิวของต้นเมเปิ้ล ยังพอได้เห็นใบสีแดงอยู่บ้าง นี่ถ้าหากว่าได้มาในช่วงที่ใบเมเปิ้ลเปลี่ยนสี บริเวณนี้คงจะสวยมาก ๆ เลยครับ
จากนั้นผมปั่นจักรยานต่อจนถึงเวลานัดทานอาหาร มื้อเย็นมีอาหารหลายอย่างเชียวครับ แต่ผมพลาด ลืมถ่ายเมนูมาให้ชมเลยครับ หลังอาหารรีบกลับห้องพักครับ เพราะอากาศเริ่มเย็น คืนนี้ไม่ต้องพึ่งแอร์ หรือพัดลมแต่อย่างใด คงจะต้องพึ่งผ้าห่มหนา ๆ แทนครับ
เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นตอน 06.00 น. ผมชะโยกหน้าออกไปดูวิวทางหน้าต่างบนหัวเตียง สิ่งที่เห็นคือหมอกขาวโพลนเต็มไปหมด อ่างเก็บน้ำที่ผมเห็นเมื่อวานอันตรทานหายไปในสายหมอก ผมเลยล้มตัวนอนต่อ ตื่นมาอีกทีเกือบเจ็ดโมง รีบตาลีตาเหลือกอาบน้ำและเก็บข้าวของเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางกลับให้เรียบร้อยซะก่อน เมื่อเก็บข้าวของเสร็จก็รีบจ้ำอ้าวไปที่อ่างเก็บน้ำทันที โชคเข้าข้างผมครับ ดวงอาทิตย์มาพร้อมกับแสงสีทอง สาดส่องไปทั่วบริเวณอ่างเก็บน้ำเลยครับ
จากสันเขื่อน มองไปทางต้นน้ำครับ หมอกหนา ๆ ยามเช้าเริ่มจางหาย มองให้เห็นผิวน้ำที่ยามนี้สะท้อนเงาสน ใสราวกับกระจกเลยครับ
มองย้อนกับไปอีกด้าน เห็นศาลาอยู่กลางทุ่งกับบรรยากาศด้านหลังเป็นป่าสน ที่ยามนี้มีสายหมอกเคลียคลออยู่ที่ยอดสน สุดยอดความสวยจริง ๆ ครับ
ผมเดินย้อนไปทางพื้นที่เหนืออ่างเก็บน้ำ มุมนี้ก็สวยงามมาก ๆ เช่นกัน มีบางมุมคล้ายกับที่ปางอุ๋งเลย แต่ผมชอบที่นี่มากกว่าที่ปางอุ๋ง เพราะผู้คนไม่พลุกพล่านครับ ผมไม่แปลกใจเลยที่ทำไมปีนี้ ททท.จึงจัดให้ป่าสนวัดจันทร์เป็น 1 ใน 10 Dream Destinations กาลครั้งหนึ่ง..ต้องไป
ผมใช้เวลาที่อ่างเก็บน้ำราว 1 ชั่วโมง ซึ่งเป็น 1 ชั่วโมงที่ผ่านไปอย่างรวดเร็วมากๆ ยังไม่ทันตักตวงความสุขที่อยู่เบื้องหน้าได้อย่างเต็มที่เลย ผมจำใจต้องรีบสาวเท้าเพื่อไปให้ทันเวลาที่คณะนัดทานอาหารเช้า ผมรีบทานเพื่อให้มีเวลาเหลือพอที่จะมาเก็บบรรยากาศในมุมอื่น ๆ ก่อนที่จะออกเดินทางกลับครับ
ร้านค้าที่อยู่ตรงข้ามกับสำนักงาน จะเป็นร้านที่ขายของที่ระลึก มีของกระจุกกระจิกน่ารักเยอะเลยครับ ที่เตะตาผมคือโมบายพวกนี้ น่ารักมาก ๆ
ข้าง ๆ ของร้านค้าจะมีทางเดินไม้เล็ก ๆ ทอดตัวไปยังทางออกด้านหน้า มีพันธุ์ไม้นานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นไม้ใบไม้ดอกเต็มไปหมด มีมอสขึ้นอยู่ตามราวสะพาน บ่งบอกถึงความชุ่มชื้น นี่ถ้าหากมาในช่วงฤดูหนาว บริเวณทางเดินไม้นี้จะเต็มไปด้วยดอกนางพญาเสือโคร่ง อารมณ์เกาหลี ญี่ปุ่นชัดๆ ผมตั้งใจว่าคงจะหาโอกาสมาที่นี่อีกครั้งในช่วงลมหนาวมาทักทายครับ
เมื่อสมาชิกพร้อม รถพร้อม เราก็ออกเดินทางกันต่อ จุดหมายปลายทางต่อไปอยู่ที่วัดป่าดาราภิรมย์ แต่ระหว่างทางเราแวะทานอาหารกลางวันกันที่ร้านสวนหมอกฟ้า ร้านเล็ก ๆ ริมถนนสาย เชียงใหม่-ปาย
เมนูมื้อนี้เหมือนเรามาเที่ยวทะเลเลยครับ เพราะเมนูแต่ละอย่างที่ทางทีมงานได้จัดเตรียมให้เรา 4 ใน 6 อย่างเป็นอาหารทะเลครับ ผมไม่แน่ใจว่าเจ้าของร้านที่นี่เป็นคนใต้หรือเปล่า หรือว่าอาจจะเป็นคนที่ชอบทานอาหารใต้ก็เป็นได้ เพราะเมนูแต่ละอย่างล้วนเอาใจคนใต้ครับ ไม่ว่าจะเป็นยำน้ำบูดู สะตอ และอีกหลายเมนูมาก ๆ ที่เกี่ยวกับทางใต้ครับ ภายในร้านจะมีมุมกาแฟเล็ก ๆ ด้วยครับ
จากร้านสวนหมอกฟ้า เรานั่งรถต่ออีกไม่กี่อึดใจ ทางทีมงานก็พาพวกเราแวะซื้อสตอเบอรี่กันครับ สมาชิกก็ไม่ให้ทีมงานเสียน้ำใจ หยิบจับกันได้คนละกล่องสองกล่อง เมื่อได้ของฝากกันครบทุกคนแล้ว ก็เดินทางกันต่อมุ่งหน้าสู่วัดป่าดาราภิรมย์ครับ
วัดป่าดาราภิรมย์เป็นพระอารามหลวง ตั้งอยู่ที่ อ.แม่ริม เดิมพื้นที่นี้เป็นป่าช้าร้างติดกับตำหนักดาราภิรมย์ ต่อมาพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ได้ใช้ที่นี่เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมกรรมฐาน จนชาวบ้านเกิดความเลื่อมใสศรัทธา จึงได้ร่วมกันสร้างเสนาสนะป่าขึ้นมีกุฎิและศาลา เดิมทีเดียวตั้งชื่อว่า “วัดป่าวิเวกจิตตาราม" หรือ “วัดป่าเรไร" ต่อมาทายาทของพระราชชายาเจ้าดารารัศมีได้ถวายที่ดิน พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น"วัดป่าดาราภิรมย์" จนถึงปัจจุบันครับ
เมื่อผ่านเข้ามาจากหน้าประตูวัด ด้านซ้ายมือจะพบพระวิหารหลวง สร้างขึ้นในวโรกาสที่วัดได้รับสถาปนาขึ้นเป็นพระอารามหลวง โดยจำลองมาจากหอคำของเจ้าหลวงเชียงใหม่ในสมัยโบราณ โดดเด่นทั้งในเรื่องการแกะสลัก ปูนปั้นและลายคำแบบล้านนา ด้านในพระวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระประธานทรงเครื่องในมณฑปปราสาทพร้อมทั้งพระบรมสารีริกธาตุ ยอมรับว่าเมื่อผมก้าวเข้ามาในกุฎิ ผมถึงกับอึ้งในความงดงาม แว่ว ๆ มาว่ามใช้ทุนทรัพย์ในการก่อสร้างประมาณ 15 ล้านบาทเลยทีเดียว
ถัดมาหน่อยเป็นพระธาตุเจดีย์พระพุทธบาทสี่รอย เป็นมหาปูชนียสถานสำคัญของวัดและของท้องถิ่นครับ ภายในประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลองและพระบรมสารีริกธาตุซึ่งได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่อยากให้พลาดชม ตั้งอยู่ใจกลางวัดเลย คือมณฑปพระจุฬามณีศรีบรมธาตุ (หอแก้ว) ครับ แต่เดิมเป็นศาลาปฏิบัติธรรมมีหลังคาซ้อนกัน 4 ชั้น ยอดมณฑปเป็นรูปทรงปราสาทเจดีย์ปิดทองคำหุ้มจังโก ศิลปะล้านนาไทยผสมผกุลไต
ภายในมณฑปพระจุฬามณีศรีบรมธาตุเป็นที่ประดิษฐานพระทันตธาตุพระบรมสารีริกธาตุครับ งดงามไม่แพ้พระวิหารหลวงเลยครับ
ทางวัดได้ทำป้ายเขียนเป็นบทกลอนที่ให้แง่คิดดี ๆ เพื่อให้ญาติโยมที่มาเที่ยวชมได้อ่านแล้วเก็บนำไปพิจารณาและเอาไปใช้กับชีวิตประจำวัน โดยจะเขียนติดไว้ที่ตามต้นไม้ครับ ซึ่งช่วงที่ผมไป ต้นไม้ต่างแข่งกันออกดอก สวยงามมากๆ ครับ
สมควรแก่เวลาแล้วที่จะต้องเดินทางไปยังสนามบิน ขากลับนี้เราเดินทางด้วยเที่ยวบิน FD3432 ในเวลา 17.30 น.ครับ
ปัจจุบันการเดินทางมาที่ปาย ไม่เป็นเรื่องยุ่งยากอีกต่อไปครับ เพราะเดี๋ยวนี้แอร์เอเชียได้เปิดตัวบริการใหม่เที่ยวบินพร้อมรถรับส่ง (City transfer) เส้นทาง ไป-กลับ กรุงเทพ-ปาย และ กรุงเทพ-สุโขทัยโดยสามารถจองตั๋วในครั้งเดียวเลย ซึ่งจะมีรถตู้จากสนามบินสู่จุดรับส่งในทั้ง 2 เส้นทางครับ สำหรับเส้นทางไป-กลับ กรุงเทพ-ปาย นั้น จากสนามบินดอนเมือง จะบินมาลงที่เชียงใหม่ จากนั้นจะมีรถตู้จากสนามบินเชียงใหม่พาไปยังสถานีขนส่งปายเลย สะดวกและรวดเร็วไม่เสียเวลาในการไปหารถต่อเองครับ
เย็นนี้ฟ้าสวยมากครับ มองออกไปนอกหน้าต่างเห็นเมฆก้อนโตเหมือนสำลีเลย เห็นแล้วอยากจะกระโจนลงไปด้านล่างจัง
มื้อเย็น Air Asia ได้จัดเตรียมอาหารระหว่างอยู่บนเครื่องให้กับพวกเรา เมนูสำหรับรอบนี้คือสเต๊กไก่ครับ
หมดจากเมฆก้อนโต ตอนนี้กลับกลายเป็นระรอกเมฆอยู่เต็มน่านฟ้าครับ เมื่อริ้วเมฆกระทบกับแสงของดวงอาทิตย์ที่ใกล้ลับเหลี่ยมฟ้า ทำให้เกิดแสงเงาที่สวยงามมาก ๆ
ตื่นตาตื่นใจกับก้อนเมฆได้ไม่นานนัก มองออกไปข้างนอกอีกทีเห็นหลังคาบ้านเต็มไปหมด บ่งบอกให้รู้ว่าเราเดินทางมาถึงกรุงเทพโดยสวัสดิภาพแล้วครับ
ทริปนี้ผมต้องขอขอบคุณ ทีมงานชุมชนคนเที่ยวเหนือ (Go North Thailand) โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ที่จัดกิจกรรมดี ๆ แบบนี้ให้กับแฟนเพจทาง FB และที่ลืมขอบคุณเสียไม่ได้คือ Air Asia สายการบินราคาประหยัดที่ดีที่สุดในโลก 5 ปีซ้อน ที่เป็นสปอนเซอร์ในการเดินทางทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นตั๋วเครื่องบิน โหลดน้ำหนักกระเป๋า รวมถึงอาหารบนเครื่องให้กับคณะของเรานะครับ ขอบคุณมากครับ
ลุงเสื้อเขียว
วันศุกร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 15.33 น.