ที่นี่...หลวงพระบาง

จะเล่าเรื่องราวเริ่มต้นจากตรงไหนดี


ที่หลวงพระบางมีความตราตรึงใจเต็มไปหมด

#เริ่มจากการเดินทางแล้วกัน

ทริปนี้เดินทางด้วยบางกอกแอร์เวย์

เนื่องจากอยากกินข้าวต้มมัด อืมมม ฟังดูสมเหตุสมผล



บางกอกแอร์เวย์นั้นมีวันละ ๒ ไฟลท์

คือ ขาไปมีไฟลท์เช้า กับ บ่าย ขากลับมีไฟลท์ เที่ยง กับเย็น

ในแต่ละช่วงเวลาอาจไม่เป๊ะนะคะเช็คเวลาแน่นอนได้ตามนี้ค่ะ

http://www.bangkokair.com/tha



ใช้เวลาเดินทางเพียง 1 ชั่วโมง 10 นาที



เราไปไฟลท์ 14:25 ขากลับไฟลท์ 16:40

ระหว่างรอขึ้นเครื่องก็นั่งกินข้าวต้มมัดวนไป

ส่วนอาหารบนเครื่องก็ประมาณนี้ค่ะ พอกินได้ อย่าถามว่าอร่อยไหม 555
บางกอกแอร์เวย์มีโปรฯหลวงพระบางบ่อยนะคะ ลองเช็คดู


แต่ความที่ทริปเราคือ นึกอยากไปก็ไป เลยไม่ได้ตั๋วโปรฯอะไรทั้งนั้น

แต่ก็ไม่ถือว่าแพงมากนะคะ ถ้าเทียบกับสมัยก่อน

เราสองคนค่าตั๋วไปกลับ หมื่นสี่กว่า ๆ จำตัวเลขแน่นอนไม่ได้หละค่ะ



#เมื่อไปถึงสนามบินหลวงพระบาง

ก็เดินผ่านช่องสำหรับคนไทยได้เลยค่ะ แป๊บเดียวเรียบร้อยผ่านสบาย
#ค่าเงิน

1 บาทเท่ากับราว ๆ 250 กีบ มากน้อยกว่านี้แล้วแต่ช่วงนะคะ

จะแลกเงินลาวหรือจะใช้เงินไทยเลยก็ได้

(แต่ตังส์ทอนจะเป็นเงินลาวนะ)



#จากสนามบินเข้าเมืองยังไง

จะมีรถแวนไปส่งตามโรงแรมที่เราต้องการ

ซื้อตั๋วรถได้ที่เคาน์เตอร์สนามบินเลยค่ะ

ราคาคนละ 25,000 กีบ



#อาหารการกิน

ก็เหมือนบ้านเราแหละค่ะ ไม่แตกต่าง ร้านอาหารเพียบ เยอะแยะมากมาย อร่อยด้วย

แต่ครั้งนี้รู้สึกอาหารจืดลง คงเพราะ นทท.เยอะขึ้น

รสอาหารจึงต้องรองรับลิ้นต่างชาติ ไม่ดุเด็ดเผ็ดมันเหมือนเคย (รึเปล่า)เอาหละมาดูวันแรกก่อน

เดินทางมาถึงก็นั่งรถแวนไปส่งถึงหน้าที่พักเลย

เราพักสายน้ำคานริเวอร์วิว ตั้งอยู่ริมแม่น้ำคาน จองตรงกับเวปของโรงแรม



ตามนี้ค่ะ

https://www.facebook.com/paramee.naprasri/media_set?set=a.10212073012771821.1073741956.1569631426&type=3

ราคา 2 คืน อยู่ที่สองพันกว่า ๆ ไม่แน่ใจอีกเช่นกันว่ากว่าไปเท่าไหร่

ปู้จายที่ไปด้วยเป็นคนจองและจ่ายค่ะ 5555



จริง ๆ หลวงพระบางที่พักเยอะมากกกกกก

ไม่ต้องจองล่วงหน้าก็ได้นะเราว่า มาเดินหาเอาก็ได้

มีตั้งแต่เกตเฮ้าส์ราคา 4-500 บาท จนถึงโรงแรมหรูราคาหลักหมื่น



ขอบอกว่าเกตเฮ้าส์ราคาไม่กี่ร้อยก็ไม่น่าเกลียดนะ

เราเคยพักมาแล้วครั้งก่อนราคา 4 หรือ 500 นี่แหละ

ห้องแอร์ ห้องพักกว้างขวาง ห้องน้ำในตัว สะอาดหมดจด



มาดูห้องพักเถอะกันค่ะ



สายน้ำคานเป็นโรงแรมที่ปรับปรุงจากอาคารเก่าแก่


ด้านล่างเป็นร้านอาหารและห้องพักส่วนนึง ด้านบนเป็นห้องพักทั้งหมด



ห้องพักประมาณนี้

ราคาคืนละพันเศษ ๆ พร้อมอาหารเช้าสำหรับสองคน



ภายในห้องพักก็มาตรฐานทั่วไปเหมือนบ้านเราแหละ

สะอาด สบายกาย สบายใจ มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกทั่ว ๆ

ผ้าเช็ดตัว ครีมอาบน้ำ แชมพู กระติกน้ำร้อน ไม่มีไดซ์เป่าผมนะคะสาว ๆ



วิวรอบ ๆ ก็ประมาณนี้

ในส่วนของอาหารเช้า ก็มีให้เลือกว่าจะรับแบบฝรั่งหรือแบบพื้นเมือง


แต่ก็ไม่มีอะไรมากมายนะ แค่โจ๊ก ไข่ ขนมปัง ผลไม้ กาแฟ ไรงี้
ก็นั่งทานข้าว มองผู้คนผ่านไปมา เพลิน ๆ ดีค่ะ
วันแรกเราทานอาหารเช้าที่โรงแรม แต่วันต่อมา เราไปหาทานกันข้างนอก

เข้าที่พักเรียบร้อย พักพอหายเหนื่อยก็ออกไปหาข้าวเย็นกินค่ะ
ดูเหมือนร้านอาหารจะเยอะขึ้นกว่าครั้งก่อนที่เคยมา
ก่อนนี้เราฝากท้องไว้ที่ร้านแสงดาวสายน้ำคาน
แต่ครั้งนี้มาหาไม่เจอค่ะ ไม่รู้ปิดไปแล้วหรือเปล่า
เลยมากินตำหนักลาวแทน
ตำหนักลาวอยู่บนถนนเส้นหลักที่ผู้คนเดินเที่ยวกันแหละค่ะ
อยู่ตรงข้ามโรงแรมสันติวิลล่า


ไคทอด อันนี้ชอบมากกมาย
มันคือสาหร่ายน้ำจืดค่ะ อร่อยทีเดียว


อย่างอื่นก็เหมือนอาหารบ้านเราทั่ว ๆ ไป รสชาติดีค่ะ


ทานข้าวเสร็จก็เดินย่อยอาหารเสียหน่อย ชมร้านรวงต่าง ๆ และตลาดมืด



ร้านดื่มกินกลางคืนค่อนข้างเยอะ เปิดตั้งแต่กลางวันยันดึก

แต่เชื่อไหมคะ...ไม่มีความอึกทึกเลยสักนิด

ทุกร้านนักท่องเที่ยวแน่นนะ แต่ส่วนใหญ่นั่งดื่มกันเงียบ ๆ คุยกันเบา ๆ

กับเสียงดนตรีแผ่ว ๆ บางเบา



บางคนดื่มด่ำกับแอลกอฮอล์ตรงหน้า แล้วก็อ่านหนังสือไปด้วยเงียบ ๆ

#ในส่วนของตลาดมืด


ตลาดมืดนี่ความหมายตรงตัวนะคะ คือตลาดตอนกลางคืนนั่นเอง

ไม่ใช่ตลาดขายของผิดกฎหมายแต่อย่างใด

สินค้าส่วนใหญ่ก็สินค้าพื้นบ้านค่ะ หนักไปทางผลิตภัณฑ์จากผ้า

ผ้าทอ ผ้าปักต่าง ๆ สวยงาม ราคาสมเหตุสมผล

สิ่งนี้ดูเหมือนเป็นที่นิยม แต่เราก็ไม่เคยลองนะคะ


คงเป็นน้ำผลไม้ปั่นรวม ๆ กัน
เอาหละ กลับไปนอนดีกว่าเช้าตรู่วันที่สอง

ตื่นสายค่าาา เกือบหกโมง ตาลีตาเหลือกออกไปใส่บาตร

ไม่ทันค่ะคุณ ตลาดวาย พระกลับหมดหละ

อย่ากระนั้นเลย เดินถ่ายรูปเล่นก็ได้



เมืองนี้ก็นิ่ง ๆ เงียบ ๆ แบบนี้หละค่ะ

นักท่องเที่ยวเยอะ แต่ยังคงความเงียบงามไว้ได้เป็นอย่างดี



อากาศฤดูร้อน ยังเย็นสบาย

เดินไปเดินมา ถ่ายรูปเมือง ผู้คน ความเป็นอยู่


แวะพิพิธภัณฑ์เสียหน่อย ตั้งอยู่ตรงข้ามวัดพูสีเลยค่ะ
เราเคยเข้าชมด้านในแล้ว ครั้งนี้จึงขอเดินวนไปวนมาแค่ข้างนอกพอหละ
ยังเช้ามาก จึงยังไม่เปิด ผู้คนยังไม่มี ถ่ายรูปเงียบ ๆ ก็แสนสุขใจเนาะ

พิพิธภัณฑ์เดิมคือพระราชวังนั่นเอง
#ประวัติของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2447 สมัยเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์
สืบทอดต่อมาถึงสมัยเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา พระมหากษัตริย์องค์สุดท้ายของลาว

ภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองหรือที่ชาวลาวเรียกว่า “การปลดปล่อย”
รัฐบาลลาวได้เปลี่ยนพระราชวังหลวงมาเป็น “หอพิพิธภัณฑ์”

ค่าเข้าชม 30,000 กีบ นักท่องเที่ยวต้องแต่งตัวสุภาพ
และห้ามถ่ายรูปด้านในพิพิธภัณฑ์โดยเด็ดขาด


อาคารส่วนนี้คือหอพระบาง ใช้เป็นที่ประดิษฐานพระบาง
ซึ่งในช่วงปีใหม่ลาว ราว ๆ สงกรานต์บ้านเราค่ะ จะมีงานแห่พระบาง
เพื่อให้ชาวบ้านได้มีโอกาสสรงน้ำ
ครั้งก่อนที่เคยไป ได้มีโอกาสสรงน้ำพระบางด้วยค่ะ


เดินเล่นพอสังเขป ก็กลับที่พักไปทานมื้อเช้าก่อนดีกว่า
ระหว่างทางเดินกลับก็นัดแนะรถรับจ้างให้ไปรับที่โรงแรม
ประมาณ 9 โมงเศษ ๆ เพื่อไปเที่ยวตาดกวางสี
#รถรับจ้างหาได้ทั่วไปนะคะ ราคาต่อรองกันดู ส่วนใหญ่คนที่นี่ไม่ขี้โกงนะคะ
ไม่ได้เรียกราคาเกินจริงอะไรมากมาย คือก็มีเกินบ้างแหละ นิด ๆ หน่อย ๆ พอรับได้
ราคาที่เราได้ คือ 900 บาท เหมาเฉพาะเราค่ะ
ถ้าให้โรงแรมเรียกให้ก็ได้นะคะ จะได้ราคาถูกลงเพราะไปพร้อมกับแขกโรงแรมคนอื่นด้วย
น่าจะเฉลี่ยประมาณคนละ 200 บาทเห็นจะได้
แต่เราต้องการความสะดวกเฉพาะเราค่ะ เลยเหมา


รถก็ประมาณนี้

ได้เวลารถมารับ เอาหละ ไปน้ำตกกันเถอะ


ตาดกวางสีช่างดีต่อใจยิ่งนัก



เป็นน้ำตกที่สวยที่สุดในหลวงพระบาง เขาว่างั้น จริงหรือเปล่าเราก็ไม่รู้
เพราะไม่เคยไปน้ำตกอื่น ๆ ในหลวงพระบางเลย



นั่งรถรับจ้างราว ๆ ชั่วโมงไม่เกินนั้น ก็ถึงที่หมายหละค่ะ
มาคราวนี้แปลกใจ ดูเรียบร้อยสะอาดสะอ้านมาก
ครั้งก่อนนี่รกรุงรังสุด ๆ ครั้งนี้ดูดีงามตั้งแต่ลานจอดรถกันเลย


บริเวณลานจอดรถมีร้านขายของเยอะนะ


ทั้งของกิน ของที่ระลึก ก็ดูสะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อย



ร้านอาหารล้วนน่านั่ง น่ากิน

#ค่าเข้าน้ำตก


คนละ 20,000 กีบ ก็ 80 บาท

หลังจากผ่านทางเข้ามาแล้ว มาดูหมีกันก่อนค่ะ


ที่นี่จะมีศูนย์อนุรักษ์หมีด้วย ซึ่งเป็นหมีที่ได้รับการช่วยเหลือ

จากพวกลักลอบค้าสัตว์ป่าหรือทำทารุณกรรมสัตว์

หมีทุกตัวจะได้รับการอนุบาล เยียวยารักษาทั้งกายใจ

และมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขในที่แห่งนี้

อุดหนุนสินค้าเขาหน่อยนะคะ เป็นการสมทบทุนช่วยพี่หมี

หรือจะหยอดกล่องบริจาคก็ได้ค่ะ

ตัวนี้อุ้งเท้าหน้าหายไปอุ้งนึง


นอนสบายใจเลย


พื้นที่กว้างขวางค่ะ พี่หมีดูมีความสุขทุกตัวเลย

เอาหละไปดูน้ำตกกัน
ระหว่างทางเดินมีของขายเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นเสบียง น่ารักดี
สะอาดสะอ้านดีค่ะ แม้จะนั่งอยู่กับพื้นดินก็เถอะ


ตาดกวางสีเป็นเขาหินปูน น้ำตกจึงเป็นสีฟ้าสวย


ดูรูปกันไปเพลิน ๆ เนาะ
ตาดกวางสีเดินเพลิน ๆ ไม่เหนื่อย ไม่ต้องปีนป่ายอะไรค่ะ
เดินชมนกชมไม้ ชมน้ำตก หรือจะนั่งนิ่ง ๆ ปล่อยใจไปกับสายน้ำก็เพลิดเพลินจำเริญใจดี


นี่คือชั้นบนสุดหละค่ะ
แนะนำว่าควรมาแต่เช้านะคะ คนไม่เยอะ
เพราะตั้งแต่เที่ยงเป็นต้นไป คนเยอะขึ้นเรื่อย ๆ ค่ะ



น้ำค่อนข้างน้อย แต่ก็ยังสวยอยู่


เราชอบตาดกวางสี มันสะอาดสดใส
บริเวณโดยรอบไม่มีเศษขยะเลย ในตัวน้ำตกมีร้านอาหารนะคะ
แต่แลดูเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่มีแบบนั่งดื่มเคาะแก้วเคาะขวด เอะอะมะเทิ่ง ไม่มีเลย
พื้นดินพื้นหญ้าสะอาดมากมาย



แอบชอบถังขยะ


อิ่มใจดีมีความสุขก็กลับดีกว่า เริ่มหิวแล้ว


และคนเริ่มมากันเยอะขึ้น กลับเข้าเมืองหาอะไรกินเถอะ

กลับเข้าตัวเมืองแวะหาอะไรเบา ๆ กิน
โจมาค่ะ ความที่หิว และขี้เกียจเดินหาร้าน
เลยเดินเข้าโจมาสาขาใหม่ริมน้ำคาน ซึ่งอยู่ใกล้ที่พักเราเลย
โจมาค่อนข้างเป็นที่รู้จักกันดีของนักท่องเที่ยว
อาจเป็นเพราะเป็นร้านกาแฟที่มีมานานพอสมควร
เป็นร้านแรก ๆ ในหลวงพระบางก็ว่าได้
เมื่อก่อนมีร้านเดียว อยู่ใกล้ไปรษณีย์
ตอนนี้เปิดริมน้ำคานอีกสาขา



สาขานี้ไม่ค่อยมีคนแฮะ


โจมาเขาเด่นเรื่องเค้กนะคะ แต่เราไม่ชอบกินเค้กเลยไม่ได้สั่ง
สั่งมาแค่นี้ค่ะ
เครื่องดื่ม เราว่ารสชาติไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่


ของกินจำชื่อไม่ได้หละ ซื่อย๊าวยาว ก็อร่อยดี ชิ้นเบิ้มเลย
จริง ๆ สั่งมาจานเดียวกินสองคนยังได้เลย มันใหญ่มาก


ราคาค่อนข้างแรงอยู่ค่ะ ทั้งหมดนี้ตีเป็นเงินไทยก็เกือบ ๆ 700 บาท



ป.ล ไวไฟร้านโจมาด๋อยอย่างมาก หมุนติ้ว ๆ ไม่ถึงไหนมาไหลเลย



นั่งตากแอร์ให้สบายใจแล้วก็ไปเดินต่อค่ะ ไปวัดเชียงทองกันวัดเชียงทอง

ตั้งอยู่จุดที่แม่น้ำโขงกับแม่น้ำคายไหลมาบรรจบกัน

ค่าเข้าชม 20,000 กีบ

วัดเชียงทองนี่ถือเป็นไฮไลท์ของหลวงพระบางค่ะ ต้องมาชมค่ะ


สวยงามมากทีเดียว

บรรยากาศภายในวัด สงบนิ่งและเงียบค่ะ


นักท่องเที่ยวมีมาเยือนเรื่อย ๆ กรุ๊ปทัวร์ก็มี แต่ไม่มีเสียงดังเลย



ป.ล. หากลงบันไดไปอีกฝั่งประตูวัด ก็จะเป็นแม่น้ำโขง

ไปเดินชมเมืองกันต่อ




หลวงพระบางนั้นเป็นเมืองนิ่ง ๆ
แม้นักท่องเที่ยวจะเยอะ แต่ก็ยังคงความนิ่งไว้ได้อย่างดีทีเดียว
มีคนกล่าวว่า หลวงพระสูญเสียจิตวิญญาณของหลวงพระบางไปแล้ว
แต่เราว่าไม่ หลวงพระบางยังคงเป็นหลวงพระบางอยู่ ยังคงสงบนิ่งอย่างที่เป็นมา


เราสนุกกับการเดิน เดินไปเดินมาทะลุซอยนั้นซอยนี้
จริง ๆ มีจักรยานให้เช่านะ หาได้ทั่วไปตามร้านริมถนนแหละ
หรือถามจากโรงแรมที่พักก็ได้ ส่วนใหญ่ก็มีจักรยานไว้บริการ
แต่เราชอบเดินมากกว่า


วัดเยอะ ติด ๆๆ กันจนเรียกได้ว่าออกจากวันนั้นก็เข้าวัดนี้


ร้านรวงต่าง ๆ ก็เยอะเช่นกัน


เดินไปเดินมาจนเกือบห้าโมงเย็น ก็น่าจะได้เวลาขึ้นไปรอพระอาทิตย์ตกบนพระธาตูพูสี

พระธาตุพูสีอยู่ตรงข้ามพิพิธภัณฑ์เลยค่ะ
แต่ก่อนขึ้นไปนั้น อยากให้แวะวัดเล็ก ๆ วัดนี้ก่อน
ครั้งก่อนที่เคยมา เราก็ไม่ได้แวะ ไม่ได้สังเกตุการมีอยู่ด้วยซ้ำ
แต่ครั้งนี้ คนข้างตัวบอกว่า เราแวะเข้าไปดูกันเถอะ



"วัดป่าฮวก"


#เชื่อกันว่าสร้างโดยรัชกาลที่๕ของไทย ตั้งอยู่ตรงทางขึ้นพระธาตุพูสี
จะเห็นเป็นโบสถ์เดี่ยว ๆ เพียงหลังเดียว ไม่มีอาคารอะไรใดอื่น
ที่โบสถ์แห่งนี้มีจิตรกรรมฝาผนังภาพเขียนสีแห่งเดียวในหลวงพระบาง
ฐานพระในโบสถ์ มีป้ายติดไว้ว่า
วัดนี้สร้างโดยรัชกาลที่๕ ของไทย
จิตรกรรมฝาผนังที่เห็นเรามาค้นหาข้อมูลในภายหลัง
พบว่าเป็นงานจิตรกรรมที่ได้รับอิทธิพลรัตนโกสินทร์
ที่แห่งนี้ค่อนข้างทรุดโทรมเงียบเหงา
เนื่องมาจากไม่ค่อยมีใครรู้จัก
ทั้งที่นักท่องเที่ยวทุกคนที่ขึ้นพูสีต้องผ่านโบสถ์แห่งนี้
แต่คงไม่มีใครสังเกต จึงไม่มีใครแวะ

ใครไปเยือนหลวงพระบาง แวะเข้าไปดูนะคะ
ช่วยกันบริจาคใส่ตู้คนละเล็กละน้อย
ให้เขาได้มีทุนดูแล ซ่อมแซม
โบราณสถานจะได้อยู่คู่โลกต่อไป


เอาหละ ขึ้นไปวัดพูสีกัน
ในยามตะวันลอยคล้อยต่ำ ผู้คนมากมายขึ้นไปรอชมพระอาทิตย์ตกบนวัดพูสี
พระธาตุพูสี ตั้งอยู่กลางเมือง
มีทางขึ้นสองทางคือ
ด้านหน้าถนนตรงข้ามพิพิธภัณฑ์หลวงพระบาง
และด้านหลังซึ่งติดกับฝั่งแม่น้ำคาน

เราขึ้นด้านหน้า เป็นบันได 328 ขั้น
ก็ได้เหนื่อยเล็ก ๆ


บนพระธาตุพูสีนี้จะมองเห็นเมืองหลวงพระบางทั้งเมือง
เห็นทั้งสายน้ำคาน สายน้ำโขง


พระธาตพูสี


ฝั่งสายน้ำคาน


เมือง


ฝั่งสายน้ำโขง


บนนี้เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงาม
แนะนำว่าควรขึ้นไปรอตั้งแต่ก่อนห้าโมง
เพราะ มิเช่นนั้นคุณอาจไม่มีจุดให้ถ่ายภาพ
คนเยอะมากกกก ยิ่งใกล้ ๆ หกโมงนี่ คนแน่นไปหมด


การเฝ้ามองดวงตะวันลาขอบฟ้าที่นี่มีความพิเศษ
จังหวะที่อาทิตย์ค่อยคล้อยลอยต่ำ ทุกคนจะเงียบ
มีเพียงเสียงกระซิบกระซาบบางเบา



และเมื่อตะวันทั้งดวงลาลับ เสียงปรบมือก็ดังสนั่น
เรากับคนข้าง ๆ สบตายิ้มให้กัน


ไปเฝ้ามองพระอาทิตย์มาหลายต่อหลายที่


ไม่มีที่ไหนที่เรารู้สึกพิเศษและโรแมนติกเท่าที่นี่

.......................................................................



พระธาตพูสี เปิดทุกวัน ตลอดวัน

ค่าธรรมเนียมเข้าชมคนละ 20,000 กีบ

หรือประมาณ 80 บาท

อิ่มใจแล้วกลับที่พัก นอนแต่หัวค่ำ ตั้งใจตื่นใส่บาตรให้ทันวันรุ่งขึ้น

วันนี้ไม่พลาดมานั่งรอพระตั้งแต่ยังไม่ตีห้า มีผู้คนมานั่งรอกันมากมายแล้ว


พระจะเริ่มออกบิณฑบาตตั้งแต่ตีห้าเศษ ๆ


แต่ละวัดจะเดินแถวยาวไปตามเส้นทางต่าง ๆ

โดยประมาณแล้วราวสามร้อยรูป



การตักบาตร ที่นี่จะเป็นตักบาตรข้าวเหนียว และขนมนมเนย ของแห้ง

ส่วนกับข้าวนั้น ชาวบ้านจะนำไปถวายที่วัดเอง



ณ จุดนี้ คนมารอใส่บาตรก็รอใส่บาตร คนมารอถ่ายรูปก็รอถ่ายรูป

ความอลหม่านจึงเกิดขึ้นเล็กน้อยพอสนาน

การตักรบาตรของหลวงพระบาง จะว่าไปก็เป็นไฮไลค์ของที่นี่



เช้ามืดผู้คนมากมาย ทั้งคนท้องถิ่น ทั้งนักท่องเที่ยวจะมารอใส่บาตร

รวมถึงคนจำนวนมากที่มารอถ่ายรูป



วุ่นวายมั้ย? ก็มีบ้าง แต่เท่าที่เห็น

ก็ไม่มีใครถึงขนาดไปจ่อกล้องหน้าพระสงฆ์จนเป็นปัญหานะ

การตักบาตรของที่นี่รวดเร็วฉับไว


พระท่านเดินรับบาตอย่างรวดเร็ว ไม่มีการหยุดเดิน

แถวจะไหลไปเรื่อย ๆ

ของใส่บาตรนั้นก็มีแม่ค้าแม่ขายมาวางขายเยอะแยะ


เลือกซื้อได้ตามใจชอบ ราคาไม่ต่างกัน

ที่นั่งรอ ให้แม่ค้าจัดให้ก็ได้ ซื้อของเขาแล้วเขาบริการหาที่นั่งให้

และ...นอกจากคนรอใส่บาตร คนรอถ่ายรูป


ก็จะมีเด็กน้อยหรือคนยากจน ถือตะกร้า ถัง มาวางเป็นจุด ๆ ตามเส้นทางที่พระเดินผ่าน

เพื่อที่พระจะได้หย่อนของ ขนม อาหาร ลงในตะกร้าเหล่านั้น

เป็นการแบ่งปันแก่ผู้ยากไร้

ที่นี่เราไม่เห็นพระสงฆ์หรือศิษย์แบกของเป็นกระสอบกลับวัด

เพราะเมื่อบาตiพระเริ่มเต็ม ท่านก็จะหย่อนแบ่งปันให้คนยากจนเหล่านั้น

เราว่าครั้งก่อนนี้การใส่บาตรตอนเช้าดูอลหม่านกว่านี้


มาครั้งนี้ดูเหมือนมีการจัดระเบียบพอสมควร

เงียบนิ่ง งดงามอย่างที่ควรจะเป็น

ใส่บาตรเรียบร้อย อิ่มเอมใจ ก็ไปหามื้อเช้าให้อิ่มท้องกันเถอะ



มื้อเช้าของวันนี้เราไม่กินที่ รร.ค่ะ
เราไปกินร้านเดิมที่เราเคยกินเมื่อครั้งก่อน
ตอนนั้นอยู่ที่หลวงพระบางสี่หรือห้าวันนี่แหละ เราเดินมากินร้านนี้ทุกวัน
จริง ๆ ในรีวิวส่วนใหญ่แนะนำร้านประชานิยม แต่เราไม่เคยไปค่ะ
เราชอบร้านนี้ ชื่อร้าน? ไม่เห็นป้ายชื่อนะ เป็นร้านริมถนน


เนี่ย ร่มแดง ๆ ตรแยกนี้เลย อยู่เยื้อง ๆ กับร้านกาแฟดาว

นั่งกินไป ชมวิถีของผู้คนกันไป มีความสุขค่ะ

อิ่มหนำสำราญเดินกลับที่พัก
ระหว่างนั้นแวะข้าสสายน้ำคานไปดูสิ อีกฝั่งเป็นอะไร



เป็นหมู่บ้านค่ะคุณ เงียบมาก สงบมาก

สะพานนี้นักท่องเที่ยวจ่ายเงินค่าข้ามนะคะ คนละ 25 บาท


ข้ามมาโผล่อีกฝั่ง


เป็นความบ้าน ๆ ที่เราชอบมากเลย


ข้ามกลับมาพักผ่อนนอนเล่นอีกหน่อยก็เตรียมเชคเอาท์
ที่นี้ไฟลท์กลับเราเกือบห้าโมงเย็น หาอะไรทานเล่นแถวนี้ก่อนกลับจะดีกว่า
ตอนข้ามไปตะกี้เห็นมีร้านอาหารดูน่านั่งชิลล์ ๆ



เชคเอาท์เที่ยงก็ฝากของไว้เคาน์เตอร์แล้วข้ามไปร้านดังกล่าว



ชื่อร้านเย็นสบาย อืมมม เย็นสบายสมชื่อ

ร้านนี้แค่นั่งกินคงไม่พอ ต้องนอนกินกันเลยหละค่ะ

คือ เขาจัดโต๊ะเป็นซุ้ม ๆ กลางดงไม้ นั่งนอนเอนกายสบายใจ

มุมดี ๆ นั่งเพลิน ๆ เฝ้ามองผู้คนเดินเล่นริมน้ำ


รสอาหาร ก็ถือว่าใช้ได้


สลัดหลวงพระบาง อร่อยมากกกก

แต่อย่าสั่งกาแฟนะ มันแย่มาก 555
นั่ง ๆ นอน ๆ กินของว่าง


อ่านหนังสือ เสพบรรยากาศกันไป

เห็นนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นกลุ่มนึงกินเสร็จ ก็หลับกันตรงนั้นเลย ลมพัดเย็นสบาย



สมควรแก่เวลา ข้ามกลับ

ให้ รร.เรียกรถไปส่งสนามบิน
เช็คอินก่อนเวลาพอสมควร ก็นั่งกินข้าวต้มมัดชมวิวสนามบินวนไปค่ะ


บ๊ายบายหลวงพระบาง ฉันมีความสุขมากมายที่ได้มาหาเธอ
แล้วฉันจะมาอีก มาอีก และมาอีก



จบรีวิวแต่เพียงเท่านั้น ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาอ่านค่ะ

ความคิดเห็น