.

.

ทริปนี้ถือเป็นทริปรื้อฟื้นความทรงจำ และเยือนสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ ๆ สำหรับผม สถานที่บางแห่งเช่น ภูชี้ฟ้า ดอยผาตั้ง ดอยแม่สลอง ดอยอ่างขาง วัดร่องขุ่น ผมเคยมาเที่ยวครั้งสุดท้ายเมื่อหลายปีก่อน น่าจะร่วมห้าปีขึ้น สภาพแวดล้อมต่าง ๆ ก็เปลี่ยนไปเยอะครับ ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ ๆ ที่ผมได้ไปสัมผัสรอบนี้ หลายคนอาจจะเคยไปมาแล้ว แต่สำหรับผมถือเป็นครั้งแรกจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นม่อนแจ่ม ดอยช้าง ไร่ชาฉุยฟง ไร่บุญรอด วัดป่าอาชาทอง วัดป่าดาราภิรมย์ บางสถานที่เห็นคนแห่กันไปมากมาย แต่ความรู้สึกของผมกลับรู้สึกเฉย ๆ ในทางกลับกัน บางแห่งแทบไม่มีนักท่องเที่ยวเลย แต่ผมรู้สึกถึงความสวยงาม ก็อาจจะเป็นเพราะกระแสแรงโปรโมทของสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละแห่งก็เป็นได้ อัลบัมนี้ผมอยากจะเอาบรรยากาศเมืองเหนือยามเข้าฤดูหนาวมาแบ่งปันให้กับเพื่อน ๆ ที่ไม่มีโอกาสได้ไป ได้มาเห็น ได้มาสัมผัสในสิ่งที่ผมพาลพบมาครับ

ทริปนี้ผมมีเวลาท่องเที่ยว 4 วัน 4 คืน สำหรับการเดินทางในรอบนี้ครับ ผมจองที่พักตามสถานที่ท่องเที่ยวไว้ทั้งหมด 3 แห่ง (ไม่นับรวมคืนที่เชียงใหม่) โดยปักหมุดไว้ว่า คืนแรกนอนที่ภูชี้ฟ้า คืนที่สอง ที่บ้านดิน อ.แม่จัน จ.เชียงราย คืนสุดท้ายนอนที่ดอยอ่างขาง จ.เชียงใหม่ครับ

ผมเริ่มออกเดินทางจากบ้านช่วงเที่ยง มาถึงเชียงใหม่ประมาณทุ่มกว่า ๆ เมื่อรวมสมาชิกได้ครบ ก็เริ่มวางแผนกันคร่าว ๆ ว่าระหว่างวันจะไปเที่ยวที่ไหนกันบ้าง เดิมทีเดียวก็วางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่เพื่อความพึงพอใจของสมาชิกทั้งหมด เลยมาปรับเปลี่ยนกันอีกรอบ หนึ่งในสมาชิกเสนอว่า อยากไปเที่ยวม่อนแจ่ม เพราะยังไม่มีใครเคยไปเที่ยว จากนั้นจะไปต่อกันที่ดอยช้าง และมุ่งหน้าเข้าสู่ที่พักที่ภูชี้ฟ้า ผลสรุปออกมาเสียงเป็นเอกฉันท์ครับ

เจ็ดโมง ล้อหมุนจากโรงแรมในตัวเมืองเชียงใหม่ การเดินทางไปแม่แจ่มไม่ยากครับ ให้ยึดทางหลวงหมายเลข 107 สายเชียงใหม่-ฝาง ตรงไปเรื่อย ๆ จนถึงอำเภอแม่ริม บริเวณ กม.ที่ 17 ให้เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวง หมายเลข 1096 สายแม่ริม-สะเมิง เส้นทางนี้เริ่มโค้งไปโค้งมาบ้าง แต่ไม่มาก ระหว่างทางจะพบรีสอร์ทมากมาย และจะเห็นไร่สตอเบอรี่เป็นระยะ ๆ ขับรถมาเรื่อย ๆ จนถึง กม.ที่ 15 ให้เลี้ยวขวาที่บ้านโป่งแยก เส้นทางช่วงนี้ค่อนข้างแคบ ผิวจราจรถือว่าดีใช้ได้ แต่ค่อนข้างสูงชัน สองข้างทางจะเป็นบ้านของชาวบ้านแถวนั้น คงต้องขับรถด้วยความระมัดระวังครับ ขับต่อไปอีกประมาณ 5 กม. จะผ่านศูนย์พัฒนาโครงการหลวงหนองหอย ขับไปอีกประมาณ 1 กม. ก็ถึง "ม่อนแจ่ม" แล้วครับ ช่วงที่ผมไปจะเรียกว่า High season ก็ไม่น่าผิด เพราะมีวันหยุดพิเศษเนื่องจากเป็นวันพ่อ (พฤหัส) และวันรัฐธรรมนูญ (วันอังคาร) จึงทำให้นักท่องเที่ยวหลั่งไหลมาเที่ยวกันมากมาย เลยทำให้หาที่จอดรถลำบากมากครับจากจุดจอดรถ เราต้องเดินเท้ากันต่ออีกประมาณ 100 เมตรตามเส้นทางลาดชัน เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน แต่ถ้าหากใครไม่อยากเหนื่อย สามารถใช้บริการของรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างได้ครับ ค่าบริการ 20 บาท สองข้างทางตลอด 100 เมตร จะมีชาวบ้านมาตั้งร้านขายของด้วย เดินดูของไปด้วยก็เพลินดีครับ แป๊บเดียวก็ถึงด้านบนแล้ว

ผมขึ้นมาแล้ว ผมรู้สึกเฉย ๆ กับที่นี่ครับ มันไม่สวยเหมือนดังที่ผมเคยเห็นตามเว็ปต่าง ๆ อาจเพราะที่นี่มีข้อจำกัดเรื่องพื้นที่ บวกกับแรงโปรโมทจากนักท่องเที่ยวที่เคยมาตั้งแต่เริ่มเปิดให้ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ถ่ายภาพสวย ๆ มาโพสกัน ทำให้นักท่องเที่ยวรุ่นหลัง ๆ สนใจและมาเที่ยวที่นี่เป็นจำนวนมาก ผมว่าที่นี่มันดูโทรมมาก แปลงดอกไม้ก็ไม่สวย บางจุดก็โดนเหยียบย่ำจนไม่หลงเหลือความสวยงามไว้เลยครับ

ซุ้มร้านอาหารถูกจับจองเต็มไปหมด ดีที่ผมไม่ตัดสินใจมาฝากท้องทานเข้าเช้าที่นี่ ไม่งั้นคงต้องหิวไปตลอดช่วงเช้าแน่ ๆ

ม่อนแจ่มเริ่มเปิดตัวเมื่อปี 2552 เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่อยู่บนความสูงประมาณ 1,350 เมตร (รทก.) ในพื้นที่หมู่บ้านม้งหนองหอย อ.แม่ริมครับ

มาดูบริเวณแปลงดอกไม้กันบ้าง มองมุมกว้างแล้วมันไม่สวยผมเลยถ่ายแบบเจาะ ๆ มาครับ

ดอกป๊อบปี้หลากสีมาก ๆ

มีเด็กชาวเขามาให้บริการถ่ายรูปคู่ด้วยครับ

นอกจากนี้ยังมีพันธุ์ไม้ดอกอื่น ๆ ให้ชมอีกนิดหน่อยครับ

มาที่ม่อนแจ่ม ถ้าใครรักความสนุกและความท้าทาย ลองไปเล่นรถเลื่อนของชาวเขาดูนะครับ มีไว้ให้บริการด้วย อีกอย่างระหว่างทางที่ขึ้นมาถึงม่อนแจ่ม จะผ่านหลายม่อนมาก ๆ หากใครมีเวลาลองแวะเข้าไปเยี่ยมชมตามม่อนต่าง ๆ ดูนะครับ ผมขอลาม่อนแจ่มไปด้วยความสดใสของเด็ก ๆ ที่นี่ครับ

จุดหมายต่อไป ผมปักหมุดไว้ที่ดอยช้างครับ จากม่อนแจ่ม ผมมุ่งหน้าสู่ อ.เวียงป่าเป้า ขับผ่าน อ.แม่สรวยไปนิดหน่อยจะเจอแยกซ้าย เข้าไปยังดอยช้าง มีป้ายบอกทางอย่างชัดเจน ผิวการจราจรถือว่าดีมาก เส้นทางคดเคี้ยวไปตามไหล่ดอย

ระหว่างทางจะผ่านเขื่อนแม่สรวยด้วย มองจากบนรถจะมองเห็นพื้นที่เก็บน้ำของเขื่อนแม่สรวย สวยงามมากครับ จากทางแยกมาถึงดอยช้าง ระยะทางประมาณ 30 กม. ครับ

ดอยช้าง อยู่ในเขต ต.วาวี อ.แม่สรวย จ.เชียงราย เป็นยอดดอยสูงในเทือกดอยวาวี เป็นแหล่งต้นน้ำแม่กรณ์ สำหรับทที่มาของชื่อดอยช้างนั้นมาจากลักษณะของภูเขาที่มองดูคล้ายช้างแม่ลูกสองเชือกหันหน้าไปทางทิศเหนือ ตรงส่วนที่เป็นผาหัวช้าง มีความสูงประมาณ 1,800 เมตร (รทก.) ที่นี่จะมีอากาศเย็นตลอดทั้งปี ขนาดผมมาถึงที่นี่ตอนบ่ายแก่ ๆ แล้ว ยังสัมผัสได้ถึงความเย็นเลยครับ

แล้วก็มาถึงโรงผลิตกาแฟดอยช้างครับ จากลานจอดรถด้านขวามือจะเป็นโรงผลิตกาแฟ ที่มีโรงสำหรับการคัดแยกเมล็ด และยังมีลานตากเมล็ดกาแฟ ดูตื่นตาตื่นใจดีครับ ด้านซ้ายมือจะเป็นร้านกาแฟ ที่มีผลิตภัณฑ์จากดอยช้างจำหน่าย ไม่ว่าจะเป็นกาแฟผง แก้วน้ำที่ระลึก เสื้อ และยังมีกาแฟชงดื่มพร้อมเบเกอรี่ไว้คอยบริการด้วยครับ

ผลิตภัณฑ์จากดอยช้างครับ

หลังจากแวะยืดเส้นยืดสาย เติมพลังกันนิดหน่อยแล้ว ก็มุ่งหน้าสู่แปลงปลูกดอกไม้และผลไม้เมืองหนาวกันครับ ตรงนี้ผมขอแนะนำว่า หากใครขับรถเก๋งมา ไม่แนะนำให้ไปชมแปลงดอกไม้นะครับ เพราะสภาพเส้นทางถือว่าโหดมากครับ ระหว่างทางก็สามารถชมวิวไปได้เรื่อย ๆ

ด้วยความสูงกว่า 1,000 เมตร ที่ดอยช้างจึงเหมาะกับการปลูกกาแฟอาราบิกา มองไปทางไหนก็เห็นแต่ต้นกาแฟอยู่เต็มไปหมดครับ ด้านล่างเป็นอีกลานที่ตากกาแฟอยู่ครับ

มองเห็นหมู่บ้านดอยช้างด้วยครับ หลังจากหัวสั่นหัวคลอนตามสภาพเส้นทาง ไม่นานนักก็มาถึงแปลงปลูกดอกไม้ครับ แต่ผมว่าดอกไม้ไม่หลากหลายสักเท่าไร แต่ระหว่างทาง มองเห็นต้นนางพญาเสือโคร่งอยู่เต็มไปหมด เสียดายที่ช่วงที่ผมไป ดอกยังไม่บานครับ

มีต้นเมเปิ้ลด้วย เสียดายที่ใบยังไม่เปลี่ยนเป็นสีแดงครับ

ผมมุ่งหน้าสู่จุดชมวิว ไปได้นิดหน่อย ก็ขอจอดรถเพื่อประเมินสภาพเส้นทาง เพราะมันดูค่อนข้างลำบากขึ้น และเวลาผมก็มีจำกัดด้วย เกือบบ่ายสี่โมงแล้ว และยังเหลือระยะทางอีกไกลพอสมควรกว่าจะถึงภูชี้ฟ้า ผมเลยตัดสินใจเบี่ยงหัวกลับ และหวังไว้เล็ก ๆ ว่า ผมคงจะหาโอกาสกลับมาที่นี่อีกครั้งในช่วงจังหวะเวลาที่เป็นใจ ช่วงที่ดอกนางพญาเสือโคร่งบาน ที่นี่คงสวยงามไม่แพ้แหล่งชมดอกนางพญาเสือโคร่งชื่อดังอย่างดอยขุนแม่ยะ ขุนช่างเคี่ยนแน่ ๆ

ผมมาถึงที่ภูชี้ฟ้าราว 1 ทุ่ม ท้องฟ้ามืดสนิทไปแล้ว ก่อนเข้าที่พักก็เลยหามื้อเย็นทานกันใกล้ ๆ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว บรรยากาศค่อนข้างคึกคักเลยครับ เหมือนมีงานวัดเลย เพราะมีร้านอาหาร ร้านค้าอยู่เต็มไปหมด อากาศค่อนข้างเย็นทีเดียวครับ ระหว่างทานอาหารก็สอบถามข้อมูลการขึ้นไปยังภูชี้ฟ้า ได้ความว่า ช่วงเทศกาลแบบนี้ เขาไม่อนุญาตให้นำรถส่วนตัวขึ้นไปยังลานจอดรถที่เป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางเดินเท้าไปสู่ยอดดอยได้ ดังนั้นนักท่องเที่ยวจะต้องมาขึ้นรถสาธารณะที่บริเวณศูนย์บริการการท่องเที่ยวแห่งนี้ ด้วยค่าบริการ 20 บาท/เที่ยว (ไป-กลับ คนละ 40 บาท) แต่บางรีสอร์ทจะเหมารถสาธารณะไว้รอให้บริการกับลูกค้าของรีสอร์ทก็มีครับ ส่วนอัตราค่าบริการก็แล้วแต่ที่รีสอร์ทจะคิดครับ คืนนี้ผมพักที่ภูฟ้าสวรรค์ 1 ซึ่งห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวไปทางดอยผาหม่น 6 กม. ครับ

ผมมาถึงมืดแล้ว เลยเอาภาพบรรยากาศยามเช้ามาให้ชมกันก่อนครับ

ห้องที่ผมจองที่นี่เรียกว่าห้อง VIP มีเตียงใหญ่ 2 เตียง สามารถนอนได้ 4 คน มีทีวี น้ำดื่ม เครื่องทำน้ำอุ่น(ระบบแก๊ส) ให้พร้อมครับ เปิดประตูหลังห้องออกมาจะเป็นระเบียงไว้สำหรับชมวิวครับ ราคา 3,000 บาท รวมอาหารเช้าครับ

เช้าวันใหม่ ผมออกจากรีสอร์ทประมาณ 05.00 น. เพื่อมุ่งหน้าไปยังศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ซึ่งเป็นจุดขึ้นรถสาธารณะ (รถสองแถว) ครับ เรานั่งรถสาธารณะต่ออีกประมาณ 2 กม. ก็จะถึงจุดที่จะต้องเดินเท้าขึ้นไปสู่ยอดดอย

ระหว่างทางขึ้นยอดดอย ก็จะมีเด็กแม้วมาขายไฟฉายกันอย่างครึกครื้น บ้างก็มาร้องเพลงชาติ เล่นดนตรี เพื่อขอน้ำใจจากนักท่องเที่ยวอยู่ตลอดทาง จากจุดเริ่มเดินเท้าไปยังยอดภูชี้ฟ้า ระยะทางประมาณ 400 เมตรครับ

ผมเดินไปไม่ถึงยอดดอยหรอกครับ แต่ช่วงระหว่างเส้นทาง จะมีเส้นทางแยกขวามือ เพื่อไปยังอีกลูกเนินหนึ่ง ผมว่าจุดนี้เหมาะที่จะถ่ายรูปภูชี้ฟ้ามากที่สุด เพราะหากขึ้นไปด้านบนสุด ถ่ายรูปออกมาก็จะไม่ติดภูชี้ฟ้าครับ ลูกเนินลูกนี้มีพื้นที่เพียงนิดหน่อย ตอนที่ผมมาถึง นักท่องเที่ยวก็แห่มาจองพื้นที่กันเกือบเต็มแล้วเหมือนกัน แต่ผมก็พยายามแทรกตัวจนได้มุมที่จะถ่ายภูชี้ฟ้ายามแสงแรกได้สำเร็จครับ

ฟ้าเริ่มสว่างขึ้นบ้าง ผมมองไปยังท้องฟ้า แต่ก็ต้องถอดใจ ฟ้ายามนี้ไม่ใสตามที่ตั้งใจ มองไม่เห็นดาวสักดวง ผมหมดหวังที่จะได้เห็นแสงแรกของวันแล้วครับ

แต่ในความโชคร้ายก็ยังพอมีความโชคดีอยู่บ้าง เมื่อใกล้สว่าง (ราว 06.30 น.) กลุ่มเมฆที่อยู่กันอย่างหนาแน่น เริ่มขยับตัว พอให้แสงปรากฎออกมาครับ

ความงาม ณ ตอนนี้สะกดผมอยู่หมัด สายตามองไปยังกลุ่มก้อนเมฆที่ต่างแข่งกันระบายสี มือผมก็กดสายลั่นชัตเตอร์ ๆ อยู่ตลอดเวลา ไม่อยากละสายตากับความงามที่อยู่ตรงหน้าเลยจริง ๆ ครับ

เพียงเวลาไม่นานนัก ดวงอาทิตย์ก็โผล่มาต้อนรับเช้าวันใหม่ด้วยแสงสีทองที่สาดส่องไปทั่วบริเวณ

ได้มาเห็นสิ่งสวยงามแบบนี้ ผมลืมความง่วงนอน ความหนาวเหน็บนานนับชั่วโมงไปอย่างสิ้นเชิง คุ้มค่ากับการยอมตื่นแต่เช้าเสียจริง ๆ หลังชมแสงแรกของวันแล้ว ก็มาเดินหาซื้อของทานยามเช้าที่บริเวณศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เข้าไปเสริมกับอาหารเช้าที่รีสอร์ทครับ หลังอาหารเตรียมเดินทางกันต่อสู่ดอยผาตั้ง

ด้วยระยะทางประมาณ 30 กม. จากภูชี้ฟ้า ไม่นานเราก็มาถึงดอยผาตั้งครับ ดอยผาตั้งเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาดอยผาหม่น ซึ่งสูงถึง 1,635 เมตร (รทก.)

จากจุดชมวิวในวันที่ฟ้าเปิด สามารถมองเห็นฝั่งลาวและแม่น้ำโขงได้ ในภาพถ้าสังเกตดี ๆ ก็จะเห็นแม่น้ำโขงครับ จากจุดชมวิวเดินต่อขึ้นไปอีกหน่อยจะพบลานพระพุทธมังคลานุภาพลาภสุขสันติ ใครมาที่นี่แล้วแนะนำให้มานมัสการเพื่อความเป็นสิริมงคลนะครับ

จากลานพระพุทธมังคลานุภาพลาภสุขสันติ มองย้อนกลับไปจะเห็นเก๋งจีน ตั้งตะหง่านท่ามกลางขุนเขาครับ

อีกจุดที่ไม่ควรพลาด คือจุดชมวิวผาบ่องประตูสยาม มีลักษณะเป็นหน้าผาหินขนาดใหญ่ ตรงกลางเป็นเนินช่องเขาเหมือนประตู หากเดินผ่านช่องประตูนี้เข้าไปเรื่อย ๆ จะพบจุดชมวิวช่องผาขาด แต่ผมเดินไปไม่ถึงครับ

ถ้าหากใครยังพอมีกำลังเหลือ แนะนำให้ไปยังจุดชมวิวเนิน 102 ครับ จากจุดเดินเท้าไปยังจุดชมวิว ระยะทาง 300 เมตร จุดนี้สามารถชมวิว 360 องศาได้เลย ยามเช้ายังเป็นจุดชมทะเลหมอกที่สวยมาก ๆ ครับ

ผมพยายามดึงเวลาจนถึงเที่ยง เพื่อจะมาทานขาหมูหมั่นโถวที่ดอยผาตั้งแห่งนี้ จริง ๆ แล้วโปรแกรมมาภูชี้ฟ้ารอบนี้ ผมตั้งใจจะมาทานขาหมูหมั่นโถวร้านที่ผมจะพามาแนะนำในรีวิวนี้ครับ

ร้านที่ว่าคือร้านบ้านดินครับ ผมเคยมาทานที่นี่เมื่อหลายปีก่อน ครั้งนี้ยังลุ้นอยู่ว่าเขาจะปิดร้านไปแล้วหรือยัง แต่พอมาเห็นร้านเปิดอยู่ หัวใจก็พองโตทันทีครับ ร้านนี้บรรยากาศดี ถ้าใครมาทานแนะนำให้มานั่งตรงระเบียงนะครับ เพราะตรงระเบียงสามารถชมวิวภูเขาแบบพาโนรามาได้เลย นั่งทานอาหารไป ชมวิวไป มีความสุขที่สุดเลยครับ

เมนูแรก ไก่ดำผัดขิงครับ เสียดายงวดนี้ไก่ดำตัวเล็กไปนิด เนื้อเลยน้อยครับ

ตามมาด้วยไข่ม้วนยูนาน ด้านในไข่จะเป็นหมูหมักด้วยเครื่องเทศสไตล์ยูนาน เวลาทานแล้วจิ้มน้ำจิ้มบ๊วยอร่อยดีครับ หมูหมักเวลาทานแล้วมันเหมือนมีกลิ่นเครื่องเทศขึ้นจมูกนิดหน่อยครับ

ผัดถั่วหวาน กรอบ อร่อย หวานสมชื่อครับ

พระเอกของที่นี่ ต้องเมนูนี้เลยครับ ขาหมูหมั่นโถว ทั้งหมั่นโถวและขาหมู นิ่มมาก ๆ สำหรับขาหมูเมื่อทานเข้าไป เรียกได้ว่าละลายในปากเลยครับ

หลังจากอิ่มแล้ว เตรียมเดินทางกันต่อครับ

หลังออกจากดอยผาตั้งแล้ว จุดหมายต่อไปของผม ผมยังตัดสินใจไม่ได้เลยว่าจะไปที่ไหนต่อดี แต่คืนนี้ผมจองห้องพักที่ตัว อ.แม่จันไว้ ตอนนี้ผมมี 2 ทางเลือกสำหรับสถานที่เที่ยว คือ เข้าไปที่ไร่บุญรอดฯ และมาเก็บแสงเย็นที่ไร่ชาฉุยฟงแม่จัน กับทางเลือกที่สองคือไปที่ไร่ชาฉุยฟงดอยนางพญาไพร แล้วเข้าที่พัก (ไร่ชาฉุยฟง มี 2 แห่ง แห่งแรกคือไร่ชาฉุยฟงแม่จัน และอีกแห่งคือไร่ชาฉุยฟงดอยพญาไพร ซึ่งอยู่เส้นทางเดียวกับไปดอยแม่สลอง) ท้ายสุดเลยตัดสินใจขึ้นดอยฉุยฟงดอยพญาไพร แต่จะแวะหาข้อมูลของเส้นทางที่ไร่แม่จันก่อน จากการสอบถามเจ้าหน้าที่ ได้ความว่า หากขึ้นไปที่ดอยพญาไพรตอนนี้ จะไปถึงที่นั่นค่อนข้างมืดแล้ว ผมเลยตัดสินใจไม่ขึ้น เลยใช้เวลาเตร่อยู่ที่ไร่แม่จันนิดหน่อย หามุมถ่ายรูป พักดื่มกาแฟที่นี่สักแป๊บครับ

บรรยากาศของไร่ฉุยฟงแม่จันครับ กว้างใหญ่มาก ๆ

หลังจากพักเบรกกันพอสมควร เหลียวมองดูนาฬิกา เพิ่งจะ 16.00 น.นิดหน่อย ผมเลยตัดสินใจย้อนกลับเข้าตัวเมืองเชียงรายอีกรอบ เพื่อไปที่ไร่บุญรอด ระหว่างทางก็ลุ้นไปตลอดทางว่าจะไปถึงไร่ทันเวลา 17.00 น.หรือเปล่า เพราะเป็นเวลารอบสุดท้ายของรถฟาร์มที่จะพานักท่องเที่ยวชมด้านในของไร่บุญรอด แต่เนื่องจากการจราจรในตัวเมืองเชียงรายติดขัด ไฟแดงเยอะมาก ท้ายสุดผมก็ไปถึงไร่ ราว 17.30 น. แล้ว คงทำได้แค่เพียงชมอยู่ด้านนอกฟาร์มเท่านั้น

เมื่อมาเห็นด้านนอกฟาร์ม ผมรู้สึกว่าตัวเองตัดสินใจผิดขนัดที่ตัดสินใจไปที่ไร่ฉุยฟงก่อน แทนที่จะมาเที่ยวชมที่ไร่บุญรอด เพราะเพียงแค่ด้านนอกไร่ ก็เห็นการตกแต่งที่สวยงามขนาดนี้ ผมมาถึงหน้าไร่ พระอาทิตย์ก็เริ่มคล้อยแล้ว แสงเริ่มน้อย ตอนนี้ผมเลยรีบทำเวลาหามุมถ่ายรูปเพื่อเก็บบรรยากาศเป็นการด่วนครับ


ฉากหน้าคือทุ่งคอสมอส ฉากหลังคือทุ่งปอเทือง แข่งกันอวดสีสันอย่างสวยงาม

สิงห์ตัวยักษ์ตั้งอยู่กลางสนามหญ้า เด่นเป็นสง่าเลยจริง ๆ ครับ สิ้นแสงแล้ว ผมเลยรีบบึ่งไปที่วัดร่องขุ่นต่อ เผื่อจะได้เจอช่วงฟ้าบลูยามที่วัดร่องขุ่นเปิดไฟ วัดร่องขุ่นอยู่ไม่ไกลจากไร่บุญรอด ระยะห่างกันประมาณ 7 กม.ครับ

มาถึงวัดร่องขุ่น แอบผิดหวังนิดหน่อย เพราะทางวัดไม่เปิดไฟครับ แต่ก็ยังดีที่ฟ้าไม่มืดจนเกินไป ทันได้ฟ้าบลู แถมยังได้ไฟจากไฟทางส่องมายังอุโบสถอยู่บ้างครับ หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจในวันนี้แล้ว ก็ไปหามื้อเย็นทานในตัวเชียงราย ก่อนเข้าที่พักที่บ้านดินรีสอร์ทครับ

คืนนี้ผมพักที่บ้านดินรีสอร์ทครับ เป็นรีสอร์ทน่ารักที่แวดล้อมไปด้วยท้องนา ใครชอบบรรยากาศเงียบ ๆ ผมว่าที่นี่เหมาะมากครับ



คุณมิตร เจ้าของรีสอร์ท อัธยาศรัยดีมาก ๆ ครับ มาแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในวันรุ่งขึ้นให้ผมอย่างละเอียด

ห้องที่ผมจอง เป็นบ้านหลังใหญ่ ที่ภายในแบ่งเป็น 2 ห้องนอน 1 ห้องดูทีวีครับ

เปิดประตูเข้ามา จะเจอห้องดูทีวี มีตู้เย็นให้พร้อม ด้านหลังม่านจะเป็นประตูที่เปิดออกไปจะเป็นที่นั่งเล่นริมบ่อน้ำครับ

ห้องทั้งสองจะอยู่ขนาดข้างของห้องดูทีวีครับ

ด้านในห้องพัก เรียบง่าย ดูน่ารักดี มีแอร์ให้ด้วย แต่ ณ เวลานี้แค่แง้มหน้าต่างก็หนาวแล้วครับ ทั้งสองห้องตกแต่งเหมือนกันครับ

แต่ละห้องนอน จะมีห้องน้ำอยู่ในตัวครับ

ภายในห้องน้ำ มีเครื่องทำน้ำอุ่นระบบแกสให้ด้วยครับ

แบบบ้านหลังอื่น ๆ ครับ ภายในบ้านไม่มีกลิ่นดินครับ คืนนี้ขอตัวพักผ่อนก่อนครับ เพื่อเตรียมลุยต่อในวันพรุ่งนี้ครับ

เช้าวันใหม่ ผมมีโปรแกรมที่วัดถ้ำป่าอาชาทอง ที่นี่ถือเป็น Unseen Thailand เกี่ยวกับพระขี่ม้าบิณฑบาตรครับ การเดินทางก็ไม่ลำบากครับ จากตัวอำเภอแม่จัน ประมาณ 4-5 กม.ตามเส้นทางที่จะไปแม่สาย จะพบแยกซ้ายมือเข้าไปวัดถ้ำป่าอาชาทอง จากปากทางถึงตัววัดประมาณ 7 กม. ครับ ระหว่างทางก็จะผ่านหมู่บ้านและท้องนา

ด้วยพื้นที่ตั้งของวัดแห่งนี้อยู่ห่างไกลจากหมู่บ้านเป็นระยะทางค่อนข้างไกล หมู่บ้านที่อยู่ไกลสุดอยู่ห่างจากวัดราว 10 กม. ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการออกบิณฑบาตร พระที่นี่จึงต้องอาศัยม้าเป็นพาหนะช่วยในการออกบิณฑบาตรถ้าหากนักท่องเที่ยวท่านใดสนใจที่จะมาใส่บาตรพระ คงจะต้องมารอใส่บาตรที่ลานธรรม ในช่วงเวลาประมาณ 08.30 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พระกลับมาจากการบิณฑบาตรตามหมู่บ้านครับ

จุดหมายต่อไป ผมมุ่งหน้าสู่ไร่ชาฉุยฟงแม่จันอีกครั้ง เพื่อไปชมบรรยากาศไร่ชายามเช้า ซึ่งเช้า ๆ แบบนี้ จะได้เห็นคนงานกำลังเก็บใบชาด้วยครับ

ผมเห็นภาพคนงานกำลังเก็บใบชาอยู่เต็มพื้นที่แบบนี้ รีบโดดลงจากรถทันทีครับ

เมื่อเก็บเสร็จแล้ว ก็ทยอยกันนำไปไว้ที่โรงผลิตใบชาครับ

หนูน้อยคนนี้เป็นลูกคนงานเก็บใบชา มาช่วยให้กำลังใจแม่ ตอนแรกเห็นผมแอบถ่ายก็อายม้วน ไม่ยอมสู้กล้อง พอเอารูปให้ดูเท่านั้นแหล่ะ เต๊ะท่าให้ผมพร้อมมมม หึหึ

เดิมทีเดียวผมตั้งใจจะไปชมความงามของไร่ชาฉุยฟงดอยพญาไพรด้วย แต่เนื่องจากผมใช้เวลาที่วัดถ้ำป่าอาชาทองเสียนาน กว่าจะออกจากวัดได้ก็เกือบ 09.00 น. แล้ว แล้วยังมาแวะที่ไร่ชาฉุยฟงแม่จันอีก ยิ่งทำให้เวลาผมกระชั้นเข้าไปใหญ่ เลยต้องจำใจตัดโปรแกรมไปดอยพญาไพรออก แต่หมายมั่นปั้นมือไว้ว่า สักวันคงจะหาโอกาสมาสัมผัสที่นี่ให้จงได้ จุดหมายต่อไปของผมอยู่ที่ดอยแม่สลองครับ

ดอยแม่สลอง อยู่ในเขตตำบลแม่สลองนอก อำเภอแม่ฟ้าหลวง เป็นที่ตั้งของหมู่บ้านสันติคิรี เดิมเป็นชุมชนผู้อพยพจากกองพล 93 จากสหภาพพม่าเข้ามาในเขตไทย วัฒนธรรมความเป็นอยู่ของคนที่นี่เป็นแบบชาวจีนแถบมณฑลยูนนาน ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมปลูกชาและพืชผักเมืองหนาว บนดอยแม่สลองมีอากาศหนาวเย็นตลอดปีครับ

มีอาคารสำหรับชิมชาและจำหน่ายชาครับ

ตัวอย่างชาที่นำมาโชว์และให้ชิมครับ

มาที่นี่แล้วอย่าลืมชิมซาลาเปาชาเขียวนะครับ มีทั้งไส้หมูและไส้หวาน ลูกละ 20 บาทครับ

มานั่งทานซาลาเปามุมนี้ ดูวิวไปด้วย สุดยอดเลยครับ

คนงานกำลังตัดแต่งต้นชาครับ

จากจุดนี้ไม่ถึง 200 เมตร ก็จะถึงบริเวณไร่ชา 101 ซึ่งเป็นสาขาใหญ่ครับ มีไร่ชาขนาดใหญ่ให้นักท่องเที่ยวได้ชมความสวยงาม พร้อมมีชาให้ชิมด้วย

หลังจากชื่นชมความงามของไร่ชา 101 กันจนอิ่มหนำใจแล้ว ผมมุ่งหน้าสู่พระบรมธาตุเจดีย์ศรีนครินทราสถิตมหาสันติคิรีครับ

พระบรมธาตุเจดีย์ศรีนครินทราสถิตมหาสันติคิรีตั้งอยู่บนยอดสูงสุดของดอยแม่สลอง ด้วยความสูง 1,500 เมตร (รทก.) อยู่ห่างจากหมู่บ้านสันติคีรี 4 กิโลเมตร ถนนลาดยางอย่างดีแต่เส้นทางลาดชันมากครับ

ด้วยยุทธภูมิที่อยู่สูงที่สุดของดอยแม่สลอง จึงสามารถมองเห็นหมู่บ้านสันติคีรีมุมสูงอย่างสวยงามครับ

ซูมดูใกล้ ๆ ครับ หลังจากนั่งพักผ่อนชมบรรยากาศของหมู่บ้านสันติคีรีแล้ว คราวนี้ก็ขอชิมอาหารพื้นเมืองของชาวบ้านที่นี่สไตล์จีนยูนานครับ ผมเลือกไปชิมที่ร้านนายพลต้วนครับ

พลาดไม่ได้กับเมนูนี้ครับ ขาหมูหมั่นโถว ผมชอบรสชาติที่ดอยผาตั้งมากกว่าครับ

ตามมาด้วยเห็ดหอมอบซีอิ้ว อร่อยๆๆ

เป็ดร่อน อร่อยมากครับ สั่งไป 2 จานเลย ส่วนอีกเมนูเป็นผัดผัก ผมลืมถ่ายภาพมาครับ มัวแต่ห่วงทาน อิอิ หลังทานเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขอเดินชอปปิ้งนิดหน่อยครับ

อ่านแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ครับ ภาษากระเหรี่ยง

บ๊าย บาย ดอยแม่สลอง

จุดหมายต่อไปของผมอยู่ที่ดอยอ่างขางครับ จากดอยแม่สลอง ผมลงมาทาง อ.แม่อาย ระหว่างทางผ่านสวนส้มธนาธร เลยขอแวะไปยืดเส้นยืดสายและซื้อส้มกลับบ้านครับ ที่นี่มีบริการนั่งรถฟาร์มชมสวนส้มด้วยครับ

จากนั้นเดินทางกันต่อครับ เมื่อเข้าเขตท่าตอน ผมมองเห็นพระเจดีย์แก้ว ของวัดท่าตอน อยู่บนเขา เลยขอแวะสักนิดครับ

พระเจดีย์แก้ว หรือชือเต็ม ๆ ว่า พระบรมธาตุรัชมังคลาจารย์สมานฉันท์ เป็นที่บรรจุพระบรมธาตุ พระบรมสารีริกธาตุ ครับ

พระเจดีย์แก้วหมายถึงเจดีย์ที่ประดับไปด้วยแก้วสีต่าง ๆ แก้วสะท้อนเงา ยอดพระเจดีย์แก้วทำจากสแตนเลสซึ่งเป็นวัสดุที่คงทนต่อแรงลม น้ำฝน และฝุ่นละออง อีกทั้งยังคงคุณสมบัติความเป็นแก้วสะท้อนเงา (สแตนเลสมิเรอร์) ความเป็นแก้วสีโดยการใช้การทาสี 9 สี คือสีม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง ทอง และสีเงิน

ที่ชั้นล่างของพระเจดีย์แก้วเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต และพระพุทธรูปปางต่างๆเต็มไปหมดครับ และยังมีบันไดที่ทำลักษณะคล้ายลำตัวของพญานาค ขดม้วนขึ้นไปด้านบน

ชั้นบนสุดเป็นชั้นแห่งภาวนา เป็นที่ประดิษฐานพระเจดีย์แก้วซึ่งบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ครับ ตกแต่งผนังอย่างสวยงาม บนชั้นนี้สามารถเดินออกไปชมวิวมุมสูงบ้านท่าตอนได้ด้วยครับ

วิวมุมสูงบ้านท่าตอนครับ

หลังจากชื่นชมความงามของพระเจดีย์แก้วแล้ว ผมก็มุ่งหน้าสู่จุดหมายคืนนี้ของผมที่ดอยอ่างขางครับ คืนนี้ผมพักที่อ่างขางบ้านสวน แต่ผมไม่ทันได้ถ่ายรูปมา เพราะมาถึงก็ค่อนข้างจะเย็นแล้ว แถมต้องทำเวลาเพื่อเข้าไปชมภายในของสถานีเกษตรหลวงอ่างขางครับ จุดหมายแรกและจุดหมายเดียวคือ สวน 80 ปีครับ


ภายในสวนตกแต่งด้วยดอกไม้หลากหลายพันธุ์ สวยงามมากครับ และภายในสวนแห่งนี้ ยังนำซากุระแท้พันธุ์ญี่ปุ่นมาปลูกด้วย ดูตรงหลังเลข 0 นะครับ

แม้ต้นยังเล็กอยู่ แต่ดอกสีชมพูเข้มและบานแน่นทีเดียวครับ

กระหล่ำประดับ เป็นพันธุ์ไม้อีกชนิดที่ทางสถานีเกษตรหลวงอ่างขางนำมาประดับตกแต่งสวน หลากสีสันจริง ๆ ครับ มื้อค่ำนี้ผมฝากท้องไว้กับร้านอาหารภายในสถานีเกษตรหลวงอ่างขางครับ ช่วงที่ผมไปเขาให้บริการแบบบุฟเฟต์ ราคาหัวละ 300 บาท อาหารถือว่าใช้ได้ครับ หลากหลายดีครับ มีทั้งอาหารไทยอย่างน้ำพริกอ่อง น้ำพริกหนุ่ม แหนม หมูยอ ผัดผัก บาร์บีคิวมีทั้งหมู ทั้งไก่ อีกเมนูหนึ่งที่ผมเพิ่งจะได้ลองชิมคือ ยำสตอเบอรี่ รสชาติคล้าย ๆ ส้มตำ แต่เอาสตอเบอรี่มาแทนมะละกอครับ สำหรับอาหารหวาน ต้องยกให้กับอโวคาโดน้ำกะทิครับ อร่อยสุด ๆ ความมันของอโวคาโด เมื่อทานพร้อมกับน้ำกะทิหวานๆ อุ่นๆ หอมกลิ่นกะทิ มันสุดยอดความอร่อยจริง ๆ ครับ หลังอาหารผมรีบกลับไปพักผ่อน เพื่อเตรียมพร้อมกับการชมแสงแรกในวันรุ่งขึ้นครับ

เช้าวันใหม่ผมเลือกที่จะไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่จุดชมวิวบ้านขอบด้งครับ เมื่อมาถึงนึกว่ามาเที่ยวตลาดนัดครับ มีร้านรวงมาตั้งคอยให้บริการนักท่องเที่ยวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นร้านกาแฟ ร้านก๋วยเตี๋ยว หรือแม้กระทั่งของที่จะใส่บาตรครับ เพราะวันที่ผมไปวันนั้น เป็นวันพระครับ

ผมว่าจุดชมวิวตรงนี้ไม่เหมาะกับตากล้องที่จะมารอถ่ายภาพนะครับ เพราะมุมค่อนข้างปิด แถมมีสายไฟระโยงระยางด้วย เสียดายที่เมื่อวานผมไม่ได้ออกตะเวนหามุมที่จะรอถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นก่อนครับ เช้านี้เลยต้องจำยอม

เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นเรียบร้อยแล้ว ผมกลับไปยังที่พักอีกครั้งเพื่อเตรียมเก็บข้าวของ พร้อมเติมพลังก่อนไปยังจุดหมายต่อไปของผม ซึ่งอยู่ที่ไร่สตอเบอรี่บ้านนอแลครับ

ไร่สตอเบอรี่บ้านนอแลจะอยู่เลยจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นไปอีกประมาณ 5 กม. ครับ แต่ด้วยความที่ผมไม่เคยไปมาก่อน ผมเลยไปถึงเขตชายแดนบ้านนอแล เมื่อไปถึงด่านตรวจเลยสอบถามเส้นทางไปไร่สตอเบอรี่จากทหาร ทหารชี้บอกว่า ให้เดินลงไปนิดเดียวก็ถึงแล้ว ผมชักลังเลว่า ไม่น่าจะเป็นจุดที่ผมต้องการไป แต่ไหน ๆ ก็ลองดูซะหน่อยก็ยังดี

ไร่นี้ไม่ใช่อย่างที่คิดครับ เป็นไร่เล็ก ๆ แต่วิวด้านหลังเป็นฐานทหารพม่าครับ

พอได้ภาพชาวบ้านในชุดประจำเผ่า กำลังรดน้ำแปลงสตอเบอรี่พอดีครับ

หลังจากรู้พิกัดไร่สตอเบอรี่ที่ผมจะไปแล้ว ก็เลยรีบบึ่งไปกันเลยครับ จริง ๆ ไร่ที่ผมจะไปนี้ ให้ตรงมาจากจุดชมวิวชมพระอาทิตย์ขึ้น ขับรถต่อมาเรื่อย ๆ จะเห็นทางแยกซ้ายมือ จุดนี้ให้สังเกตป้าย เขียนบอกว่า "เนินป่าจ่าฟอร์เรนท์" ขับรถเข้าไปอีกประมาณ 1 กม. ก็จะถึงไร่ที่ว่านี้แล้วครับ

ไร่สตอเบอรี่ที่นี่ปลูกแบบขั้นบันไดครับ ผมคงมาถึงสายไปแล้ว เลยไม่ได้เห็นแสงงาม ๆ และหมอกจาง ๆ เลยครับ เสียดายมาก

ช่วงที่ผมไปสงสัยจะยังไม่เข้าฤดูของสตอเบอรี่ครับ เพราะผลผลิตค่อนข้างน้อย แถมลูกเล็กอีกต่างหาก

จริง ๆ อยากจะอยู่ที่นี่นาน ๆ แต่ติดที่ผมจะต้องเดินทางกลับแล้ว เลยต้องจำใจอำลาไร่สตอเบอรี่แห่งนี้แล้ว ผมใช้เส้นทาง ฝาง เชียงดาว แม่ริมครับ เมื่อถึงแม่ริม เลยถือโอกาสแวะชมวัดป่าดาราภิรมย์นิดหน่อยครับ เพราะที่วัดแห่งนี้ผมยังไม่เคยได้มาชมเลย เห็นล่ำลือกันว่าที่นี่สวยมาก

จาก อ.เชียงดาว ให้ขับรถเลยแยก แม่ริม-สะเมิงไปนิดหน่อย ก่อนที่จะถึงสถานีตำรวจแม่ริม(ด้านขวามือ) จะมีแยกขวามือ ให้เลี้ยวขวา ขับตรงไปเรื่อย ๆ จนข้ามคลองชลประทาน ทางเข้าวัดอยู่ติดคลองชลประทานเลยครับ

ด้านหน้าวัดมีสิงห์คู่ขนาดใหญ่ รอต้อนรับอยู่ครับ

เมื่อผ่านประตูวัดมาแล้ว ด้านซ้ายมือจะพบวิหารหลวงครับ วิหารแห่งนี้สร้างจำลองมาจากหอคำของเจ้าหลวงเชียงใหม่ในสมัยโบราณ สวยงามด้วยศิลปการแกะสลัก ปูนปั้น ลายคำแบบล้านนา

ภายในวิหารหลวงเป็นที่ประดิษฐานพระประธานทรงเครื่องในมณฑปปราสาท พร้อมทั้งพระบรมสารีริกธาตุ และแวดล้อมไปด้วยพระพุทธรูปพระพุทธเจ้า 28 พระองค์ วิหารหลวงแห่งนี้ใช้ทุนทรัพย์ในการสร้างสูงถึง 15 ล้านบาทเลยทีเดียวครับ

ถัดจากวิหารหลวงมาทางขวาจะพบพระบรมธาตุเจดีย์ เป็นมหาปูชนียสถานสำคัญของวัดแห่งนี้ ด้านในประดิษฐานรอยพระพุทธบาทสี่รอยจำลองและพระบรมสารีริกธาตุที่ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครับ

ส่วนทางด้านซ้ายมือ จะพบมณฑปพระจุฬามณีศรีบรมธาตุ (หอแก้ว) เป็นมณฑปสี่เหลี่ยมจตุรัส มีหลังคาซ้อนกัน 4 ชั้น ยอดมณฑปเป็นรูปทรงปราสาทเจดีย์ปิดทองคำหุ้ม จังโกมีขนาดสูงจากฐานถึงยอดฉัตร 39 เมตร ศิลปะเป็นแบบล้านนาไทยผสมผกุลไต สวยงามมากครับ

เข้ามาชมด้านในกันบ้างครับ ซุ้มประตูมีจิตกรรมฝาผนังสวยงามมาก ๆ

ด้านในเป็นที่ประดิษฐานพระทันตธาตุเจ้าครับ

ผมปิดทริปเชียงใหม่-เชียงรายกันที่วัดแห่งนี้ ทริปนี้ถือว่าเป็นทริปที่ผม Happy ครับ ได้เห็นสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ ๆ หลายแห่งสำหรับผม แถมยังได้มาระลึกความหลังกับสถานที่เก่า ๆ ที่ผมเคยได้มาสัมผัสเมื่อหลายปีก่อน และยังมีอีกหลายสถานที่ในทริปนี้ ที่ผมคงต้องหาโอกาสกลับมาสัมผัสอีกครั้ง แล้วเจอกันทริปหน้าครับ

ความคิดเห็น