ไต้หวันหนึ่งในจุดหมายปลายทางของใครหลายคนในช่วงเวลานี้ เราก็เป็นคนหนึ่งที่เคยมีความฝันว่าจะไปไต้หวันให้ได้และตอนนี้ก็ได้ทำฝันให้เป็นจริงแล้ว เราเลยอยากแชร์ประสบการณ์ให้เพื่อนๆที่อยากไปไต้หวันเหมือนกับเรา การเดินทางในครั้งนี้เราไปกันเอง 2 คนกับน้องที่ทำงาน ถามว่าทำไมไปกันแค่สองคนนะเหรอ จริงๆคือเราอยากไปไต้หวันจริงจังตั้งแต่ 1 ปีก่อน ก่อนหน้านั้นประมาณปี 2558 มีทีวีหลายรายการเลยล่ะที่พาไปไต้หวันทำให้เราอยากไปไประเทศนี้ แต่ตอนนั้นก็แค่อยากไปประมาณนึง พอเดือนเมษา 2559 มีน้องที่รู้จักกันมาชวนไป บอกว่าไ้ต้หวันเป็นประเทศที่น่าไป ไปเองได้ไม่ยากเพราะการคมนาคมสะดวก มีรถไฟฟ้าหลายสาย จากนั้นเราเลยลองหาข้อมูลดู website แรกที่เราลองเข้าไปเป็นแรงบันดาลในการไปไต้หวันด้วยตัวเองเลยล่ะ เพราะแนะนำการไปสถานที่ที่น่าสนใจในไต้หวันง่ายๆด้วยการเดินทางโดยรถไฟฟ้า และพอดูอีกหลายรีวิวนะ ทำให้เรานี่หลงรักไต้หวันอย่างจริงจัง แต่สุดท้ายด้วยอาชีพของพวกเรา ก็ทำให้เวลาของแต่ละคนไม่ตรงกันสักที ผ่านมายาวนานถึงเดือนเมษา 60 ครบ 1 ปีพอดีเลยจ้า 2 เมษาเราเลยตัดสินใจไปกับน้องอีกคนเพราะรอไม่ไหวแล้ว 1 ปีผ่านไปตั้งใจจะไปแต่ก็ไม่ได้ไปสักที และตอนนั้นก็คิดว่าใกล้จะครบกำหนดที่ไต้หวันเปิดฟรีวีซ่าให้ 1 ปี(ถึงแม้จะมีความเป็นไปได้สูงว่าจะต่ออายุ และอีก 1 อาทิตย์ถัดมาก็มีข่าวออกมาจริงๆว่าต่อฟรีวีซ่าให้อีกปี) การตัดสินใจในวันนั้นทำให้เราได้ตั๋วเครื่องบินที่ค่อนข้างแพง เพราะเราไปช่วงวันที่ 11-16 พฤษภา ซึ่งเหลือเวลาอีกแค่เดือนกว่าเองและตรงกับช่วงวันหยุดยาวด้วย ตอนนั้นราคาสำหรับสายการบิน low cost ค่อนข้างจะดีดตั๋วสูงขึ้นมากทีเดียว เราเลยตัดสินใจซื้อตั๋วของสายการบินแห่งชาติอันน่าภาคภูมิใจ แต่สะเทือนใจกระเป๋าด้วยราคา 12,180 บาท เริ่มต้นงบประมาณที่เคยตั้งไว้ก็เริ่มบานปลายแระ 555 ถือว่าช่วยอุดหนุนสายการบินแห่งชาติแล้วกันเนอะ เหอะๆ(เหตุผลปลอบใจตัวเอง) แล้ว 1 ปีที่รอคอยสำหรับการไปไต้หวันของเราก็เริ่มเป็นจริง พอมีวันที่แน่นอนแล้วเราก็เริ่มวางแพลนเที่ยวกันเลย แต่แพลนที่เคยวางไว้คร่าวๆก่อนหน้านี้ก็ต้องเปลี่ยน เพราะเวลาที่ลงจากเครื่องที่เคยคิดไว้เปลี่ยนแปลง เล่ามายาวแระสำหรับเรื่องก่อนจะไปไต้หวัน ที่อยากจะไปตั้งแต่ยังไม่เปิดฟรีวีซ่า กว่าจะได้ไปก็ตอนที่เค้าต่ออายุไปอีกปีแระ และพอได้ไปครั้งแรก ก็มีครั้งที่ 2 ต่อมาหลังจากนั้นแค่ 6 เดือนเราเลยมา update เพิ่มเติมหลังจากที่ไปครั้งแรกแล้วรีวิวบางอย่างเราอาจจะบอกเพื่อนๆผิดไป มาเข้าเรื่องถึงวันแรกที่เราไปไต้หวันกันดีกว่า เริ่มต้นกันที่สนามบินเถาหยวนก่อนเลย พอเราลงจากเครื่องเดินตามทางเดินมาเรื่อยๆ จะมาเจอทางออกตามรูปข้างล่างนี้ก่อนจะถึงตม. ถ้าใครจะซื้อซิมการ์ดที่นี่ก่อนก็ได้นะ น้องบอกว่าเค้ารีวิวว่าซื้อข้างในนี้สะดวกกว่าไม่มีขั้นตอนเยอะ แต่อันนี้เราไม่รู้เหมือนกันว่าจริงรึเปล่า

เดินตามป้าย Immigration มาเรื่อยๆก็จะเจอกับ ตม.

ตรงจุดนี้มีมุมสวยๆให้แวะถ่ายรูป แต่ถ้าใครรีบก็เลี้ยวซ้ายไปผ่าน ตม. ได้เลยจ้า(อย่าลืมกรอกใบตม.ให้เรียบร้อยก่อนล่ะ)


สำหรับเราในการไปไต้หวันทั้ง 2 ครั้งกว่าจะออกจากตม.มาได้ก็ใช้เวลาเป็นชั่วโมงเลยล่ะ (คือครั้งแรกแวะซื้อซิม+ถ่ายรูป ครั้งที่ 2 ถ่ายรูปอย่างเดียว จริงๆรีบเดินออกจากเครื่องมาตอนแรกคนเข้าคิวตรงตม.ยังไม่เยอะเท่าไหร่นะ) พอผ่านตม.มาแล้วให้เลี้ยวไปทางขวามือแล้วลงบันไดเลื่อนมารับกระเป๋าที่ด้านล่าง(สำหรับคนที่โหลดกระเป๋ามา)

รูปนี้ถ่ายตอนลงจากบันไดเลื่อน ถ้าใครไม่โหลดกระเป๋าก็เดินเลี้ยวไปทางซ้ายอีกหน่อย ก็จะเจอทางออก


พอลงจากบันไดเลื่อนมาเลี้ยวซ้ายมาจะเจอป้ายนี้ ขวามือจะเป็นทางออกไปยังอาคารผู้โดยสารขาเข้า (Arrival Hall)

ครั้งแรกที่เราไปพอรับกระเป๋าเสร็จออกมาแล้วเราตั้งใจจะซื้อ easy card ไปจากสนามบิน จะได้ใช้จ่ายค่ารถไฟฟ้าเข้าเมืองไทเปเลย เดินออกมาจะเห็นเหมือนเป็น Information อยู่ตรงกลางเด่นเลย อ่านรีวิวมาเหมือนเค้าก็ซื้อ easy card ได้ที่นี่เหมือนกันนะ เลยลองไปถามเจ้าหน้าที่บริเวณนั้นดู แต่พอไปถามเค้าก็ชี้ให้เราเลี้ยวไปทางขาออก(Departure Hall) เราก็เลยไปตามที่เค้าว่าก่อนแล้วกัน จากนั้นพอเดินไปก็หาไม่เจอจ้า มีแต่ร้านขายซิมมือถือเลยไปถามเจ้าหน้าที่อีกคนตรงฝั่งขาออกดู เขาก็ชี้ให้เรากลับมาทางเดิม (ในใจคิดว่าถ้าคราวนี้ไม่ใช่ คงต้องถามเค้าว่า"โหย่วโหยวข่า" แทนคำว่า easy card แล้วแหละ) สรุปคือเจ้าหน้าที่คนหลังน่าจะตั้งใจให้เราไปซื้อที่ร้าน Hi-Life ซึ่งอยู่ชั้น B1 โดยจริงๆแล้วเมื่อเพื่อนๆออกจากตม.มาผ่าน Information Center เพื่อนๆสามารถเดินลงบันไดเลื่อนซึ่งอยู่ทางขวามือ ทางเดียวกับป้ายที่บอกทางไปขึ้นรถบัสเข้าเมืองได้เลยค่ะ พอลงบันไดเลื่อนมาแล้วให้เลี้ยวขวา ร้านHi-Life จะอยู่ทางขวามือค่ะ หรือถ้าใครสัมภาระเยอะ ตรงเยื้องๆกับ Information จะมีลิฟท์อยู่ทางซ้ายมือพอลงลิฟท์มาก็จะมาอยู่ตรงหน้าร้านเลยค่ะ ปล.เพื่อนๆลองสอบถามที่ Information Center ก่อนก็ได้นะคะ คือจนท.ที่บอกเราคนนั้นเขาอาจจะไม่เข้าใจเราก็ได้อ่ะ เราก็งงเหมือนกันกะว่าถามไปถ้าใช่ก็จะได้ต่อแถวซะ ถ้าไม่ใช่ก็จะได้ไม่ต้องเสียเวลาต่อแถว(ซึ่งมาคิดดูทีหลังมันก็ต้องใช่ล่ะ แต่ตอนนั้นไปถึงใหม่ๆก็ยังงงๆอยู่) และแล้วเมื่อถึงร้านHi-Lifeเราก็ซื้อของกินรองท้อง พอถึงตอนจ่ายเงินที่แคชเชียร์เราก็บอกเลยว่า "โหย่วโหยวข่า" เค้าก็เข้าใจทันที จะเติมเงินในบัตรเท่าไหร่ก็บอกเค้าไปเลยค่ะ รู้สึกว่าสูงสุดได้หมื่น NT นะ พอได้บัตรมาตอนแรกตาลาย เห็นสีดำๆนึกว่าเป็นลายคุมะมง (ใจคงคิดถึงคุมะมงมากไป 555) เลยไม่ได้ถามหาลายอื่น แต่พอเค้าเอาบัตรมาสแกน อ่าว..ไม่ทันแระเป็นลายของทางร้านจ้า (มาไต้หวันนี่ตั้งใจมาซื้อลายการ์ตูนเต็มที่) อ่อ ลืมบอกไปว่าจะต้องเสียค่าบัตร 100 NT แล้วเดี๋ยวนี้ไม่มีคืนค่ามัดจำแบบแต่ก่อนแล้วด้วยนะ

หลังจากนั้นเราก็ขึ้นกลับมาทางเดิมเพื่อไปขึ้นรถไฟฟ้า Taoyuan metro ที่สถานี A12 (Airport Terminal 1 Station) เพื่อไปยัง Taipei โดยเดินจาก Arrival Hall ผ่านไปยัง Departure Hall ซึ่งเมื่อเพื่อนๆเดินผ่านจะเห็นเคาน์เตอร์เช็คอินอยู่ทางซ้ายมือ จากนั้นให้เดินตรงไปอีกหน่อย แล้วเลี้ยวซ้าย จะเห็นป้ายบอกทางไปขึ้น MRT airport เดินตามป้ายไปเรื่อยๆเลยจ้า มีป้ายบอกทางตลอดไม่หลง แต่อย่าเดินเม้าท์เพลินอย่างเรา คือเราเดินเข้าตรงทางแยกนึงมาเล็กน้อยเริ่มสงสัยนะว่านี่มันทางไปขึ้นรถไฟฟ้า express train(แบบด่วน) หรือ commuter train(แบบธรรมดา) เพราะอ่านรีวิวมาเค้าบอกว่าจะแยกชานชาลากันเลย แบบด่วนจะมีแถบสีม่วงที่ตัวรถ แบบธรรมดาจะเป็นแถบสีน้ำเงินแต่เราก็เห็นจอและป้ายต่างๆมันเป็นสีม่วงอ่ะ (คือตอนที่สงสัยตอนนั้นมันไม่มีป้ายบอกอ่ะว่าเป็นรถไฟแบบไหน กะว่าเดินต่อไปจะมี) พอเดินเข้ามาเรื่อยๆ ก็ลงลิฟต์ๆ มาข้างล่างอีกชั้นนึง เห็นเส้นทีมีตามพื้นเป็นสีม่วงอีกก็มั่นใจว่าเป็น express train แน่ๆ และมีคนอื่นยืนรออยู่เหมือนกัน รอไม่นานรถไฟก็วิ่งมาด้วยความที่ปักใจเชื่อว่าเป็น express train แล้ว เราก็เลยไม่ทันมองแถบสีด้านข้างของขบวนรถ เราก็เข้ารถไฟไปโดยไม่รู้ตัวว่าตัวเองขึ้นมาอยู่บนรถไฟแบบ commuter train พอนั่งไปสักพักก็รู้สึกว่าเอ๊ะ! ทำไมรถไฟฟ้ามันวิ่งไม่ค่อยเร็วเท่าไหร่นะ(รู้สึกช้ากว่า BTS บ้านเราอีก) แต่ก็ไม่มั่นใจว่าคิดไปเองรึเปล่า ระหว่างนั้นก็ดูวิวข้างทางไป ด้วยความที่ประเทศนี้เป็นประเทศที่พื้นที่เป็นภูเขาซะส่วนใหญ่ มองออกไปนอกรถไฟฟ้าก็จะเห็นวิวธรรมชาติ พืชพรรณต่างๆตามป่าเขา ช่วงที่เราไปเป็นช่วงเดือนพฤษภาคมพอดี ข้างทางก็จะเห็นต้นไม้ที่มีดอกขาวๆบานอยู่บนเขาเป็นระยะๆ เราไม่แน่ใจว่าที่เราเห็นคือ ดอกมะเยาหรือดอกหยิวถงรึเปล่า เคยอ่านเจอว่าที่ไต้หวันมีเทศกาลชมดอกไม้ชนิดนี้ที่เมืองอื่นด้วย พอรถไฟวิ่งไปจอดสถานีแรก(A11)มองป้ายไฟข้างบนประตูก็งงล่ะสิ มันจอดสถานีสำหรับรถไฟธรรมดานี่นา แต่พอมองที่นั่งบนรถไฟก็เป็นสีม่วงอีก และที่ผ่านมามันก็มีอะไรๆที่เป็นสีม่วงมาตลอด แถบเส้นที่พื้นสถานียังม่วงเลยแล้วตกลงคืออะไร เราก็คุยกับน้องที่มาด้วยกันดูเล่นๆ ว่ารถจอดสถานีต่อไปสถานีอะไร เอิ่มถามได้ก็ต้องจอดสถานี A10 แบบรถธรรมดานะสิ แล้วจะเปลี่ยนรถดีไหม ซึ่งสามารถเปลี่ยนได้ที่สถานี A8 (เป็นสถานีแรกที่รถไฟแบบด่วนจอดหลังออกจากสนามบิน) คิดกันกับน้องว่ารถไฟแบบด่วนมันเร็วกว่าก็จริง แต่รถออกทุก 15 นาทีนะ ถ้าพลาดล่ะ จะเสียเวลามากกว่าหรือว่าเสียเวลาพอกันไหมกับการนั่งรถไฟฟ้าธรรมดาต่อไป แล้วที่เค้าว่าชานชาลาก็แยกกัน จะต้องเดินอ้อมไปไกลไหม ตอนนั้นคิดไปคิดมาก็ลังเล แต่ใจก็ไปทางนั่งรถไฟขบวนเดิมต่อไปดีกว่า(ที่ต้องคิดเยอะเพราะวันนี้จะต้องไปจิ่วเฟิ่นอีก เดี๋ยวถ้าถึงจิ่วเฟิ่นค่ำไปจะเดินเที่ยวได้ไม่นาน เพราะรถขากลับไม่ได้มีถึงดึก)

พอรถไปจอดสถานี A8 ตอนแรกก็ไม่อะไรนะ แป๊ปเดียวเท่านั้นล่ะ มีรถไฟอีกขบวนวิ่งเข้ามาที่อีกชานชาลานึง ตอนนั้นรู้สึกได้ว่าขบวนนั้นคือ express train ไม่แน่ใจว่าตอนนั้นเป็นเพราะเห็นแถบที่ข้างขบวนรถด้วยรึเปล่า จะเปลี่ยนรถไฟดีไหม ความคิดแวปเข้ามาอีกครั้ง คุยกันกับน้องและมองไปเห็นเหมือนว่าชานชาลาของรถไฟฟ้าทั้งสองแบบเชื่อมต่อกัน ยิ่งทำให้น่าเปลี่ยนขบวนรถมากขึ้น แต่เอ๊ะมันจะทันหรอ ไม่น่าทันหรอก รถจอดสักพักแล้วด้วย แต่สุดท้ายเราก็ตัดสินใจเสี่ยงดูแบบฉิวเฉียด บอกน้องให้ลากกระเป๋าเปลี่ยนรถไฟกัน ถามว่าทันไหม ทันค่ะ แต่จริงๆควรรีบตัดสินใจแต่แรกไปเลย มันเสี่ยงอยู่เหมือนกันค่ะ(คาดว่าเค้าจอดนานหน่อยเพื่อรอให้คนเปลี่ยนรถนะ)พอเข้ามาบนรถ คนเค้าก็มองๆสองคนนี้แบบแปลกๆ คงประมาณว่า สองคนนี้หอบกระเป๋าใหญ่มาขนาดนี้ทำไมมาโผล่เอาตอนสถานีนี้ คือที่เก็บกระเป๋าส่วนใหญ่เต็มมาก่อนแล้ว เราสองคนเลยยืนๆกันอยู่นานบริเวณที่เก็บกระเป๋า สุดท้ายต้องยกกระเป๋าไว้บนชั้นบนสุด ซึ่งสูงสำหรับการยกกระเป๋าใบใหญ่ขึ้นไปจึงไม่มีใครวาง เราเลยเอาบทเรียนของเรามาเล่าให้เพื่อนๆฟัง ทีนี้ 6 เดือนต่อมาเราได้มีโอกาสไปไต้หวันอีก คราวนี้ถึงไม่ได้นั่งไปไทเปแต่เราก็สังเกตและถ่ายรูปมาบอกเพื่อนๆนะ ก่อนอื่นที่เขาบอกว่าชานชาลาของรถไฟทั้งสองแบบแยกกันนั้นน่าจะเป็นเส้นทางที่วิ่งออกจากสนามบินแล้วก็ที่สถานีอื่นมากกว่านะ ถ้าที่สถานี A12 (Airport Terminal 1 Station) พอเดินไปตามป้ายแล้วลงบันไดเลื่อนหรือลิฟท์ลงมาที่ชานชาลาจะมีเพียงชานชาลาแค่ 2 ฝั่ง ซึ่ง 2 ฝั่งนี่ไม่ได้แบ่งว่าเป็นรถแบบธรรมดาหรือแบบด่วน แต่จะแบ่งว่าเป็นรถไฟที่ขึ้นเหนือไปทางไทเป หรือรถไฟที่ลงใต้ไปทางZhongli ซึ่งเราจะต้องดูที่หน้าจอทีวีแต่ละฝั่ง(ตามชานชาลาฝั่งที่เราต้องการจะไป) ว่ารถไฟขบวนถัดไปที่จะเข้าชานชาลาจะเป็นขบวนด่วนหรือขบวนธรรมดา ซึ่งจอทีวีจะบอกด้วยว่าอีกกี่นาทีรถไฟจะมา

ชานชาลาที่สถานี A12 (Airport Terminal 1 ) จะมารอรถไฟที่เดียวกันหมด โดยแบ่งเป็น 2 Platform


Platform 1 ใครจะไปทาง Zhongli หรือ ไปขึ้น HSR ให้รอรถไฟฝั่งนี้ (ไปยังสถานี A18 เพื่อไปขึ้น HSR จะต้องนั่ง Commuter train เท่านั้น ราคา 35 NT)


รถไฟธรรมดาจะมีแถบด้านข้างเป็นสีน้ำเงิน และมีคำว่า "Commuter"


Platform 2 รอรถไฟฝั่งนี้เพื่อไปยังไทเป



รถไฟด่วนจะมีแถบด้านข้างเป็นสีม่วงและมีคำว่า "Express"


มีข้อสังเกตอีกอย่างนึง คือขบวนรถไฟแบบธรรมดาจะมีที่นั่งหันข้างจึงสามารถวางกระเป๋าเดินทางไว้ข้างตัวได้ ไม่ต้องวางบนชั้นก็ได้ถ้าคนไม่มาก(ถ้าใครเคยนั่งรถไฟฟ้าสายสีม่วง เรารู้สึกว่าขบวนรถไฟเป็นแบบเดียวกันเลยอ่ะ เก้าอี้ก็สีม่วงเหมือน ส่วนในขบวนรถไฟแบบด่วนจะมีลักษณะเป็นเก้าอี้แบบเบาะนั่งคู่จะนั่งสบายกว่า สำหรับรถไฟฟ้า Taoyuan metro จะมี wi-fi ให้เล่นฟรี 30 นาทีด้วยนะ อ่อ เราลืมบอกไปว่าค่าเดินทางจากสนามบินมายังไทเป คือ 160 NT ถ้าใครซื้อ easycard และเติมเงินมาแล้วก็สามารถใช้บัตรแตะตอนเข้าและออกได้เลย

ในรถไฟแบบ commuter จะเป็นที่นั่งแบบหันข้าง(เราอาจถ่ายมาไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ไม่กล้าถ่ายไปทางคนอื่น)


เมื่อรถไฟวิ่งมาถึงสถานีปลายทาง A1 Taipei Main Station จะมีทางออกเดินไปยังสถานีรถไฟฟ้า MRT Taipei ได้สองทางนะ คือไปยังTaipei Main Station และ Beimen Station(สายสีเขียว) อันนี้ใครสะดวกทางไหนขึ้นอยู่กับแต่ละคนเลยนะ เราเลือกที่จะเดินไปทางสถานี Beimen เนื่องจากอ่านรีวิวมาจะเดินใกล้กว่า Taipei main เล็กน้อยและโรงแรมที่เราพักอยู่ในเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีแดงใกล้กับสถานี Minquan West Rd. ทางนี้สำหรับเราจึงสะดวกกว่า ระยะทางเดินมาขึ้นรถไฟฟ้าที่สถานี Beimen ก็นับว่าไกลพอสมควรเลย จากนั้นเราก็ใช้ easy card จ่ายค่าเดินทางเหมือนเดิม ซึ่งมีบัตรนี้ทำให้เราสะดวกมากๆในการใช้ชีวิตที่นี่ พอมาถึงสถานี Minquan W. Rd. ที่เราดูมาทางออก 5 จะใกล้กับโรงแรมที่เราพักมากที่สุด แต่พอเดินไปตรงทางออก เจ้าหน้าที่ก็บอกให้เราไปอีกทาง ให้ไปออกทางออก 10 ซึ่งมีลิฟต์และบันไดเลื่อน เพราะเห็นว่าพวกเรามีกระเป๋าเดินทาง ซึ่งในใจคิดว่าเราแบกขึ้นบันไดกันไปได้นะ เพราะทางออก 10 มันต้องเดินมาทางฝั่งตรงข้าม ซึ่งเป็นระยะทางยาวพอสมควรเลย พอออกมาข้างบนก็งงสิครัช ดูใน google earth จำมาแต่เส้นทางที่เดินออกจากทางออก 5 มายังรร. ทำไงดีล่ะ? เดินเลี้ยวออกมาแล้วตรงไปก่อนแล้วกัน(โชคดีที่เลี้ยวถูกทาง) เดินตรงมาไม่นาน ก็เห็นสี่แยกและสะพานลอยสีเขียวอมฟ้าใหญ่ๆ ก็ดีใจว่าเรามาถูกทางแล้ว จำได้ว่าเห็นแบบนี้ใน google earth ทีนี้ก็เดินต่อไปยังรร.ได้อย่างสบายใจ เรามาถึงรร.เช็คอินเสร็จประมาณบ่ายสามโมงได้ อ่อตอนจ่ายเงินเราใช้บัตรเครดิต เค้าถามว่าจะจ่ายเงินในสกุลไทยหรือไต้หวัน ซึ่งเราเลือกจ่ายในสกุลไต้หวันก่อน เพราะจะได้ Rate ถูกกว่า ซึ่งรร.ที่เราพักคือ Santos Hotel เป็นรร.4 ดาว แต่ห้องที่เราพักจะเก่าหน่อยเพราะเป็นส่วนที่รร.ยังไม่ได้ปรับปรุง แต่ fatilities ต่างๆนั้นครบครันแบบรร.4 ดาวจริงๆ ซึ่งการจองเราจองผ่านหน้าเว็ปรร.โดยตรงเลย เราจองเป็นห้องแบบ Standard Twin 4 คืน ในราคา 8784 NT(ตอนแลกเงินสดไปเราได้ rate 1.16 แต่เราจ่ายค่ารร.ด้วยบัตรเครดิต พนักงานก็ถามว่าจะจ่ายเป็นเงินไทยหรือเงินไต้หวัน เราดูราคาแล้วถ้าจ่ายเป้นเงินไทยเขาคิด rate 1.20 เราเลยตัดบัตรเป็นเงินไต้หวัน พอใบแจ้งหนี้บัตรเครดิตมาลองคำนวณดูเขาใช้rate 1.1799 คำนวณเป็นเงินไทย) เมื่อไปถึงห้องที่เราพักระหว่างทางเดินชั้นนั้นและในห้องจะรู้สึกมีกลิ่นอับเล็กน้อย(แต่พอวันหลังเราก็ไม่ได้กลิ่นแล้วนะ) ในห้องจะมีผลไม้เป็นกล้วยหอม 2 ลูกและแอปเปิ้ลอีก 1 ลูกวางต้อนรับเอาไว้ พอพักให้หายเหนื่อยได้ไม่นานเราก็ต้องรีบเดินทางต่อเพื่อไม่ให้ถึงจิ่วเฟิ่นเย็นเกินไป สำหรับการเดินทางไปจิ่วเฟิ่นนั้น สามารถเข้าไปอ่านได้ในตอนถัดไปค่ะ ตอน ไต้หวันฉันพาไปตอนที่ 2 ไทเป - จิ่วเฟิ่น

Mudan Peony

 วันจันทร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2560 เวลา 20.32 น.

ความคิดเห็น