ทริปนี้เป็นทริปที่ผมไม่ต้องทำการบ้านอะไรเลย เพราะเป็นทริปที่ค่อนข้างกะทันหันเอามากๆ หลังจากที่สปอนเซอร์ใหญ่อย่างพี่จอห์นโทรหาผมช่วงต้นเดือนเมษายนให้ผมจัดโปรแกรมเที่ยวแบบชิวๆ ที่ฮ่องกง โดยมีโจทย์ที่ว่าเดินทางช่วงสงกรานต์ (13-16 เมษายน) แต่จากการหาตั๋วเครื่องบินของสายการบินต่างๆ ปรากฏว่าตั๋วถูกจองเต็มหมดแล้ว ด้วยการที่ผมอยากไปมาก เลยลองหาโปรแกรมทัวร์จากบริษัททัวร์ต่างๆ เสนอเป็นตัวเลือกให้กับพี่จอห์น และผมก็มาสะดุดกับโปรแกรมที่โฆษณาผ่านเพจ HongkongSmileTrip.COM ซึ่งผมเล็งที่นี่ไว้หลายรอบแล้ว เนื่องจากราคาค่อนข้างถูก ประมาณหมื่นต้นๆ เป็นราคาที่รวมตั๋วเครื่องบินไป-กลับ, ที่พักระดับ 4 ดาว 2 คืน, รถรับส่งสนามบิน-โรงแรม-สนามบิน, City tour ครึ่งวัน และอาหาร Michelin star1 มื้อ แต่ราคาช่วงสงกรานต์ จะขยับขึ้นประมาณ 25,000 บาท ซึ่งดูแล้วก็ยังพอรับได้ แต่ติดตรงที่ช่วงเวลายังไม่ได้สักเท่าไร เพราะทริปออกวันที่ 15-17 เมษายน ซึ่งเกินช่วงเวลาที่พี่จอห์นระบุมา แล้วหวยก็มาออกที่ ลีลาวดีฮอลิเดย์ ครับ ช่วงเดินทางได้ตามโจทย์เลย คือ 13-15 เมษายน แต่ค่าทัวร์นี่ถือว่าสูงกว่า HongkongSmileTrip.COM เกือบเท่าตัว เพราะราคาเฉียดครึ่งแสนกันเลยทีเดียว แต่ยัง!! ราคายังไม่หยุดแค่ตรงนี้ เนื่องจากว่าสมาชิกในทริปมีไม่ถึงจำนวนที่กำหนด ทำให้ต้องมีการปรับราคาเพิ่มขึ้นอีกคนละ 8,000 บาท จึงทำให้ราคาทริปนี้เฉียดๆ หกหมื่นครับ

แล้ววันเดินทางก็มาถึง ลีลาวดีฮอลิเดย์นัดรวมสมาชิกที่สนามบินสุวรรณภูมิเวลา 05.30 น. วันนี้เป็นวันหยุดยาววันแรก จึงทำให้ผู้โดยสารแน่นสนามบินกันเลยทีเดียว ทริปนี้ผมเดินทางกับสายการบินไทยทั้งไปและกลับครับ ถือว่าเวลาดีเลยทีเดียว เดินทางไฟล์ทเช้า และกลับไฟล์ทค่ำครับ

เครื่องบินที่โดยสารเป็นแบบ Boeing 747-400 (744) สภาพเครื่องกึ่งเก่ากึ่งใหม่ครับ

เมื่อเครื่องเริ่ม taxiway มองดูท้องฟ้าแล้วให้ความรู้สึกหวั่นๆ อยู่เหมือนกันเพราะเมฆดำทะมึนมาแต่ไกล จังหวะที่เครื่อง take off เท่านั้นแหล่ะ มีน้ำจากเพดานไหลลงมาอย่างกับน้ำตกลงมาบริเวณพื้นที่จัดเตรียมอาหาร ซึ่งผมนั่งอยู่ตรงแถวติดกับส่วนพื้นที่เตรียมอาหารพอดี อาจจะเป็นน้ำจากห้องน้ำบนชั้นสองหรือเปล่าไม่แน่ใจ แต่ไม่ใช่น้ำสำหรับเสิร์ฟแน่นอน (เครื่องแบบ Boeing 747-400 (744) เป็นเครื่องสองชั้น) แอบนึกอายแทนสายการบินไทยจังที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ เพราะฝรั่งนั่งอยู่ใกล้ๆ จุดนั้นเพียบเลย


เมื่อเครื่องขึ้นเรียบร้อยแล้ว มองออกไปด้านนอกฟ้าเริ่มเปิดครับ


ไม่นานนักอาหารก็มาเสิร์ฟ เช้านี้เป็นเครปไข่และไส้กรอกไก่ครับ


ใช้เวลาบินประมาณสองชั่วโมงครึ่ง ก็มาถึงสนามบินเช็คแล๊บก๊อกของฮ่องกงครับ

โปรแกรมแรกหลังลงเครื่องคือการไปนมัสการพระใหญ่ที่เกาะลันเตา แต่เนื่องจากเวลาจวนเจียนจะเที่ยงเสียเต็มประดา ไกด์จึงพาเราไปทานอาหารกันในสนามบินนั่นเองครับ

หน้าตาและรสชาติของอาหารนั้น ดูดีและรสชาติอร่อย ไม่ต่างอะไรจากบ้านเรานัก เมนูแรกจะบอกว่าคล้ายๆ กับขนมปังหน้าหมูก็ไม่ใช่ คล้ายฮ่อยจ๊อก็ไม่เชิง อร่อยดีเหมือนกันครับ

เมนูนี้คล้ายเป็ดพะโล้ เสิร์ฟพร้อมเครื่องในเป็ดและปูอัดครับ


ผัดถั่ว


กระดูกหมูผัดรวมกับลูกพีช รสชาติหวานอมเปรี้ยว อร่อยดีเชียวแหล่ะ เมนูนี้ถูกใจผมมากครับ ผมนี่เลือกทานลูกพีชจนหมดเลย


ไก่ย่างหนังกรอบ สู้ไก่ย่างวิเชียรบุรีบ้านเราได้แบบสบายๆ ครับ


ปลานึ่ง คล้ายๆ นึ่งมะนาว แต่รสชาติอ่อนกว่าบ้านเราครับ


ซุปเต้าหู้ใส่เห็ด เหนียวๆ ยืดๆ รสชาติออกจืดๆ ครับ


ซาลาเปาไส้หมูแดงและไส้ครีม ไส้มาแบบเต็มๆ อร่อยดีครับ

หลังมื้อเที่ยง ไกด์พาเดินทางสู่เกาะลันเตา เพื่อพาไปสักการะพระใหญ่ ณ อารามโปหลิน แต่เนื่องจากช่วงที่ผมไปกระเช้านองปิงปิดบริการเนื่องจากอยู่ในช่วงซ่อมบำรุง จึงต้องอาศัยรถบัสพาขึ้นไปยังด้านบนเขาครับ

แล้วเราก็มาถึงวัดโปหลิน ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาโปหลินบนเกาะลันเตา ผมคิดว่าชื่อวัดน่าจะตั้งขึ้นตามชื่อยอดเขานั่นเองครับ

จากซุ้มประตูหินมีทางเดินทอดเป็นแนวยาว ตลอดสองข้างทางมีรูปปั้นเทพเจ้าประจำราศีปีนักษัตร เมื่อเดินตามเส้นทางนี้มาเรื่อยๆ จะพบลานที่ยกสูงกว่าระดับพื้นทางเดินเป็นรูปวงกลม สำหรับให้พุทธศาสนิกชนมาไหว้พระขอพรจากองค์พระใหญ่ครับ


ลานตรงนี้จะตั้งอยู่ตรงหน้าองค์พระใหญ่ ระหว่างขอพรหากเราแหงนหน้าขึ้นมององค์พระ จะให้อารมณ์เหมือนองค์พระใหญ่กำลังให้พรเราอยู่เลยครับ สำหรับใครที่ยังพอมีเรี่ยวแรง แนะนำว่าให้ขึ้นไปสักการะองค์พระใหญ่บนยอดเขากันครับ เพราะด้านบนจะมองเห็นวิวได้โดยรอบ แต่การที่จะขึ้นไปด้านบน จะต้องเดินขึ้นบันได 268 ขั้น แต่ไม่ต้องกลัวว่าจะขึ้นไม่ไหวนะครับ เพราะระหว่างทางจะมีจุดให้พักอยู่เรื่อยๆ ถือว่าเป็นการพิสูจน์กำลังตัวเองไปในตัวด้วยครับ


มองกลับลงไป เห็นลานสำหรับไหว้ขอพรครับ


องค์พระใหญ่ หรือ พระพุทธรูปเทียนถาน เป็นพระพุทธรูปที่ประกอบด้วยชิ้นส่วนสำริด 160 ชิ้น มีความสูง 26.4 เมตร หันพระพักตร์ไปทางเหนือสู่จีนแผ่นดินใหญ่เพื่อเฝ้าดูชาวจีน ประดิษฐานอยู่บนฐานดอกบัว ความสูงองค์พระนับรวมฐานดอกบัว สูงถึง 34 เมตร พระเศียรออกแบบตามพระพุทธรูปในถ้ำหลงเหมิน ขึ้นรูปโดยใช้สำริดและทองใช้เวลาก่อสร้างถึง 12 ปีเลยทีเดียว ถ้าสังเกตดีๆ บริเวณกลีบบัวกลีบตรงกลางจะเห็นมีการสลักชื่อผู้ที่มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคในการจัดสร้างองค์พระด้วย แต่การที่จะมีชื่อสลักอยู่บนกลีบบัวนั้น แว่วๆ ว่าจะต้องบริจาคเงินขั้นต่ำกว่า 1 ล้านเหรียญฮ่องกงเลยครับ

ใต้ฐานบัวจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์ ภายในแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ส่วนแรกเป็นภาพวาดสีน้ำมันที่บอกเล่าเรื่องราวประวัติความเป็นมาของพระพุทธเจ้า ส่วนที่สองเป็นวงล้อพระพุทธธรรม มีบทสวดคัมภีร์ 8 บท และส่วนสุดท้ายเป็นพระบรมสารีริกธาตุได้นำมาจากประเทศศรีลังกาครับ

องค์พระใหญ่จะยกพระหัตถ์ขวา ซึ่งหมายถึงการขจัดปัดเป่าความทุกข์ ส่วนพระหัตถ์ซ้ายวางอยู่ที่หน้าตักเพื่อรับคำขอพรจากผู้ที่มากราบไหว้บูชาครับ

โดยรอบองค์พระใหญ่จะมีรูปหล่อเทวดา 6 องค์ กำลังถวายสิ่งของ ซึ่งมีความหมายถึง ความดี เมตตา อดทน สงบ สมาธิ และปัญญา


จากด้านหน้าองค์พระใหญ่มองออกไปเห็นอารามโปหลิน เป็นสถานที่จำวัดของพระสงฆ์ที่เคร่งครัด ถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวพุทธที่สำคัญที่สุดของฮ่องกงจึงถูกยกให้เป็นโลกของพุทธศาสนิกชนในตอนใต้ครับ


หากเดินมาทางด้านหลังองค์พระใหญ่ มองออกไปเห็นทิวเขาสลับซับซ้อน ช่วงที่ผมไปยังพอมีทะเลหมอกให้เห็นอยู่บ้างครับ

หลังจากไหว้พระใหญ่แล้วโปรแกรมต่อไปที่มาคั่นระหว่างอาหารเย็นคือการแวะ Shopping กันที่ Citygate Outlet ว่ากันว่าที่ Outlet แห่งนี้เป็นศูนย์รวมสินค้าสไตล์พรีเมียมหรูหราทั้งแบรนด์ดังระดับโลกและแบรนด์ฮ่องกง เช่น GIORDANO , adidas , Clarks แต่เนื่องจากผมไม่ใช่คอ Shopping ก็เลยเดินรอเวลาเพื่อทานมื้อเย็นครับ

มื้อเย็นนี้ไกด์เลือกร้านใน Outlet นั่นเองครับ

เริ่มที่ต้มซุป หน้าตาคล้ายๆ ขนมเต้าส่วนบ้านเราเลยครับ แต่ที่เห็นเหลืองๆ นั่นคือไข่ รสชาติออกจืดๆ ครับ


มื้อนี้เจอไก่อีกแล้ว ผมไม่ได้แตะเลยเนื่องจากเกรงใจกรดยูริคในตัวครับ


ตามมาด้วยกุ้งทอดครับ


เมนูนี้ลักษณะคล้ายเส้นใหญ่ผัด ทานคู่กับเป็ด ไก่ เต้าหู้ และผักครับ


ปลาอะไรสักอย่างราดซีอิ้ว หน้าตาดูไม่ค่อยจะน่าทานสักเท่าไร เพราะเล่นหั่นมาจนไม่รู้สภาพว่าเป็นปลาอะไรเลยครับ


เมนูนี้คล้ายๆ ไก่ทอดผัดเปรี้ยวหวาน ใส่ลูกพีชเหมือนมื้อเที่ยง เห็นเมนูนี้แล้วผมอดใจไม่ไหว อุตส่าห์อดทนไม่ทานไก่ เลี่ยงของทอด พอมาเจอจานนี้ต้องยอมตบะแตกครับ


เมนูนี้คล้ายๆ แตงกวาผัดกับพริกหวานใส่หมูครับ


เมนูนี้ผมไม่ได้แตะเลย คล้ายๆ ต้มผักใส่ไข่เยี่ยวม้าเป็นชิ้นๆ และมีการตีไข่ไก่ลงไปในต้มอีกทีครับ


ปิดท้ายเป็นของหวาน พุดดิ้งมะม่วงและถั่วแดงร้อนครับ

โปรแกรมสำหรับวันนี้ยังไม่จบนะครับ เพราะเวลา 20.00 น. ผมมีนัดกับการชมแสงสีเสียง The Symphony of Lights อีก 1 โปรแกรมครับ

จริงๆ แล้วการชม The Symphony of Lights สามารถชมได้ 3 จุด คือ การนั่งเรือในอ่าววิคตอเรียชมกันแบบใกล้ชิด หรือจะเลือกชมที่ Avenue of Stars แต่สำหรับผม ได้มาชมบริเวณด้านหลังของ Hong Kong Museum of Arts ซึ่งผมว่าบริเวณนี้จะเห็นได้ชัดที่สุดและไม่ต้องเวียนหัวกับการโต้คลื่นกลางอ่าวด้วยครับ

จุดที่ชมบริเวณด้านหลังของ Hong Kong Museum of Arts จะชมได้ 2 ชั้น ถ้าหากไปถึงช้า อาจจะจับจองพื้นที่ชั้นบนไม่ทัน เพราะมีนักท่องเที่ยวไปรอชมกันเยอะ แนะนำว่าให้เดินมาชมบริเวณชั้นล่าง เดินถัดเขามาด้านในใกล้ๆ ท่าเรือ บริเวณนี้คนจะน้อยมาก แต่บรรยากาศโดยรอบอาจจะไม่น่ารัญจวนสักเท่าไร แต่ก็ไม่ต้องไปเบียดเสียดยัดเยียดกับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ การแสดงจะเริ่มขึ้นเวลา 20.00 น. ใช้เวลาแสดงประมาณ 15 นาที โดยจะมีการบรรยายแนะนำตึกต่างๆ ให้เราได้รู้จักพร้อมกับเปิดไฟแนะนำ จากนั้นก็จะเป็นการเปิดเพลงพร้อมกับเปิดไฟตามเสียงดนตรี เรียกว่าดูกันเพลิน 15 นาทีสำหรับการแสดง มันผ่านไปอย่างรวดเร็วครับ


การแสดง The Symphony of Lights ถูกบันทึกโดย Guinness World Records ให้เป็นการแสดงแสงสีเสียงกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วยนะครับ หากใครมาเที่ยวฮ่องกงแนะนำว่าไม่ควรพลาดชม การแสดงมีเพียงวันละ 1 รอบเท่านั้นครับ

คงถึงเวลาที่จะต้องเข้าที่พักกันแล้ว วันนี้ตั้งแต่ลงเครื่องก็ใช้เวลากันเต็มเหยียดทั้งวัน โชคดีที่ที่พักผมอยู่ไม่ไกลจาก Hong Kong Museum of Arts เดินเท้าประมาณ 15 นาที หรือถ้านั่งรถแล้วไม่การจราจรไม่ติด นาทีเดียวก็ถึงครับ

ตลอด 2 คืน ผมเข้าพักที่ Shangri-La Kowloon Hotel ด้านหน้าโรงแรมดูระยิบระยับด้วยแสงไฟ

เมื่อก้าวเท้าเข้าไปด้านในจะเป็นห้องโถง เพดานสูง มีโคมไฟห้อยระย้า ทำให้ดูหรูหราและโอ่โถงมากๆ เพิ่มความแพงด้วยน้ำพุ ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย บริเวณนี้มีพื้นที่ให้แขกได้นั่งพักผ่อน รวมถึงมุม Cafe ไว้คอยบริการครับ


บริเวณ Lobby อาจจะอยู่หลบมุมไปสักนิดครับ


ลิฟต์บริเวณหน้า Lobby



ทางเดินระหว่างที่จะไปยังห้องพักครับ



ว้าววว ห้องพักของผมในคืนนี้ โทนสีและแสงไฟให้ความรู้สึกอบอุ่น ดูผู้ดี๊ผู้ดี ห้องพักค่อนข้างกว้างเลยทีเดียว ทีวี LCD ติดผนังทำลักษณะคล้ายกรอบรูป ดูกลมกลืนไปกับผนังห้องได้ดีเลยครับ


เตียง ผ้าห่ม หมอน แบบหนานุ่ม นอนสบายจริงๆ ครับ


มีมุมโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ มีโซฟาให้นั่งพักผ่อน ชมบรรยากาศด้านนอกห้องพักที่มองเห็นอ่าววิคตอเรียแบบเต็มๆ ตาครับ


บนโต๊ะทำงานมีหัวปลั๊กไฟเพื่อใช้เสียบกับเต้าปลั๊กของฮ่องกงไว้ให้ด้วย


ห้องน้ำก็กว้างขวางเลยทีเดียว มีอ่างอาบน้ำให้พร้อมครับ


Minibar มีหลากหลาย ราคาสูงเลยทีเดียว


ถือว่าที่นี่เตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกไว้ให้พร้อมสรรพ มีทั้งเตารีดพร้อมที่รองรีด ร่ม ผ้าห่มเสริม ตู้นิรภัย นอกจากนี้ยังมี Welcome Fruit และ Welcome Tea ให้ด้วยครับ

คืนนี้คงต้องนอนตุนแรงไว้เยอะๆ เพื่อพรุ่งนี้จะได้มีแรงเที่ยวกันต่อไป..คืนนี้หลับฝันดีครับ

เช้าวันใหม่ ตื่นมาพร้อมกับความสดชื่น เช้านี้ยังพอมีเวลาก่อนที่จะถึงเวลานัดรวมพล ผมไม่รอเช้าขอเดินสำรวจรอบๆ โรงแรมครับ

มุมนี้เป็นด้านหน้าโรงแรมครับ


ช่วงเช้านี่แทบจะไม่มีคนเลย บนท้องถนนก็แทบจะหารถวิ่งไม่ได้เลย


บริเวณด้านหลังโรงแรม Shangri-La Kowloon Hotel จะอยู่ทางขวามือ จากชั้น 2 ของโรงแรมจะมีทางเดินลอยฟ้าเพื่อเชื่อมต่อกับสะพานลอย ข้ามมายังอ่าววิคตอเรียครับ ถนนที่เห็นคือถนน NATHAN ที่มุ่งหน้าไปยัง Hong Kong Museum of Arts รวมถึงแหล่ง Shopping ครับ





วิวฝั่งตรงข้ามของ Shangri-La Kowloon Hotelจริงๆ เปิดม่าน นั่งโซฟาดูวิวตรงโต๊ะทำงานก็ได้ แต่ผมว่ามันไม่ได้ฟิวครับ


ช่วงเช้าบรรยากาศดีมากๆ บางคนออกมาทำกิจกรรมกันแต่เช้า บางคนก็วิ่งออกกำลังกาย


บางคนก็นั่งจีบกัน แหมมม...เห็นแล้วอิจฉา

ใกล้เวลานัดรวมพลแล้วครับ คงต้องกลับขึ้นห้องเพื่อเตรียมตัวอาบน้ำอาบท่าแล้ว


มุมจากโต๊ะทำงานครับ

ตามโปรแกรม เช้านี้ไกด์จะพาไปลิ้มลอง “ติ่มซำ” หรือ “หยำฉา” ตามแบบฉบับฮ่องกง คำว่า “หยำฉา” มีความหมายว่า การดื่มชา คนจีนมักจะทานติ่มซำเป็นอาหารมื้อสายหรือมื้อกลางวันในหมู่ครอบครัวและเพื่อนร่วมงานครับ


ไกด์พามาที่ร้านนี้ อ่านชื่อไม่ออกครับ


บรรยากาศด้านในร้าน คล้ายๆ กับห้องจัดเลี้ยง ช่วงเช้ามีคนมาใช้บริการค่อนข้างเยอะเลยทีเดียวครับ


Start ด้วยโจ๊กเป่าฮื้อ หอยหั่นมาชิ้นใหญ่ เหนียวหนึบ อร่อยเชียว


จานต่อมาคล้ายๆ เกี๊ยวกุ้งและก๋วยเตี๋ยวหลอดกุ้งครับ


ฮะเก๋ารวมถึงขนมจีบ


เมนูนี้ไม่รู้จักชื่อ เป็นแป้งนึ่งห่อไส้หมูสับครับ


ซาลาเปา


เมนูนี้ประมาณขนมจีบกุ้งครับ


เนื่องจากผมเป็นคนชอบทานติ่มซำ มื้อนี้เลยให้ผ่านครับ อร่อยใช้ได้เลย

หลังจากเติมพลังในช่วงเช้ากันไปแล้ว ก็มุ่งหน้าสู่ Victoria Peak ซึ่งการเดินทางขึ้น Victoria Peak ของผมโดยรถบัสที่บริษัททัวร์จัดเตรียมไว้ครับ

เห็นวิวสวยๆ ไปตลอดเส้นทาง

รถมาจอดที่ลานจอดรถ เราเดินขึ้นมาหน่อยก็จะพบกับ The Peak Towerตึกรูปทรงแปลกตาลักษณะคล้ายเสี้ยววงกลม ด้านในตึกมีทั้งร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก และไฮไลต์ของตึกนี้อยู่ที่ชั้นดาดฟ้า ซึ่งเป็นจุดชมวิว ผมว่าน่าจะเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดของฮ่องกงเพราะอยู่สูงกว่าจุดชมวิวอื่นๆ แต่จุดชมวิวในส่วนนี้เก็บค่าเข้าชมด้วย สำหรับทริปนี้ผมขอชมแบบฟรีก่อนดีกว่า ไว้มีโอกาสดีๆ ขึ้นมาชมพระอาทิตย์ตกดินต่อเนื่องจนตึกต่างๆ เริ่มเปิดไฟ คงจะขึ้นไปใช้บริการในจุดชมวิวนี้อย่างแน่นอนครับ

จุดชมวิว The Peak อยู่บนยอดเขาวิคตอเรียบนเกาะฮ่องกง เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของฮ่องกง สูงจากระดับน้ำทะเล 552 เมตรครับ

จากด้านหน้า The Peak Tower หากเดินไปทางขวามือตามเส้นทาง ไม่นานนักจะเจอเก๋งจีนเล็กๆ จุดนี้แหล่ะครับที่เป็นจุดชมวิวฟรี วิวก็ไม่ได้ขี้เหร่เลย วิวที่เห็นจะเป็นตึกฝั่งฮ่องกง ที่มีรูปทรงดูแปลกตาเพราะสร้างตามหลักฮวงจุ้ย รวมถึงมองเห็นฝั่งเกาลูนด้วย

จริงๆ การเดินทางขึ้นมายัง Victoria Peak ทำได้สองวิธี วิธีแรกคือนั่งรถบัสขึ้นมาแบบผม ส่วนอีกหนึ่งวิธีคือการนั่งรถราง ซึ่งถ้าหากผมมีโอกาสมาฮ่องกงอีกครั้ง จะขอลองใช้บริการรถรางดูบ้างครับ

จาก Victoria Peak เรานั่งรถกันต่อเพื่อมายัง Repluse Bay เพื่อมายัง Tin Hua Temple ครับ

Tin Hau Temple ตั้งอยู่ที่ริมหาด Repulse Bay ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเกาะฮ่องกง จุดเด่นของวัดนี้มีอยู่หลายจุด จุดแรกคือ เทพเจ้าไฉ่ซิงเอี๊ยะ เทพเจ้าแห่งโชคลาภ ซึ่งประทับอยู่ด้านหลังประตูทางเข้า วิธีที่จะมาขอโชคลาภคือการใช้มือลูบที่เครารูปปั้นลงมาจนถึงถุงใส่เงินใส่ทองของท่าน จากนั้นให้กำมาใส่ในกระเป๋าของเรา เป็นอันเสร็จพิธีครับ

จุดที่สองอยู่ที่องค์เจ้าแม่ทับทิม หรือที่คนจีนเรียกท่านว่า เทียนโห่ว (Tin Hau) หมายถึง ราชินีแห่งสวรรค์และเทพธิดาแห่งท้องทะเล วัดนี้จึงเป็นที่เคารพและศรัทธาของชาวประมง ก่อนที่จะออกหาปลาชาวประมงมักจะมาขอพรให้หาปลาได้เยอะๆ และกลับมาอย่างปลอดภัย สำหรับการขอพรเจ้าแม่ทับทิม ไกด์แนะนำว่าให้ตั้งใจอธิษฐานและขอเพียงเรื่องเดียว เพราะจะทำให้ประสบผลสำเร็จได้เร็ว


จุดที่สาม จะมองเห็นแหลมเล็กๆ ยื่นลงไปในน้ำ ด้านบนแหลมมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของคนจีนมากมายครับ


สะพานต่ออายุ มีความเชื่อกันว่าถ้าได้เดินข้ามสะพานแห่งนี้ จะมีอายุยืนขึ้น 3 ปี ผมเองเดินข้ามไปข้ามมาอยู่หลายรอบ จนไกด์แอบแซวว่า เดินย้อนกลับไปกลับมา ก็จะเหมือนกับลดทอนอายุ บวกและลบสามปี สุดท้ายก็ไม่เกิดผลอะไร


ศาลาแปดทิศ หันหน้าออกทะเล ด้านในศาลาจะมีแผ่นป้ายที่จารึกตัวอักษรภาษาจีน 100 ตัวซึ่งมีความหมายไปทางมงคลเช่น อายุยืนยาว โชคดี ราบรื่น เชื่อว่าถ้ายืนอยู่ในศาลา โดยหันหลังให้แผ่นป้ายและหันหน้าออกทะเล ความโชคดีทั้งหมดทั้งมวลจะมาอยู่ที่เรา


รูปปั้นเทพเจ้าแห่งความรัก ในมือเทพเจ้าถือหนังสือที่มีสัญลักษณ์ซังฮี้ แปลว่ามงคลคู่ ที่เชื่อกันว่าท่านจะจดชื่อของคู่รักที่ไปขอพรไว้เพื่อให้มีชีวิตรักที่ยาวนาน


รูปปั้นแพะสามตะวันเบิกฟ้า เป็นสัญลักษณ์มงคลแห่งความโชคดีและมั่งคั่ง แพะสามตัวเป็นสัญลักษณ์แทนพระอาทิตย์สามดวง คือ พระอาทิตย์สีเขียว สีแดง และสีขาว หมายถึง อดีต ปัจจุบัน และอนาคตครับ


รูปปั้นปลาหลีฮื้อแห่งความมั่งคั่ง ปลาเป็นหนึ่งในสัตว์มงคลของชาวจีน ซึ่งสื่อให้เห็นถึงความร่ำรวย ความก้าวหน้าในอาชีพการงาน มีความเชื่อกันว่าหากมาโยนเหรียญเข้าปากปลา พรที่ขอไว้จะสำเร็จครับ


อีกมุมนึงที่มองเห็นศาลาแปดเหลี่ยมครับ


ชายหาด Repluse Bay ถือเป็นชายหาดที่สวยที่สุดในฮ่องกง ไกด์เล่าให้ฟังว่าแต่ละชายหาดจะทำเป็นทุ่นลอยไว้เพื่อให้นักท่องเที่ยวที่ต้องการจะว่ายน้ำเล่น ห้ามว่ายออกนอกบริเวณที่ทำทุ่นลอยไว้ หากว่ายน้ำออกไปนอกพื้นที่แล้วเกิดอันตรายขึ้น ทางรัฐบาลจะไม่รับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น ชายหาดแต่ละแห่งจะมีพนักงานช่วยชีวิตคอยประจำการอยู่ ถือว่าค่อนข้างปลอดภัยเลยทีเดียวครับ

จบโปรแกรมไหว้พระ ไกด์พากลับฝั่งเกาลูน ไปทานมื้อเที่ยงกันแถวๆ หน้าโรงแรมที่ผมพักครับ

ร้านนี้ครับ ไกด์โฆษณาว่าที่นี่เด่นเรื่องเป็ดครับ

มาร้านเป็ด ก็ต้องสั่งเป็ด รสชาติอร่อยดีครับ


กระดูกหมูทอด


เมนูนี้คล้ายๆ ผัดไทยกุ้งสดไร้เส้นบ้านเราเลยครับ


ปลานึ่งซีอิ้ว


ผัดผัก มื้อนี้ถือว่ากลางๆ ไม่ได้ปลื้มอะไรมากมาย

หลังมื้อเที่ยง ผมมีโปรแกรมขึ้นชมจุดชมวิวอีกแล้ว แต่รอบนี้ขอขึ้นไปดูบนตึก International Commerce Center ซึ่งเป็นตึกที่สูงถึง 490 เมตร ติดอันดับสูงเป็นอันดับ 4 ของโลกครับ

จุดชมวิวที่ผมจะไปชมนั้นอยู่ที่ชั้น 100 เลยมีชื่อเรียกว่า SKY 100 ก่อนอื่นต้องมาซื้อตั๋วกันก่อน ค่าเข้าชมรวมอยู่ในทัวร์แล้ว ถ้าหากมาเอง ค่าตั๋วราคาประมาณ 700 บาทครับ

ทางเดินไปยังลิฟต์มีแสงสี แสดงประวัติศาสตร์ฮ่องกง ดูน่าตื่นเต้นและสวยงามครับ


เราขึ้นจากชั้น 1 ไปยังชั้น 100 ด้วยเวลาเพียง 1 นาที ภายในลิฟต์จะมีตัวเลขบอกเวลาอยู่บนเพดานลิฟต์ เมื่อถึงชั้นที่ 100 แล้ว เดินออกมาจะพบกับทางเดินพื้นกระจก ซึ่งด้านล่างได้ทำเป็นโมเดลของเกาะฮ่องกงครับ


บริเวณตรงกลางจะเป็นจุดประชาสัมพันธ์ มีสินค้าที่ระลึกจำหน่าย รวมถึงข้อมูลที่สำคัญของตึกแห่งนี้ครับ


ขอบอกเลยว่าด้านบนเป็นจุดชมวิวที่สวยมากๆ สามารถชมวิวได้ 360 องศา มองเห็นอ่าววิคตอเรีย รวมถึงป่าตึกที่ต่างผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด มองดูแล้วมันขยุกขยุยแบบบอกไม่ถูกครับ ขนาดมาชมช่วงกลางวันยังสวยขนาดนี้ ถ้าเป็นช่วงกลางคืนจะสวยขนาดไหนเนี่ย


มีร้านกาแฟด้วย

ตึก International Commerce Center สร้างขึ้นมาประมาณ 6 ปีแล้ว ภายในตึกมีโรงแรมเดอะริทซ์ คาร์ลตัน ฮ่องกง (The Ritz Carlton Hong Kong) ถือเป็นโรงแรมที่สูงที่สุดในโลก โดยตั้งอยู่บนชั้น 102-118 มี Lobby อยู่ชั้นที่ 103 ห้องพักที่ราคาถูกที่สุดอยู่ที่ประมาณ 15,000 บาท ส่วนห้องพักที่แพงที่สุด ประมาณ 380,000 บาทครับ เอ ผมก็ลืมสอบถามไกด์ไปว่า แล้วชั้นที่ต่ำกว่าชั้นที่ 100 เขาสร้างไว้เพื่ออะไร

แต่ที่ชั้นล่างมีร้านค้าแบรนด์ดังอยู่หลายร้านเหมือนกันครับ

จากตึก International Commerce Center โปรแกรมต่อไปอยู่ที่วัดแชงกงหมิวครับ แต่ไกด์เห็นทีท่าของลูกทัวร์แล้ว มีบางส่วนอยากจะไป Shopping กันแล้ว ไกด์เลยเสนอทางออกว่าจะส่งลูกทัวร์ที่ต้องการ Shopping ไว้ที่ย่าน Tsim Sha Tsui ก่อน จะได้มีเวลา Shopping นานๆ แต่สำหรับใครจะไปเที่ยวต่อ ก็มุ่งหน้าสู่วัดแชงกงหมิว (Che Kung Temple) กันเลย คิดไม่ผิดครับ ผมเลือกที่จะไปวัดแชงกงหมิวหรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ วัดกังหันลม วัดแห่งนี้ตั้งอยู่ทางเหนือของฝั่งเกาลูนครับ

วัดแชงกงหมิวเป็นวัดเก่าแก่กว่า 300 ปี สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ แชกุง หรือนายพลแช แม่ทัพราชวงศ์ซ่ง ด้านหน้าประตูมีที่จำหน่ายเทียนธูป มีทั้งแบบชุดเล็กหรือชุดใหญ่ เลือกซื้อได้ตามกำลังศรัทธา สำหรับการไหว้ขอพรก็จะมีขั้นตอนในการไหว้หลายขั้นตอนเลยทีเดียว ผมต้องคอยให้ไกด์มาช่วยบอกทีละขั้นตอนไปครับ

จุดที่เป็นไฮไลท์คือรูปปั้นของท่านแชกุง เทพประจำวัดองค์ขนาดใหญ่ยืนน่าเกรงขามมากๆ ด้านข้างของรูปปั้นท่านแชกุงมีระฆังขนาดใหญ่และวงล้อใบพัดหรือกังหันลมแห่งโชค ผู้ที่มีความศรัทธาจะมาตั้งจิตอธิษฐานและหมุนกังหันตามเข็มนาฬิกา 3 รอบ หลังจากนั้นก็จะตีกลองอีก 3 ครั้ง เพื่อความโชคดีต่อชีวิตครับ


จริงๆ แล้วกังหันที่ตั้งอยู่ด้านข้างของรูปปั้นแชกุงเป็นกังหันใหม่ แต่ถ้าใครอยากเห็นกังหันแบบ Original ให้สังเกตที่ฝาผนังฝั่งตรงข้ามของรูปปั้นจะมีกังหันแบบดั้งเดิมอยู่ในตู้กระจกครับ จะเห็นว่ากังหันจะมีใบพัด 4 ใบ ซึ่งหมุนไปมาได้ ความหมายคือช่วยดึงดูดนำพาสิ่งที่เป็นมงคลให้เข้ามาในชีวิต และปัดเป่าสิ่งไม่ดีออกไป สำหรับใบพัดทั้ง 4 ใบ ก็มีความหมายในตัวด้วย ใบพัดที่ 1 คือ สุขภาพแข็งแรง อายุยืนยาว ใบที่ 2 คือ โชคลาภเงินทองไหลมาเทมา ใบที่ 3 เดินทางไปไหนมาไหนจะพบแต่ความปลอดภัย และใบที่ 4 คือ คิดหวังสิ่งใดจะสมดังใจปรารถนาทุกประการครับ


เทพเจ้าไฉ่ซิ่งเอี๊ย เป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภที่ชาวจีนให้ความสำคัญมากที่สุด เนื่องจากเป็นเทพเจ้าที่ได้รับการกราบไหว้เป็นองค์แรก


ที่วัดแห่งนี้มีคนมากราบไหว้ขอพรกันเยอะมากครับ


สำหรับผู้ที่เคยมาขอพรไว้และได้รับผลตามคำอธิษฐาน ก็จะนำกังหันมาแก้บนครับ



บริเวณด้านหน้าประตูวัดจะมีจุดให้เช่าเครื่องรางของที่ระลึก ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับจุดที่จำหน่ายธูปเทียนครับ

สมควรแก่เวลาไกด์พากลับไปที่ Tsim Sha Tsui แต่เนื่องจากผมเห็นว่ายังมีเวลาเหลืออีกกว่าหนึ่งชั่วโมงจะถึงเวลานัดหมายกับนัก Shopping ผมเลยหาที่เดินเล่นบริเวณใกล้ๆ ครับ

จุดแรกเดินไปแถวๆ ท่าเรือเฟอร์รี่ มองเห็นตึก International Commerce Center แบบเต็มๆ ตาครับ

มองออกไปฝั่งเกาะฮ่องกง มีเหมือนหมอกบางๆ อาบด้วยแสงสีทองของดวงอาทิตย์ ดูอบอุ่นเชียวครับ


จากนั้นไปต่อกันที่หอนาฬิกาครับ


ไปชมวิวที่อ่าววิคตอเรียตรงจุดที่ผมดู The Symphony of Lights เมื่อคืน ช่วงเย็นๆ ก็สวยไปอีกแบบครับ

เมื่อถึงเวลานัดหมายแล้ว ไกด์พาไปต่อที่หมู่บ้านชาวประมงลียุนมุน (Lei Yue Mun) ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของฝั่งเกาลูน เพื่อไปทานอาหารเย็นครับ

ได้บรรยากาศประมงจริงๆ เพราะมีเรือประมงจอดอยู่เต็มเลยครับ

เดินจากท่าเรือเข้ามานิดหน่อย มองเห็นตลาด ที่มีผู้คนเดินกันขวักไขว่เลยครับ

ขอบอกเลยว่าภายในตลาดเรียกความตื่นตาตื่นใจให้ผมได้มากๆ ด้านในตลาดมีแต่ร้านขายอาหารทะเล ปู กุ้ง หอยหน้าตาแปลกๆ ตัวใหญ่ๆ เต็มไปหมดครับ ใครมาที่นี่ อยากจะทานอะไรสามารถชี้และให้ร้านอาหารที่อยู่ในตลาดนั้นปรุงอาหารได้เลย รับรองได้ทานอะไรสดๆ แน่นอน



ไกด์พาเข้ามานั่งในร้าน เมนูแรกที่นำมาเสิร์ฟคือ หอยงวงช้างที่ถูกแล่ให้เป็นชิ้นบางๆ ใครจะถนัดทานสดก็ไม่ว่ากัน แต่ถ้าใครอยากจะลวกสักนิดก็ไม่ผิดกติกา เพราะทางร้านได้เตรียมหม้อน้ำซุปสำหรับให้ลวกไว้เรียบร้อย ทางร้านแนะนำว่าอย่าลวกนานจะทำให้หอยเหนียวครับ เวลาทานก็ลวกพอให้สะดุ้งน้ำร้อนสักนิด จิ้มทานกับซอสและวาซาบิ อร่อยมากๆ มันมีทั้งความกรุบกรอบ และความหวาน สุดๆ ครับ


กุ้งทอดกระเทียมตัวใหญ่ๆ คลุกกับซอสเค็มๆ กุ้งเนื้อแน่นมาก อร่อยอีกเช่นกันครับ


ตามมาด้วยกั้งทอดกระเทียมแบบแห้ง กั้งตัวใหญ่ก็จริงแต่เวลาประกอบอาหารแล้วเนื้อมันเหลือนิดเดียว กลิ่นกระเทียมซึมเข้าเนื้อกั้งกำลังดีครับ


ต่อด้วยหอยเชลล์ญี่ปุ่นนึ่งกระเทียมวุ้นเส้น หอยเชลล์ตัวใหญ่มาก ใหญ่กว่าช้อนอีกครับ วุ้นเส้นอาจจะดูเหมือนยังไม่สุกสักเท่าไร แต่เวลาทานคู่กับหอยเชลล์แล้วเข้ากันได้ดีครับ หอยหวานจากความสด เมนูนี้คุณภาพคับปากจริงๆ


อีกหนึ่งเมนูที่คุณภาพคับปาก ต้องยกให้เป๋าฮือนึ่ง หอยสดๆ เวลาทานแล้วให้ความรู้สึกเหมือนมันเด้งในปากครับ ได้อรรถรสในการทานมากๆ


ปลาเก๋านึ่งซีอิ้ว ความหวานของเนื้อปลามันลงตัวได้ดีกับความเค็มของซีอิ้ว ต้องบอกเลยว่าละมุนลิ้นมากๆ ครับ


ปลาหมึกทอด ปลาหมึกตัวใหญ่ๆ หั่นมาในชิ้นพอดีคำ เวลาเคี้ยวแล้วมันเด้งดึ๋งบวกกับความหวานจากความสดของปลาหมึกเจือด้วยกลิ่นกระเทียมด้วย อร่อยอีกเช่นกัน


กุ้งมังกรผัดขิงต้นหอม ขอบอกว่ากุ้งเนื้อแน่นมากๆ แต่เมนูนี้แกะทานค่อนข้างยากครับ เพราะเนื้อกุ้งมันเกาะติดเปลือกไปสักหน่อย


ต่อด้วยปูผัดพริกไทยดำ เมนูนี้ผมทานไปนิดเดียว เพราะเนื้อปูเวลานำมาผัดแห้งแล้วมันหด ทำให้แกะทานค่อนข้างยาก ผมชอบปูนำมานึ่งมากกว่าเพราะมันจะได้ความหวานและเนื้อของปูไม่แห้งด้วย แต่ถ้าอยู่ที่บ้านเมนูนี้คงไม่ปล่อยให้หลุดมือครับ เพราะคงมีเวลาในการแกะ แงะ แทะมากกว่านี้ครับ


ปิดท้ายด้วยข้าวผัด ซึ่งผมไม่ได้แตะเลย เนื่องจากกลัวว่าจะไปตัดกำลังเพื่อทานเมนูอื่นๆ ไปครับ

มื้อนี้เป็นมื้อที่ผม Happy สุดๆ สำหรับทริปนี้แล้ว ที่ผ่านๆ มาอุตส่าห์คลุมอาหารเพื่อลดคอเลสเตอรอล มื้อนี้ทำเอาผมตบะแตกอย่างแรงครับ

หลังมื้อค่ำ ไกด์พากลับมาส่งยังโรงแรม แต่เนื่องจากมื้อเย็นผมทานเยอะจนอึดอัด เลยขอเดินเล่นแถวๆ โรงแรมซะหน่อยครับ

บรรยากาศด้านหน้าโรงแรม ช่วงเย็นคนละเรื่องกับช่วงเช้าเลยครับ

บริเวณด้านหลังโรงแรมริมถนน NATHAN มองเห็นอ่าววิคตอเรียครับ


มุมอ่าววิคตอเรียที่มองจากด้านหลังโรงแรมที่พัก สวยไม่แพ้วิวตรงหอนาฬิกาเลยครับ


ตึกด้านขวามือคือ Shangri-La Kowloon Hotel โรงแรมที่ผมพักครับ คืนนี้อำลาด้วยภาพนี้ครับ

เช้าวันใหม่ ผมตื่นเร็วอีกวัน เช้านี้เลยวางแผนจะเดินไปที่ Avenue of Stars ซึ่งอยู่ห่างจากที่พักผมประมาณ 300 เมตร ใช้เวลาเดินประมาณ 5 นาทีครับ

แค่บันไดก็ได้กลิ่นอายของแวดวงภาพยนตร์แล้ว

Avenue of Stars จะบอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ของฮ่องกงที่มีมากกว่าร้อยปี เริ่มจากผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องดังคนแรกของฮ่องกง “ไหลมั่นหวาย” ซึ่งได้รับฉายาว่า บิดาของภาพยนตร์ฮ่องกง รวมไปถึงซุปเปอร์สตาร์ระดับโลกอย่างแจ็คกี้ ชาน และ โจวเหวินฟะ ถือว่าที่นี่เป็นสถานที่รำลึกถึงบุคคลที่มีส่วนทำให้ฮ่องกงกลายเป็นฮอลลีวู้ดแห่งตะวันออกก็คงไม่ผิดครับ


มีการนำประติมากรรมของแอนนิต้า หมุย และ บรูซ ลี มาจัดแสดงด้วย


นอกจากนี้ยังมีรอยประทับมือของดาราอีกมากมาย ช่วงเช้าแบบนี้ผมเห็นมีคนฮ่องกงมาออกกำลังกายกันบนนี้ด้วยครับ

ถ่ายรูปสักพักก็เดินกลับมายังโรงแรมเพื่ออาบน้ำ เก็บเสื้อผ้า เตรียมที่จะเดินทางกลับ

มื้อเช้านี้ผมใช้บริการที่ห้องอาหาร Café Kool อยู่บนชั้น 2 ของโรงแรมครับ

ห้องอาหารค่อนข้างกว้างขวาง แต่ผมลงมาสาย แขกเลยค่อนข้างเยอะครับ

อาหารจะเป็น Buffet นานาชาติ มีทั้งจีน อินเดีย ฝรั่งครับ ในส่วนนี้เป็นสถานีก๋วยเตี๋ยวครับ


มุมติ่มซำ


สถานีไข่


มุมสลัด


มุมอาหารญี่ปุ่น


มุมเบเกอรี่ มีให้เลือกเยอะมากครับ


มีไอศกรีมด้วย


มุมผลไม้สด

อาหารถือว่าโอเคเลยครับ เพื่อนๆ ที่วางแผนจะมาพักที่นี่ และจะใช้บริการอาหารเช้าที่ Café Kool แนะนำให้เผื่อเวลาสำหรับมื้อเช้าสัก 1 – 1.30 ชม. จะได้ทานได้หลายสิ่งอย่างครับ

และโปรแกรมสุดท้ายของทริปนี้ อยู่ที่ Disneyland Hong Kongซึ่งเราจะอยู่ที่นี่กันทั้งวันครับ

หลังอาหารเช้า เริ่มออกเดินทางกัน ระหว่างทางผ่านสะพานซิงหม่าด้วย

สะพานซิงหม่าเป็นสะพานแขวนที่เชื่อมระหว่างเกาะลันเตากับฝั่งเกาลูน ตัวสะพานแขวนมีความยาว 2.2 กิโลเมตร เป็นสะพานแขวนที่มีช่วงกลางยาวที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก สะพานซิงหม่าเป็นสะพานสองชั้น ปกติรถจะวิ่งชั้นบน แต่พอถึงฤดูมรสุมช่วงเดือน ก.ค.-ก.ย. หากมีพายุแรงๆ จะปิดชั้นบนและเปิดใช้งานชั้นล่างแทน ไกด์เล่าให้ฟังว่า สลิงที่นำมาทำสะพาน หากนำมาคลี่แล้วเรียงต่อกัน จะมีความยาวที่สามารถพันโลกของเราได้ 4 รอบเลยทีเดียว

นั่งรถไม่นานก็มาถึง Disneyland Hong Kong นักท่องเที่ยวยังไม่เยอะสักเท่าไรครับ


ด้านหน้ามีน้ำพุ Mickey mouse กำลังเล่นกระดานโต้คลื่นอย่างเมามันบนน้ำที่วาฬพ่นออกมาครับ


หลังจากผ่านด่านตรวจตั๋ว ก็จะมาเจอสวนดอกไม้ที่ตกแต่งเป็นรูป Mickey mouse นับว่าเป็นจุดถ่ายภาพที่ไม่ควรพลาดครับ


สองข้างทางของถนนสายหลักมีร้านค้ามากมาย ทั้งร้านขายของฝากตุ๊กตุ่น ตุ๊กตา รวมถึงร้านเบเกอรี่และกาแฟครับ


ปราสาทเจ้าหญิงนิทรา


ผมมาตั้งต้นที่ Tomorrow Land เน้นเครื่องเล่นแบบอวกาศ เหาะเหินเดินอากาศครับ


และที่เป็นไฮไลต์ของโซน Tomorrow Land ผมว่าคือจุดนี้เลย IRON MAN ซึ่งเพิ่งจะเปิดตัวไปได้ไม่นาน ระหว่างเส้นทางที่เข้าไปยังด้านในจะเห็นหุ่นจำลองรวมถึงยานต่างๆ ที่ดูแล้วน่าตื่นเต้นมากครับ สำหรับคอนเซปของ IRON MAN นั้น เราจะต้องใส่แว่นตา Stark Vision แล้วขึ้นยาน Expo Edition Iron Wing ท่องไปในขอบฟ้าของฮ่องกง และจะมีการต่อสู้กันเกิดขึ้น ขอบอกเลยว่าสนุกเร้าใจดีทีเดียวครับ


เดินถัดมาจาก IRON MAN นิดหน่อย มีโรงละครให้เด็กๆ ได้มาร่วมสนุกกับนักแสดงของ Star wars ครับ


บรรยากาศที่ปราสาทเจ้าหญิงนินทราครับ


ช้างบินดัมโบ้


มุมนี้เป็น It’s Small World ได้แต่ถ่ายรูปอยู่ด้านหน้า แดดร้อนมากเลยไม่ได้เดินเข้าไปสำรวจครับ


มีมุมให้ถ่ายรูปเยอะเลยครับ


สำหรับอาหารกลางวันมื้อนี้ ตามอัธยาศัย ผมเลยไปฝากท้องที่ Royal Banquet Hall บริเวณ Fantasy land ภายในมีอาหารหลากสไตล์ ทั้งอาหารฝรั่ง อาหารจีน อาหารญี่ปุ่น อาหารด้านในราคาค่อนข้างแพง อย่าง Set นี้เป็น Pizza ชิ้นไม่ใหญ่มากพ่วงมากับโค๊ก 1 แก้ว ราคา 560 บาท Pizza หาโปรตีนจากเนื้อสัตว์แทบไม่เจอเลย มีแต่ Tomato ชิ้นโตๆ ครับ


หลังมื้อเที่ยงไม่รู้จะไปไหน ก็หาที่นั่งร่มๆ พักผ่อน ไม่นานนักก็มีขบวนพาเหรด Flights of Fantasy Parade มาพอดีครับ


ตื่นตาตื่นใจได้อีก เรียกรอยยิ้มจากเด็กๆ ได้เป็นอย่างดี จบการแสดงพาเหรด ไม่รู้จะทำอะไร ก็เดินเล่นต่อซิครับ


Plaza Inn เป็นร้านอาหาจีนที่มีการตกแต่งสวยงามครับ


มีไข่อีสเตอร์เจ้า Pluto และเจ้า Goofy ด้วย น่ารักเชียวครับ


อีกหนึ่งกิจกรรมที่ช่วยดับร้อนได้เป็นอย่างดีคือ มุมนี้ครับ Storybook Theater โดยจะมีการแสดงชุด Mickey & the Wondrous Book ครับ


ภายในโรงละครจะถูกจำลองให้มีบรรยากาศคล้ายห้องสมุด อันเป็นจุดเริ่มเรื่องราวของมิ๊กกี้กับหนังสือนิทานวิเศษ โดยจะมี Mickey mouse และ Goofy เป็นตัวเดินเรื่อง จะเล่าเรื่องราวต่างๆ โดยการเปิดหนังสือนิทาน ก็จะมีเรื่องราวของเทพนิยายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเมาคลีลูกหมาป่า, The Little Mermaid, Aladdin ต้องบอกเลยว่าทั้งการแสดงและเทคนิคต่างๆ น่าติดตามมากครับ

หลังการแสดงจบ ผมออกมาเดินเล่นแถวๆ ถนนสายหลักเพื่อรอเวลานัดหมาย เป็นช่วงจังหวะที่จะมีการแสดงพาเหรดพอดีครับ

โดยมีนักแสดง 2 คนนี้มาโชว์ตีกลองเรียกแขกครับ









ขบวนพาเหรดเริ่มทยอยมา ตื่นตาตื่นใจกันทั้งเด็กเล็ก เด็กใหญ่ รวมถึงผู้ใหญ่อย่างผมครับ


สิ้นสุดขบวนพาเหรด เหล่าตัวการ์ตูนจะเดินถ่ายรูปกับเด็กๆ ครับ


ถึงเวลาอันควรแล้ว คงต้องเดินทางต่อเพื่อไปยังสนามบิน




สนามบินเช็คแล็บก๊อกค่อนข้างกว้างนะครับ อย่ามัวชะล่าใจเดิน Shopping ที่ Duty Free กันจนเพลิน เพราะจากเคาเตอร์เช็คอิน จะต้องนั่งรถรางเพื่อไปยัง gate ใช้เวลาพอสมควรครับ

เป็นอันจบทริปอย่างสมบูรณ์ ถือเป็นอีกหนึ่งทริปสบายๆ สำหรับผม ที่ไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมากมาย รีวิวนี้อาจไม่มีข้อมูลอะไรให้เพื่อนๆ มากมายนัก แต่ถือซะว่าเข้ามาดูบรรยากาศของสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละแห่ง และถ้าเผื่อใครอยากจะดูข้อมูลที่พักที่ Shangri-La Kowloon Hotel จะได้มีข้อมูลในการตัดสินใจครับ

ทริปนี้ ผมต้องขอขอบคุณพี่จอห์น พี่น้ำ (อีกแล้ว) สปอนเซอร์ใหญ่ที่พาผมไปเปิดหูเปิดตา เปิดรับประสบการณ์ดีๆ แบบนี้ ถ้าหากลำพังผมมาเอง คงไม่ได้กินอยู่แบบดีๆ สบายๆ อย่างนี้แน่นอนครับ

ท้ายสุดนี้ เพื่อนๆ สามารถเข้าไปให้กำลังใจและติดตามผลงานของผมเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/unclegreenshirt นะครับ

ลุงเสื้อเขียว

 วันอังคารที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2560 เวลา 10.34 น.

ความคิดเห็น