...ทุกการเดินทางย่อมนำมาซึ่งความสุข ความพอใจ และประสบการณ์ที่ได้พบเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่สวยงามรอบตัว แม้ในบางครั้งสภาพอากาศอาจไม่เป็นใจ หรือมีอะไรที่ไม่ได้หวังว่าจะได้เจอะได้เจอ แต่ทั้งหมดก็เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้เสมอ ๆ จากการเดินทางแต่ละครั้ง... กับคนคนหนึ่งจะมีสถานที่สักกี่ที่ที่เราเดินทางไปสัมผัสแล้วรู้สึกว่าที่นี่แหละ คือที่ที่เราต้องการ ที่ที่เราคิดถึงเมื่อเรากลับบ้านไป และทำให้เราอยากกลับมาที่แห่งนี้เสมอ ๆ ...



...ผมเคยถามเพื่อนผมที่ขึ้นภูกระดึงเป็น 20-30 ครั้ง ว่าทำไมมีอะไรถึงได้ไปแล้วไปอีก..คำตอบที่ได้คือ “ไม่รู้สิ .. รู้สึกว่าไปแล้วมีความสุขกว่าที่อื่น" ... จนวันนึงผมก็ได้คำตอบให้กับตัวเองเมื่อผมได้พบได้เจอกับสถานที่ที่รู้สึกว่านี่แหละคือที่สุดในประเทศไทยเท่าที่ผมเคยเดินทางมา ... “โครงการหลวงป่าสนบ้านวัดจันทร์ อ.กัลยาณิวัฒนา จ.เชียงใหม่"...



...ปลายปี 2554 เป็นครั้งแรกที่ผมเดินทางมุ่งหน้าสู่บ้านวัดจันทร์ หลังจากนั้นจนถึงวันนี้ผมกลับไปที่แห่งนี้อีกรวมด้วยกันแล้วทั้งหมด 5 ครั้ง และทุกครั้งก็ยังรู้สึกว่าอยากกลับมาอีก อยากกลับมาอีก.. เพียงแต่ตอนนี้ผมยังไม่รู้ว่าครั้งที่ 6 กับบ้านวัดจันทร์ของผมจะเป็นเมื่อไหร่ แต่ที่แน่นอนก็คือที่ “บ้าน" แห่งนี้ทำให้ผมรู้สึกว่าที่นี่แหละคือ “สถานที่ของเมืองไทยในดวงใจอันดับหนึ่งของผม" ..



...เริ่มต้นการเดินทางจาก อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ขับมุ่งหน้าสู่สามแยก (แม่มาลัย – ปาย) ก่อนถึง อ.แม่แตง ให้เลี้ยวซ้ายเข้าสู่เส้นทางหลวงหมายเลข 1095 เส้นทางมุ่งหน้าสู่ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน ให้ขับตามเส้นทางจนผ่านอุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดังจากนั้นให้ขับตรงต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง สังเกตทางซ้ายมือจะมีป้ายบอกให้เลี้ยวเข้าสู่บ้านวัดจันทร์ จากปากทางสามแยกตรงนี้ขับเข้าไปอีกประมาณ 45 กิโลเมตร ก็จะถึงโครงการหลวงป่าสนบ้านวัดจันทร์จะอยู่ทางขวามือ ...



...เส้นทางนี้คือเส้นทางเดียวที่ผมใช้ในการเดินทางมาที่บ้านวัดจันทร์ตลอด 5 ครั้งที่ผ่านมา .. ทั้งขับรถมาเอง และเช่ารถตู้มา .. จากเส้นทางสามแยกที่เลี้ยวเข้ามามุ่งหน้าสู่บ้านวัดจันทร์สภาพถนนเป็นลาดยาง อาจมีขรุขระบ้าง มีหลุมบ้าง ค่อย ๆ ขับมาด้วยความระมัดระวังก็ไม่มีปัญหาครับ .. จะมีเพิ่มเติมก็คือเส้นทางที่เข้ามาจะมีทั้งทางที่เป็นทางชัน ทางโค้งอยู่เรื่อย ๆ แต่รถเก๋งก็สามารถมาได้ครับ เจอทางชัน ทางโค้งขับด้วยความไม่ประมาทก็ถึงที่หมายแน่นอน...



...เมื่อขับพ้นจากทางแยกเข้ามาได้สักระยะก็จะพบกับเส้นทางสูงชันกันแต่แรกเลย จากนั้นอีกไม่กี่นาทีเราก็พบกับจุดชมวิวข้างทางขวามือ “จุดชมวิวขุนห้วยแก้ว"ตรงนี้จะเห็นได้ง่ายคือมีศาลาอยู่ทางด้านขวามือ จอดรถพักเครื่องกันสักหน่อยเก็บภาพผืนป่าที่กำลังเปลี่ยนสีในช่วงปลายปีที่สีสันของต้นไม้เริ่มทยอยสลับสีกันไปมา ทั้งส้ม ทั้งแดง ทั้งเหลือง ... ความสวยงามที่ผมได้พบสะกดให้ผมรู้สึกพิเศษขึ้นมาตั้งแต่แรกพบทันที...



...เดิมทีแต่ก่อนนั้นป่าสนบ้านวัดจันทร์อยู่ในพื้นที่เขต อ.แม่แจ่ม แต่ด้วยความที่สภาพภูมิประเทศบริเวณนี้นั้นอยู่ห่างไกลจากตัว อ.แม่แจ่ม ทำให้ประชาชนไม่ได้รับความสะดวกในการติดต่อราชการ การคมนาคม การรับบริการต่าง ๆ เป็นไปด้วยความยากลำบาก จึงมีความเห็นชอบให้แยกพื้นที่ส่วนนี้มาจัดตั้งเป็นอำเภอใหม่ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และต่อมาในวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่ออำเภอที่จัดตั้งขึ้นใหม่นี้ว่า "อำเภอกัลยาณิวัฒนา" ...



...ครั้งแรกที่ผมเดินทางไปเมื่อปี 2554 ระหว่างเส้นทางเราก็จะเพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพสองข้างทาง บนถนนลาดยางขับสบาย ๆ แต่บางปีผมกลับมาถนนบางช่วงก็เป็นหลุม เป็นบ่อ .. แต่ที่น่าแปลกใจสุดคือล่าสุดที่ผมไปมาเมื่อปี 2556 ครั้งสุดท้ายข้างทางริมถนน จะมีบริเวณที่เป็นน้ำพุร้อนผุดขึ้นมาตามธรรมชาติด้วย .. ซึ่งก็มีชาวบ้านนำไข่ไก่มาวางแผงขายให้นักเดินทาง ได้นำไข่ไก่ใส่ตะกร้าไปยืนแช่น้ำร้อนจนรับประทานได้ อันนี้ก็ถือว่าเป็นกิจกรรมน่ารัก ๆ ระหว่างเส้นทางที่ตอนนี้หากใครได้ไป ผมคิดว่าก็น่าจะยังมีอยู่ครับ..



...เส้นทางขับรถอย่างที่ได้บอกไปว่ามีมุมสวย ๆ ให้เราได้จอดได้พักแวะกันตลอดทาง ทัศนียภาพที่เป็นภูเขาลูกใหญ่ที่อยู่รายล้อมพื้นที่แห่งนี้เป็นภาพชินตาตลอดเส้นทางที่เราขับเข้ามาจากปากทาง ...



...เจอมุมไหนวิวไหนที่เราว่าสวยก็จอดรถถ่ายรูปกัน เรียกว่าขับ ๆ จอด ๆ กันเป็นระยะ ๆ ... เส้นทางจากปากทางกว่าจะถึงบ้านวัดจันทร์ก็ร่วม 40 กว่ากิโลเมตร หากเป็นทางราบเรียบปกติใช้เวลาครึ่งชั่วโมงก็คงถึงที่หมาย แต่กับเส้นทางคดเคี้ยวบ้าง ทางชันบ้าง ไหนจะแวะจอดถ่ายรูปเล่นระหว่างทาง .. ยังไงอย่างต่ำต้องมีเกินชั่วโมงนึงแน่นอน...



...ถนนที่เรากำลังมุ่งหน้าสู่โครงการหลวงป่าสนบ้านวัดจันทร์นี้คือทางหลวงหมายเลข 1265 ซึ่งถนนเส้นนี้ถ้าเราขับรถตรงไปเรื่อย ๆ ก็สามารถเดินทางไปยัง อ.แม่แจ่ม ได้เช่นกัน ... เพียงแต่ว่าเส้นทางที่ลึกเข้าไปนั้นไม่สะดวก และต้องเป็นรถขับเคลื่อนสี่ล้อเท่านั้นถึงจะลุยผ่านไปได้ ... ดังนั้นเส้นทางที่ผมใช้ในทุกครั้งที่มาจึงเป็นเส้นทางที่เราสามารถขับรถมาได้อย่างสบายใจ...



...ความสวยงามของการเดินทางนอกไปจากถึงที่หมายด้วยความปลอดภัยแล้ว การได้เสพความงดงามจากเส้นทางที่เราได้ผ่านมาก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทุกคนคุ้นเคยกันดี ... ทุกครั้งที่ผมมาผมจะบอกกับเพื่อน ๆ และคนที่มาด้วยกันว่าใครอยากจะถ่ายรูปตรงไหนให้บอกได้เลย พร้อมหยุดทุกที่ที่ใครก็ตามเห็นความสวยงาม .. เพราะบางครั้งเราอาจไม่เห็น แต่เพียงแค่เราได้หยุดยืนดู เฝ้าดู ความสวยงามนั้นก็ไม่ได้อยู่ไกลเกินเอื้อมมือเราเลยแม้แต่น้อย....



...ด้วยความที่การเดินทางเข้าถึงนั้นค่อนข้างไกลทำให้นาน ๆ ทีถึงจะได้พบกับรถที่แล่นสวนไปสวนมาสักครั้ง แม้จะทิ้งช่วงไปนานแต่ก็ยังให้รู้ว่ามีเพื่อนร่วมทางอยู่กับเราเสมอ ๆ ...



...แม้ในบางครั้งจะไม่ใช่รถ ไม่ใช่คนก็ตาม ... ลำธารข้างถนนยังมีนกตัวน้อยอยู่อีกฝูงเดินเล่นแวะกินน้ำเดินไปเดินมา เจ้านกตัวนี้เป็นภาพจากการเดินทางครั้งที่ 3 ของผม .. ค่อย ๆ ย่องเดินเข้าไปทีละนิด ๆ ช้า ๆ ไม่มีอะไรต้องเร่งรีบเวลามีเยอะกับวันพักผ่อนสบาย ๆ ....



...ในที่สุดก็ถึงเสียที “โครงการหลวงป่าสนบ้านวัดจันทร์" ... หากขับเลยไปอีกก็จะเป็นโรงพยาบาลวัดจันทร์เฉลิมพระเกียรติ ถัดจากโรงพยาบาลก็จะมีร้านอาหาร มีวัดจันทร์ที่โด่งดังกับวิหารที่มีหน้าต่างเหมือนลักษณะของแว่นตาดำ และก็เป็นชุมชนชาวบ้าน ก่อนจะเจอกับ “ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงวัดจันทร์" ..



...เมื่อเลี้ยวรถเข้ามาแล้วก็ขับสู่ตัวที่ทำการโดยจะเห็นบ้านพักที่สวยงามต้อนรับเราแต่แรกเลย ซึ่งบริเวณบ้านพักภายใน ออป. (องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้) แห่งนี้ก็มีอยู่ด้วยกันหลายบริเวณ ทั้งที่เป็นลานกางเต๊นท์ และบ้านพักที่อยู่ใกล้ริมสันเขื่อน ...



... บ้านพักทรงสามเหลี่ยมน่ารัก ๆ คือที่ที่ผมเลือกนอนทุกครั้งที่กลับมาที่นี่ .. หากใครสนใจดูที่พักเชิญที่ลิ๊งค์ขององค์กรได้ที่นี่เลยครับ http://www.fio.co.th/travel/watchan/index.htm ..



... จากในภาพนอกจากบ้านพักก็จะเป็นร้านขายของที่ระลึก และห้องอาหารที่เราต้องมารับประทานที่นี่กันเสมอ ๆ ... ทุกครั้งที่ผมมาก็จะสั่งอาหารเป็นเซ็ทโดยโทรแจ้งกับทางโครงการหลวงไว้ก่อน เพื่อทางนี้จะได้เตรียมอาหารได้ถูก แล้วก็เพิ่มค่าอาหารเข้าไปกับที่พัก... หรือใครจะขับออกไปกินข้าวที่ข้างนอกโครงการก็ได้ครับ แต่ไหน ๆ มาแล้วผมว่าเราแบ่งสักมื้อรับประทานในนี้อุดหนุนโครงการหลวงสักหน่อยก็ดีไม่น้อยครับ...



...บรรยากาศสบาย ๆกับสายลมกับความเงียบสงบที่ไม่วุ่นวาย... มาทุกครั้งก็ประทับใจทุกครั้ง มาที่นี่แล้วเหมือนมาล้างหู มาฟอกปอด มาคืนความบริสุทธิ์ให้กับร่างกายที่เราได้ใช้ไปทุกวัน ๆ ...



...ชื่นใจทุกครั้งที่ได้กลับมาจริง ๆ ...



...ความเห็นนี้ขอนำภาพจากช่วงหน้าฝนที่ผมได้มาตอนเดือนกันยายนมาแจมสักหน่อย... สำหรับหน้าฝนที่บ้านวัดจันทร์ก็จะชุ่มชื่น ชุ่มตา ชุ่มใจ มองไปทางไหนก็เขียวสวยไปหมด .. บางครั้งฝนตกก็ทำให้ได้แต่นั่งเฉย ๆ แต่ครั้งนั้นที่มาเมื่อเดือนกันยาปี 56 ซึ่งเป็นครั้งที่ห้าครั้งสุดท้าย ความสวยงามก็มีไปในอีกรูปแบบหนึ่ง...



... ถักทอสี ♫ อย่างเชื่องช้า ♪ เมื่อตอนท้องฟ้านั้นเริ่มเหือดฝน ♫ ดุจดังถนนแห่งฟากฟ้า...



...หลังฝนซาเราก็เจอกับรุ้งงาม รุ้งกินน้ำตัวใหญ่ที่ไม่คิดว่าจะได้เจอที่นี่ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้หวังหรือคิดว่าจะได้พบเจอ แต่บางครั้งธรรมชาติก็มอบอะไรดีดีให้กับเราเสมอ ๆ ... ภาพของแนวป่าสนที่สะท้อนน้ำบริเวณริมสันเขื่อนอ่างเก็บน้ำขนาดเล็ก ๆ คือเอกลักษณ์ของที่นี่อย่างชัดเจนแม้ในหน้าฝนอย่างวันนี้ก็ตาม...



...จากภาพหน้าฝนก็กลับสู่ภาพช่วงปลายปีเดือนธันวาคมตามเดิม...



...♫ อยากให้เวลาเดินช้า ๆ ♪ ขอเวลาสักหน่อย ♫



...ท้องฟ้าที่สดใสเงาเมฆที่สะท้อนตัวเองปรากฏลงผืนน้ำคือภาพชินตาของที่แห่งนี้ .. ความสงบที่ไม่ต้องถามหา หรือเสาะหา แต่เราสามารถได้ยินเสียงความเงียบได้ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ .. เหมือนทุกอย่างจะค่อย ๆ เดินไปอย่างช้า ๆ ทั้งที่เข็มนาฬิกายังคงเดินด้วยจังหวะเท่าเดิม .. แต่ความรู้สึกของเราต่างหากที่ทำให้เข็มนาฬิกาของเราเดินช้าลงกว่าที่เคย...



...สวยล้ำคำลือ ♫ นี่คือระบำธรรมชาติ ♪ แดดทอแสงสวยงามส่องสาด ♫ วาดไว้ในสายฝันนาน ๆ ...



...ทุกครั้งที่ผมมา ผมก็จะมาเดินเล่นค่อย ๆ ก้าว ค่อย ๆ เดินไปเดินมา รอบ ๆ อ่างเก็บน้ำ เดินไปตามที่ที่พอจะซอกแซกไปได้ .. เพื่อนร่วมทางที่มาด้วยกัน หรือจะเป็นคนอื่นที่ผมเห็นก็มีเช่าจักรยานในโครงการมาปั่นแทนการเดิน ... ก็สุดแท้แต่ความสะดวกของแต่ละคน...



...♫ อยากเห็นท้องฟ้าเป็นอย่างวันนั้น ♪ อยากขอให้เป็นดังเดิมทุกอย่าง ♫



...ผืนป่าสนที่โครงการหลวงบ้านวัดจันทร์แห่งนี้ เป็นผืนป่าสนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย .. ซึ่งมีด้วยกันทั้งประเภทของสนสองใบ และสนสามใบ .. ความอุดมสมบูรณ์ที่กว่าจะเติบโต และยิ่งใหญ่มีคุณค่าทางระบบนิเวศน์วิทยาได้ขนาดนี้ต้องใช้เวลาเป็นร้อย ๆ ปี ...



...กับการได้ยืนอยู่ท่ามกลางพื้นที่ที่ห้อมล้อมด้วยความเข้มข้นของธรรมชาติแบบนี้ บอกได้คำเดียวว่าคือความสุขที่ได้ตกอยู่ในวงล้อมแห่งความสมบูรณ์แบบของธรรมชาติอย่างนี้จริง ๆ ...



...♪ อยู่นาน ๆ ได้ไหม ♪ นาน ๆ จะเจอกันสักที ♫ ให้ฉันลืมวันคืนที่เหินห่าง ♪ อยากเติมความรักให้เต็ม.. หัวใจ ♫



...เมื่อลมฝนพัดมาต้นไม้ทั้งผืนป่าก็พร้อมใจเป็นสีเขียวพร้อมแผ่กิ่งก้านผลิใบสร้างความชุ่มฉ่ำตามฤดูกาลแห่งสายฝน .. แต่เมื่อลมหนาวพัดผ่านมาใบไม้ที่เคยเขียวชอุ่มก็กลับกลายเริ่มแห้งสีเหลืองสีส้ม ซึ่งที่แห่งนี้ความงดงามที่น่าอัศจรรย์มิได้มีเพียงแค่ป่าสนที่อุดมสมบูรณ์เท่านั้น...



... “ดอกพญาเสือโคร่ง" ผมชอบที่จะได้ยินอย่างนี้มากกว่าคำว่าซากุระเมืองไทย ... เมื่อถึงช่วงเวลาที่ลงตัวเหล่าดอกไม้ดอกเล็ก ๆ อันเป็นที่ปรารถนาของใครต่อใครหลายคนที่อยากมาเห็นด้วยตาตนเองสักครั้ง ในเมืองไทยเรามีอยู่ด้วยกันมากมายหลายที่ในจังหวัดทางภาคเหนือ หรือแม้แต่ที่อีสานอย่างภูลมโลที่กำลังมาแรงในปัจจุบัน...



...และที่นี่ก็มีกับเขาเช่นกัน .. ภาพของดอกพญาเสือโคร่งที่แม้อาจจะไม่ได้มีเยอะเป็นต้นใหญ่เฉกเช่นที่อื่น แต่ก็มีมากมายหลายต้นที่ขึ้นเป็นแนวยาวโค้งให้เราได้เลือกมุมในการเก็บภาพเป็นที่ระลึก ดอกไม้สีชมพูเป็นฉากหน้ามีต้นสนสีเขียวสดเป็นฉากหลัง และผืนฟ้าสีฟ้าสดใส ... ธรรมชาติได้มอบความลงตัวให้กับที่นี่เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งอย่างแล้ว...



... ♫ พบทุกอย่างที่เคยใฝ่ฝัน ♪ พบทุกอย่างที่ดีกว่าที่ใด ♫ เพราะทุกสิ่งมีในเมืองไทย ท่องเที่ยวไปให้ทั่วบ้านเรา ♪



...บรรยากาศยามบ่ายแก่ ๆ ที่ใกล้ล่วงเข้าสู่ยามเย็นคืออีกช่วงเวลาที่ผมออกมาเดินเล่นรับลมหนาว แสงแดดที่ยังแรงพอให้ถ่ายภาพได้สบาย ๆ ยังคงเป็นตัวเติมความสุข และมอบเวลาอันอบอุ่นสดใสให้แก่เราเสมอ ๆ เสียงนกร้องที่ได้ยินอยู่บ้างบางจังหวะ แต่เสียงที่เงียบคือเสียงที่ได้ยินอยู่ตลอดเวลาบนพื้นที่แห่งนี้....



... ♪ พักตรงนี้ดีกว่า ♫ หยุดและพักให้คลายหายเหนื่อย ♪ สายลมไหว โชยเอื่อย ♫ เหนื่อยให้คลายได้แรงกลับคืนเหมือนเดิม...



...ภาพของแนวป่าสนที่ขึ้นแน่นขนัดอยู่ริมฝั่งมองเห็นได้ในมุมกว้าง 180 องศา เลือกมุมให้สวย เลือกจังหวะดีดีรอแสงยามบ่ายแก่ ๆ ที่บรรจงสาดส่องมาตามมุมก็ทำให้ภาพสวยงามขึ้นมาได้ไม่ยาก .. ความสุขไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่ได้ภาพที่ถูกใจกลับไป แต่คือการได้ยืนมองธรรมชาติเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้า ๆ มองให้นานอย่างที่เราอยากจะมอง .. วันพักผ่อนที่ไม่ต้องเร่งรีบ รีบร้อนอะไร เพิ่มเวลาที่ช้าลงให้กับตัวเองสักนิดแล้วเสพให้เต็มที่ .. ไหน ๆ มาแล้วขอซึมซับไว้นาน ๆ สักหน่อย...



...พื้นที่ในบริเวณโครงการหลวงป่าสนบ้านวัดจันทร์สามารถเดินได้ทั่ว เส้นทางเดินที่เป็นทั้งทางเท้า และมอเตอร์ไซด์ของเจ้าหน้าที่ก็คือตัวนำเราไปสู่มุมถ่ายภาพต่าง ๆ ...



...เดินขึ้นเนินเล็ก ๆ บ้างสลับไปกับทางราบ แหงนหน้าขึ้นฟ้าก็เจอต้นสน มองซ้ายมองขวาก็มีแต่ต้นสน... เสพสุขจนสมใจ ตกกลางคืนก็นอนในบ้านพักที่แอร์ไม่จำเป็นต้องใช้เพราะด้วยสภาพภูมิประเทศ และความสูงจากระดับน้ำทะเลราว 960 เมตร รับประกันความหนาวเย็นให้กับทุกคนที่เดินทางมาแน่นอน...



...เป็นที่แน่นอนว่าหากเป็นในชีวิตประจำวันเวลาประมาณตี 5 กว่า ๆ ถึง 6 โมงเช้าผมคงหลับไหลอยู่บนเตียงนอน .. แต่ทุกครั้งที่มาที่นี่ผมจะออกมาเดินริมอ่างเก็บน้ำยามเช้าในทุกครั้ง ครั้งที่ผมเคยสัมผัสความหนาวมากที่สุดที่บ้านวัดจันทร์คือครั้งที่ 3 ตอนเช้ามืดริมอ่างเก็บน้ำสนนอุณหภูมิ ณ วันนั้นช่วงกลางเดือนมกราคมอยู่ที่ประมาณ 3 องศา...



...ไม่ได้หนาวแค่อากาศ แต่สายลมที่พัดผ่านมาทำให้มือชาจนแทบจะไม่รู้สึกอะไร .. ภาพของดาวค้างฟ้าสามารถเห็นได้บ่อย ๆ จากพื้นที่สูงขนาดนี้ แม้ในตอนสายของวันก็ยังสามารถพบเจอได้ขึ้นอยู่กับสภาพเวลา สภาพอากาศ...



... ♪ แดดส่องฟ้าเป็นสัญญาวันใหม่ ♫ พวกเราแจ่มใสเหมือนนกที่ออกจากรัง..



...สดใสทุกครั้งที่ได้กลับมา สดชื่นทุกครั้งที่ได้เฝ้ายืนมองรอคอยการปรากฏตัวของดวงอาทิตย์ยามเช้าที่จะขึ้นผ่านพ้นแนวป่าสนที่อยู่เบื้องหน้า... แสงของวันได้เริ่มขึ้นแล้วแม้จะไม่เหมือนกันในทุกครั้งที่ผ่านมา แต่จากครั้งแรกที่ผมได้มาครั้งนี้คือครั้งที่ได้แสงตะวันพุ่งขึ้นส่องลำแสงผ่านแนวป่าสนได้งดงามถูกใจที่สุด...



... ♪ เก็บหมอกงามยามเช้าจาง ๆ ♫ จับอยู่บนทิวเขางาม ๆ ♪ ให้ยิ่งงามเมื่อแดดส่องไป...



...แสงตะวันสร้างความอบอุ่นฉันท์ใด ความหนาวเย็นก็สร้างไอหมอกฉันท์นั้น.. ภาพของผืนหมอกสีขาวนวลที่ลอยไปมาเหนือผืนน้ำคือภาพที่งดงามเกินบรรยายกับจังหวะการพริ้วไปมาตามจังหวะแรงลมที่พัดมาอย่างไม่มีที่ว่าจะหยุด...



...ดวงตะวันที่ค่อย ๆ ทะยานสูงขึ้นเรื่อย ๆ ส่องแสงสาดลงมาเบื้องล่างยังผืนน้ำ พร้อมไอหมอกที่จับตัวกันหนายิ่งทำให้เห็นได้ชัดถึงลำแสงที่ถูกพาดผ่านทะลุมาจากแนวไม้ผืนป่าด้านหน้า...



... ♪ ลมเย็นที่เธอสัมผัส ♫ ไม่ต่างกับฉันเท่าไร ♫ ไออุ่นยามเช้าของทุกวัน ก็เหมือนว่ามันไม่ต่างกัน ♪



...แหงนหน้ามองแต่ด้านบน ลองก้มหน้าดูที่ผืนน้ำก็มีภาพอันงดงาม... จอกแหนที่อาจดูไร้ความหมาย แต่ผมก็ยังเลือกให้มีความหมายในมุมมองของผม เมื่อจับมาเป็นตัวแบบให้กับภาพของแสงสีทองจากดวงอาทิตย์ที่เปลี่ยนผืนน้ำให้มีสีอำพันอร่ามอย่างในวันนี้....



...แสงยามเช้าค่อย ๆ สว่างขึ้นทีละช้า ๆ ตามจังหวะหมุนของนาฬิกา และโลกที่เงียบสงบอย่างในวันนี้ ซึ่งคืออีกหนึ่งวันในชีวิตที่ผมรู้สึกว่าสุด พอใจได้ว่าอิ่ม แต่ในเมื่อบ้านหลังนี้อยู่ไกลจากบ้านแห่งความเป็นจริงของผมเหลือเกิน แค่นี้คงยังไม่พอ... หลังจากกดภาพได้แต่ละใบ ผมก็จะยืนมองไปรอบ ๆ เพื่อเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงที่ค่อย ๆ เกิดขึ้นตามธรรมชาติ...



...ไม่ใช่แค่เพียงภาพที่เห็น แต่โสตประสาทก็ยังทำให้รับรู้ได้ถึงเสียงร้องของนกที่บินไปมายามเช้า .. ไม่เห็นตัวแต่เราก็ได้ยินเสียงพวกเธอนะ



... ♫ บางสิ่งเราอาจไม่เห็นมันด้วยตา ♪ แต่เรารับรู้มันด้วยใจ ♫



...ทางเดินที่ได้เดินผ่านมาเมื่อเย็นเมื่อวานยังคงเป็นเส้นทางเดินเพื่อเก็บภาพต่อไป...



...เวลาเปลี่ยน อะไรรอบ ๆ ตัวก็เปลี่ยน .. ยามเย็นได้ภาพอีกแบบ เช้านี้ก็ได้ภาพอีกแบบเช่นกัน .. ถ้าถามว่าอย่างไหนสวยกว่ากันลงตัวกว่ากัน ตอบได้คำเดียวเลยว่าสวยและลงตัวทั้งสองแบบ...



...ดวงอาทิตย์โผล่พ้นแนวป่าสนไปเป็นที่เรียบร้อย แต่ความหนาวเย็นยังคงสร้างไอหมอกอยู่ไม่เลือนหาย ยังคงพัดพริ้วปลิวไหวไปตามแรงลมเหมือนเคย แม้จะไม่ได้จับตัวเป็นกลุ่มหนาเหมือนตอนเช้ามืด แต่กับแดดที่ส่องมาแรงขนาดนี้บ่งบอกได้ดีถึงสภาพอากาศที่หนาวเย็น...



...จากท้องฟ้าสีส้มเปลี่ยนกลายเป็นสีฟ้าสดใสตั้งแต่แรกเช้าของวัน... ปุยเมฆสีขาวนวลก็ลอยมาประดับประดาท้องฟ้าให้งดงามมีพลังมากขึ้นตั้งแต่เริ่มวัน.. ถือเป็นนิมิตรหมายอันดีที่ได้พบได้เจออะไรอย่างนี้...



... ♪ ฟ้าใส ♪ แดดไกล ๆ สีจาง ๆ ♫ อากาศตอนเช้า ๆ สวยงามสะอาดเหลือเกิน ♫



...ถ้าว่ากันตามเพลงตัวรูปสีขาวอาจเหมือนกัน แต่ถ้าจะว่ากันจริง ๆ จากรอบตัวเรา .. สำหรับตัวผม ผมว่าเราแยกออกเพราะทุกครั้งที่ผ่านมาที่แห่งนี้ยังคงต้อนรับผมดีเหมือนเคย ธรรมชาติที่ลงตัวสร้างหมอกสวยงามบริสุทธิ์ ปราศจากควันพิษปราศจากสิ่งวุ่นวายใด ๆ ที่จะมารบกวนดินแดนแห่งนี้...



...ยิ่งผมเดินทางมาผมยิ่งถ่ายภาพที่นี่น้อยลง ๆ ไปทุกที .. เพราะเอาเวลาทั้งหมดไปยืนเฉย ๆ ไปเดินเล่น เดินมองเสียมากกว่า .. แน่นอนว่าภาพถ่ายย่อมช่วยรื้อฟื้นความทรงจำดีดีกลับมาได้เสมอ แต่การระลึกถึงที่เพียงแค่หลับตาเราสามารถทำได้ทุกครั้ง... ขาดก็เพียงแค่ไปยืนอยู่จริงในที่ที่เราหลับตาแค่นั้นเอง..



...แนวของต้นพญาเสือโคร่งที่เห็นหากมาถูกช่วงเวลาที่เจ้าดอกสีชมพูผลิบานทั่วทั้งต้น ความสวยงามย่อมบังเกิด ... สองภาพนี้คือครั้งแรกเมื่อปลายเดือนมกราคม 2554 ที่ผมได้มาซึ่งยังพอมีให้เห็นกับดอกพญาเสือโครงบ้างแม้จะน้อยนิดก็ตาม ..



...และนี่คือหนึ่งเหตุผลหลักที่เป็นสาเหตุให้การเดินทางครั้งที่ 2 ต้องเกิดขึ้นอีกครั้งอย่างเร็วที่สุดในปีถัดมา...



...ผมกลับมาครั้งที่สองตอนกลางเดือนมกราคม 2555 ครั้งนี้ตั้งใจมากที่จะต้องเจอให้ได้ .. แล้วการรอคอยก็มาถึงสุดท้ายก็สมใจในที่สุด...



...ไม่ใช่แค่ภาพของดอกไม้สีชมพูอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังได้เห็นเจ้านกตัวน้อยที่อยู่กันเป็นกลุ่มหลายตัวตัวเล็ก ๆ ว่องไวมาก .. ผมเองไม่มีความรู้เรื่องนกเหล่านี้เลย แต่เท่าที่เดาเอาน่าจะเป็นนกอพยพที่มาบ้านเราเพื่อหาความอบอุ่น และเป็นที่พักอาศัยก่อนจะพเนจรกลับไปกลับมาตามวงจรชีวิต...



...ใครพอทราบข้อมูลช่วยบอกหน่อยก็ดีครับ .. ผมเองยังอยากรู้ว่าคือนกอะไร...



...สำหรับที่บ้านวัดจันทร์แห่งนี้หากใครที่เดินทางมาในช่วงปลายฝนต้นหนาวก็จะได้พบกับต้นเมเปิ้ลที่เปลี่ยนใบจากสีเขียวในหน้าฝนเป็นสีส้มสีแดงไปทั่วทั้งต้น .. ผมเองยังไม่เคยมาในช่วงนั้นแบบจริง ๆ จัง ๆ เพราะทุกครั้งที่มาจะเป็นหน้าหนาวซึ่งใบเมเปิ้ลเหล่านี้ก็เริ่มร่วงหล่นสู่ผืนดินไปบ้างแล้ว...



...ใบเมเปิ้ลที่ยังคงสีส้มสีแดงอยู่.. เป็นเหมือนของขวัญพิเศษที่ผมได้ภาพติดมือกลับไปทุกครั้งที่มาในช่วงเดือนธันวาคม และเดือนมกราคม ...



...หลายที่ในเมืองไทยบ้านเราที่เราสามารถเที่ยวได้ทุกฤดูกาล และที่นี่ก็คืออีกหนึ่งที่ที่ผมรู้สึกว่าเราเลือกที่จะมาเจอได้ในสิ่งที่เราอยากเจอ .. เรามาหน้าฝนเราจะเจอผืนป่าสนที่เขียวชอุ่ม .. เรามาปลายฝนต้นหนาวเราจะได้พบกับต้นเมเปิ้ลและใบสีแดงที่ต้อนรับเราอยู่แน่นขนัด... เรามาหน้าหนาวเราจะได้พบกับใบไม้เปลี่ยนสีตั้งแต่ปากทางถนนใหญ่ เราจะได้พบไอหมอกเหนือสันเขื่อนในพื้นที่โครงการ... และหากเราปล่อยให้หน้าหนาวผันเวลาไปอีกนิดเราก็จะได้พบกับดอกพญาเสือโคร่งสีชมพู...



...ทั้งหมดนั้นคือเหตุผลทางรูปธรรมที่เราสามารถมองเห็นสามารถสัมผัสได้ทันทีที่เรามาถึง .. แต่เหตุผลทางนามธรรมที่เรามองไม่เห็น แต่เรารู้สึกได้ และเราต้องมาเพื่อค้นพบมาเพื่อให้เห็นว่าความงดงามของธรรมชาติที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร ...



...มนุษย์จะมีความสุขที่ได้อยู่กับธรรมชาติ แต่มนุษย์ไม่ค่อยจะดูแลธรรมชาติ .. หลายคนเพิกเฉย หลายคนมองข้าม แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่คอยใส่ใจดูแลพร้อมรักษา ...



...การเดินทางในแต่ละครั้งจุดหมายของแต่ละคนก็ต่างกันไป แต่อย่างน้อยผมอยากให้ทุกคนที่กลับไปได้นำเรื่องราวนำประสบการณ์ที่ได้พบได้เจอะเจอมาบอกเล่าบอกต่อแบ่งปันสู่คนที่เรารัก ที่อยากให้ได้มาพบเห็นสิ่งดีดีสิ่งที่สวยงามเช่นเดียวกับที่เราได้เจอ...



... 5 ครั้งกับช่วงเวลาภายใน 3 ปีที่ผมได้กลับมา “บ้าน" แห่งนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า 2554 - 2556 .. ทุกครั้งที่ผมเดินทางมาก็จะกลับไปชวนเพื่อนชวนพี่ชวนน้องชวนครอบครัวให้มากับผมด้วยอีกครั้งเสมอ ๆ .. ผมเห็นแก่ตัวครับ อยากมาที่นี่ แต่ไม่อยากมาคนเดียวจนทุกคนก็ต้องมากับผม .. สิ่งที่ประทับใจที่สุดนอกจากได้พาคนที่เรารักมาแล้วก็คือการได้ยินจากปากคนที่เราพามาพูดว่าประทับใจ พูดว่าชอบ พูดว่าอยากมาอีก ...



... มาที่นี่จะนอนบ้านพัก หรือกางเต๊นท์ก็ทำได้หมด .. ห้องน้ำ ห้องอาหาร ก็มีไว้รองรับนักเดินทาง .. มาถึงบ้านวัดจันทร์มาเดินเล่นริมเขื่อน มาถ่ายดอกไม้ มาอยู่กับความเงียบสงบ เปลี่ยนบรรยากาศหน่อยก็ขับรถออกไปด้านนอกมีจุดชมวิวอยู่บริเวณชุมชนหมู่บ้านด้านในที่มองลงมาจากด้านบนจะเห็นพื้นที่บ้านวัดจันทร์ทั้งหมด .. หากมาตรงกับช่วงเทศกาลของโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมป่าไม้ก็จะพบกับชาวเชาชาวเผ่าปกากะญอจำนวนมาก ... แวะไหว้พระทำบุญที่วัดจันทร์เอกลักษณ์วิหารแว่นตาดำ กลับมานอนที่โครงการหลวงสักสองคืน แล้วจะไปเที่ยวไหนต่อก็แล้วแต่ตามใจใคร...



...ผมเองเดินทางในประเทศไทยมาก็หลายที่ แม้จะไม่เยอะเท่าคนอื่นแต่ก็กล้าตอบกับตัวเองได้ว่าที่นี่แหละคือ “บ้าน" อีกหลังของผม บ้านที่มีความบริสุทธิ์ ความเงียบสงบ เต็มไปด้วยความสุขอยู่เสมอที่ได้กลับมายังบ้านหลังนี้ ... ก็หวังว่าผมเองก็คงจะได้กลับมาที่นี่อีกหลาย ๆ ครั้งที่นี่ที่สุดในประเทศไทยในมุมมองของผม ..“โครงการหลวงป่าสนบ้านวัดจันทร์ อ.กัลยาณิวัฒนา" ...



...แล้วสักวันเราจะกลับไปหาเธออีกนะ...



...เรื่อง/ภาพ : Forzanu (ขอบคุณที่เข้ามาชมอัลบั้มนี้กันนะครับ)



...ฝากหน้าเพจไว้เผื่อติดตามการท่องเที่ยวต่าง ๆ หรือพูดคุยทักทายกับผมได้ที่นี่ครับ https://www.facebook.com/ForzanuFoto



Forzanu

 วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2558 เวลา 11.56 น.

ความคิดเห็น