...บนแผ่นดินด้ามขวานทองเมืองไทยเรานี้มีสถานที่งดงามมากมายอยู่ในทั่วทุกภูมิภาค ไม่ว่าจะในทั้งด้านภูมิประเทศตั้งแต่เขาสูงชันไปจนถึงผืนน้ำทะเลอันกว้างใหญ่ก่อให้เกิดสภาพอากาศที่แตกต่างกันไปตามแต่ละพื้นที่ รวมไปถึงวิถีชีวิตชุมชนต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดศิลปะวัฒนธรรมประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นในแบบฉบับของตนเอง ไม่ว่าจะเหนือ กลาง อีสาน ใต้ ถ้าไม่นับรวมในด้านสถานที่ท่องเที่ยวทัศนียภาพความสวยงามของทิวทัศน์ที่แตกต่างกันไปแล้ว เรื่องของศิลปะวัฒนธรรมประเพณีก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ความแตกต่างได้ก่อให้เกิดเอกลักษณ์ที่เป็นรูปแบบเป็นสิ่งดีงามที่ยังส่งผลให้มีการสืบสานกันมาจากรุ่นสู่รุ่นจนถึงในปัจจุบันนี้...



...สวัสดีครับเพื่อน ๆ ทุกคนอัลบั้มนี้ผมได้รับเกียรติให้เข้าร่วมโครงการ The Amazing Journey Blogging Contest ซึ่งเป็นการร่วมมือกันจัดขึ้นระหว่างการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยร่วมกับ เว็บ www.thethailandbloggernetwork.com โดยโครงการนี้ทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้แบ่งทีมเพื่อเข้าร่วมกิจกรรมนี้ด้วยกันทั้งหมด 12 ทีม เพื่อเดินทางไปยัง 12 เมืองต้องห้ามพลาด .. โดยแต่ละจังหวัดก็กระจายกันไปทั่วทุกภาคตั้งแต่ นครศรีธรรมราช ตรัง ชุมพร ราชบุรี สมุทรสาคร จันทบุรี ตราด เพชรบูรณ์ บุรีรัมย์ เลย น่าน และลำปาง ... โดยมีผู้สนับสนุนการเดินทางหลักได้แก่ สายการบินนกแอร์ และ บริษัทเช่ารถ Thai Rent A Car …



…และในส่วนพิกัดที่ทีมผมได้รับจากการจับสลากในครั้งนี้คือเส้นทางมุ่งหน้าสู่ “จ.เลย" ... http://thethailandbloggernetwork.com/teams/detail/T11 เพื่อน ๆ ที่สนใจก็สามารถคลิ๊กเข้าไปชม เพื่อโหวตให้กับทีมที่ตัวเองถูกใจในผลงาน หรือไปชมผลงานจากทีมอื่นได้เช่นกัน โดยตัวผมนั้นได้ร่วมอยู่ในกลุ่มที่ 11โดยมีเพื่อนร่วมทีมอีก 2 ท่าน ที่จะนำเสนอในเส้นทางอื่นภายในตัว จ.เลย ซึ่งจะเป็นที่ไหนใครที่สนใจรอชม ก็สามารถติดตามชมได้จากทางลิ๊งค์ที่ให้ไว้ครับ ... ส่วนเส้นทางของทีมอื่น ๆ ก็จะทยอยกันลงตามมาเรื่อย ๆ ... ดังนั้นโครงการนี้ใครถูกใจทีมไหนทุกคนสามารถตัดสินใจกันได้เลยครับ...



.. เมื่อเกริ่นถึงตัวโครงการกันพอคร่าว ๆ แล้ว อย่างที่แน่นอนจากชื่ออัลบั้มนี้การเดินทางของผมจะมุ่งหน้าสู่สองจุดหมายหลัก ได้แก่ งานประเพณีบุญหลวง และการละเล่นผีตาโขน ที่อ.ด่านซ้าย โดยผมจะพาไปชมขั้นตอนการทำหน้ากากผีตาโขนตั้งแต่วันที่ 25 ก่อนวันงานเริ่มจริงในวันที่ 26-28 มิ.ย. 58 ที่ผ่านมา และปิดท้ายการเดินทางด้วยการล่องแพชื่นชมสัมผัสบรรยากาศสบาย ๆ และธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ที่ "อ่างเก็บน้ำห้วยกระทิง" ซึ่งมีพื้นที่อยู่ในเขตวนอุทยานหริรักษ์ อ. เมือง จ.เลย ... และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเราออกเดินทางไปพร้อมกันเลยครับ



...เริ่มการเดินทางเช้าตรู่วันที่ 25 มิ.ย. ที่ท่าอากาศยานดอนเมือง เพื่อเตรียมตัวขึ้นเครื่องรอบ 05.50 น. โดยมีจุดหมายปลายทางลงเครื่องที่ท่าอากาศยาน จ.อุดรธานี .. ซึ่งจริง ๆ แล้วทางสายการบินนกแอร์ก็มีบินตรงสู่ จ.เลย แต่สาเหตุที่ผมเลือกลงที่สนามบินที่ จ.อุดรธานี เพราะต้องเช่ารถบริการจาก Thai Rent A Car จึงเป็นสาเหตุให้ต้องใช้เวลาในการขับรถมากขึ้นจึงเลือกช่วงเวลาเดินทางให้ออกเช้าหน่อย...



...จากแผนที่เส้นทางเริ่มต้นอีกครั้งตอน 7 นาฬิกาเมื่อล้อทั้งสองข้างของเครื่องบินแตะลงพื้นโดยสวัสดิภาพ พร้อมกับรับรถที่ได้ติดต่อไว้ และแสดงหลักฐานตรวจสอบเซ็นเอกสาร ก่อนจะเช็คสภาพรถจากพนักงานที่คอยบริการ และให้คำแนะนำกับเราเบื้องต้นในการเลือกเติมน้ำมัน และข้อมูลที่เราต้องการทราบ...



...จากท่าอากาศยาน จ.อุดรธานี เราออกเดินทางมุ่งหน้าตามเส้นทางหลวงหมายเลข 210 เพื่อเข้าสู่ จ.หนองบัวลำภู ก่อนจะเจอกับป้ายบอกทางไปยัง อุทยานแห่งชาติภูเรือ ให้เรายึดเส้นทางนั้นเป็นหลัก โดยจะมาเข้าสู่เส้นทางหมายเลข 21 จ.เลย ให้มุ่งหน้าตรงไปทางภูเรือเช่นเดิม เพราะอำเภอด่านซ้ายที่เป็นตำแหน่งของงานประเพณีผีตาโขนนั้นจะเป็นทางผ่านก่อนถึงภูเรือ ... เพิ่มเติมกันด้วยขากลับก็ใช้เส้นทางเดิม แต่มุ่งหน้ากลับมาทาง จ.เลย เพื่อแวะเที่ยวที่อ่างเก็บน้ำห้วยกระทิง.. ก่อนจะตีรถออกจาก จ.เลย เข้าสู่ จ.หนองบัวลำภู กลับสู่สนามบินที่ จ.อุดรธานีในที่สุด...



...เส้นทางที่ขับมาสภาพถนนดีตลอดทาง ใครไม่เคยมาก็สามารถขับได้อย่างสบายใจขอแค่ตั้งตัวอยู่ในความประมาท และเคารพกฏระเบียบในการขับขี่ก็เพียงพอ ..



...เราออกจากสนามบินประมาณ 7.30 น. ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงก็มาถึงบริเวณ อ.ด่านซ้าย และสิ่งแรกที่ทำให้รู้แต่ไกลโดยที่ยังไม่เห็นป้ายก็คือผีตาโขนขนาดใหญ่นี่เองที่ทำให้รู้ได้เลยว่าถึงที่หมายแล้วแน่นอน .. แม้ระยะเวลาอาจดูนานไปสักนิด สาเหตุก็เพราะเรามาแบบเรื่อย ๆ ในวันที่อากาศครึ้ม ๆ สภาพท้องฟ้าไม่มีแดด ออกโทนสีครึ้ม ๆ การได้เปิดเพลงที่เราชอบที่อยู่ในมือถือเสียบเข้ากับระบบเครื่องเสียงของรถ ปลดกระจกรถลงสักหน่อย ... ยังคงเป็นอะไรที่ผมทำอยู่ในแบบเดิม ๆ ทุกครั้งที่ได้ออกมาไกล ๆ หนีความวุ่นวายอย่างในวันนี้ก็อีกครั้ง...



... ก่อนหน้าที่เราจะเดินทางมา ผมได้โทรสอบถามกับทาง ททท.จ.เลย ไว้คร่าว ๆ แล้วถึงกำหนดการงานผีตาโขนปีนี้ ทำให้อยากมาก่อนเวลาล่วงหน้าสักวันเพื่อเก็บภาพบรรยากาศการซ้อม การเตรียมแสดง และที่ตั้งใจที่สุดก็คือมาดูการทำหน้ากากผีตาโขน ซึ่งจะได้ชมในภาพต่อ ๆ ไป ...



...แต่ทันทีที่มาถึงบริเวณหน้าเทศบาลด่านซ้ายก็พบกับการซ้อมแสดงของเหล่าน้อง ๆ นักเรียน นักศึกษาที่พร้อมใจกันมาฝึกซ้อมความพร้อมเพรียงก่อนจะแสดงจริงในวันรุ่งขึ้นวันศุกร์ที่จะมาถึง .. ถ่ายภาพไปก็ชื่นชมน้อง ๆ ไปครับ ฝนตกพรำ ๆ ก็ยังไม่หยุดซ้อม เรียกว่าทุ่มเทกันทั้งครูฝึกสอน ทั้งนักเรียน...



...จากนั้นก็ถึงเวลาขับมายัง “ศูนย์การเรียนรู้ภูมิปัญญาชาวบ้านหัวนายูง" เพื่อมาดูขั้นตอนในการทำหน้ากาก โดยที่ศูนย์การเรียนรู้แห่งนี้ก็เป็น OTOP ของที่นี่ด้วยเช่นกัน ตั้งอยู่ที่บ้านหัวนายูง ซ.8 หาง่ายครับ ขับมาจนเจอป้ายบ้านหัวนายูงจากนั้นก็หาซอย 8 จะอยู่ด้านซ้ายเลี้ยวรถเข้ามานิดเดียวก็เจอศูนย์นี้ทันที...



...รายละเอียดคร่าว ๆ ของ “เฮียนผีตาโขน" ศูนย์โอท๊อปแห่งนี้เผื่อใครสนใจก็สามารถติดต่อได้ที่ “ช่างจุก นาย ศรศักดิ์ เจริญทรัพย์" เบอร์โทร 085-466-1653



... เมื่อเข้ามาถึงภายในเรือนบริเวณที่เป็นพื้นที่การทำงานก็พบกับหน้ากากผีตาโขนเรียงรายอยู่ทั้งที่เสร็จแล้ว และยังไม่เสร็จดี รวมไปถึงของที่ระลึกที่ทางศูนย์ก็มีการทำขึ้นมาเพื่อนำออกขายเป็นรายได้เลี้ยงชีพ และเป็นของฝากติดไม้ติดมือให้กับผู้ที่สนใจอยากเก็บไว้เป็นที่ระลึก...



...เพิ่มเติมสักเล็กน้อยสำหรับของที่ระลึกหากใครสนใจจะซื้อแต่ว่ากลัวว่าจะนำกลับบ้านลำบาก ทางไปรษณีย์ อ.ด่านซ้าย นั้นมีบริการจัดส่งในรูปแบบ “หีบห่อเฉพาะ" ที่เตรียมไว้สำหรับใส่หน้ากากผีตาโขน ซึ่งถือว่าเป็นบริการพิเศษจากไปรษณีย์ที่นี่เลยครับ



...อย่างในสองภาพบนนี้ก็เป็นหน้ากากผีตาโขนที่ทำขึ้นมาจากวัสดุที่นำมาดัดแปลงอย่างท่อพีวีซีที่ตัดเฉียงให้ได้รูปในส่วนของหน้ากาก ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งความคิดสร้างสรรค์ที่นำวัสดุประเภทอื่นมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมตามการใช้งาน ..



...อย่างของที่ระลึกที่อาจต้องมีการขนส่งถ้าเป็นกาบมะพร้าวแท้ ๆ อาจไม่เหมาะ รวมทั้งขนาดก็ไม่ได้ จึงได้ลองมาใช้เป็นท่อพีวีซีซึ่งนอกจากจะสะดวกในการขนส่งแล้วที่สำคัญก็ยังมีความทนทานมากด้วย...



...ต่างคนต่างช่วยกันลงไม้ลงมือคนละนิดละหน่อย พี่ผู้หญิงในภาพก็ช่วยบรรจุหีบห่อแพคเกจ รวมทั้งช่วยในส่วนต่าง ๆ ที่นอกเหนือไปจากช่างที่เป็นตัวหลักอย่างช่างจุกที่จะไปลงแรงกับการระบายสี วาดลวดลายเสียมากกว่า



...จากทางด้านของที่ระลึก เรามาดูกันที่เรื่องราวของผีตาโขนใหญ่กันบ้าง ซึ่งทางศูนย์การเรียนรู้ฯ ก็มีการทำขึ้นมาเพื่อใช้ในงานแสดงที่จะมาถึงในอีกวันสองวันข้างหน้านี้ด้วย...



...ในส่วนของผีตาโขนใหญ่นั้นจะมีขนาดใหญ่โดยขึ้นรูปจากโครงไม้ไผ่สานกัน แล้วคลุมด้วยผ้าหรือกระดาษ พร้อมทำประดับตกแต่งลวดลายกันไปตามจินตนาการ ซึ่งการสร้างนั้นก็จะสร้างมาด้วยกัน 2 ตัว .. โดยแบ่งเป็นเพศชาย และเพศหญิง อย่างชัดเจนซึ่งก็เห็นกันง่าย ๆ จากหน้าตา และการแสดงออกถึงอวัยวะเพศที่แตกต่างกันไป ..ซึ่งตามความเชื่อตั้งแต่สมัยโบราณก็สื่อว่าอวัยวะเพศของมนุษย์นั้นแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ ซึ่งตรงนี้ไม่ถือว่าเป็นการหยาบคายทะลึ่งลามกแต่อย่างใด



...จากผีตาโขนใหญ่เราเปลี่ยนมาดูกันในด้านของวัสดุต่าง ๆ ว่าก่อนที่เราจะมาเห็นเป็นหน้ากากผีตาโขนสีสวย ๆ นั้นมีที่มาที่ไปอย่างไรบ้าง...



...เริ่มจากบริเวณหน้ากากที่ใช้กาบมะพร้าวเป็นวัสดุหลักก็จะต้องคัดต้นที่ไม่ได้ออกลูกเนื่องจากจะมีน้ำหนักของกาบมะพร้าวที่เบา .. จากนั้นก็นำมาผูกเข้ากับหวดนึ่งข้าวเหนียวเพื่อทำในส่วนของหัว แล้วนำเชือกมาผูกเย็บติดกัน .. ต่อกันด้วยส่วนของเขาทั้งสองข้างจะใช้ปลีมะพร้าว และในส่วนของจมูกที่ทำจากไม้นุ่นเพราะเป็นไม้เนื้ออ่อนที่มีน้ำหนักเบา.. ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ไม่ใช่ว่าหาวัสดุได้แล้วจะทำได้เลย อย่างในส่วนของกาบมะพร้าวก็จะต้องแช่น้ำไว้วันสองวันจนนิ่ม จากนั้นก็นำไปตากเพื่ออบแดดอีกเกือบ 2 สัปดาห์ ก่อนจะมาเย็บเข้ากับหวดนึ่งข้าวเหนียว...



...ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมานานตั้งแต่วัยเยาว์ของช่างจุกตอน 11 ขวบ จนถึงปัจจุบันนี้เดินทางมาที่ 40 ปีปลาย ๆ นั้นบอกเราได้เป็นอย่างดีถึงหัวใจที่รักในศิลปะประเพณีผีตาโขนนี้ ...



...ในขณะที่เพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกับช่างจุกหลายต่อหลายคนก็หันไปทำงานประกอบอาชีพอื่น แต่ช่างจุกก็ยังคงเลือกที่จะทำตามความรัก ตามหัวใจที่ชอบมาตั้งแต่เด็ก ..



...ช่างจุกได้เล่าให้เราฟังว่าผ่านอะไรมาเยอะเกี่ยวกับเส้นทางนี้ที่ดูผิวเผินอาจไม่มีอะไรซับซ้อนมากนัก แต่ในความเป็นจริงนั้นไม่ง่ายเหมือนกับการวาดลวดลาย หรือระบายสีลงบนหน้ากากกาบมะพร้าวนี้แม้แต่น้อย...



...รายได้ที่เข้ามาอาจไม่ใช่เงินก้อนใหญ่โตที่ได้ทีละมาก ๆ แต่ความสุขมากกว่าที่ช่างจุกยอมเสียสละทุกอย่างให้กับงานศิลปะแขนงนี้...



...ปลายพู่กันที่ค่อย ๆ ลากลงไปซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างละเมียดละไม บอกได้เป็นอย่างดีถึงความเอาใจใส่ และความทะนุถนอมในสิ่งที่ตนรัก... รวมทั้งความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการต่าง ๆ ที่ช่วยผลักดันให้ช่างจุกมีไอเดียที่บรรเจิดออกมาเสมอในการทำลวดลายหน้ากากผีตาโขน หรือแม้แต่การเลือกใช้วัสดุ ...



...ช่างจุกบอกกับผมสั้น ๆ ว่าทั้งหมดที่ทำมาตั้งแต่เด็กก็เพราะใจรัก เราชอบที่จะทำแบบนี้แล้วก็ภูมิใจในสิ่งที่ตนเองเลือก เพราะทุกวันนี้คนที่ทำด้านนี้อยู่ก็น้อยลงไปทุกวัน “มีน่ะ .. มีอยู่ .. คนทำก็ยังมี..แต่มีไม่เยอะ เราก็พยายามหาคนที่ทำด้วยหัวใจเหมือนเรามาช่วยสานต่อ เพราะเค้าจะได้ทำได้นาน ๆ เหมือนอย่างที่เราทำ" ...



...จากนั้นสายตาผมก็สังเกตเห็นกระเป๋าสะพายของช่างจุกที่ดูแล้วคงตอบแทนทุกอย่างได้เป็นอย่างดี...



...ตัวผมเองเคยเดินทางมาถ่ายงานผีตาโขนแล้วครั้งหนึ่งเมื่อ 8 ปีที่แล้ว .. ซึ่งครั้งนั้นก็มาแค่วันงานที่มีขบวนแห่แล้วก็เดินทางไปเที่ยวที่อื่นต่อ แต่ในครั้งนี้ที่ผมแบ่งเวลามาก่อนวันงานจะเริ่มขึ้นทำให้ได้เห็นอะไรที่แตกต่างไปจากเดิม...



...ผมเชื่อเหลือเกินว่างานเทศกาลผีตาโขนนั้นเป็นอีกหนึ่งประเพณีที่ผู้คนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะจากทิศไหนภาคไหนก็อยากมาอยากสัมผัสบรรยากาศด้วยตนเองสักครั้ง .. ซึ่งหากใครที่ตั้งใจจะมาจริง ๆ แล้ว ผมว่าลองแบ่งเวลาสักนิดมาเรียนรู้ดูขั้นตอนการทำสักหน่อย เอาแค่มานั่งดูเหล่าช่างบรรจงระบายแปรงพู่กันลงหน้ากากทีละช้า ๆ เชื่อได้เลยว่าเราจะรู้คุณค่า และมีความรู้สึกที่สวยงามในงานประเพณีมากขึ้นอย่างแน่นอน....



...เวลาผ่านไปจนเข้าสู่ช่วงเย็น .. ผมกลับมาที่บริเวณเทศบาลด่านซ้ายอีกครั้งตามคำแนะนำของชาวบ้านที่บอกว่ามีตลาดขายของ และลานเบียร์ที่เปิดเป็นประจำทุกปีเพื่อต้อนรับนักเดินทางทั้งหลายให้มานั่งคุย นั่งกิน สัมผัสบรรยากาศกัน...



...หนึ่งวันแรกผ่านไปอย่างรวดเร็ว ปิดท้ายวันด้วยมื้ออาหารที่ลานเบียร์บริเวณตลาดสด .. ก่อนจะกลับเข้าที่พักเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเช้าวันใหม่ที่จะเริ่มขึ้น .. ซึ่งแม้จากคำบอกของชาวบ้านส่วนใหญ่จะบอกเหมือนกันหมดว่าวันรุ่งขึ้นวันที่จัดกันในวันศุกร์นั้นขบวนแห่ผีตาโขนจะยังไม่เยอะเท่าวันเสาร์ .. แต่อย่างน้อยหากยังมีขบวนแห่ มีการละเล่นต่าง ๆ ให้เห็นให้ได้สัมผัสสำหรับผมก็ถือว่าคุ้มค่าเพียงพอแล้ว...



...เริ่มต้นวันใหม่ในช่วงเช้าที่ “วัดโพนชัย" ที่เป็นทั้งบริเวณแสดงการละเล่นต่าง ๆ ไปจนถึงชาวบ้านที่มาร่วมสนุกสนานกัน ซึ่งในบริเวณวัดโพนชัยนี้ก็ยังมีส่วนพื้นที่ของ “พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเมืองด่านซ้าย" ที่เป็นเสมือนศูนย์กลางการเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับผีตาโขน ซึ่งได้รับความสนใจจากทั้งชาวบ้าน และนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกสารทิศไม่เว้นแม้แต่ชาวต่างชาติที่เดินทางมาในงานนี้



...ตั้งแต่ช่วงเช้าก็จะมีการแสดงบนเวทีจากลูกเด็กเล็กแดงที่มาแสดงความสามารถแตกต่างกันไป เรียกได้ว่าไม่ได้มีแค่เรื่องราวของผีตาโขนเท่านั้น แต่ในด้านของสีสันความสนุกสนานของกิจกรรมก็มีหลายอย่างให้เราได้เพลิดเพลินกันทั้งการร้องเพลง สลับไปกับการประกวดเต้นต่าง ๆ



...หากเป็นวันรุ่งขึ้นที่มีพิธีเปิดอีกครั้ง และจะมีขบวนแห่มากกว่าในวันนี้วันแรกซึ่งโดยปกติขบวนแห่ก็จะเริ่มกันที่บริเวณหน้าเทศบาลด่านซ้าย โดยจะค่อย ๆ เดินไปยังปลายทางคือวัดโพนชัย



...และแม้ในวันนี้ที่ยังไม่ได้มีขบวนแห่มากเท่าไหร่นักแต่เราก็ยังได้เห็นบรรยากาศของงานอยู่ตลอดถนนทางเดินที่บริเวณนี้ ทั้งร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร แผงขายกระเป๋าเสื้อผ้า เรียกได้ว่ามากันทุกรูปแบบที่จะทำให้ชาวบ้านได้ออกมาร่วมงานกัน



...เหล่าบรรดาศิลปินตัวน้อยที่ในวันนี้นั่งก้มหน้าก้มตาวาดระบายสีกันอย่างขะมักเขม้น เห็นแล้วก็ดีใจชื่นใจที่น้อง ๆ เหล่านี้สนใจมาทำกิจกรรมนี้กัน ... ซึ่งในวันนี้น้อง ๆ อาจสนุกที่ได้วาด ได้ระบาย แต่ใครเลยจะรู้ว่าวันข้างหน้าอาจมีน้องคนไหนสักคนที่นั่งอยู่ในวันนี้ลุกขึ้นมาเดินบนเส้นทางสานต่อศิลปะอันงดงามให้กับบ้านเราก็เป็นได้ ..



...ส่วนตัวผมมองว่ากิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่ดีมากเพราะทำให้เด็กได้เห็นได้เรียนรู้ และมีความเข้าใจถึงประเพณีที่เราได้สืบทอดกันมา ไม่เว้นแม้แต่น้อง ๆ ที่สวมหน้ากากผีตาโขนน้อยประกวดกันตลอดช่วงเวลาเทศกาลนี้...



...การละเล่นผีตาโขนนั้นมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยสันนิษฐานกันว่าเกิดขึ้นมาพร้อมกันกับประเพณีบุญหลวง และได้มีการปฏิบัติต่อกันมาโดยตลอด ส่วนในคำว่า “ผีตาโขน" นั้นเป็นคำที่แผลงมาจากคำว่า “ผีตามคน" ทั้งนี้เพราะเชื่อว่าผีพวกนี้เป็นเหล่าบรรดาผีป่าที่ติดตามาส่งเสด็จพระเวสสันดรเข้าเมือง .. จึงมีการเรียกกันว่า “ผีตามคน" และเมื่อนานเข้าก็ได้เกิดความเพี้ยนทางภาษามาเป็น “ผีตาขน" ก่อนจะมาเป็น “ผีตาโขน" อย่างที่เราคุ้นหูกันในปัจจุบัน



...ประเพณีการละเล่นผีตาโขนอย่างที่เราเห็นกันนั้นได้มีการปรับประยุกต์เปลี่ยนแปลงไปตามกาลสมัย ทั้งในรูปของขบวนแห่ การประกวด การออกแบบหน้ากากผีตาโขนรวมไปถึงเสื้อผ้าที่ใช้ในการแต่งการผีตาโขนก็มีการออกแบบมาเพื่อให้เป็นสีสันที่แตกต่างกันไป...



...โดยจะคงไว้ซึ่งความสวยงามของประเพณีทั้งในด้านการละเล่น และกิจกรรมต่าง ๆ ที่ทางท้องถิ่นได้ตั้งใจกันสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อเป็นการรักษาขนบธรรมเนียมอันงดงามสืบต่อไป



... ในส่วนลักษณะการแต่งกายของผีตาโขนอย่างที่เราเห็นกันนั้น ในด้านของเสื้อและกางเกงก็มักจะนำผ้าต่าง ๆ เย็บเข้าต่อกันโดยจะมีกระดิ่ง หรือกระพรวน กระป๋องผูกติดเข้ากับบั้นเอวไว้ เพื่อเวลาเดินจะได้เกิดการเขย่าจนทำให้เกิดเสียงกรุ๊งกริ๊ง ๆ ดังตลอดเวลาที่เดิน และยิ่งเมื่อเหล่าผีตาโขนวาดลวดลาย โยกย้ายส่ายสะโพกก็ยิ่งทำให้เสียงกระดิ่งดังขึ้น ..



...นอกเหนือไปจากนั้นอาวุธของผีตาโขนที่มีประจำกายก็จะเป็นดาบ หรือง้าว ซึ่งทำมาจากไม้เนื้ออ่อน(ไม่ใช่ของจริง)เพื่อความปลอดภัย โดยส่วนใหญ่ก็จะทำให้มีลักษณะคล้ายคลึงกับอวัยวะเพศชาย เพื่อเอาไว้หยอกล้อหยอกเล่นเพื่อสีสัน ความสนุกสนาน และเรียกรอยยิ้ม .. ซึ่งผู้ที่เข้าใจดีก็จะรู้ว่าตรงนี้ไม่ได้เป็นการลามก หรือการหยาบคายแต่อย่างใด....



...กลับมาอีกครั้งที่บริเวณวัดโพนชัยซึ่งมีการเต้นรำรอบโบสถ์ เป็นภาพสีสันบรรยากาศอันงดงามของประเพณีไทยที่ชาวอำเภอด่านซ้ายได้อนุรักษ์สืบสานต่อกันมา ..



...แต่ส่วนที่น่าภูมิใจ และเรียกรอยยิ้มได้มากขึ้นก็คงเป็นการที่มีชาวต่างชาติให้ความสนใจมาร่วมร้องร่วมรำด้วยกันกับคณะของเราชาวไทย ซึ่งจากเท่าที่เห็นในวันนั้นขนาดแค่วันแรกที่เปิดพิธียังเห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่หลายสิบคน .. ส่วนในวันรุ่งขึ้นที่มีขบวนแห่เยอะกว่าวันแรกคงไม่ต้องบอกว่าทั้งไทยทั้งเทศจะเยอะขนาดไหน



...ปิดท้ายด้วยภาพของสีสันหน้าเวทีที่เป็นลานแสดงทั้งร้องทั้งเต้นทั้งเล่นทั้งรำ จากบรรดาผีตาโขนตัวน้อยทั้งหลายที่พ่อแม่คุณครูบรรดาญาติ ๆ ต่างสนับสนุนให้เด็ก ๆ เหล่านี้มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีอันดีงามอย่างนี้ให้คงสืบต่อไป



...ภาพอันน่าชื่นใจของงานเทศกาลผีตาโขนทำให้ผมภูมิใจในเอกลักษณ์ของชาวชุมชนด่านซ้ายมากขึ้นกว่าเดิมจากที่เคยมาครั้งแรกเมื่อ 8 ปีก่อน ... เจตนารมณ์อันแน่วแน่ชัดเจนของช่างจุกที่สืบสานศิลปะผีตาโขนตลอดเส้นทาง 30 กว่าปีที่ผ่านมา จนทำให้ผมรู้สึกทึ่งไม่น้อย... บวกกับภาพของชาวบ้านที่ร่วมแรงร่วมใจกันก่อให้เกิดงานนี้ขึ้นมาทั้งนำของที่ระลึกมาทำขาย เหล่าคุณครูพ่อแม่ที่สนับสนุนลูกหลานให้มีส่วนร่วมกับวัฒนธรรมนี้ ... ทุกภาพที่เห็นนั้นมีสีสัน และมีความหมายควรค่าแก่การอนุรักษ์รักษาไว้ให้คงอยู่ต่อไปกับอีกหนึ่งศิลปะประเพณีเทศกาลบุญหลวง และการละเล่นผีตาโขน...



...ผ่านไปกับช่วงเวลาของเทศกาลผีตาโขนซึ่งแม้จะอยู่ได้ไม่ครบทุกวันที่งานจัด แต่ก็ทำให้อิ่มอกอิ่มใจกับประเพณีอันดีงามอย่างนี้เป็นของฝากติดไม้ติดมือกลับบ้านไป...



...จาก อ.ด่านซ้ายขับเส้นทางมุ่งหน้าสู่ จ.เลย บนทางหลวงหมายเลข 21 ก่อนถึงตัวเมืองประมาณ 15 กิโลเมตร ให้สังเกตป้ายบอกบ้านภูสวรรค์ ต่อด้วยบ้านโพนป่าแดงเลยมาสักนิดก่อนจะถึงบริเวณบ้านเสี้ยวเหนือ จะมีสามแยกบ้านห้วยกระทิง ให้เราเลี้ยวซ้ายเข้าไปได้เลย ... ส่วนใครที่เดินทางมาจากตัวเมืองเลยก็จะถึงบ้านเสี้ยวเหนือก่อน แล้วค่อยเลี้ยวขวาเข้าไปยังบ้านห้วยกระทิง.. ซึ่ง ณ จุดนี้เป็นที่ตั้งของ “อ่างเก็บน้ำห้วยกระทิง" ... อีกหนึ่งจุดที่นักเดินทางควรค่าแก่การแบ่งเวลามาพักผ่อนอยู่ไม่น้อย ...



... “อ่างเก็บน้ำห้วยกระทิง"หรือเรียกอีกชื่อว่า “อ่างเก็บน้ำหมานตอนบน" ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่การดูแลของวนอุทยานหริรักษ์ โดยมีลักษณะของพื้นที่เป็นอ่างเก็บน้ำที่ห้อมล้อมด้วยผืนป่า และขุนเขาอันอุดมสมบูรณ์ .. เมื่อเราเลี้ยวรถเข้ามาจากปากทางได้ไม่กี่นาทีก็จะพบกับจุดชมวิวข้างทางที่ทุกคนต้องแวะลงให้ได้ ... ขอย้ำว่าต้องจอดลงและแวะลงจริง ๆ เพราะความสวยงามจากมุมบนนี้เมื่อมองลงไปเราจะเห็นผืนป่าทั้งผืน ที่โอบอุ้มห้วยน้ำขนาดใหญ่อยู่เป็นภาพที่สวยงามที่ต้องห้ามพลาดจริง ๆ ...



...จากภาพเราจะเห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติที่อยู่รายล้อมพื้นที่ทั้งหมดตรงหน้า .. ทัศนียภาพที่เต็มไปด้วยสีเขียวของต้นไม้สร้างความสดชื่นสุขใจสบายตาให้กับเราได้มากมายเหลือเกิน ... ยิ่งหากวันใดที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมากันเยอะด้วยแล้ว เราก็จะเห็นเหล่าแพน้อยใหญ่จอดวางตัวเรียงรายกันไป เหมือนของเล่นที่เรานึกอยากวางอะไรตรงไหนก็วาง...



...พื้นที่บริเวณริมอ่างเก็บน้ำที่เห็นก็จะเป็นที่ตั้งของบรรดาเจ้าของแพต่าง ๆ มีอยู่ด้วยกันมากมายหลายเจ้า ให้เราได้เลือกตามอำเภอใจ ว่าใครถูกใจชื่อแพไหน หรือถูกใจกับวิวตรงไหน .. โดยพื้นที่ริมห้วยวิวที่เห็นเมื่อลงไปยืนด้านล่างก็จะแตกต่างกันไป แต่เมื่อลงแพไปแล้วก็ 360 องศาเหมือนกันหมดครับ...



...จากจุดชมวิวด้านบนขับมาตามถนนเส้นทางขับง่ายไม่อันตรายอีกพักเดียวก็ถึงบริเวณที่เราจะเห็นป้ายแพต่าง ๆ เขียนบอกอยู่ข้างทางให้เราขับลงไปสู่ด้านล่าง .. อย่างผมเองก็ลงไปประมาณ 2-3 เจ้า เพื่อดูวิวด้านล่างว่าต่างกันแค่ไหน ก่อนในที่สุดก็ได้ลงเอยกับแพพ่อบ้านระเริงชล ...



...ที่เลือกแพนี้เพราะวิวก่อนล่องแพถูกใจที่สุด กับอีกสาเหตุก็จากชื่อแพพ่อบ้านระเริงชลนี่เองที่รู้สึกว่าตั้งชื่อได้โดนใจเหลือเกิน...



...บรรยากาศโดยรอบเมื่อเราอยู่ด้านล่างก็จะต่างกับมองจากจุดชมวิวด้านบนราวฟ้ากับเหว เพราะจากที่เราเห็นภาพใหญ่กว้าง ๆ จากมุมบน แต่ตอนนี้เรามาอยู่เบื้องล่างที่ตกอยู่ในวงล้อมแห่งธรรมชาติ สายลม ผืนป่า พื้นน้ำ และขุนเขา ...



...ทัศนียภาพของป่าไผ่ที่ขึ้นแน่นขนัดไปตลอดแนวเขาที่โอบล้อมสร้างภาพที่สวยงามตัดกับสีของท้องฟ้าที่สดใส แสงแดดในวันนั้นไม่แรงมากเท่าไหร่บวกกับสายลมที่พัดมาเบา ๆ ช้าบ้าง หยุดบ้างสลับกันไป.. ความสุขอยู่ตรงนี้นี่เอง....



...ก่อนจะลงแพผมยังคงมีความสุขกับการเดินหามุมถ่ายภาพไปเรื่อยมุมนั้นมุมนี้ บางทีก็ยืนเฉย ๆ ปล่อยให้ลมพัดผ่านตัวเอาเหงื่อที่เหนอะหนะให้หายไปกับสายลม .. เฝ้ามองแพที่ลอยเคว้งอยู่กลางห้วยหมุนไปมาทีละช้า ๆ ตามแรงพัดของลม ...



...สลับด้วยภาพของเรือหางยาวที่แล่นรับส่งอาหารที่นักท่องเที่ยวสั่งไปนั่งรับประทานกันบนแพ ... เป็นภาพสบาย ๆ ที่ไม่รู้ว่าถ้าไม่ใช่เมืองไทยก็ไม่รู้จะมีที่ไหนที่มีแบบนี้..



...ในที่สุดก็ถึงเวลาลงแพเสียทีหลังจากเดินไปเดินมา พร้อมกับเสียงท้องที่เริ่มร้องเรียกให้ถึงเวลาอาหารได้แล้ว .. จากนั้นน้องที่ขับเรือลากแพเราก็มาประจำการพาลากไปสู่กลางห้วย ซึ่งตรงนี้เราสามารถบอกได้ครับว่าอยากให้จอดตรงไหนตกลงกันได้เลย .. ส่วนถ้าจะลากขับพาชมทัศนียภาพอันนี้ก็อยู่ที่ตกลงกันอีกทีว่าต้องมีค่าบริการเพิ่มเติมหรือไม่ คุยกันให้เข้าใจทั้งสองฝ่ายก็ดีครับเพื่อความสบายใจ และไม่มีปัญหากัน...



...ราคาบริการของแพก็จะขึ้นอยู่กับขนาดที่แตกต่างกันไปตั้งแต่

- ราคาแพกลาง : ค่าเรือบริการ 300.- + ค่าเช่าแพชั่วโมงละ 50.-

- ราคาแพใหญ่ : ค่าเรือบริการ 500.- + ค่าเช่าแพชั่วโมงละ 100.-

- ราคาแพใหญ่พิเศษ : ค่าเรือบริการ 600.- + ค่าเช่าแพชั่วโมงละ 150.-



...อันนี้คือราคาที่แพพ่อบ้านระเริงชลที่ผมเลือกครับ .. ซึ่งคิดว่าน่าจะสูสีใกล้เคียงกันกับเจ้าอื่น ซึ่งอย่างในช่วงวันที่มาไม่ใช่ฤดูกาลท่องเที่ยวในส่วนของค่าเช่าแพงราคาต่อชั่วโมงทางแพพ่อบ้านฯ ก็ไม่คิดค่าบริการเพิ่มครับ .. จะคิดแค่เพียงค่าบริการหลักเท่านั้น....



...การเดินทางครั้งนี้ผมมากัน 2 คนกับเพื่อน .. แต่แพที่ผมเลือกลงเป็นแพขนาดกลางซึ่งยังมีพื้นที่ให้ก้าวขาเดินให้เหยียดแข้งเหยียดขาผ่อนคลายอิริยาบถได้เต็มที่ ซึ่งหากเป็นแพเล็กจากเท่าที่เล็งขนาดก่อนลงนั้นแลดูจะอึดอัดไปสักหน่อย... ก็ไม่ผิดหวังที่เลือกลงแพกลางเพราะไหนจะกระเป๋ากล้อง ไหนจะพื้นที่ในการกลิ้งเล่นนั้น 2 คนนี่เหลือ ๆ กลิ้งได้เต็มที่



...ไม่ช้าไม่นานนักในที่สุดอาหารที่เราได้สั่งไว้ตั้งแต่ตอนอยู่ด้านบน ตอนนี้ก็มาส่งถึงที่เรียบร้อยโดยเรือหางยาวก็จะขับมาที่แพของเรายังจุดที่ได้การทอดก้อนหิน(ทอดสมอ)ทิ้งไว้ไม่ให้แพเคลื่อนไปไกล ...



...อาหารที่สั่งก็จะเป็นอาหารไทย ๆ สไตล์อีสานนี่แหละครับ ส้มตำ น้ำตก คอหมูย่าง ตับหวาน เอ็นไก่ทอด ข้าวเหนียว และอีกสารพัดเมนู รวมทั้งเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์ น้ำอัดลมต่าง ๆ ก็มีบริการครบพร้อม ... ซึ่งทางที่ดีเราก็ควรจดเบอร์โทรศัพท์ติดไว้ด้วยครับ ในกรณีอยากสั่งอาหารเพิ่ม หรือเกิดเหตุอะไรก็สามารถโทรแจ้งกับแพด้านบนได้เลย...



...อีกหนึ่งวันในการเดินทางที่สุดแสนสบายในวันพักผ่อน สายลมที่พัดมาอยู่ตลอดเวลาที่เราอยู่ในแพเป็นตัวทำให้เราเห็นบรรยากาศในแบบ 360 องศา เพราะลมจะคอยพัดให้แพหมุนไปเรื่อย ๆ ทีละช้า ๆ เปลี่ยนทัศนียภาพรอบตัวเปลี่ยนฉากไปโดยที่ไม่ต้องมีรีโมทมากดให้เสียเวลา...



...หลายคนมากันเยอะกลุ่มเพื่อนฝูงก็มีโดดน้ำเล่นน้ำว่ายน้ำกันสนุกสนาน บ้างบางแพก็เปิดวิทยุเปิดเพลงร้องเล่นเต้นรำกันไป สุนทรีย์ขึ้นมาหน่อยก็มีที่เอากีต้าร์มานั่งเปิดหนังสือเพลงล้อมวงบรรเลงเพลงตามวัยของคนร้องคนเล่นสลับ ๆ กันไป



...สำหรับผมแล้วถือว่าการที่มนุษย์เราเรียนรู้เพื่อที่จะอยู่กับธรรมชาติได้อย่างลงตัวนั้นเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุด หากเราดูแลธรรมชาติดีเราก็มีธรรมชาติไว้ใช้ ไว้พึ่งพาพักพิงตราบนานเท่านาน ... แน่นอนว่าอาจมีบ้างที่ธรรมชาติก็โหดร้ายกับเรา แต่เราเองบางครั้งก็โหดร้ายกับธรรมชาติเช่นกัน ...



...เหล่าแพน้อยใหญ่ที่เรียงรายอยู่ทั่วทุกมุมในอ่างเก็บน้ำห้วยกระทิงวันนี้บอกอะไรให้กับผมได้เป็นอย่างดีในหลาย ๆ อย่าง... ทั้งในเรื่องการดูแลรักษาความสะอาดของสถานที่ท่องเที่ยวที่เปรียบเสมือนบ้านอีกหลังในยามเราเดินทาง ยิ่งเวลาที่เราต้องการพักผ่อน ความสงบ ความร่มเย็นของบรรยากาศทั้งหมดโดยรอบยิ่งช่วยขัดเกลาให้เรารู้สึกมีความสุขสดชื่นกับสิ่งตรงหน้า....



...แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ กับการเดินทางเพราะหลังจากนี้ไม่นาน ท้องฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนสี ลมเริ่มพัดแรงขึ้นเป็นสัญญาณให้ผมต้องรีบโทรศัพท์กลับเข้าแพเพื่อให้นำเรือมาลากกลับเข้าฝั่งก่อนที่ฝนฟ้าอาจเทลงมาได้...



...ความสุขที่ได้มาเยือนเมืองเลยครั้งนี้ เป็นอีกครั้งที่ผมประทับใจในการเดินทางที่ได้สัมผัสทั้งงานเทศกาลประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์สืบต่อกันมาช้านานอย่างเทศกาลบุญหลวง และการละเล่นผีตาโขนที่จัดขึ้นทุกปีที่อำเภอด่านซ้าย และยิ่งได้มาปิดท้ายการเดินทางกับการพาตัวเองมาอยู่ในวงล้อมแห่งธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์อย่างอ่างเก็บน้ำห้วยกระทิง....



...ปิดท้ายการเดินทางที่ห้วยกระทิงอย่างสมบูรณ์แบบ เป็นการเดินทางที่สบาย ๆ ที่ใคร ๆ ก็สามารถเดินทางมากันได้ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเพื่อนฝูง ครอบครัว ญาติพี่น้อง ... วางแผนให้ดีเตรียมความพร้อมให้เรียบร้อย เมื่อหัวใจเรียกร้องให้ออกเดินทางจากนั้นก็หาช่วงเวลาที่พร้อมจะเปลี่ยนวันธรรมดา ๆ วันหนึ่งให้กลายเป็นอีกวันแห่งความทรงจำดีดีที่ให้เราได้เดินทางไปในบ้านของเรา บนผืนดินไทยที่มีทั้งท้องฟ้า ป่าเขา ลำธาร ทะเลสวย ๆ ที่ไหนก็ตาม ณ ที่แห่งนั้นที่จะยังรอคอยการเดินทางของเราอยู่เสมอ ๆ ...



...ขอบคุณโครงการดีดีที่ได้รับการสนับสนุนจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยที่จัดงานนี้ขึ้นมา และขอบคุณเพื่อน ๆ ทุกคนที่แวะเข้ามาชมภาพ และตามอ่านบทความกันถึงตรงนี้ .. ส่งท้ายกันด้วยภาพสีเขียว ๆ จากห้วยกระทิงอีก 3 ใบ .. แล้วพบกันใหม่อัลบั้มหน้าที่ไหนสักที่ในเมืองไทยของเรานี้แหละครับ ... สวัสดีครับ



เรื่อง / ภาพ : Forzanu



ป.ล. หากใครอยากพูดคุย หรือทักทายเพิ่มเติมก็เชิญได้ตามลิ๊งค์นี้เลยครับ https://goo.gl/vkSqMG



Forzanu

 วันพฤหัสที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2558 เวลา 18.16 น.

ความคิดเห็น