...ย้อนกลับไปหลายปีก่อนผมเคยได้รับภาพจากเพื่อนรักท่านหนึ่งส่งภาพมาให้ดู เป็นภาพของพื้นที่อันกว้างใหญ่ที่ปกคลุมด้วยเจดีย์ขนาดน้อยใหญ่จำนวนมากมายหลายร้อยองค์อยู่บนพื้นที่ที่ดูแล้วสัมผัสได้ถึงความอลังการ ..ความสวยงามแปลกตาเพราะไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนทำให้ภาพนั้นถูกจดจำ และเก็บภาพเหล่านั้นไว้จนเลยผ่านไปตามวันเวลาภาพเหล่านั้นก็เลือนหายไปจากความทรงจำ..
...แต่ในวันนี้ภาพเหล่านั้นได้ถูกรื้อฟื้นความทรงจำอีกครั้งเมื่อได้รับโอกาสร่วมงานกับสายการบินบางกอกแอร์เวย์สให้ออกเดินทางไปยังภาพที่เคยเห็น ภาพทะเลเจดีย์ที่เคยห่างหายไปจากความทรงจำได้กลายมาเป็นจุดหมายปลายทางในครั้งนี้ .. โดยมีสถานที่สำคัญ และมนต์เสน่ห์ของดินแดนแห่งนี้เป็นตัวช่วยให้การเดินทางสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น .. “มัณฑะเลย์ – พุกาม ประเทศพม่า" ...
...ภาพชุดนี้จะประกอบไปด้วยภาพของสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ๆ ในเมืองมัณฑะเลย์อย่างเช่น พระราชวังมัณฑะเลย์, วัดชเวนันดอว์, สะพานไม้สักอูเบ็ง, พิธีการสักการะพระมหามัยมุนี, วัดมหากันดายงค์ และไปต่อกันที่เมืองพุกามกับ เจดีย์ชเวสิกอง, วัดอนันดา, บรรยากาศการล่องเรือริมแม่น้ำอิระวดี และปิดท้ายที่ทะเลเจดีย์แห่งเมืองพุกาม...
...เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ถ้าพร้อมแล้วเราออกเดินทางไปด้วยกันเลยครับ...
ป.ล. ผลงานเก่า ๆ ภาพท่องเที่ยว และภาพต่าง ๆ เผื่อใครอยากชมภาพเพิ่มเติมได้ตามนี้เลยครับ
https://www.facebook.com/ForzanuFoto
http://pantip.com/profile/172795
...เป็นที่แน่นอนว่าก่อนออกเดินทางก็ต้องแวะเพิ่มพลังงานกันสักหน่อยกับ Lounge ของ Bangkok Airways
...บะหมี่แห้งเป็ดย่าง เกี๊ยวน้ำ และที่ขาดไม่ได้คือข้าวต้มมัดรสชาติเยี่ยม...
...เมื่อเติมพลังงานเป็นที่เรียบร้อยก็ถึงเวลาออกเดินทางแบบเต็มตัวกันทันที ความสุขแรกที่ได้รับก็คือการได้นั่งริมหน้าต่าง เก็บภาพเล็ก ๆ น้อย ๆ ระหว่างการเดินทาง .. สลับกันการหลับ ๆ ตื่น ๆ ตลอดเวลาที่อยู่บนเครื่อง...
...จากท่าอากาศยานสนามบินสุวรรณภูมินับจากเวลาที่ปีกทั้งสองข้างเริ่มทะยานสู่เมืองมัณฑะเลย์ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง รวมภารกิจต่าง ๆ จนเสร็จสิ้นเรียบร้อยประมาณ 2 ชั่วโมงก็เป็นว่าเตรียมพร้อมออกเดินทางกันได้เลย
...ช่วงที่มาเป็นตอนกลางเดือนมีนาคมอากาศก็ร้อนพอใช้ได้ แต่ที่รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยคือสภาพของท้องฟ้าที่ไม่มีสีฟ้าให้เห็นแม้แต่น้อย...
...จากนั้นขึ้นรถเพื่อออกเดินทางสู่สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองมัณฑะเลย์กันที่ “พระราชวังมัณฑะเลย์"...เป็นอันดับแรก
...เมืองมัณฑะเลย์...มีพื้นที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำอิระวดี เป็นอดีตเมืองหลวงที่สำคัญของประเทศพม่า ก่อตั้งโดยกษัตริย์มินดงในปี พ.ศ. 2400 แต่หลังจากนั้นเมืองแห่งนี้ก็ค่อย ๆ ลดความสำคัญลงไปหลังจากที่พม่าได้ตกเป็นเมืองขึ้นของจักรวรรดิอังกฤษในปี พ.ศ. 2428 ส่งผลให้เมืองมัณฑะเลย์กลายเป็นราชธานีสุดท้ายของประเทศพม่า
...บรรยากาศถนนทางเข้าสู่ “พระราชวังมัณฑะเลย์"
...ท้องฟ้ามืดครึ้มไม่สดใส สภาพอากาศในวันที่เดินทางมาไม่ค่อยดีนักอย่างที่บอกไปข้างต้น .. อาจไม่เหมาะกับการถ่ายรูปเพราะแสงไม่ค่อยมี แต่ถ้านับว่าได้เที่ยวได้เดินทางก็บอกได้ว่าเดินได้สบาย ๆ เรื่อย ๆ อาจจะอบอ้าวไปบ้าง แต่สภาพอากาศก็ไม่หนีจากบ้านเราสักเท่าไหร่
... “พระราชวังมัณฑะเลย์"... เป็นพระราชวังที่สร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง มีคูน้ำล้อมรอบพระราชวัง ตัวพระราชวังสร้างด้วยไม่สักทั้งหลัง พื้นที่กว้างใหญ่มีให้นักท่องเที่ยวได้เดินชมความอลังการ และวิจิตรงดงามอยู่หลายบริเวณด้วยกัน
...รวมทั้งยังมีหอคอยที่บรรดานักท่องเที่ยวนิยมเดินขึ้นไปชมวิวด้านบน เมื่อมองลงมาก็จะเห็นอย่างในภาพข้างต้น
...จากภาพบนที่เห็นเป็นหอคอยเจดีย์สีออกน้ำตาลแดงนี่แหละครับคือที่เราสามารถเดินขึ้นไปจุดชมวิวด้านบนได้
...ส่วนด้านหลังก็จะเป็นความงดงามของสถาปัตยกรรมต่าง ๆ ที่เราค่อย ๆ เดินถ่ายภาพเก็บภาพไปทีละน้อย
...“พระราชวังมัณฑะเลย์"...ปัจจุบันนับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ชาวต่างชาติ รวมทั้งชาวพม่าเองนิยมเดินทางมาท่องเที่ยว และเข้าชมถึงความอลังการของพระราชวังไม้สักแห่งนี้
...โดยนิยมเรียกกันอีกชื่อว่า “พระราชวังทองคำ" .. เราใช้เวลาอยู่ที่พระราชวังมัณฑะเลย์ไม่นานนักก็ถึงเวลาต้องออกเดินทางสู่จุดมุ่งหมายต่อไปจะเป็นที่ไหนเชิญชมภาพต่อไปได้เลยครับ
...สถานที่ลำดับต่อไปที่เดินทางมาถึงคือ “วัดชเวนันดอว์"...
...หน้าวัดมีคุณลุงยืนขายผลงานศิลปะแบบบ้าน ๆ แต่ฝีมือนั้นดูแล้วไม่น่าจะบ้าน ๆ ไม่ธรรมดาเอาซะเลย เมื่อนำน้ำหมึกดำมาวาดเป็นภาพวิถีชีวิต เป็นเรื่องราวต่าง ๆ ความสวยงามมนต์เสน่ห์แห่งพม่า ... หลังจากที่ยืนดูคุณลุงตวัดปลายมีดไปได้สักพัก ก็อุดหนุนไป 2 ใบ เป็นของที่ระลึกติดมือไป
... “วัดชเวนันดอว์"(Golden Palace Monastery) ...
...ทันที่ได้เดินเข้ามาแล้วมองไปที่ตัววัดความรู้สึกแรกที่สัมผัสได้คือความอลังการ และรู้สึกได้ถึงมนต์ขลังที่แม้จะไม่ได้มีพื้นที่กว้างใหญ่ขนาดพระราชวังมัณฑะเลย์ที่ไปมาที่แรก แต่ด้วยการคะเนจากสายตาระยะไกลทำให้เห็นถึงงานแกะสลักแทบจะทั่วทุกส่วนของวัด ... รวมไปถึงสีของวัดที่เป็นสีน้ำตาลเกือบดำยิ่งทำให้รู้สึกน่าค้นหายิ่งนัก...
...ความงดงามที่ทำให้ทึ่งกับวัดชเวนันดอว์สำหรับผมแล้วคงหนีไม่พ้นงานแกะสลักที่แทบจะรอบด้านของวัด...
...ทำให้นึกถึงงานไม้แกะสลักที่อลังการของไทยอย่าง “ปราสาทสัจธรรม" .. ทุกที่ย่อมมีดีแตกต่างกัน ของเราเป็นสถานที่ท่องเที่ยว แต่ที่นี่เป็นวัดเก่าโบราณที่รอดพ้นจากระเบิดในสงครามตั้งแต่ครั้งสมัยช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ...
...ชาวพม่ามักเรียกวัดแห่งนี้ว่า “พระอารามชเวนันดอว์" หรือ “พระราชมณเฑียรทอง" ...
...จากวัดชเวนันดอว์มุ่งหน้าสู่ที่หมายต่อไป ที่ว่าเป็นอีกไฮไลท์สำคัญโดยเราจะเขยิบออกจากเมืองมัณฑะเลย์ไปสักหน่อยใกล้ ๆ กันที่ “เมืองอมรปุระ" เพื่อชมความงดงามของบรรยากาศสะพานไม้อูเบ็ง สะพานไม้สักที่ยาวที่สุดในโลก
...สะพานไม้อูเบ็ง...
...ผมมาถึงที่สะพานไม้อูเบ็งกันช่วงเวลาประมาณเกือบ ๆ 5 โมงเย็น .. ซึ่งถือว่าเป็นอีกช่วงเวลาที่เหมาะสมแก่การถ่ายภาพ เพราะจะได้เห็นภาพของดวงอาทิตย์ตกยามเย็น และบรรยากาศต่าง ๆ บริเวณสะพานไม้แห่งนี้...
...ผู้คนจำนวนมากมายทั้งนักท่องเที่ยว ทั้งชาวพม่า ต่างเดินทางมาที่นี่กันอย่างหนาแน่น และมีปริมาณเยอะ...ซึ่งหากเป็นในช่วงเวลากลางวันนักท่องเที่ยวคงไม่เยอะเท่านี้ แต่การถ่ายภาพก็คงไม่มีอะไรสวยงามกลับไปสักเท่าไหร่ ..
...ดังนั้นการมาในช่วงเวลาพระอาทิตย์อัสดงนั้นเป็นอะไรที่เหมาะสมแล้ว แม้คนจะเยอะไปสักหน่อยแต่ก็อาจทำให้ได้ภาพของวิถีชีวิต และเรื่องราวริมน้ำมากขึ้น
...เรือพายลำเล็ก ท้ายเรือออกแบบไว้ดูเป็นเอกลักษณ์ดีรูปทรงคล้ายปีกนกดูแล้วแปลกตา.. ซึ่งเรือนี้ก็เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์กิจกรรมที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมจ้างชาวบ้านนั่งชมบรรยากาศในทะเลสาบ ราคาไม่แพงมากนัก...
...บ้างก็จ้างชาวบ้านให้พายเรือพาชมความสวยงามทิวทัศน์รอบ ๆ ทะเลสาบ บ้างก็เดินบนสะพานไม้เพื่อถ่ายภาพจากด้านบนลงไป .. แล้วแต่ช่วงเวลา และแล้วแต่ความชอบใจของแต่ละคน
...ส่วนผมตอนนี้ขอใช้เวลาเดินบนสะพานไม้เก็บภาพไปเรื่อยสักหน่อยก่อนรอช่วงดวงอาทิตย์ใกล้ลับ แล้วจะค่อยลงเรือตามไป...
...เมื่อเดินทางมาแล้ว ไปที่ไหนที่ไหนก็อดจะคิดถึงบ้านเราไม่ได้...
...ยืนอยู่ตรงนี้ สะพานไม้แบบนี้ มีชาวบ้านมีพระ มีเณรเดินสวนไปมา .. ทำให้นึกถึงสะพานไม้ที่มีชื่อเสียงที่สุดในบ้านเราอย่างที่สังขละบุรีไม่น้อย .. ต่างกันนิดตรงที่ความยาวของที่นั้นยาวถึง 2 กิโลเมตร...
...ดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงร้อนแรงมาตลอดวันถึงตอนนี้ค่อย ๆ คลายคลายตัวลงทีละนิด ๆ ...
...สายลมพัดเย็นช่วยทำให้บรรยากาศดีขึ้นได้อีกเยอะ .. ทัศนียภาพโดยรอบล้วนเต็มไปด้วยผืนน้ำในทะเลสาบ เรือพาย ผู้คน และมนต์เสน่ห์ของที่แห่งนี้...
...เมื่อยามที่ดวงอาทิตย์ส่องแสงย้อนกลับมาทำให้การถ่ายภาพเงาดำนั้นเป็นไปได้ง่ายขึ้น....
...ทั้งภาพของผู้คน หรือเรือลำน้อยที่กำลังแล่นพานักท่องเที่ยวซึมซับบรรยากาศเลาะไปตามริมน้ำ พาดผ่านแสงของดวงตะวันสีทองบนผืนทะเลสาบ....
...และในที่สุดก็ถึงเวลาที่เราจะได้เป็นผู้อยู่เบื้องล่างบ้าง...
...เรือพายที่นัดกันไว้กับชาวบ้านมาคอยที่บริเวณริมฝั่งพร้อมกับหันหัวเรือสู่ตำแหน่งที่เห็นได้ถึงแนวยาวของสะพานไม้เบื้องหน้า และดวงอาทิตย์เบื้องหลัง
...ความสุขในการเดินทางของวันค่อย ๆ หมดลงไปอย่างช้า ๆ เหมือนกับแสงของดวงตะวันในวันนี้ แต่มิได้หายไปไหน.. ความสุขและความอิ่มเอมในการเดินทางยังคงอยู่ในความทรงจำ...
...ก่อนค่ำคืนนี้จะหมดไป... เพื่อเตรียมตัวออกเดินทางสู่จุดหมายปลายทางต่อไปในวันรุ่งขึ้น... ทิ้งภาพของวันไว้ที่ภาพเจดีย์สีทองตั้งตระหง่านโดยมีแสงจากจันทร์ดวงกลมโตอยู่เคียงข้างแต่ห่างไกล...
...วันถัดมาต้องบอกว่าเป็นวันที่ตื่นเช้าที่สุดในรอบหลาย ๆ ปีเลยก็ว่าได้... เมื่อจำเป็นต้องตื่นตั้งแต่ตี 3 กลางดึก เพื่อรีบมากราบไหว้ “พระมหามัยมุนี" 1 ใน 5 ศาสนวัตถุที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวพม่า ...
...หากเทียบให้ได้เห็นภาพชัด ๆ ง่าย ๆ ก็เหมือนที่ชาวไทยมี “พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ที่วัดพระแก้ว" เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของไทยเช่นใดเช่นนั้น....
...ทันทีที่มาถึงก็พบกับชาวบ้านนับร้อยต่างพร้อมใจกันมากราบไหว้พระมหามัยมุนีกันอย่างหนาตา...
...แทบไม่น่าเชื่อทั้งที่สำหรับหลาย ๆ คนนั้นคือช่วงเวลาแห่งการนอนหลับการพักผ่อน แต่กับผู้ที่มีความศรัทธานั้นต่างพร้อมใจกันพนมมือไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เบื้องหน้า สมชื่อที่เป็นดินแดนแห่งความศรัทธาจริง ๆ
...ที่พม่าพระมหามัยมุนีได้ชื่อว่าเป็นพระพุทธรูปมีชีวิต.. ทั้งนี้เพราะชาวพม่าเชื่อกันว่าพระพุทธเจ้านั้นได้มาประทานลมหายใจศักดิ์สิทธิ์เข้าสู่พระวรกายของพระพุทธรูปองค์นี้ ..ทำให้พระมหามัยมุนี้จึงเป็นคล้ายตัวแทนของพระพุทธองค์ที่ยังคงมีชีวิตจิตใจ...
...ก่อนจะเดินทางกลับออกไปจากที่นี่ทำให้ผมเห็นภาพของแรงศรัทธาของเหล่ามหาชนที่พร้อมใจกันมาร่วมปิดทอง ณ ที่แห่งนี้มากมายในแต่ละวัน ... การปิดทองทับซ้ำแล้วซ้ำเล่าลงไปทุกวัน ๆ ส่งผลให้ทองคำเปลวนั้นค่อย ๆ หนา และพอกพูนขึ้นเรื่อย ๆ จนรู้สึกเหมือนพระวรกายที่มีน้ำมีนวลอวบอ้วน ... จนเป็นที่มาที่ใคร ๆ เรียกกันอีกชื่อว่า “พระเจ้าเนื้อนิ่ม"...
...จากนั้นจึงกลับสู่ที่พักอีกครั้งเพื่อทำการนอนพักเอาแรงซึ่งยังพอได้อยู่อีกสักชั่วโมงกว่า ๆ ... ก่อนจะออกเดินทางสู่สถานที่สำคัญต่อไป... ..."วัดมหากันดายงค์"....
... "วัดมหากันดายงค์" แห่งเมืองอมรปุระเป็นวัดใหญ่ที่สุดของพม่า ... นอกจากเป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดแล้วยังถือว่าเป็นวิทยาลัยสงฆ์ที่เป็นสถานศึกษาพระธรรม และรักษาพระธรรมวินัยอีกด้วย ซึ่งในช่วงเพลนั้นจะมีทั้งเหล่าเณร ภิกษุสงฆ์นับร้อยรูปเดินเรียงแถวสำรวมเพื่อรับอาหาร
...แม้จะเป็นกิจประจำของชาวพม่าที่วัดมหากันดายงค์แห่งนี้ แต่กลับเป็นภาพที่แปลกตาและไม่ค่อยได้พบเห็นบ่อยสักเท่าไหร่นัก ที่จะมีการเรียงแถว หรือเป็นสถานที่ที่มีเหล่าเณร เหล่าภิกษุสงฆ์มาประกอบกิจกันมากมาอย่างที่นี่
...นักท่องเที่ยวต่างชาตินิยมเดินทางมายังวัดมหากันดายงค์แห่งนี้ส่วนใหญ่ก็เพื่อเก็บภาพการประกอบพิธี การเข้าแถวรับอาหาร ซึ่งจะเป็นชาวบ้านที่จัดแจงข้าวปลาอาหารเตรียมไว้เพื่อเหล่าภิกษุที่มารับอาหารในแต่ละวัน...
...บรรยากาศภายในวัดมหากันดายงค์นั้นร่มรื่น มีมุมสงบ ๆ อยู่เยอะแยะมากมาย...
...จากนั้นไม่นานนักหลังจากเก็บภาพได้สักประมาณหนึ่งก็ออกเดินทางสู่จุดหมายปลายทางต่อไปได้แก่ “เจดีย์ชเวสิกอง" แห่งเมืองพุกาม ซึ่งเดินทางต่อไปอีกหลายชั่วโมง...
...เข้าสู่เมืองพุกาม สถานที่แรกที่เดินทางไปถึงได้แก่ “เจดีย์ชเวสิกอง" ...
...เป็นเจดีย์ใหญ่ที่มีความศักดิ์สิทธิ์ และเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศพม่า ... ความสวยงาม และอลังการของเจดีย์แห่งนี้คงหนีไม่พ้นความยิ่งใหญ่ของเจดีย์สีทองเหลืองอร่ามที่ยามต้องรับแสงแดดแห่งวันด้วยแล้ว ทำให้ยิ่งทวีความงดงามเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า...
...เจดีย์ชเวสิกอง มีความหมายว่า "เจดีย์ทองแห่งชัยชนะ" (ชเว = ทอง) ...
...นับจากวันแรกที่เดินทางมาท้องฟ้าไม่สดใสนักแต่เมื่อมาถึงเมืองพุกาม ณ ตอนนี้ท้องฟ้าสะอาด สบายตาเป็นตัวขับให้ภาพของเจดีย์สีทองนั้นงดงามยิ่งขึ้น .. ก่อนจะออกเดินทางสู่ที่หมายต่อไปคือ “วัดอนันดา"...
... “วัดอนันดา" เป็นสถาปัตยกรรมในแบบมอญที่งดงามแห่งหนึ่งของประเทศพม่า ...ตั้งอยู่ทางตะวันออกของกำแพงมือง มีตัววัดเป็นสีขาว ... และได้รับการยกย่องว่าเป็นเพชรเม็ดงามแห่งสถาปัตย์ของพุกามอีกด้วย
...ตัววิหารเป็นทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีความใหญ่โตสง่างาม และด้วยความสวยงามของเจดีย์อนันดาที่หาที่เปรียบไม่ได้นี่เอง เมื่อสมัยที่เจดีย์ถูกสร้างเสร็จ
...จากตามประวัติกล่าวไว้ว่าพระเจ้าญาณสิทธาเกรงว่าจะมีใครสร้างซ้ำหรือลอกเลียนแบบจึงมีรับสั่งให้ประหารชีวิตนายช่างทั้งหมด ซึ่งเป็นไปตามพิธีกรรมของพวกพราหมณ์นั่นเอง...
...ทิ้งเรื่องราวไว้พอเล็กน้อยกับวัดอนันดาอีกหนึ่งวัดที่มีความงดงามแห่งเมืองพุกาม
...กับเรื่องราวที่ต้องแลกชีวิตของบรรดาช่างฝีมือดีหลายนายเพื่อได้มาซึ่งเจดีย์อันสวยงาม และมีเอกลักษณ์เพียงแห่งเดียว
...และเป็นที่แน่นอนว่าจุดสิ้นสุดการเดินทางครั้งนี้ค่อย ๆ เดินทางมาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ ที่เจดีย์นับพันแห่งเมืองพุกาม...
...แต่ก่อนจะถึงไฮไลท์สำคัญอีกความงดงามที่เป็นการท่องเที่ยวในแบบเบา ๆ ก็คือการล่องเรือแม่น้ำอิระวดีชมทัศนียภาพริมน้ำ ... ชาวพม่าจะเรียกว่า “เอยาวดี" ซึ่งแปลความหมายได้ว่า “มหานที" .. จากนั้นจึงรีบออกเดินทางสู่ที่สุดแห่งการเดินทางในครั้งนี้ “อาณาจักรพุกาม"...
...เมื่อการเดินทางถึงที่จุดหมายเรียบร้อยก็เป็นการเริ่มต้นประสบการณ์ใหม่ ๆ กับภาพที่งดงามเบื้องหน้า...
...เมื่อภาพที่เคยเห็นจากในหนังสือ ในโทรทัศน์ หรือตามหน้าอินเตอร์เนทบนโลกไซเบอร์... ถึงตอนนี้ความสุข และความฝันเดินทางมายืนอยู่บนที่เดียวกัน .. บนดินแดนที่เต็มไปด้วยเรื่องราวประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของอาณาจักรแห่งนี้ .. ภาพของทะเลเจดีย์หลายร้อยองค์ ที่แม้ในวันนี้จะมีทรุดโทรมและเสื่อมสลายลงไปตามกาลเวลาไปบ้าง .. แต่ยังคงทิ้งไว้ซึ่งความยิ่งใหญ่ที่เป็นภาพที่นักเดินทางทั้งหลายต่างเฝ้าฝันที่จะเดินทางมาถึง...
...แสงของวันที่ค่อย ๆ จางหายไป... ท้องฟ้ายามบ่ายที่สวยงามในวันนี้ ยามเย็นกลับไม่มีแสงอะไรที่สวยงามมากมายเท่าไหร่นัก ..
...แต่ความสวยงาม และความประทับใจนั้นอยู่ที่การได้ยืนอยู่บนอาณาจักรบนดินแดนที่เต็มไปด้วยเรื่องราวต่างหาก..
...นักท่องเที่ยวที่มามีด้วยกันหลายสัญชาติจากทั่วทุกมุมโลกทั้งเอเชีย ยุโรป .. ความสุขของแต่ละคนก็ต่างกันไป...
...บางคนการได้เก็บภาพมองผ่านกล้องบันทึกไว้กับจังหวะที่งดงามก็คือความสุข .. หรือแม้แต่การอยู่เฉย ๆ ค่อย ๆ ปล่อยให้บรรยากาศซึมซับเข้าไปทีละช้าก็เป็นความสุขในแบบฉบับของแต่ละคนกันไป...
...ปิดท้ายวันด้วยภาพแรกที่เห็นเจดีย์เรียงรายอยู่เบื้องหน้ามีแม่น้ำอิระวดี และเทือกเขาตั้งตระหง่านเป็นฉากหลัง และสูงขึ้นไปด้วยดวงอาทิตย์ลูกกลมที่อีกไม่นานนักก็จะรอเวลาของวันใหม่เพื่อกลับมาอีกครั้ง
...ส่วนภาพล่างคือภาพของดวงจันทร์ที่มาเฝ้าคอยเปล่งแสงของยามค่ำคืน... ก่อนทิ้งให้เวลาผ่านไปเพื่อรอพบกับวันใหม่...
...เช้าตรู่ของอีกวันตื่นตั้งแต่ประมาณตี 5 เพื่อรีบทำภารกิจส่วนตัว ก่อนจะรีบออกเดินทางมายังเจดีย์เพื่อจับจองตำแหน่งในการถ่ายภาพกับภาพแรกของวันใหม่ ที่เห็นเจดีย์สีเหลืองทองส่องแสงจากไฟเห็นแล้วโดดเด่นถนัดตา เรียกความกระชุ่มกระชวยตั้งแต่แสงเช้ายังไม่ปรากฏ...
...ปล่อยให้เวลาค่อย ๆ ไหลผ่านไป ... อากาศที่เย็นสบายบวกกับสายลมยามเช้าที่พัดมาเป็นจังหวะสร้างความสุข และเพิ่มความอิ่มเอมทางหัวใจ และสายตามากขึ้นเรื่อย ๆ ...
...แสงของวันค่อย ๆ ปรากฏตัวขึ้นอย่างช้า ๆ .. ทำให้การเก็บภาพเริ่มเป็นไปได้ง่ายขึ้น...
...และก็ถึงเวลาอีกช่วงเวลาสำคัญที่รอคอยคือการปรากฏตัวของเหล่าบอลลูนที่บรรดานักท่องเที่ยว นักเดินทางนิยมเลือกในการชมทัศนียภาพจากมุมสูง...
...ส่วนสำหรับใครที่ไม่ได้ขึ้นบอลลูนก็คงได้แต่เฝ้ามองเช่นเดียวกับผม .. ข้อดีของการขึ้นบอลลูนคือน้อยคนนักที่จะได้ชมทิวทัศน์แบบ Bird Eye's View แต่ค่าขึ้นบอลลูนก็ราคาสูงใช่ย่อย อยู่ที่เกือบ ๆ หนึ่งหมื่นบาทไทยเลย (ถ้าจำไม่ผิด)...
...ถึงเวลานี้นอกจากสายลมที่พัดไปมาตลอดเวลาแล้ว... ก็มีเสียงชัตเตอร์กล้องจากนักท่องเที่ยวต่าง ๆ รอบข้างเริ่มกดชัตเตอร์เก็บภาพกันอย่างไม่ยั้ง..
...บรรยากาศยามเช้าบนดินแดนแห่งเรื่องราวอาณาจักรพุกาม..
...เป็นอีกหนึ่งสถานที่บนโลกใบนี้ที่นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกต่างปรารถนาจะเดินทางมาด้วยตนเองกันสักครั้ง.. เช่นในวันนี้ที่มีนักเดินทางมากันมากมาย ...
...ปิดท้ายด้วยจุดหมายปลายทางอย่างสมบูรณ์แบบกับภาพของบอลลูน เจดีย์ ดวงอาทิตย์ และแสงเช้าของวันอย่างงดงาม...
...การมาเยือนเมืองพม่าหนนี้ไม่รู้ว่าจะเป็นครั้งแรก และครั้งสุดท้ายหรือเปล่า .. แต่ที่แน่นอนคือประสบการณ์ และภาพจำที่ได้รับกลับไปทั้งมนต์เสน่ห์ของผู้คน เรื่องราวของสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ความศรัทธาที่มีต่อพุทธศาสนาของชาวพม่า รวมไปถึงความอลังการของวัดวาอารามต่าง ๆ ...ทุกสิ่งเหล่านี้จะถูกเก็บบันทึกอยู่ในความทรงจำลำดับต้น ๆ ของการเดินทางเป็นอย่างแน่นอน...
...การเดินทางเริ่มต้นที่ความฝัน และอาจสิ้นสุดการเดินทางด้วยการค้นพบ และเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางต่อไปอยู่อย่างนี้เสมอ ๆ ...
...ขอบคุณสายการบินบางกอกแอร์เวย์สที่ให้โอกาสในการเดินทางเปิดประสบการณ์ครั้งนี้... และขอบคุณมาก ๆ สำหรับทุกคนที่แวะเข้ามาชมภาพ และเรื่องราวแห่งเมืองพม่ากัน... เชิญติชมได้ตามสบายนะครับ..
...แถมภาพปิดท้ายให้หนึ่งใบ .. สวัสดีทุกคนครับ.....
...เพิ่งกลับมาจากต่างแดน ขอบคุณทุกคนมาก ๆ นะครับที่แวะเข้ามาเยี่ยมชมกัน ^^ ใครยังไม่เคยไปก็ขอให้ได้ไปในเร็ววันนะคร้าบบบ
Forzanu
วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2558 เวลา 14.16 น.