จังหวัดกาญจนบุรีเป็นจังหวัดที่ผมได้มีโอกาสไปบ่อยมากๆ

คงเป็นเพราะว่าที่เมืองกาญนั้นมีสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลาย

ทั้งวัด ถ้ำ น้ำตก ล่องเเพ และอยู่ใกล้กรุงเทพซึ่งก็ใช้เวลาเดินทางไม่นาน

และคราวนี้ผมก็ได้กลับมาเมืองกาญอีกครั้ง

เพื่อมาเที่ยวสถานที่ย้อนยุคอย่างเมืองมัลลิกา ร.ศ.124

และนอนพักแบบขุนนางเมืองหลวงที่ ทรีธารา

ในการเที่ยวครั้งนี้เราจะเที่ยวที่เมืองมัลลิกา ร.ศ.124 แบบ เต็มวันกว่าจะกลับก็ค่ำๆโน่น

เราจึงขอไปเช็คอินที่ทรีธาราก่อนครับ ถ้ามาตามแผนที่ก็ตามนี้เลยครับ
https://goo.gl/maps/C9a8cC8E8bB2



ทรีธารานั้นเป็นรีสอร์ทที่อยู่ในตัวอำเภอไทรโยค ติดแม่น้ำแควน้อย

ใกล้ทั้งแหล่งของกินอย่างตลาดนัด, 7-11

และอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟถ้ำกระเเซมาก

ทางเข้าหาไม่ยาก อยู่ติดถนนทางไปถ้ำกระเเซ มีป้ายโรงแรมเหมือนแผ่นดินเผาใหญ่ๆ



เดินเข้ามาสู่รีเซฟชั่น พร้อมรับเวลคัมดริ้งค์เป็นน้ำอัญชันเย็นๆ


ภายในรีสอร์ททรีธารานั้นร่มรื่นมากครับ เป็นเหมือนรีสอร์ทในสวน

ภาพแบบ 360 องศา https://goo.gl/FVDpv3


ที่ทรีธารามีสระว่ายน้ำด้วยนะครับ

อยู่ริมแม่น้ำแควน้อยเลย และน้ำไปมองแม่น้ำไป

แถมตอนเช้าๆมีช้างจากฝั่งตรงข้ามลงมาเล่นน้ำด้วยนะครับ

ภาพแบบ 360 องศา https://goo.gl/e8dfBX



ห้องพักที่เราพักในคืนนี้คือ villa a2

เป็นไงบ้างที่นงที่นอนเมือนพวกคหบดีในสมัยก่อนมั้ย

ภาพแบบ 360 องศา https://goo.gl/BBuhDT

ภายในห้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบทั้ง

ทีวี ตู้เย็น กาน้ำร้อน ชุดชากาแฟ ไดร์เป่าผม เครื่องอาบน้ำ น้ำเปล่า



เอาล่ะเราแวะมาที่ทีธาราเพื่อที่จะเก็บของก่อน

จากนั้นเราจึงย้อนกลับไปเที่ยวที่เมืองมัลลิกา ร.ศ.124 กันนะขอรับ

เมืองมัลลิกา ร.ศ.124 นั้นตั้งอยู่บนถนนหมายเลข 323 (ถนนแสงชูโต) เลยขอรับ

ทางเข้าจะอยู่ติดกับปั้มบางจากเลย แผนที่ https://goo.gl/maps/q1rqe7b6mL62


จุดเด่นของสถานที่แห่งนี้คือ เมืองย้อนยุคของวิถีชีวิตชาวสยามบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา

ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5

ภายในเมืองนี้ทั้งตึกรามบ้างช่อง ผู้คน การแต่งกาย รวมไปถึงคำพูดคำจา

ก็จะถูกย้อนยุคไปทั้งหมดนะขอรับ

เพื่อความอินในการเข้าชมเมืองมัลลิกา ร.ศ.124 แนะนำว่าให้เช่าชุดไทยเข้าไปเดินครับ

ซึ่งการแต่งกายชุดไทยนั้นมีให้บริการทั้งผู้ชายและผู้หญิง


ผู้หญิง มีให้เลือก 2 แบบ ได้แก่

ราคา 200 บาท : ผ้าสไบ โจงกระเบน เครื่องประดับ เข็มรัด และร่ม

ราคา 300 บาท : เสื้อแขนหมูแฮม พร้อมแพรสะพาย โจงกระเบน เครื่องประดับ เข็มขัด และร่ม

ผู้ชาย

ราคา 100 บาท : เสื้อกุยเฮง โจงกระเบน และผ้าคาดเอว

ราคา 300 บาท : เสื้อราชปะแตน โจงกระเบน

เด็ก

ราคา 50 บาท : เสื้อคอกระเช้าสำหรับผู้หญิง เสื้อกุยเฮงสำหรับผู้ชาย และโจงกระเบน


ราคาค่าเข้า ทุกวันรวมวันหยุดสุดสัปดาห์

ผู้ใหญ่ 200 บาท/ เด็ก, ผู้สูงอายุและผู้พิการ 100 บาท

ค่าเข้าชม+ สำรับเย็น + ชมการแสดง ราคา ผู้ใหญ่ 700 บาท เด็ก 350 บาท

เด็ก - ความสูงต่ำกว่า 100 cm. เข้าฟรี เด็กความสูงตั้งแต่ 100 - 130 cm.

และผู้สูงอายุ - อายุ 70 ปีขึ้นไปใช้ราคาเด็ก

แต่ตอนนี้มีโปรวันธรรมดา จันทร์ – ศุกร์

1.ค่าเข้า + ชุดไทย + สำรับเย็น ราคา 650 บาทต่อท่าน

2.ค่าเข้า + ชุดไทย ราคา 350 บาทต่อท่าน

ด้านหน้าของเมืองมัลลิกาจะเป็นกำแพงเมืองโบราณขนาดใหญ่สีขาว

เอาไว้ป้องกันพวกไททันเข้าเมือง??? ใช่หรอ????



ด้านหน้าประตูเมืองก็ยังมีรถลากในยุคเก่าก่อนหรือที่เราเรียกกันติดปากว่ารถเจ๊ก รถที่ใช้คนลาก โดยส่วนใหญ่เป็นคนจีนที่อพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ การนั่งรถเจ๊กนี้มีค่าบริการ 50 บาท ต่อเที่ยวขอรับ




การซื้อของภายในเมืองมัลลิกา ร.ศ.124 นั้นเราจะเงินรู

เป็นเงินตราที่ใช้สมัยโบราณทั้งอยูธยาและสุโขทัย โดยมีอัตราการแลกเงินรู : 1 สตางค์ = 5 บาท


เมื่อเดินเข้ามาภายในเขตกำแพงเมืองมัลลิกา เราจะพบกับสะพานหัน

ชื่อนี้เรียกตามจาก ลักษณะของตัวสะพานที่ สมัยก่อนนั้นจะเป็นไม้แผ่นเดียวพาดข้ามคลอง ปลายข้างหนึ่งตรึงแน่นกับที่ ส่วนอีกข้างจะไม่ตอกติด จับหันไปมาได้เพื่อให้เรือแล่นผ่านต่อมาใสมัยรัชกาลที่ 5 ได้เปลี่ยนทำเป็นแบบสะพานริอัลโตทีนครเวนิซ และที่ปองเตเวกคิโอ เมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี คือ เป็นสะพานไม้โค้งกว้าง สองฟากสะพานมีห้องแถวเล็กๆ ให้ขายของ ส่วนตรงกลางเป็นทางเดิน ซึ่งสะพานนี้ล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ชอบเสด็จประพาสเพื่อซื้อผลไม้แห้งที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ เช่นลูกพลับแห้ง และผลไม้แห้งต่างๆ นานาชนิด


สะพานหันของเมืองมัลลิกาก็มีผลไม้แห้งต่างๆจำหน่ายเช่นกัน


ถัดจากสะพานหัน เราจะเดินเข้าสู่ย่านการค้า

ในสมัย ร.ศ. ๑๒๔ มีย่านการค้าที่ขึ้นชื่อและมีสินค้ามากและทันสมัยสำหรับยุคสมัยนั้น ได้แก่

ย่านถนนแพร่งนรา, ถนนแพร่งภูธร, ถนนแพร่งสรรพศาสตร์ และย่านบางรัก

ในย่านการค้านี้จะมีของกินสมัยโบราณ เครื่องดื่ม และของที่ระลึกจำหน่ายมากมาย

ภาพแบบ 360 องศา https://goo.gl/VSY8nE


จากนั้นเราจะขึ้นไปหอชมเมืองกัน ซึ่งหอชมเมืองนี้จำลองมาจากหอคอยคุก ซึ่งเป็นหอคอยที่ใช้สำหรับตรวจตราป้องกันมิให้นักโทษหนี ซึ่งเมืองมัลลิกา ใช้สำหรับชมเมือง ว่ามีทัศนียภาพที่ว่างดงามเพียงใด

ภาพแบบ 360 องศา https://goo.gl/7KyVoG


เดินพ้นจากย่านการค้ามาเราจะพบกับ เรือนแพ

ในยุคสมัยนั้น การสัญจรไปมาส่วนใหญ่ใช้แม่น้ำดังนั้น ร้านค้าขายที่จะตั้งอยุ๋ริมน้ำเป็นส่วนใหญ่ซึ่งในเมืองมัลลิกาก็เข่นเดียวกัน จะมีเรือนแพสำหรับค้าขาย เป็นร้านกาแฟ ตงฮู ซึ่งเป็นร้านกาแฟที่ทันสมัยในยุคนั้นโดยการนำเข้าเมล็ดกาแฟสดจากต่างประเทศเข้ามา และเพื่อรองรับนักเดินทาง ก็จะมีร้านข้าวแกงทรงโปรดในเรือนแพนี้ด้วย อันร้านข้าวแกงทรงโปรดนั้น ทางเมืองมัลลิกาได้ นำเอาอาหารที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าทรงโปรดมา เพื่อให้ประสกนิกร และนักท่องเที่ยวได้เห็นความเรียบง่ายของอาหารที่ มหาราชขของชนชาวไทยเสวยซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นอาหารที่ง่ายแต่มีความอร่อยอย่างไทยแท้


เราแวะที่เรือนเดี่ยว เป็นเรือนชาวบ้าน ซึ่งผู้ที่อาศัยอยู่เรือนนี้คือคนชนชั้นกรรมาชีพ มีหน้าที่ ผลิตปัจจัยเบื้องต้นในการยังชีพอันได้แก่ การทำไร่ ทำนา ทำสวน ปลูกผัก สีข้าว ทอผ้า จักสาน อันเป็นอาชีพทั่วไปของชนชั้นนี้ ในเมืองมัลลิกา นั้นจะมีเรือนเดี่ยว เพื่อแสดงถึงวิถีของชาวบ้านในสมัย ร.ศ. ๑๒๔ ว่ามีวิถีชีวิตอย่างไร


ใกล้ๆกันเป็นเรือนคหบดี ที่แสดงวิถีความเป็นอยู่ของชนชั้นปกครองซึ่งจะมีกิจกรรมบนเรือน เช่น งานใบตอง งานดอกไม้ งานเครื่องแขวน งานแกะสลักผลไม้ ซึ่งงานเหล่านี้เป็นงานวิจิตรที่จะใช้จริงในเมืองมัลลิกา



ด้านหลังเรือนคหบดีจะมีโรงครัว ประกอบด้วย โรงสี ยุ้งข้าว โรงเตรียม แสดงกรรมวิธีการฝัดข้าว สีข้าว ตำข้าว พร้อมทั้ง การหุงข้าวเตากระทะใบบัว แม่ครัวในโรงครัวนั้นต้องทำอาหารเลี้ยงบ่าวไพร่จำนวนมาก และประกอบอาหารคาวหวาน เพื่อรับรองแขกเหรื่อ โดยเป็นการประกอบอาหารด้วยเตาถ่านทั้งสิ้น


มีการเดินกะลานวดเท้าด้วยนะครับ


สุดท้ายคือ เรือนหมู่

เป็นเรือนสำหรับรับรองแขกบ้านแขกเมือง ของคหบดีไทยซึ่งอาจเป็น ขุนนางผู้ทรงศักดิ์ หรือคหบดีผู้มั่งคั่ง ซึ่งในสมัยนั้น นิยมมีคณะนาฎศิลป์ เป็นของตนเอง สำหรับรับแขก ดังนั้นเมืองมัลลิกา จึงสร้างเรือนหมู่ ขึ้นซึ่งถือว่าเป็นเรือนหมู่ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยเรือนหมู่ดังกล่าวจะแสดงให้เห็นถึงวิถึชีวิต ของนาฎศิลป์ไทย ว่าใช้ชีวิตอย่างไรในเวลากลางวันและในเวลากลางคืน


เมื่อมีแขกบ้านแขกเมืองมาเยี่ยมเพื่อรับประทานอาหารเย็นนั้น บนเรือนจะมีการแสดงนาฎศิลป์ไทย


และเสริฟอาหารไทยโบราณทีคงความเป็นไทย ในแบบฉบับของไทย อาหารที่เป็นภูมิปัญญาไทย ที่บรรพบุรุษของไทยได้สร้างสรรค์ไว้ให้ลูกหลานไทย เราจะเห็นอาหารที่เป็นภูมิปัญญาโดยแท้

อาหารทานเล่นนั้นเป็น ข้าวตังหน้าตั้ง


ส่วนอาหารในสำรับมี แกงกะทิสายบัว ยำทวาย แกงมัสมั่นไก่ น้ำพริกขี้กา

หมี่กรอบโบราณ และผลไม้สด

แกงกะทิสายบัว


ยำทวาย


แกงมัสมั่นไก่



น้ำพริกขี้กา



หมี่กรอบโบราณ และผลไม้สด



ระหว่างทานข้าวก็จะมีการแสดงให้เราชมด้วยครับ


รำซัดชาตรี


กระบี่กระบอง


โขนตอนยกรบ



ขอบคุณนักแสดงทุกๆท่านด้วยนะครับ


ดูการแสดงเสร็จเราก็กลับไปที่ ทรีธารารีสอร์ท ครับ
บรรยากาศของ Tree Tara Resort ในตอนค่ำก็สวยไปอีกแบบ



ห้องพักโรแมนติกมากกกก



ตื่นเช้าไม่ต้องลุกไปที่ไหนไกลครับ

เพราะที่ ทรีธารา รีสอร์ต (Tree Tara Resort) เค้ามีบริการเสริฟ์อาหารเช้าถึงห้อง

นั่งทานมื้อเช้าพร้อมชมวิวแม่น้ำแควไปด้วยเลย


เมื่อเช็คเอ๊าท์แล้วเราแวะไปถ่ายภาพรถไฟกันที่ถ้ำกระแซกันสักหน่อยครับ

ตารางเวลารถไฟมา



จุดนี้ถือเป็นจุดชมวิวยอดนิยมของอำเภอไทรโยคเลยทีเดียว

ยิ่งถ้าใครได้นั่งรถไฟผ่านช่วงนี้นะ..มันจะน่าตื่นเต้นมากกกกก

ภาพแบบ 360 องศา https://goo.gl/QjCzLV


เราปิดท้ายทริปที่อำเภอไทรโยคกันด้วยโรตีเจ้าดัง อาบังกับยายเบ

ร้านแกตั้งอยู่หน้าสถานีรถไฟวังโพธิ์


ซิกเนเจอร์ของที่ร้านคือคือ โรตีมะพร้าวอ่อน

เป็นโรตีที่มีความกรอบของแป้งอยู่ด้านนอก นุ่มด้วยเนื้อมะพร้าวอ่อนและหอมนมมากๆครับ


จากนั้นเราก็ขออำลา อ.ไทรโยค เป็นอันปิดทริปการท่องเที่ยวนี้ครับ

สุดท้ายนี้ขอฝากเพจเล็ก www.facebook.com/wefoto ไว้กับเพื่อนๆ แวะไปให้กำลังใจกันได้นะครับ

แล้วผมกันใหม่น๊า


Wefoto

 วันพุธที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 เวลา 11.44 น.

ความคิดเห็น