สวัสดีเพื่อนๆทุกคน

ก่อนอื่นต้องบอกว่านี่เป็นกระทู้แรกที่เราเริ่มเขียนกระทู้ ถ้าผิดพลาดหรือข้อมูลไม่ดีพอต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ

( 1-2/07/2560 วันเปิดอุทยานแห่งชาติภูสอยดาววันแรก วันที่เราเดินทางขึ้นภูสอยดาวมีทั้งหมด 3 กลุ่ม ทั้งหมด 21 คน )

การเดินทางในครั้งนี้เราเดินทางจาก บางนา มุ่งหน้าสู่อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว หลังจากรวมตัวกันได้ เราได้เพื่อนร่วมทางอีก 4 ชีวิต รวมเราเป็น 5 ชีวิตซึ่งเราเป็นน้องสุดในทริปนี้ ขอเรียกอีก 4 ชีวิตว่าพี่ๆแล้วกันนะคะ การรวมตัวของพวกเราครั้งนี้ถือว่ากะทันหันมากเพราะอ่านรีวิวแล้วไม่กี่วันก็เริ่มวางแผนเดินทางกันเลย

พวกเราเดินทางจากบางนาโดยรถยนต์ส่วนตัวออกเดินทางประมาณ 3 ทุ่ม ถึงอุทยานแห่งชาติภูสอยดาวประมาณ 7 โมงเช้า ระหว่างทางที่ขับรถไปจังหวัดอุตรดิตถ์ฝนตกตลอดทางเลย ทุกคนก็เริ่มหวั่นใจว่าระหว่างการเดินขึ้นเขาฝนจะตกไหม เพราะพวกเราเตรียมตัวมาแล้วว่ายังไงก็ต้องเจอฝนแน่ๆ เพราะนี่เป็นฤดูฝน เลยต้องเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมกันมาก แต่โชคดีที่ระหว่างทางเดินขึ้นภูไม่เจอฝนเลย (ยิ้มมม) เจอแดดอ่อนๆ กับลมพัดโชยๆ การเตรียมพร้อมของร่างกายไม่ได้เตรียมเลย เลยทำให้ระหว่างทางขึ้นภูเป็นไปอย่างยากลำบาก เพราะส่วนมากหลายๆคนจะขึ้นถึงลานสนประมาณ 5-6 ชั่วโมง แต่สำหรับเราและพี่ๆ เดินทางเกือบ 7 ชั่วโมงเลย น้ำดื่มที่พกไปก็หมดระหว่างทางเลยทำให้กระหายน้ำกันเป็นอย่างมาก ขอบอกว่าการเดินทางครั้งนี้พวกเราไม่ได้จ้างลูกหาบแบกของขึ้นนะคะ แบกเป้ขึ้นกันเอง ของเราก็เอาของไปน้อยสุดๆประมาณ 5 กิโลกรัม ส่วนพี่ๆ คนอื่นก็ 10-15 กิโลกรัมกันเลยทีเดียว แบกเป้ไปบ่นกันไปว่าทำไมเราไม่ตัดสินใจจ้างลูกหาบ แต่ด้วยความที่อยากทดสอบและท้าทายตัวเองด้วยเลยลองแบกขึ้นไปกันเอง และแล้วความสนุก มิตรภาพระหว่างทาง ความเหนื่อยล้าก็เกิดขึ้น


วันที่ 30/06/2560 เราเดินทางจากบางนามุ่งหน้าสู่จังหวัดอุตรดิตถ์โดยรถยนต์ส่วนตัว ขับกันไปเรื่อยๆ ฝนก็ตกลงระหว่างทาง แต่พอเจอวิวนี้ระหว่างทางก็หายอาการง่วงๆจากการเดินทางทั้งคืนเลยทีเดียว



กว่าจะถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูสอยดาวทางคดเคี้ยวน่าเวียนหัวมาก เรากับพี่ๆ อีก 2 คนน้อนท้ายกระบะรถยนต์นั่งมองวิวเพลินๆ และแล้วก็ถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูสอยดาวแล้ว จากนั้นเราก็ไปติดต่อเจ้าหน้าที่เรื่องลงทะเบียน ติดต่อเช่าเต้นท์และอุปกรณ์การนอนกับทางอุทยาน (ในส่วนนี้เราจ้างลูกหาบแบกแต่อาหารขึ้นไปบนภูนะคะ ส่วนกระเป๋าเราแบกขึ้นไปกันเอง ) ค่าลูกหาบคิดกิโลกรัมละ 30 บาท จ่ายเงินให้เรียบร้อยตรงนี้เลย


หลังจากที่เราติดต่อลงทะเบียนเสร็จและอุปกรณ์ทุกอย่างเรียบร้อย พี่เจ้าหน้าที่ก็จะพาขึ้นรถแบบนี้ไปส่งที่ทางขึ้นลานสน รถแบบคลาสสิคนั่งแล้วปวดก้นมาก สมาชิกกลุ่ม 2 ทั้งหมด 5 คนรายงานตัวค่ะ





และแล้วก็ถึงจุดเริ่มต้น พร้อมไหม ณ จุดๆ นี้ไม่พร้อมก็ต้องขึ้นแล้ว ยิ้มก่อนขึ้นเลยเพราะหลังจากนั้นเราก็ยิ้มไม่ค่อยออกแล้ว



ระหว่างทางที่เดินขึ้นภูเรื่อยๆ ข้างล่างจะเดินผ่านเส้นทางน้ำตกภูสอยดาว เดินไปๆ ก็จะได้ยินเสียงน้ำตกแต่ระหว่างนั้นก็คิดว่าทำไมเดินไม่ถึงไหนสักทีน้า ทำไมมันเรื่อยๆ จนไม่ไปไหนเลย


จากระยะทางเกือบๆ 2 กิโลเมตร ที่เดินมาเรื่อยๆ เดินเรื่อยๆและเดินเรื่อยๆ ระหว่างนั้นแหงนมองขึ้นไปทำไมมันชันจัง ตามที่อ่านรีวิวของคนอื่นบอกว่าส่วนมากจะถอดใจตรงเนินส่งญาติและถามพี่ๆลูกหาบบอกว่าตรงนี้เล่นเอาเรื่องอยู่เหมือนกันระดับความชัน แต่แล้วก็มาถึงแบบแทบยิ้มไม่ออกเหมือนกัน



ระหว่างทางที่เราเดินนั้นเราก็ได้พูดคุยกับลุงลูกหาบ ลุงบอกว่าเป็นลูกหาบที่ภูสอยดาวมา 30 กว่าปีแล้ว เคยหาบตั้งแต่กิโลกรัมละ 10 บาท เลยขอลุงถ่ายรูปไว้หน่อยนะคะ



ไปๆ ไปเรื่อยๆ เดินไปขำไประหว่างทางเพราะพี่ที่มาด้วยกันเป็นคนสร้างเสียงหัวเราะมาก เดี๋ยวเสียงช้าง เสียง นก เสียงชะนีก็มา เดินเรื่อยๆ ก็มาถึงแล้วอีกหนึ่งเนิน นั่นคือเนินปราบเซียนนั่นเอง ขาจะหมดกำลังแล้วนะ





หลังจากเนินปราบเซียนมาเราเดินมากันเกือบ 2 ชั่วโมงกว่า พวกเราก็เริ่มหิว เราเก็บอาหารที่ซื้อมาตอนเช้าจากตลาดชาติตระการขึ้นมา พอมากินตอนหิวๆจะบอกว่าอาหารที่ดูธรรมดาแบบนี้มันอร่อยมาก ขอบคุณพี่ไผ่ที่แบกขึ้นมา ฮ่าๆ







หลังจากเดินมาเรื่อยๆ เกือบ 4 ชั่วโมง ขอตัดข้ามไปถึงเนินที่คิดว่าโหดที่สุดเลยก็แล้วกัน นั่นก็คือเนินมรณะ เรียกได้ว่าเป็นเนินที่เดินแล้วท้อใจ เหนื่อยล้าและตัดกำลังขาเป็นอย่างมาก ยิ่งเดินเท่าไหร่ยิ่งชัน ยิ่งสูง ยิ่งเดินก็ยิ่งมองเห็นปลายทางอยู่ไกลๆ แต่ไปไม่ถึงสักที เรากับพี่มิ้นเดินทิ้งท้ายของพี่ๆในกลุ่ม เพราะช่วงระหว่างทางนั้น น้ำดื่มที่เราพกไปดันมาหมดระหว่างทาง แต่ด้วยความมีน้ำใจของเพื่อนร่วมทางด้วยกัน เราตะโกนสื่อสารกับพี่กลุ่มอื่นๆ ที่ขึ้นไปถึงเนินมรณะก่อนหน้าเรา เราตะโกนขอน้ำดื่ม โชคดีที่พี่กลุ่มนั้นเข้าใจกันที่เราสื่อสาร เลยทิ้งน้ำดื่มไว้ให้พวกเรา 1 ขวด ซึ่งน้ำขวดนั้นเป็นน้ำที่อร่อยมากๆ ต้องแบ่งกันดื่มคนละจิบสองจิบเพื่อให้รอด ฮ่าๆ ขอบคุณพี่ปอพี่ที่ขึ้นคนละกลุ่มในวันนั้น มา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ 



หลังจากพักทานข้าวกลางวันเสร็จ ก็นั่งพักเหนื่อยไปเรื่อยๆ พักตลอดทุกๆ 10 นาที อาจเนื่องจากเราไม่ได้ออกกำลังกายกันมาและเนื่องจากไม่ได้นอนกันเมื่อกลางคืนเพราะเดินทางกันมาตอนกลางคืนทำให้ร่างกายอ่อนเพลียอย่างที่เห็น

หลังจากผ่านเนินมรณะอันสุดโหดมา ด้วยความที่เรากับพี่มิ้นนั้นร่างกายจะไม่ไหวแล้ว เราเลยเผลอหลับไปบนเนินมรณะเลย ฮ่าๆ หลับแบบจริงจัง เพราะอีกไม่นานก็จะถึงลานกางเต๊นท์ลานสน ขอบคุณพี่เต้ยพี่ร่วมทางที่ขึ้นไปถึงก่อนแล้วเดินกลับเอาน้ำมาให้ด้วยนะคะ แล้วก็ยังแบกกระเป๋าขึ้นไปให้อีก อีกฮึดใจเดียวและแล้วเราก็มาถึงแล้วววววว ลานสนสามใบแห่งอุทยานแห่งชาติภูสอยดาว





โชคดีว่าปีนี้เปิดอุทยานวันแรก ดอกหงอนนาคก็ขึ้นมาทักทายพวกเราด้วยความอบอุ่น แล้วเดินไปสักพัก ก็มีหมอกยามเย็นเข้ามาปะทะหน้าทักทาย



กว่าจะถึงลานกางเต๊นท์ก็เวลาเย็นมากแล้ว ได้เวลาเตรียมกินข้าวเย็น ขอบคุณพี่เต้ยที่แบกอุปกรณ์การทำอาหารมาทำให้ทาน เป็นอาหารที่กินบนภูอร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมา เพราะทุกครั้งที่ไปคือได้กินแต่มาม่า ฮ่าๆ

เป็นกับข้าวมื้ออเย้นที่อร่อยที่สุดบนลานสนภูสอยดาวเลยทีเดียว


จากระหว่างที่เรานั่งกินข้าวมื้อเย็นกันอยู่นั้น ฝนก็เกิดตกลงมาอย่างแรง ทำให้คืนนั้นท้องฟ้าไม่เปิดและมองไม่เห็นดาว แล้วก็จากการที่เราเหนื่อยล้าจากการเดินทางขึ้นมาทำให้คืนนั้นนอนในเต้นท์ฟังเสียงฝนตกตั้งแต่สองทุ่ม คืนนั้นเป็นคืนที่หลับสบายมาก ฮ่าๆ ตื่นมาอีกทีก็เช้าแล้ว ก็ได้อาหารจากที่พี่เต้ยพกแก๊สขึ้นมาต้มโจ๊ก ดื่มกาแฟและต้มมาม่ากินกันตอนเช้า ก่อนที่จะเดินทางลง




อุณหภูมิตอนเช้าบนลานสน 16 องศาเซลเซียส


หลังจากอิ่มจากอาหารเช้าแล้วก็ได้เวลาเดินทางลง ระหว่างนั้นเราก็เดินไปถามเจ้าหน้าที่เพื่อที่จะไปถ่ายรูปกับหลักกิโลสองแผ่นดิน โดยเดินอ้อมจากหลังลานกางเต๊นท์ไปประมาณ 500 เมตรก็ถึง




เดินไปเรื่อยๆ เรื่อยระหว่างทางกลับก็เจอหมอกลงอย่างรุนแรงทำให้มองไม่เห็นทางแต่ระหว่างทางนั้นมันเป็นความรู้สึกที่หาจากในเมืองไม่ได้เลยทีเดียว

สุดท้ายนี้ขอบคุณพี่ๆ ทุกคนในกลุ่มที่ดูแลน้องคนนี้ตลอดการเดินทางเป็นอย่างดีนะคะ บ๊าย บาย ลานสนสามใบภูสอยดาว










สรุปค่าใช้จ่ายในการเดินทางนะคะ ทริปเฉลี่ย หาร 5 คน

ค่าน้ำมันรถยนต์ขาไป 1475 บาท/5 คน = 295 บาท

ค่าเข้าอุทยาน คนละ 40 บาท

ค่าอุปกรณ์การนอน ค่าลูกหาบ 2795/5 คน = 559 บาท

ค่าอาหาร 150 บาท

ค่าน้ำมันขากลับ 1350/5 คน = 270 บาท



รวมทั้งหมด 1314 บาท

กาลครั้งหนึ่ง

 วันพุธที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 เวลา 23.21 น.

ความคิดเห็น