เปิดประสบการณ์ 2 วัน 1 คืน กับการปีนภูเขาไฟฟูจิ ภูเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น กับความสูงกว่า 3,776 เมตร ในระดับเหนือเมฆ และความรู้สึกที่เมฆไหลผ่านหน้า…


ข้อแนะนำ….

ประสบการณ์การเดินทางครั้งนี้ค่อนข้างยาว เพราะเรียกว่าเก็บรายละเอียดตั้งแต่เตรียมตัวขึ้นจนถึงเดินลง เนื้อหาแน่นปึ๊ก รูปประกอบอีกร่วม 100…

พยายามหา WiFi ต่อเพื่อไม่ต้องเสีย Data และเพื่ออรรถรสในการอ่าน แนะนำให้อ่านผ่าน Tablet และ Desktop นะครับ


ต้นเรื่อง…

น้องโป๊ะ : “พี่….พวกเราไปปีนฟูจิกันดีกว่า”

ผม : (มองด้วยสีหน้าแบบสงสัย) “เฮ่ย…ไหวเหรอ”

น้องโป๊ะ : (ตอบกลับมาด้วยตาที่เป็นประกาย) “ไหวดิพี่ มันไม่ยากนะ แต่ต้องใช้เวลาเดินนานหน่อย ไปสักปีหน้า มีเวลาเตรียมตัวกันอีกนาน”

ผม : “โอเค..ถ้าพี่ไม่ติดอะไร ก็จะไปด้วยนะ แต่ขอเวลาไปฟิตร่างกายก่อน”

นี่เป็นบทสนทนา ระหว่างผมกับน้องโป๊ะ หลังจากการ Meeting ของกลุ่ม รวมพลคนไปญี่ปุ่น สงกรานต์ กลุ่มที่เกิดจากการรวมตัว ของคนที่ชอบท่องเที่ยวญี่ปุ่น ที่มีน้องโป๊ะและน้องแป้ง (ศรีภรรยาน้องโป๊ะ) เป็นแอดมินกลุ่ม

ตอนนั้นบอกเลยว่า ยังไม่มั่นใจว่าจะไปมั้ย เพราะกล้าบอกอย่างไม่อายเลยว่า แค่เดินขึ้นภูเขาทองยังเหนื่อยเลยครับ ที่ตัดสินใจว่าจะไปก็เพราะการได้ไปครั้งนี้ มันดีตรงที่มีเพื่อนร่วมทางไง ตั๋วเครื่องบิน, ที่พัก, ค่าใช้จ่าย อะไร ๆ ก็ไม่ได้เตรียมเลย คิดไว้เลยว่า ถ้าไม่พร้อมก็คงไม่ไป เพราะตอนสุดท้ายที่คุยกันในกลุ่ม ก็มีอยู่ประมาณ 3 คน (ไม่นับผมกับแฟนนะ) ที่ตกลงกันว่าจะไป รวมกันก็ทั้งหมด 5 คน

ช่วงเวลาที่คุยกันนั้น เป็นช่วงก่อนที่ผมจะไปเที่ยวทริปโอซาก้าในท้าย ๆ เดือน มี.ค. ด้วยซ้ำ เลยยังไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่
ลองไปอ่านกระทู้ก่อนหน้าคร่าว ๆ ก็พอจะรู้ว่ามันต้องถึกใช่ย่อยนะ เดินไม่ใช่เล่น 6-8 ชม. หลังจากนั้นก็ได้แพลนคร่าว ๆ เรื่องวันจากน้องแป้ง ว่าจะไปช่วงวันไหน สรุปว่าก็มาตรงกับช่วงวันหยุด อาสาฬหบูชา พอดิบพอดี

หวยมาออกก็ตอนที่ไปเดินงาน “เที่ยวทั่วไทย ไปทั่วโลก” เมื่อเดือน ก.พ. ได้โปรฯ ตั๋วเครื่องบินของสายการบิน คาเธ่ย์ อย่างที่รู้กันว่าช่วงวันหยุดจะไม่ค่อยมีโปรฯ หลุดมาง่าย ๆ หรอกนะ แต่วันนั้นลองเช็คเล่น ๆ ดันมี ราคาก็ไม่สูงเกินไปนัก พอรับได้ แถมติดใจตอนที่ได้เคยได้นั่งไปฮ่องกงอยู่รอบนึง….เอาก็เอาวะ ไปพิสูจน์ตัวเองสักที ลุย!!

มารู้จักการปีนภูเขาไฟฟูจิกันสักนิดนะ ฤดูกาลในการปีนจะมีอยู่แค่ 2 เดือนคือช่วง ต้นกรกฏาคม – ปลายเดือนสิงหาคม ของทุกปี เพราะเป็นช่วงที่หิมะบนภูเขาละลาย พร้อมที่จะให้นักปีนเขาทั่วไปสามารถปีนได้ เส้นทางที่ปีน จะมีอยู่ด้วยกัน 5 เส้นทาง แต่เส้นทางที่เราเลือกปีนคือเส้นที่ ได้รับความนิยม และเค้าว่าสะดวกที่สุดแล้ว (ยังตามหาอยู่ว่าเค้าที่ว่าคือใคร) นั่นก็คือเส้นทาง Yoshida Trails

รูปนี้เป็นแผ่นพับที่จะมีแจกตรง Mt. Fuji Safety Guidance Center ครับ เส้นทางที่เราต้องเดินคือเส้นสีเหลือง นี่แหล่ะจะเห็นได้ว่า มีที่พักอยู่ระหว่างทางหลายที่ แต่ที่เราเลือกคือที่พักสูงสุดเลย Goraikou-kan (ไม่เจียมจริง ๆ)

มารู้จักการปีนภูเขาไฟฟูจิกันสักนิดนะ ฤดูกาลในการปีนจะมีอยู่แค่ 2 เดือนคือช่วง ต้นกรกฏาคม – ปลายเดือนสิงหาคม ของทุกปี เพราะเป็นช่วงที่หิมะบนภูเขาละลาย พร้อมที่จะให้นักปีนเขาทั่วไปสามารถปีนได้ เส้นทางที่ปีน จะมีอยู่ด้วยกัน 5 เส้นทาง เพราะทางขึ้นเองสามารถขึ้นได้จากหลายเมือง จากเมือง คาวากูจิโกะ, ชิซุโอกะ หรือจะมาจากทาง โกเตมบะ (Gotemba) ที่ขาช้อปต้องรู้จักดีเพราะมี outlet ชื่อดังอยู่ที่นั่น แต่เส้นทางที่เราเลือกปีนคือเส้นที่ ได้รับความนิยม และเค้าว่าสะดวกที่สุดแล้ว (ยังตามหาอยู่ว่าเค้าที่ว่าคือใคร) นั่นก็คือเส้นทาง Yoshida Trails ซึ่งจะเดินทางมาจากเมืองคาวากูจิโกะ หรือนั่งรถบัสยาว ๆ มาจากชินจูกุก็ได้

เตรียมตัวก่อนปีน

หลังจากกลับจากเที่ยวโอซาก้าช่วงซากุระ กลับมาก็ยังไม่ได้เริ่มเตรียมตัวจริงจังเสียที สุดท้าย ก็เข้าเดือนเม.ย. ดูปฏิทินแล้วก็มีเวลาอยู่แค่ 2 เดือนนิด ๆ เสียงในใจมันบอกแล้วหล่ะว่า “ต้องเริ่มแล้วนะเฟ้ย” ขั้นแรกผมลองไปวิ่งที่สวนสาธารณะดูก่อน สรุปไม่ไหวครับ อากาศร้อนมาก ดูแล้วไม่รอดแน่ พร้อมกับเคยมีปัญหาเรื่องข้อเท้าตั้งแต่เล่นบาสตั้งแต่ตอนเรียน เลยเปลี่ยนแผน ไปออกกำลังในฟิตเนสแทน

สรุปก็ได้เครื่องเล่นที่ช่วยให้เรียกกำลังกลับมา เจ้าเครื่องวิ่งกึ่งสเต๊ป (Elliptical) แรก ๆ ก็เหนื่อยโฮกครับ แต่พอเล่นไปเรื่อย ๆ ก็ดีขึ้น เหนื่อยยากขึ้น อัตราโดยเฉลี่ยก็ไม่มากครับ วันละประมาณ 30-40 นาที อาทิตย์นึงก็ประมาณ 3 – 4 วัน



ในส่วนของอุปกรณ์ที่เกียวกับการปีนเขา ผมไปเช่าเอาที่ญี่ปุ่น

เพราะถ้าจะซื้อเองก็ไม่ไหว หมดเงินอีกหลายแน่ เช่าเอาดีกว่า

ไม่ต้องเสียค่าน้ำหนักกระเป๋าด้วย นอกเหนือจากนั้นแล้ว

ก็จะมีแต่อุปกรณ์ถ่ายภาพ ที่พยายามจัดสรร เอาที่พอแบกขึ้นไปไหวครับ

พยายามคำนวณน้ำหนักดี ๆ เพราะต้องมีน้ำหนักของน้ำดื่ม กับเสื้อกันหนาวด้วย


Take Off

และแล้วก็มาถึงวันเดินทาง วันที่ 14 ก.ค. มาถึงตอนนี้ยอมรับว่ามีความมั่นใจมาระดับนึงแล้ว เอาหล่ะฟะ เป็นไงเป็นกัน ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เป็นการบินไปญี่ปุ่นด้วยการต่อเครื่อง เราบินด้วยสายการบินคาเธ่ย์แปซิฟิค ออกเดินทางในตอนเย็นจากไทย แล้วก็ไปต่อเครื่องที่ฮ่องกง แล้วก็บินต่อไปถึงนาริตะในตอนเช้า เพิ่งรู้ว่าเค้าเรียกไฟล์ทแบบนี้ว่า Red eye flight เป็นไฟลท์ที่ออกจากต้นทางตอนดึกๆ และถึงปลายทางในตอนเช้า และไฟลท์ก็สั้นเกินกว่าจะนอนบนเครื่องได้เต็มอิ่ม


เราไปถึงฮ่องกงประมาณ 2 ทุ่ม มองออกไปนอกหน้าต่าง เมฆเยอะมาก คิดในใจว่า ขอให้่ที่ญี่ปุ่นไม่เยอะอย่างนี้นะ ไม่งั้นเวลาขึ้นภูเขาไฟฟูจิ คงจะมองไม่เห็นอะไรแน่เลย พอใกล้ ๆ ถึงเวลาประมาณตี 1 ก็เรียกขึ้นเครื่องครับ ใช้เวลาบินอีกประมาณ 4 ชม. นิด ๆ ถึงสนามบินประมาณ 6 โมงนิด ๆ (เวลาที่ฮ่องกง เร็วกว่าที่ไทยประมาณ 1 ชม. และเวลาที่ญี่ปุ่นเร็วกว่าที่ไทยประมาณ 2 ชม. )



พอมาถึงเราก็เดินทางเอากระเป๋าไปเก็บก่อนที่ ที่พักที่จองไว้ คราวนี้ผมพักที่โรงแรม Touganeya Hotel อยู่ในย่าน Ueno เป็นโรงแรมที่อยู่ในทำเลที่ดีมาก อยู่ใกล้รถไฟฟ้าทั้งใต้ดิน, JR, หรือรถไฟด่วนที่วิ่งไปสนามบินนาริตะ อย่าง Keisei ต้องบอกไว้ก่อนว่าที่ญี่ปุ่น โรงแรมโดยส่วนใหญ่จะให้เรา Check in ประมาณบ่าย 3 โมง แต่ถ้าเป็นโรงแรมที่มีพื้นที่ใน lobby กว้างพอควรจะสามารถรับฝากกระเป๋าไว้ก่อนได้ครับ แต่ที่นี่ได้ใจผมไปเต็ม ๆ เพราะหลังจากฝากกระเป๋าแล้ว ผมก็ออกไปข้างนอก ไปหาซื้อของเพิ่มเติม พอกลับเข้ามา ก็เอากระเป๋าผมไปเก็บไว้ให้ที่ห้องที่จองไว้เรียบร้อยแล้ว


พอกลับเข้ามา ผมก็กลับมาเช็คของที่ได้เช่าออนไลน์เอาไว้ ของได้ส่งมาล่วงหน้ามาที่โรงแรมนี้ 2 วันแล้ว ทุกอย่างเรียบร้อยดีครับ อุปกรณ์ครับ รองเท้าใส่ได้พอดี อุปกรณ์ก็มีตามรูปครับ

แต่ในส่วนของอ๊อกซิเจนกระป๋อง อันนี้ได้จากการไปเดินหาซื้อของเพิ่มเติมนะครับ ผมซื้อได้ที่ Yodobashi แผนกเครื่องกีฬา กระป๋องละ 527 เยน แต่ถ้าเราไปซื้อข้างบน ราคาจะสูงเป็น 2 เท่าประมาณ 1,200 เยน ก็มีเผื่อไว้ใช้ระหว่างทางครับ ถือเป็นตัวช่วยนึงเพื่อความสบายใจ

เว็บไซต์ที่ให้เช่าอุปกรณ์ปีนเขาออนไลน์มีหลายเว็บครับ แต่เว็บที่ผมกับเพื่อนลองติดต่อแล้วค่อนข้างตอบกลับได้ดี ก็มี Kobe Outdoor Rental URL ตามนี้ครับ http://mtfujirental.com/ เซ็ทที่ผมเช่ามาราคาเซ็ทละ 10,000 เยน เป็นราคาที่เช่าในช่วง 2 วัน โดยพอเรากลับลงมาก็ไปส่งคืนที่มีบริการรับฝากส่งของ Kuroneko Yamato หรือบริการรับฝากส่งของแมวดำ อย่างที่หลาย ๆ คนรู้จักกัน ดีที่โรงแรมนี้มีบริการนี้ด้วย


วันเริ่มปีน

เช้าวันที่ 16 ก.ค. เราเดินทางออกจากโรงแรมแต่เช้า โดยฝากสัมภาระที่เหลือไว้โรงแรม ซื้ออาหารเช้าและน้ำดื่ม เพื่อไปกินบนรถ

เราเลือกเดินทางโดยนั่งรถบัสเพื่อไปยังที่ Fuji subaru line 5th station ตอนนี้สถานีขึ้นรถบัสย้ายไปที่ใหม่แล้ว ไม่ไกลจากที่เดิมมาก ยังอยู่ในย่านชินจูกุ แต่เค้าสร้างสถานีขึ้นมาได้แจ่มมาก ทำเป็นอาคารแล้วเอารสบัสขึ้นไปรับคนด้านบนเลย ตัดปัญหาการจราจรไปได้เยอะ แหม….อยากให้เมืองไทยทำแบบนี้บ้างจัง

พิกัดแผนที่ ของสถานีรถบัสใหม่ : https://goo.gl/maps/KT4M7jwzRr62


สถานีใหม่ แจ่มมาก ขึ้นมาที่ชั้น 3 มีตารางเดินรถให้ดูอย่างง่ายเลย รถจะมาจอดรอที่ประตู B6 ดูง่าย ๆ ครับ มีป้ายบอกเป็นภาษาอังกฤษเลย ว่าไป Mt. Fuji 5th Station


ค่าโดยสารคนละ 2,700 เยน ครับ เที่ยว 7:45 น. รายละเอียดของตั๋วรถก็ตามรูปนะครับ เผื่อเวลานิดนึงด้วยนะ เพราะรถเค้าค่อนข้างออกตรงเวลา พอใกล้ถึงเวลาก็เตรียมตัวหล่ะครับ เอาของเข้าเก็บใต้รถ แล้วก็ขึ้นไปนั่งรอตามที่นั่งที่ได้เลย


วันนี้การจราจรค่อนข้างคับคั่งครับ มีรถติดเป็นช่วง ๆ ทำให้เวลาเดินทางปรกติที่ต้องใช้เวลาประมาณ 2 ชม. กลับยืดออกไปเป็นเกือบ 4 ชม. เลย น่าจะเป็นเพราะช่วงวันที่ผมไปนี้ เป็นวันหยุดต่อเนื่องของชาวญี่ปุ่นเค้า คนเลยออกไปเที่ยวกันค่อนข้างเยอะ


มองออกไปที่ท้องฟ้า วันนี้ดูแล้วเมฆค่อนข้างเยอะ (ลืมบอกไปว่า เมื่อวานฝนตกด้วยซ้ำ…ลางดีจริง ๆ ) ให้เข้าใจกันไว้ก่อนว่า ถ้าเมฆเยอะเนี่ย มันทำให้เวลาเดิน เราจะมองไม่เห็นอะไรเลย เหมือนเดินอยู่ในหมอก และจะมีโอกาสเกิดฝนง่าย นั่นคือจะทำให้เราลำบากในการเดินขึ้นแน่นอน ถ้าหนักเนี่ย เผลอ ๆ คือไม่ได้ขึ้นข้างบนเลยด้วยซ้ำ


พอเริ่มเข้าเส้นทางขึ้นไปชั้น 5 อากาศก็ค่อย ๆ เย็นกันเลยหล่ะ มองออกไปนี่ หมอกลงจัดเลย เห็นแล้วใจเสียเลย จะมาเยอะก็ไม่เป็นไร ขออย่างเดียวเลยว่าฝนอย่าตก พอรถจอดก็เห็นชัดเลยครับ หมอกเต็ม ๆ เดินฝ่าหมอกกันหล่ะ ใครว่าหน้าร้อนญีปุ่นร้อน ให้ขึ้นมาที่ชั้น 5 นะครับ แค่ 20 องศานิด ๆ เท่านั้นเอง


หลังจากนั้นพวกเราก็ไปเตรียมตัวครับ ใส่ชุดที่จะใช้เดิน แล้วก็หาอาหารกลางวันกินกันก่อนขึ้นไป และที่พลาดไม่ได้ในทริปนี้ คือการหาซื้อไม้เท้าที่จะเอาขึ้นไป ประทับตราด้านบนครับ เพราะในแต่ละชั้นจะมีร้านค้าให้บริการประทับตรา ราคาถูกแพงแล้วแต่ร้านเลย โดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 200 – 300 เยน ต่อครั้ง

พอเราเตรียมของทุกอย่างพร้อม ก็ออกมาข้างนอกกัน พอเห็นผู้คนแล้วก็แอบตกใจว่า มากันเยอะแฮะ สมกับเป็นช่วงวันหยุดต่อเนื่องจริง ๆ แต่ละคนไม่ธรรมดา ดูแล้วพร้อมมาก ถ้าใครมีไกด์ ก็จะมารวมกลุ่มกันตรงบริเวณนี้แหล่ะครับ


เรามาแนะนำเพื่อน ๆ ในทีมที่ปีนกันคราวนี้ก่อน ทั้งหมดที่ขึ้นคราวนี้ มีกันทั้งหมด 7 คน ครับ ทุกคนไม่มีประสบการณ์ในการปีนภูเขาไฟฟูจิเลย จัดการทุกอย่างกันเอง อาศัยนัดกันมา อ่านรีวิวประกอบ

  • เริ่มต้นที่ผม นายเอ๋ กับน้องเปิ้ล จขกท.และศรีภรรยา ที่จะพากันไปยืนหอบบนยอดภูเขาไฟฟูจิ
  • น้องโป๊ะ และ น้องแป้ง คู่สามีภรรยา ที่หนีลูกมาปีนเขา ผู้ที่จุดประกายการเดินทางครั้งนี้
  • น้องบิ๊ก ผู้ที่มาเดี่ยว ๆ เห็นเนิร์ด ๆ แบบนี้ แต่เดินขึ้นเขาไม่เหมือนมือใหม่เลยนะ
  • น้องใหม่ กับน้องโอ๋ รุ่นน้องที่ทำงานของน้องแป้ง ผู้ที่อยากมาเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก ก็โดนพามาขึ้นภูเขาไฟฟูจิเลย


ก่อนจะเดินขึ้นไปกัน จะต้องไปเสียค่าธรรมเนียมที่อาคารสำนักงาน ด้านหลังผมนี่แหล่ะ คนละ 1,000 เยนครับ จะได้เอกสาร และเครื่องรางมาด้วยคนละอัน เราเริ่มขึ้นกันค่อนข้างสายไปนิดนะครับ จริง ๆ ควรจะขึ้นก่อนนี้สักหน่อย แต่ไม่เป็นไร เดินหน้าแล้วไม่มีถอยครับ


ตรงปากทางเข้า จะมีป้ายคำเตือนให้อ่านหลายภาษาเลย ข้อความโดยรวม ๆ คือข้อปฏิบัติตอนขึ้น และคำเตือนเกี่ยวกับหินร่วงจากด้านบน รู้มาจากน้องแป้งเหมือนกันว่า เค้าห้ามกางเต็นท์ข้างบน ก็ยังแอบงงครับว่าทำไม มาถึงตรงนี้ก็พอเข้าใจละว่าทำไม เพราะฉะนั้นห้ามเดินเพลิน ๆ ครับ ต้องระมัดวังกันด้วย


แหม…ซื้อหวยทำไมไม่ถูกแบบนี้ ดูจากสภาพอากาศแล้ว เดาไว้ว่าเราคงต้องเดินท่ามกลางหมอกกันละ แล้วมันก็จริงดังว่า พืนทางเดินนี่อย่างแฉะเลย เรียกว่ามองด้านหน้าในระยะได้ไม่เกิน 10 เมตร หยดน้ำเกาะตามเส้นผม ตามหมวกกันเป็นแถว ๆ ในระยะเริ่มต้นเส้นทางเดินสะดวกครับ เป็นเนินซะส่วนใหญ่ ช่วงนี้ยังเดินเกาะกลุ่มกันไปเรื่อย ๆ ครับ อากาศเย็น ๆ ไม่ถึงกับหนาว


เดินมาได้สักพักยังไม่ทันเหนื่อยกันดี ก็จะเจอป้ายบอกทางแยกละครับ ตรงนี้จะเป็นทางแยกที่บอกเราว่า เหลือระยะทางอีก 6 km เพื่อเดินขึ้นสู่ยอดฟูจิ จากจุดนี้ทางจะเริ่มชันขึ้นเรื่อย ๆ แล้วหล่ะ ต้นไม้ก็เริ่มจะหนาตาขึ้น เหมือนเราเดินในป่าดิบชื้นยังไงยังงั้นเลย ต้นไม้ก็ดูสูงซะ ดูจากสภาพทางเดินและต้นไม้แล้ว น่าจะเป็นสภาพปกติของเส้นทางนี้ เพราะต้นมีเฟิร์นกับพวกตะไคร่น้ำขึ้นอยู่ตามทางเดินโดยตลอด


เดินกันมาเรื่อย ๆ ก็ได้ยินเสียงดังกุบกับ มาจากด้านหลัง ก็มีเห็นคนจูงลาเดินมา มีคนนั่งแล้วอีกตัวก็แบกสัมภาระอยู่ด้วย มีให้บริการตั้งแต่ตรงปากทางเข้า สนนราคาจำไม่ได้ ก็ไม่ได้ถึงกับสบายมากมายนะครับ เพราะสุดท้ายพอถึงชั้น 6 ก็ต้องลงเดินอยู่ดี

เมื่อเดินต่อไปทางเดินก็เริ่มเห็นชัดขึ้น ทำให้มองเห็นสภาพรอบ ๆ ได้ง่ายขึ้น ลางดีเริ่มมาละ พื้นทางเดินเริ่มเป็นหินก้อนใหญ่ขึ้น แต่ก็เดินได้สะดวกครับ ไม่ลำบากอะไร ทางเดินไม่ได้แคบมาก เดินสวนกันกับคนที่เดินลงมาได้สบาย ๆ


และแล้วเราก็เดินมาถึงตรงชั้น 6 แป็บเดียวเอง (คิดในใจอย่างนี้…สบายหล่ะ) ตรงนี้เราเรียกว่า “Mt. Fuji Safety Guidance Center” เป็นจุดที่มีให้บริการห้องน้ำ และเป็นที่ทำการของเจ้าหน้าที่ จะมีโบรชัวร์ (เหมือนรูปข้างบน) แจกอยู่ให้ เหมือนสถานีตำรวจย่อม ๆ เลยครับ ตรงจุดนี้ เราเริ่มใส่เครื่องป้องกันความหนาวกันหล่ะ เพราะที่ผ่านมาเรารู้สึกได้เลยว่า มันเย็นกว่าที่คิดพอสมควร


มีป้ายบอกระยะทางอีกที ผ่านมา 800 เมตรแล้ว สบายหล่ะ ยังไม่ทันเหนื่อยเลย…..อย่าครับ อย่าคิดแบบนี้ อย่าคิดผิดแบบผม ไปดูต่อเลยว่าคิดผิดยังไง


หลังจากนี้จะเป็นการเดินขึ้นในรูปแบบซิกแซกกันหล่ะ เดินขึ้นสเต็ป ไปเรื่อย ๆ เริ่มหล่ะครับ ความล้าของขา ดูแล้วเหมือนจะไม่ชันนะ แต่จริง ๆ มันเพิ่มความชันทีละนิด ๆ ละครับ ไม่ชิลล์เหมือนที่ผ่านมาหล่ะ สปีดเริ่มตกกัน

จากจุดนี้ เริ่มมีการแยกกลุ่มอย่างชัดเจน น้องใหม่ กับน้องโอ๋ เริ่มเดินนำไปเรื่อย ๆ (เด็ก ๆ มันก็ดีอย่างนี้แหล่ะ แรงเหลือเฟือ) น้องบิ๊กก็ยังแรงไม่ตก เดินไปเรื่อย ๆ (วิธีที่ถูกต้องคือแบบนี้นะ อย่าพยายามหยุดบ่อย) น้องแป้งกับน้องโป๊ะ ก็เดินอยู่ในระยะข้างหน้าสปีดไม่เร็วมาก ผมนี่แหล่ะ สปีดตกไปเยอะเลย (หอบก่อนเมียอีก บอกเลยไม่อาย)


เดินขึ้นมาได้สักระยะนึง ก็เหมือนจุดที่พักแต่ปิดไม่ได้ให้บริการอะไรนะครับ ถึงตรงนี้น้องแป้งถึงกับต้องใช้ อ๊อกซิเจนกระป๋องแล้ว….ต้องบอกก่อนว่า มันก็เหนื่อยละครับ แต่ไม่ถึงกับมากอะไร แต่เพราะน้องแป้งมีเวลาเตรียมตัวน้อย มาสารภาพว่าไม่ได้เตรียมตัวออกกำลังอะไรเลย ยังแซวกันเลยว่างานนี้วัดใจสามีว่า ถ้าไม่ไหวจะยอมแบกขึ้นไปมั้ย 55+

แต่ไม่ต้องถามผมนะ ศรีภรรยาผมนี่ ออกกำลังเต็มที่ เพราะรู้คำตอบอยู่แล้วว่า ถ้าขึ้นไม่ไหวกันก็คือลงกันหล่ะ ช่วยไม่ได้แน่นอน


นั่งหอบกันสักพัก ก็มีเด็กน้อย เดินขึ้นมากับครอบครัว แบบสบาย ๆ…..บอกตามตรงว่า “อายเด็ก” น้องเค้าเดินต่อไปเลยไม่ได้พักด้วย กลายเป็นแรงฮึดครับ เอาซิ จะแพ้เด็กให้มันรู้ไป ไปต่อซิครับ จะรออะไร

แต่สังเกตได้อย่างนึงว่าคนญี่ปุ่นนี่เดินเก่งจริง ๆ เดินกันสบาย ทุกเพศ ทุกวัย คนสูงอายุยังเดินแซงผมเลยด้วยซ้ำ (หรือว่าเรามันใช้ไม่ได้หว่า)


หลายคนสงสัยว่าวิวด้านบนเป็นยังไงบ้าง ผมก็เก็บภาพมาให้ดูหล่ะครับ ก็อย่างที่เห็นแหล่ะ ในช่วงตั้งแต่ชั้น 6 ไปถึงชั้น 7 จะเป็นทางเดินที่เป็นกรวดและหินแต่ก้อนไม่ใหญ่มาก แต่เวลาเดินจะกินแรงมาก เพราะเหมือนเดินแล้วมันก้าวไม่เต็มก้าว

จะมีการทำแนวกันดินสไลด์ เป็นทางเดินแบบซิกแซกแบบค่อย ๆ เพิ่มระดับไปเรื่อย ๆ บางกลุ่มก็เดินเกาะกลุ่มไปเรื่อย ๆ ในตอนนี้กลุ่มเราเหลือกันอยู่ 4 คนรั้งท้ายหล่ะครับ น้อง ๆ แรงดี ให้เดินล่วงหน้ากันไปก่อนเลย เป็นหน่วยกล้าตายส่งไปดูสถานการณ์ก่อน (แถสีข้างถลอก เหนื่อยก็บอกมาเหอะ)


ถึงจะเรี่ยวแรงหาย แต่ใจก็ยังสู้กันนะคร้าบ…..ดูจากการแอคท่าก็รู้


ในสภาพทางเดินที่ชันขึ้นเรื่อย ๆ และเป็นกรวดปนหิน ไม้เท้าเป็นตัวช่วยที่ดีในการช่วยรั้งให้เราเดินง่ายขึ้น ตอนนี้รู้สึกได้ว่าเริ่มหายใจได้ไม่เต็มปอด วิธีการหายใจที่ถูกต้องคือต้องหายใจเข้าและออกให้ลึกที่สุด อย่าหายใจเร็ว หายใจให้เป็นจังหวะ จะช่วยควบคุม Heart rates ให้ไม่เต้นเร็วเกินไป


จริง ๆ แล้วทีมนี้มีสโลแกนที่ตั้งขึ้นมาตอนเดินนะครับว่า “โค้งเป็นพัก” คือพอเดินได้สุดโค้งก็พักทีนึง นี่แหล่ะผลของการไม่ออกกำลังให้สม่ำเสมอ กับดักมนุษย์เงินเดือนแท้ ๆ

ถ้าไม่ได้การปีนเขาครั้งนี้ พฤติกรรมก็คงไม่เปลี่ยน…ที่เห็นว่าเหนื่อยอันนั้น Acting 30% เหนื่อยจริง 70% นะครับ


มองไปรอบข้างก็มีแต่กรวดกับหิน สิ่งที่พอจะทำให้รู้สึกได้ถึงธรรมชาติอยู่บ้าง ก็มีเจ้าดอกไม้ประหลาด ๆ ที่ไม่รู้ชื่ออย่างในรูปนี่แหล่ะครับ ก็มาแอบคิดนะว่าสูงขนาดนี้ ทุรกันดารขนาดนี้ ยังมีโตได้อีก ดอกไม้มันยังไม่ยอมแพ้เลย แล้วเราจะไปยอมได้ยังไง ว่าแล้วก็เดินต่อไป


Alice in Wonderland..

ผมไม่เคยรู้สึกที่เหมือนเดิน ๆ อยู่แล้วหลุดมาอีกโลกนึงเป็นยังไง แต่ผมมาเจอที่นี่ครับ

ในขณะที่เราเดิน ๆ กันอยู่ท่ามกลางหมอกหนา ๆ พอพ้นโค้ง อยู่ ๆ ก็เจอฟ้าใส ๆ สว่างโล่งเลย พวกเราดีใจกันมาก เพราะคิดว่าจะต้องเดินอยู่ท่ามกลางหมอกเหมือนกันที่เราเคยเห็นในรีวิวที่เราเคยอ่านกันซะแล้ว พวกเราหยุดพักถ่ายรูป ผมถึงขั้นหยิบมือถือขึ้นมาหาสัญญาณ live สด ๆ กันเลยทีเดียว

พูดถึงสัญญาณอินเตอร์เน็ตในตอนแรกผมรู้มาว่าบนนี้เราสามารถใช้สัญญาณของเครือข่าย NTT-Docomo ได้ครับ ผมเลยทำการ Roaming สัญญาณมา (ของผมใช้เครื่องข่าย TrueMove H นะครับ) ซึ่งก็สามารถใช้งานได้เหมือนกัน มีสัญญาณอ่อนในบางจุด แต่อย่างตรงจุดนี้ผม Live ได้เลย แต่ตอนนี้บนนี้สามารถใช้สัญญาณของเครือข่าย Softbank ได้แล้วนะครับ เป็นข้อมูลสำหรับใครที่จะเลือกเครือข่ายเพื่อขึ้นมาปีนนะครับ



พอหันกลับไปมองในเส้นทางที่เดินผ่านมาก็แอบตกใจนิด ๆ ว่าสรุปที่เราเดินผ่านมากันเมื่อกี้มันคือเมฆหรอกเหรอเนี่ย นี่เราเดินทะลุเมฆกันขึ้นมาเลย ฟ้าด้านบนใสมากกกกก ตอนนี้ถ้าเราอยู่ข้างล่าง ก็คงมองเห็นเป็นเมฆขมุกขมัว เงยหน้ามองด้านบน ก็เหมือนเหมือนพระอาทิตย์อยู่ใกล้เรานิดเดียวเอง

ถามว่า อากาศร้อนมั้ย…..ไม่ร้อนเลยครับ ออกจะเย็น ๆ ด้วยซ้ำ


เป็นครั้งแรกที่เริ่มมองเห็นที่พักด้านบน (มุมด้านซ้ายมือเล็ก ๆ ) จากการประมาณด้วยสายตา เรายังเดาไม่ออกว่าที่พักของเรา อยู่ตรงไหน คิดว่าเป็นที่เห็นบนสุดนั่นแหล่ะ นักท่องเที่ยวก็เริ่มหนาตาขึ้น เราพักตรงนี้กันสักพักใหญ่ ๆ เหมือนกันครับ ความรู้สึกสบายใจมาเต็ม ดีใจตรงอย่างน้อยก็สภาพอากาศไม่แย่จนเราไม่สามารถไปต่อได้


ทางเดินเริ่มจะเรียกได้ว่าปีนกันพอสมควรแล้วครับ บางครั้งก็ต้องยืนรอ พร้อมกับดูลู่ทางก่อนว่าจะไปยังไง ตอนแรกคิดว่าไม้เท้าที่ได้มาจะเกะกะนะ แต่เปล่าเลย เป็นตัวช่วยให้เราพยุงตัวขึ้นไปด้วยซ้ำ

ช่วงนี้จะดูเหนื่อยกว่าตอนเดินธรรมดาหน่อย แต่ก็ไปเรื่อย ๆ ครับ อย่ารีบร้อน ไม่งั้นจะเหนื่อยเร็ว เราไม่รู้เลยครับว่าตอนนี้เราปีนขึ้นมาระดับไหนแล้ว ต้องอาศัยหาป้ายบอก ซึ่งจะอยู่ตามจุดพักใหญ่ ๆ


แล้วเราก็ขึ้นมาถึงจุดพักจุดแรก 7th station ความสูงที่เห็นในป้ายคือ 2,700m ครับ เป็นจุดพักเล็ก ๆ มีที่พักให้นอนพักด้วย (เราเรียกกันว่า “ฮัท”) แต่สำหรับที่พักที่บนนี้เกือบร้อยละ 90 จะต้องทำการจองก่อน ไม่งั้นไม่มีที่พักให้ และยิ่งเป็นช่วงหยุดยาวแบบนี้แล้วด้วย ไม่ต้องถามหา


มองกลับลงไปก็รู้สึกภูมิใจเล็ก ๆ ว่า ก็เดินขึ้นมากันได้เนอะ แต่คนค่อนข้างเยอะตอนแรกก็สงสัยครับว่า ทำไมเยอะจัง รออะไรกันอยู่ทำไมไม่รีบเดินไป


อ่อ…ตอนนี้เราเดินมาจากจุดที่ชั้น 6 ที่มีเจ้าหน้าที่ดูแลอยู่ประมาณ 1.2 km. แล้วนะ หลังจากนี้ ผมจะทำเป็นแผนที่ประกอบการเดิน ไว้ให้ดูด้วยแล้วกัน จะได้มองเห็นภาพรวมได้ง่ายขึ้น เพราะหลัง ๆ ความเหนื่อยล้า ทำให้ไม่ค่อยได้ยกกล้องถ่ายบ่อย และก็พยายามทำเวลาให้เร็วขึ้นด้วย


พอเลี้ยวพ้นหัวมุมหลังจากที่เราเดินออกมาจากฮัทแล้ว ก็พบกลุ่มคนกำลังเรียงแถวเพื่อปีนไปกันต่อครับ จากจุดนี้ไปก็ใช้เวลาพอสมควรเลย ปีน ๆ หยุด ๆ กันเลยทีเดียว


นี่ก็เป็นอีกหนึ่งในที่พัก ในแต่ละที่ก็จะมีจุดรับประทับตรา สนนราคา ก็ตั้งแต่ 200 เยน บางที่ก็จะมีหลายแบบ ถ้าเหมาก็จะเป็นราคาพิเศษไป อย่างประทับ 2 ตรา 300 เยน ส่วนของกิน ก็จะราคาประมาณนี้ครับ แพงกว่าด้านล่างนิดหน่อย แต่ที่แพงหน่อยก็จะมีน้ำดื่ม ขวดประมาณ 1/2 ลิตร ตกขวดละ 500 เยน (ประมาณ 150 บาท) ด้านล่างจะประมาณแค่ 100 เยน

ในช่วงชั้น 7 – 8 จะมีที่พักระหว่างทาง ค่อนข้างถี่สุดแล้วครับ ตอนที่หาที่พักกันก็ดู ๆ ไว้อยู่ แต่ที่พักหลายที่เป็นภาษาญี่ปุ่นเพียว ๆ เลย ยากที่จะจองหน่อย


จากจุดนี้สังเกตเห็นที่พักก่อนหน้านี้ที่เราเพิ่งผ่านมา ดูเหมือนไม่ไกลเลยนะ แต่ด้วยความลำบากในการปีนเลยใช้เวลามากขึ้นนิดหน่อย และที่สังเกตอีกอย่างคือ หมอกด้านล่างเริ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ แล้ว

จะช้าไปกว่านี้คงไม่ดีแน่ ผมเองก็ไม่รู้ว่าหมอกมันจะลอยมาสูงแค่ไหน อยากปีนเขาโล่ง ๆ ไม่อยากปีนในหมอกอ่ะ แถมดูจำนวนคนแล้ว ก็ยังขึ้นมากันเรื่อย ๆ อีกด้วย


มองขึ้นไปแล้วดูเหมือนไม่ไกลครับ เราไปกันต่อเลยดีกว่า แผ่นพับที่เจ้าหน้าที่ให้มา ไม่ได้เอาออกมาดูเลยว่า ตรงไหนเป็นตรงไหน รู้อย่างเดียวว่าต้องขึ้นไปเรื่อย ๆ ครับ เพราะเราพักกันที่พักสุดท้าย


ถามว่าชันมั้ย ก็ไม่ถึงกับตั้งฉากหรือต้องใช้แรงแขนปีนกันขนาดนักปีนเขามืออาชีพ แต่บางช่วงก็มองคอตั้งกันเหมือนกันครับ ไม่มีต้องโหนตัวกัน อาศัยเหนี่ยวหิน เหนี่ยวเชือกกั้นทางอยู่นิดหน่อย แต่ต้องดูดี ๆ นะครับว่าเหนี่ยวได้มั้ย เวลาจับหินตอนที่ปีน รู้สึกได้ว่าอุณหภูมิของหินในตอนปีนตอนนี้ดูอุ่นแปลก ๆ….แต่คงไม่ใช่อย่างที่คิดหรอกมั้ง


ตรงนี้ก็เป็นอีกฮัทนึงครับชื่อว่า Kamaiwakan ระดับความสูง 2,790 m มาเห็นตัวเลขอีกทีหลังจากที่กลับมาแล้ว แล้วตกใจ แค่ 90 m เองเหรอ…ทำไมมันใช้เวลานานจัง


ตรงนี้เป็นอีกจุดนะครับ ไม่ใช่ตรง Kamaiwakan นะ เหนือขึ้นมาอีกนิดหน่อย แต่เห็นว่าเมฆลอยตัวสวยดี คิดเสียดายที่ไม่ได้เลือกพักแถวนี้อยู่เหมือนกัน ที่เห็นเป็นป้ายด้านข้าง ตรงนั้นเป็นห้องน้ำนะครับ ค่าใช้บริการ 200 เยนต่อครั้ง ห้องน้ำที่นี่ถึงแม้จะอยู่สูง แต่ก็สะอาดนะครับ แต่จะต้องเป็นที่ ๆ มีแม่บ้านคอยเก็บเงิน เพราะเค้าจะทำความสะอาดตลอด


ตอนนี้เราขึ้นมาถึงอีกฮัทนึงชือว่า “Torii-So 7th Station”….เรายังอยู่กันในระยะที่เรียกว่าชั้น 7 นะครับ จุดสังเกตคือ จะมีเสาโทริอิสีแดงอยู่เป็นประตูเลย ไม่ค่อยอยากเชื่อเหมือนกันว่าเราใช้เวลากันทั้งหมดเกือบ 2 ชม. ในการเดินจากจุดที่เราเจอที่พักอันแรก ประมาณบ่าย 3 โมงครึ่ง ถึงตรงนี้ประมาณ 5 โมงครึ่งเข้าไปแล้ว


จริง ๆ แล้วมองย้อนกลับไป เราก็ขึ้นมาได้สูงแล้วเหมือนกันนะ ณ ตอนนี้ก็ยังมีคนขึ้นมาเรื่อย ๆ ครับ ไม่รู้ว่าจะขึ้นไปพักกันที่ไหน เราไม่ใช่กลุ่มคนไทยกลุ่มเดียวที่ขึ้นมา ระหว่างทางเจอคนไทยอยู่เหมือนกัน มีบางคนพักที่เดียวกันด้วย


แล้วเราก็เดินต่อขึ้นมาครับ ตรงนี้เป็นอีกฮัทนึงชื่อว่า “Toyokan Inn” ระดับความสูงที่ 3,000 เมตร ตรงนี้เป็นฮัทที่เรามองเห็นครั้งแรก จากด้านล่างว่ามันอยู่บนสุดครับ

ตอนแรกกะจะถ่ายแค่บรรยากาศ แต่พอมองดูดี ๆ จุดขาว ๆ ด้านบนท้องฟ้ามันอะไรหว่า…..เฮ่ย นั้นมันพระจันทร์นี่ ขึ้นตั้งแต่ตอนนี้เลยเหรอ ดูแล้วยังไม่มีแววจะมืดเลยนี่ (มาดูเวลาหลังจากที่ลงมาแล้ว ตอนนั้นคือ 6 โมงเย็นจ้า….ฟ้าอย่างกับบ่าย 3 โมงเลย)


บางร้านตราประทับ จะไม่ใช้เหล็กเผาไฟละ เป็นแบบไฟฟ้ากันเลยทีเดียว


อัพเดตกันนิดนึงว่า ที่ผ่านมาเราเดินถึงไหนแล้ว ผ่านอะไรกันมาบ้าง


หลังจากนี้จะไม่ค่อยมีฮัทให้เห็นสักเท่าไหร่แล้วหล่ะ จะมีอีกทีที่ชั้น 8 เลย ซึ่งก็คือที่วงให้ดูนี่แหล่ะครับ (8.5 ตรูอยู่ตรงไหนเนี่ย….T_T)


ยังเป็นช่วงที่เรายังต้องปีนเขาขึ้นไปเรื่อย ๆ สำหรับตัวผม ยอมรับว่าหนักและเหนื่อยครับ เจ็บใจตัวเองที่ควรจะเตรียมตัวให้ดีกว่านี้ นานกว่านี้อีกหน่อย นี่ถ้าไม่ได้ฟิตมาก่อนสักพัก อาจจะขึ้นไปไม่ถึงเอาง่าย ๆ แน่เลย…

ตอนนี้ท้องฟ้ากำลังเป็นสีฟ้าที่เร่ิมย้อมด้วยสีเหลืองของแสงพระอาทิตย์ที่กำลังลดระดับลงเรื่อย ๆ ช่วงนี้เราจะต้องหามุมจุดพักกันเอาเองหล่ะครับ


ตลอดช่วงระยะที่ขึ้นมาจากภาพล่าสุด แสงอาทิตย์เริ่มหมดไวมาก แทบจะไม่ได้ถ่ายรูปเลย เรารู้ตัวกันแล้วหล่ะว่า “เราช้าไปแล้วนะ”

เวลาในขณะนี้ เป็นเวลาประมาณ 3 ทุ่ม ตอนนี้ต้องหวังไว้ที่น้อง ๆ 3 คนที่ล่วงหน้าเราไปก่อน ไปช่วยจัดการที่พักให้ก่อน กว่าจะมาถึงจุดที่เราวงเอาไว้ในภาพก่อนหน้านี้ ก็เล่นเอาหมดแสงกันเลยหล่ะ ต่อจากนี้ต้องงัดเอาไฟฉายติดหัวออกมาใช้กันหล่ะ ตรงนี้เรียกว่า “Mt.Fuji Eighth station Haku-un-so” ครับ


ถ้าถามว่าตอนนี้ถึงไหนแล้ว ตอนนั้นผมยังไม่รู้หรอกครับ เพราะเราไม่รู้ละว่าที่พักของเราคือตรงไหน มาดูในแผนที่หลังจากลงมาแล้ว ก็คือได้ครึ่งทางหล่ะครับ (ตำแหน่งที่พักของเรา ตรงรูปดาวสีเหลืองนะ)

ตอนนี้ทำได้อย่างเดียวคือ เดินขึ้นไปเรือย ๆ ยังดีที่หลังจากนี้ ทางเดินไม่ต้องปีนแบบที่ผ่านมา แต่เป็นทางเดินซิกแซก แต่ยอมรับว่า เดินพัก ๆ หยุด ๆ บ่อยขึ้น พยายามไม่ให้ Heart rate สูงเกิน แทบจะต้องกำหนดการหายใจระหว่างเดินเลยครับ เราตกลงกันไว้ว่า ถึงจะช้าแต่เอาชัวร์ครับ


ที่พักตรูอยู่ไหน..

ถึงตอนนี้ เราเริ่มไม่ค่อยเห็นใครตามขึ้นมาแล้วครับ น่าจะเหลืออยู่ไม่กี่คน เราน่าจะเป็นกลุ่มท้าย ๆ ของวันละ ไฟฉายติดหัวที่เราได้รับมาใช้ได้ดีทีเดียว เห็นดวงเล็ก ๆ อย่างนี้ สว่างใช้ได้เหมือนกันนะ มองทางได้เคลียร์อยู่เลย


ตรงนี้เป็นอีกฮัทนึงที่ไม่ไกลจากชั้นเมื่อกี้ครับ มีป้ายบอกความสูงเอาไว้ว่า ณ จุดนี้ สูง 3,250m แล้วนะ ตอนเรามาถึง เราก็คิดว่าตรงชั้นบนที่เห็นเป็นดวงไฟนั้น คือที่พักของเรา

แต่จริง ๆ ไม่ใช่นะ ตรงนั้นเป็นชั้นที่เรียกว่า 8th real station ที่พักของเราอยู่เหนือจากนี้ไปอีก (น่าจะที่เห็นเป็นไฟดวงเล็ก ๆ ด้านขวามือ ไกลลิบ ๆ โน่น ดูจากแผนที่ได้)


เราเดินออกมาได้สักพัก ก็มีกลุ่มคนญี่ปุ่นกลุ่มใหญ่เลย เดินตามมาครับ แอบเก็บภาพไว้ และรูปนี้ก็เป็นรูปสุดท้ายของวันแล้วครับ

หลังจากนี้ ก้มหน้าก้มตาเดินท่าเดียวเลย ในหัวไม่คิดอะไรแล้ว เดิน ๆ พัก ๆ เล่นเอากว่าจะถึงที่พัก เกือบ 5 ทุ่ม ไม่ได้ทำอะไรเลยครับ มาถึงทุกคนก็หลับหมดแล้ว ต้องสะกิดคนดูแลให้ลุกขึ้นมารับเรา (เค้าขึ้นป้ายไว้นะว่าถ้าจองที่พักเอาไว้ ให้สะกิดเรียกได้) แล้วเราก็ต้องรีบเข้านอนครับ เพราะตี 1 ครึ่ง เค้าก็จะปลุกแล้ว เพื่อเดินขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ด้านบนสุดในตอนตี 4


เช้านี้ที่รอคอย

พอถึงเวลาตี 1 ครึ่ง พนักงานก็เปิดไฟปลุกทุกคนให้ตื่นเพื่อเตรียมตัวพร้อมที่จะขึ้นไปที่ชั้น 10…

แต่คณะเราคุยกันเรียบร้อยแล้วครับว่า ขอนอนกันต่อ เพราะถ้าให้ปีนตอนนี้ไม่ไหวแน่ ขอชมพระอาทิตย์ขึนกันตรงนี้แล้วกัน

ระหว่างนั้นก็เร่ิมมีผู้ที่พักอยู่ด้านล่างเริ่มเดินขึ้นมากันแล้ว ถ้ามองจากในเมืองจะเป็นเป็นแสงไฟเป็นสายมุ่งสู่ยอดภูเขาไฟฟูจิเลย

แต่ก็ขอบอกตามตรงนะครับ พวกเราทำได้ก็แค่หลับตาเท่านั้นแหล่ะ ให้นอนก็นอนไม่หลับกันแล้ว เรียกว่านอนพักเอาแรงดีกว่า


ในเมื่อนอนก็นอนไม่หลับกันแล้ว ขอกินข้าวสักหน่อยดีกว่า เพราะพวกเรายังไม่ได้กินข้าวกันเลย ตั้งแต่เมื่อเย็นแล้ว ทางที่พักก็เลยจัดข้าวหน้าปลาแซลมอนมาให้พร้อมน้ำชาเชียวให้อีก 1 กล่อง ก็อาจจะเป็นเพราะหิวนะครับ ผมว่ามื้อนี้อร่อยเป็นพิเศษ (แต่เห็นเพื่อน ๆ บอกไม่ชอบ น่าจะเพราะซอสที่ราดข้าวออกเค็มนิด ๆ )


บางคนก็นอนไม่หลับก็คุยกันเบา ๆ จัดกระเป๋ากันให้เรียบร้อย เพราะเราจะไม่เดินย้อนกลับมาที่นี่แล้ว ต้องหิ้วเอาทุกอย่างไปต่อกันเลย ส่วนผมขอนอนเอาแรงระหว่างที่รอฟ้าสางพอจะออกไปเก็บภาพได้


พอมองเห็นอะไรได้จาง ๆ ก็ออกมารอแสงแรกกันหล่ะครับ แล้วก็เพิ่งได้เห็นอะไรชัด ๆ ขึ้นมาหน่อย

ทำให้มองเห็นระยะห่างระหว่างที่พักด้านบนกับเมืองด้านล่าง เห็นแล้วมันกินตาอยู่เหมือนกัน ดูเหมือนไม่ห่างกันมาก แต่จริง ๆ ห่างกันลิบเลยนะครับ


วันนี้เมฆเยอะเป็นพิเศษ ทำให้กว่าพระอาทิตย์จโผล่พ้นขอบฟ้าข้างหน้า เลยใช้เวลาพอสมควร แต่นาทีที่พระอาทิตย์กำลังจะลอยขึ้นมาเหนือก้อนเมฆที่ลอยตัวอยู่อย่างหนาข้างหน้าผม มันช่างสวยเสียจริง ๆ ความรู้สึกแบบนี้ ถ้าไม่มาเห็นเอง ก็คงนึกภาพไม่ออก มองแล้วตัวเมฆเหมือนภูเขาอยู่เหนือภูเขาอีกทีเหมือนกัน


พอนาฬิกาบอกเวลาประมาณตี 4 นิด ๆ แสงแรกก็ฉายแสงโผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมา

นักท่องเที่ยวหลายต่อหลายคน ก็รอดูพระอาทิตย์ที่นี่เหมือนกันครับ เพราะคงจะรู้แล้วว่า ขึ้นไปต่อก็คงไม่ทัน หลายคนก็หยิบกล้อง หยิบมือถือขึ้นมาถ่ายกันเป็นแถบ ๆ


หลายคนก็นั่งดื่มด่ำความรู้สึกตรงนี้กันพักใหญ่ ๆ ส่วนผมกับผองเพื่อน ก็เตรียมตัวจะไปต่อแล้วครับ เพราะถ้าเรายิ่งขึ้นช้า เราก็จะลงได้ช้าตามไปด้วย เดี๋ยวจะกลายเป็นเดินลงไม่ทันกันพอดี เพราะเราจะต้องเดินทางกลับให้ทันรถเที่ยวสุดท้ายที่จะไปที่ชินจูกุ


เส้นทางเดินขึ้นไปสู่ยอดเขา ยอมรับว่าก็ไม่ธรรมดาครับ คำว่ายิ่งสูงยิ่งหนาว นี่เชื่อเลย ขนาดมีถุงมือยังรู้สึกถึงความเย็นได้เลย

คนที่เดินขึ้นมาก็มีหยุดเดินเป็นพัก ๆ (ผมก็ด้วยแหล่ะ) พร้อมกับชมความงามตอนพระอาทิตย์ที่กำลังลอยตัวขึ้นไปเรื่อย ๆ

ระหว่างเดินขึ้นก็จะพบเห็นหลายคนที่มางีบเอาแรงตามจุดพัก สันนิษฐานว่า เดินขึ้นมาจากข้างล่างแต่เช้ามืด แล้วไปต่อไม่ไหว เลยนอนเอาแรงก่อน แต่ต้องเลือกจุดพักกันหน่อยนะครับ เพราะไม่ใช่จะพักได้ทุกจุดที่เราเห็น เพราะลมแรง ต้องหาแนวกันลมไปด้วย


ในขณะที่เรากำลังเดินขึ้น กลุ่มคนที่เค้าขึ้นกันไปตอนเช้ามืด ก็เริ่มเดินลงกันแล้วครับ จริง ๆ ก็อยากรู้เหมือนกันว่า ตอนพระอาทิตย์ขึ้น แล้วมองจากจุดบนสุดจะเป็นยังไง จะแตกต่างจากที่เราเห็นขนาดไหน


ระหว่างที่เดินไปพักไป ผมก็พอเข้าใจแล้วว่า ทำไมผู้คนหลายคนถึงพยายามที่จะเดินเท้าขึ้นมากันจัง มันเป็นมุมมองที่ไม่สามารถจินตานาการก่อนหน้านี้ได้เลยว่าจะเป็นยังไง ทุกครั้งที่มองก็จะได้ภาพที่เปลี่ยนไป เพราะกระแสลมจะทำให้เมฆเปลี่ยนไปทุกครั้งที่เรามองเห็น


พอมาถึงชั้น 9 เราจะเห็นว่ามีป้ายบอกนะครับ แต่บางคนอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำ จะมีเหมือนที่นั่งพักเล็ก ๆ อยู่ ดูไม่ออกว่าเรียกว่าชั้น 9 จากจุดนี้ให้ขึ้นไปอีก 400m จะถึงชั้นบนสุดกันหล่ะ


บอกตามตรงว่าการขึ้นตรงนี้ไม่ต่างจากการเดินขึ้นเมื่อวานเลย มันเดิน ๆ พัก ๆ ไปรายทาง ยิ่งสูงยิ่งหายใจลำบาก

และในขณะที่ยืนพักหอบกันอยู่ ก็มองเห็นว่ามีคนกำลังเดินขึ้นมา แต่สายตามทุกคู่มองตามกันเป็นแถว พอมาตรงที่ผมยืนอยู่ก็ถึงบางอ้อกันหล่ะ มีผู้หญิง เดินจูงน้องหมาพันธุ์ปอมเมอเรเนียน เดินต๊อก ๆ ขึ้นมา รู้สึกอายน้องหมานิด ๆ แต่เอาเหอะ…ผมยอม


เราสองคนตกลงกันไว้ว่า ถ้าเหนื่อยก็คือพัก จะพักบ่อยก็ไม่เป็นไร แต่เราต้องไปให้ถึง จริง ๆ แล้วมันก็ไม่ใช่ไม่ดีนะ เพราะบางทีวินาทีที่สวยงาม มันก็มาอยู่แว่บเดียว

เหมือนรูปนี้ที่ได้มา เพราะว่าผมพักนี่แหล่ะ ถ้ามัวแต่เดินไปเรื่อย ๆ ไม่สังเกตสิ่งรอบข้าง ก็คงพลาดที่จะได้ถ่ายรูปนี้


ผมกับเพื่อน ๆ ลงความเห็นกันว่าช่วงตั้งแต่ชั้น 8.5 มาถึง ชั้น 10 นี่แหล่ะ ที่หินใช่ย่อยเลย มีจุดที่ต้องใช้การปีนเขา หลายช่วงอยู่ เล่นเอาหมดแรงเหมือนกัน ก็อาศัยนั่งพักตามแนวหินเลยครับ แต่ต้องดูว่าจะไม่ขวางทางคนอื่นเค้าด้วยนะ


สิ่งที่บอกว่าเราเดินใกล้ถึงด้านบนแล้ว ก็คือเสาโทริอิหินสีขาว ที่เเหมือนเป็นประตูเพื่อขึ้นสู่ยอดที่ชั้น 10 หลายคนรวมถึงผม ก็แวะเก็บภาพกันตรงนี้กันด้วย

เป็นจุดที่เรียกว่าเกือบจะหมดแรงครับ ผมใช้เวลาในการเดินจากที่พักชั้น 8.5 มาถึงชั้นบนสุดนี้ประมาณ 3 ชม. ครับ คือเริ่มต้นออกจากที่พักประมาณ 4:30 มาถึงก็ประมาณ 7:30 ขาดเกินประมาณ 10 นาที


และแล้วในที่สุดผมกับศรีภรรยาก็มาถึงจุดด้านบนของภูเขาไฟฟูจิแล้ว ที่เราเรียกกันว่า ชั้น 10 เสาที่เห็นนี้จะตั้งอยู่โดดเด่น เดินขึ้นมาก็เจอเลย

แทบจะทุกคนที่จะต้องมาเก็บภาพคู่กับเสาตรงนี้ เป็นเสาที่อยู่ตรงด้านหน้าศูนย์นักท่องเที่ยวของชั้น 10 ครับ


สิ่งที่ยืนยันได้อีกอย่างหนึ่งว่าคุณได้ขึ้นมาที่นี่จริง ๆ คือ ตราประทับสีแดงอันนี้ที่ไม่เหมือนข้างล่าง เพราะจะใช้การพิมพ์หมึกสีแดงไปที่ไม้ ไม่ใช่การเผาไฟ สำหรับผมมันก็คงเหมือนกับประทับตราบอกเราว่า “คุณทำได้แล้วนะ”


เราสองคนมายืนเก็บภาพกันตรงริมทางเดินที่เราเห็นจากด้านล่างตลอด ว่ามีคนยืนอยู่ตรงนั้น เวลาที่มองขึ้นมาแล้วเห็นคนอยู่ ตอนเดินผมก็คิดว่าผมต้องมาถึงตรงนี้ให้ได้

มันเป็นความภูมิใจเล็ก ๆ ที่เราสองคนทำมันได้ ไม่คิดว่าจะทำกันได้ เพราะที่ดูจากหลาย ๆ คนที่เคยมาก็มีกลับลงไปเพราะมาไม่ถึงตรงนี้ ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศปิด หรือเพราะเหนื่อยเกินที่จะขึ้นไปต่อ

ในที่สุดผมก็ได้พาเมียผม มาถึงจุดสุดยอดของภูเขาไฟฟูจิจนได้ เหนื่อยยากแสนสาหัส จนเดิน ๆ พัก ๆ ยืนหอบกันมาตลอด แต่บอกเลย เธอเก่งมาก เพราะคนที่ยืนหอบแรงกว่า และแทบจะหมดแรงก่อนคือผม แต่พอได้มายืนอยู่ตรงนี้ ความตื่นเต้นดีใจมันทำให้ความเหนื่อยที่มีอยู่หายไปเลยครับ



หลังจากนั้นเราก็ตามหาเพื่อน ๆ ที่ล่วงหน้ากันมาก่อนครับ (คู่เราขึ้นถึงท้ายสุด) ก็อยู่ที่ร้านค้าที่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้นั่งพักด้านบนนี่แหล่ะ

ก็พักเหนื่อย กินน้ำกันสักพัก ก็ไปที่จุดหมายอีกจุดนึงที่เราต้องไปให้ได้ นั่นก็คือปากปล่องภูเขาไฟฟูจิ พอไปถึงก็มีเงิบกันเล็กน้อย ที่เห็นกันอยู่ไม่ใช่ไอน้ำจากปล่องนะครับ มันคือเมฆที่ไหลลงไปด้านล้าง และลอยขึ้นมาประทะหน้า กลายเป็นไอน้ำเย็น ๆ เลย ยิ่งกว่านั้นตอนที่ถ่ายรูป ด้วยความสว่างจ้าเกินของไอน้ำ ทำให้รูปออกมาสว่างเวอร์เลย ก็ยังสงสัยอยู่ว่า ทำไมไม่ลองหามุมถ่ายซ้ำนะ


เรายืนรอกันสักพักใหญ่ ๆ ก็ยังไม่มีท่าทีที่มันจะจางไปกว่านี้ มีแต่จางเป็นพัก ๆ แต่ก็ไม่ยาวพอให้เราได้เก็บรูปได้ ก็ต้องเตรียมตัวลงกันละครับ กลัวว่าถ้าช้าไปกว่านี้จะตกรถกัน เราต้องเดินลงกันรวดเดียวเลย โดยลงคนละเส้นทางที่ขึ้นมา


มาดูเส้นทางกลับของเราก่อนดีกว่า บอกเลยครับว่าก่อนหน้านี้ เราไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเส้นทางเดินกลับเป็นยังไง สนใจแต่เส้นทางเดินขึ้น แล้วก็ไม่มีใครบอกด้วยแหล่ะว่าตอนขากลับเป็นยังไง

ขากลับเราจะต้องเดินกลับเป็นระยะทางอีกประมาณ 5 กม. เป็นการเดินลงทางลาดโล่ง ๆ ครับ


วิวในตอนขาลงนี่ก็ไม่ใช่ย่อยครับ สวยใช้ได้เลย สีฟ้าใส ๆ ตัดกับเมฆสีขาว กับพื้นด้านล่างสีเขียว ในบางจังหวะที่ลมพัดจะเห็น ริ้วเมฆฟุ้งกระจายด้วย

บางทีก็แอบเสียวไม่กล้าเดินริม ๆ เหมือนกันนะ แต่ความกว้างก็กว้างพอควรเลย เพราะเส้นทางนี้ เค้ามีไว้ให้สำหรับรถของเจ้าหน้าที่ในการขนสัมภาระ อาหาร ขึ้นมาจากด้านล่างครับ เป็นรถตีนตะขาบขนาดเล็ก


เห็นแดดอย่างนี้ อากาศไม่ร้อนนะครับ ออกเย็นนิด ๆ ด้วยซ้ำ แต่พอเราเริ่มเดินลงไปเรื่อย ๆ อากาศก็เริ่มอุ่นขึ้นหล่ะ ผมเองก็ยังถอดเสื้อกันหนาวออกเลย (บอกเลยว่าพลาดมาก) เพราะการที่แดดแรงแต่ลมพัดมันทำเราไม่รู้สึกถึงความร้อน ผมถอดเสื้อนอกออก แล้วก็เดินท่ามกลางแดดเป็นเวลาหลายชั่วโมง มันก็เหมือนอาบแดดแรง ๆ ยังไงยังงั้นเลย กลับมาถึงเมืองไทยนี่ผิวลอกเลยครับ นานเหมือนกันกว่าจะหายดี


เราเดินลงมาถึงจุดที่เหมือนจุดเชื่อมของเส้นทางขึ้นกับลงที่ชั้น 8 ครับ เป็นจุดเดียวที่เราจะหาเสบียงได้ ไม่ว่าจะเป็นน้ำดื่ม หรืออาหาร (ตุนไปให้พอครับ เพราะจะได้ซื้อน้ำดื่มอีกทีก็ที่ สถานีรถบัสที่ชั้น 5 เลย)


ทางเดินลงเรียกได้ว่าค่อนข้างชันครับ เวลาเดินอาจจะดูเหมือนลื่นได้ง่าย แต่ถ้าลงส้นเท้าดี ๆ ก็จะไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าจะล้มก็ล้มไปเลยครับ เอาหลังที่มีเป้สัมภาระลงไปเลย (ขนาดระวังผมยังล้มเลย) สรุปวิธีที่ดีที่สุดคือเดินลงก้าวสั้น ๆ เอาส้นเท้าลง แล้วเดินไปเรื่อย ๆ อย่าหยุดจนกว่าจะถึงจุดหยุดพักจริง ๆ แล้วก็ระหว่างทางไม่มีร่มเงาให้พักนะครับ เพราะฉะนั้น อย่าหยุดพักอยู่ตรงไหนนานเกินไป


ระหว่างที่เรากำลังเดินลง ก็พบเจอ “นักแสวงบุญ” ตัวเป็น ๆ ครับ เดินกันเป็นคณะ ดูแล้วทึ่งมาก อุปกรณ์อะไรก็ไม่มีสักอย่าง รองเท้าก็เป็นแบบรองเท้าธรรมดา เดินกันตัวปลิวเลย แล้วก็เดินได้ไวมาก ถ้าเทียบพวกผมก็เหมือนรถไฟสายธรรมดาที่จอดทุกป้าย กับรถไฟชินคันเซ็นเลยก็ได้ครับ แป็บเดียวก็มองไม่เห็นหลังกันแล้ว


ตรงนี้เป็นจุดพักจุดแรก ถ้าเทียบกันก็ประมาณ ชั้นที่ 7 ครับ หลังจากที่เราเดินลงเขามาได้ระยะทางเกือบ 4 กม. เป็นจุดที่เป็นห้องน้ำสาธารณะ และหลังจากนี้ จะเป็นทางเดินต่อ แต่ไม่ใช่ระยะที่ชันเหมือนที่ผ่านมาแล้ว และจะเดินต่อไปตามทางจะไปเจอกับเส้นทางเดิมตรงชั้นที่ 6 (ตรงชั้นที่เหมือนสถานีตำรวจย่อม ๆ นั่นแหล่ะ)


จากนั้นพวกเราก็ใช้แรงเท่าที่ยังเหลือ เดินกันเพื่อไปให้ถึงชั้นที่ 5 ให้เร็วที่สุดครับ พอเดินกันถึง ตัวผมเองขอซัดน้ำก่อนเลย 2 ขวด พร้อมกับพักหายเหนือยกันได้แป็บนึง แป็บเดียวเท่านั้น เพราะเรามาได้เวลารถรอบสุดท้ายที่จะไปชินจูกุพอดิบพอดี ถือเป็นการปิดทริปได้อย่างเต็มที่จริง ๆ

ข้อแนะนำสำหรับผู้ที่จะต้องการไปปีนฟูจิ

  • ถ้าคุณเป็นคนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย เตรียมตัวให้พร้อมอย่างน้อย ๆ 2-3 เดือน ให้ออกกำลังให้อัตราการเต้นของหัวใจ (Heart rate) คงที่ พร้อมที่จะเหนื่อยได้ต่อเนื่อง
  • ในช่วงท้าย ๆ ของการออกกำลัง ให้ลองแบกสัมภาระไปด้วย จะช่วยให้ชินกับการเดินโดยมีสัมภาระ รวมไปถึงศึกษาวิธีการจัดเป้ให้เหมาะสม จะช่วยให้เราแบกเป้ได้ดีขึ้น
  • การหายใจด้านบนเขาให้หายใจให้ลึกและปล่อยลมหายใจให้เต็มปอด จะช่วยให้ไม่เหนื่อยง่าย และทำอย่างสม่ำเสมอไม่ว่าจะตอนเดินหรือพัก เพราะเมื่อเราขึ้นทีสูงขึ้น ความกดอากาศจะทำให้เราหายใจได้ไม่เต็มปอดอย่างไม่รู้ตัว
  • รองเท้าปีนเขาจำเป็นมากเพราะจะช่วยให้เราปีนเขา และลงเขาได้อย่างไม่มีปัญหา จนทำให้เกิดอุบัติเหตุ จนทำให้ลำบากระหว่างทาง
  • เสื้อผ้า ไม่จำเป็นต้องเอาไปเยอะ เพราะบางทีคุณอาจจะไม่มีเวลาในการเปลี่ยนมัน ให้ใช้อุปกรณ์ทำความสะอาดที่พกพาไปจะสะดวกกว่า (แนะนำ ทิชชูเปียก)
  • ถ้าเป็นไปได้ ควรจะมาพักที่เมืองคาวาคุจิโกะ แล้วมาปีนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะการจราจรที่ติดขัดทำให้เราปีนขึ้นสาย และไปเร่งทำเวลาจนเสียจังหวะในตอนท้าย ๆ
  • เครื่องดื่มบำรุงกำลังประเภทเจลลี่ เหมาะมากสำหรับการใช้ขณะเดินขึ้นเขา
  • เมื่อถึงยอดเขาแล้ว ในตอนที่จะต้องเดินลงเขา ให้ตุนอาหาร น้ำดื่ม ไว้ให้เต็มที่ เพราะจะไม่มีร้านค้าตามจุดพักเหมือนตอนขาขึ้นอีกแล้ว ถึงแม้ตรงชั้น 8 จะมี แต่มันก็ลำบากใช่ย่อย
  • ในขณะทีเดินลงให้ลงส้นเท้า แล้วค่อยก้าวอย่างสั้น ๆ แต่ไปเรื่อย ๆ เป็นวิธีที่ดีที่สุด

และสำหรับใครที่อยากได้ ใบประกาศ (Certificate) เค้าก็มีให้นะครับ แค่คุณส่งรูปที่คุณถ่ายไปให้ พร้อมระบุรายละเอียด พวกชื่อและวันที่ปีน ส่งไปที่ฟอร์ม online และจ่ายค่าธรรมเนียมในการทำใบประกาศ ผ่านธนาคารที่ญี่ปุ่นหรือ Paypal ก็เรียบร้อย รอรับได้เลย ประมาณ 1-2 อาทิตย์ ใบประกาศก็จะบินข้ามน้ำข้ามทะเลมาให้เราแล้ว ในรูปเป็นใบประกาศของน้องโป๊ะกับน้องแป้งนะครับ ได้มาแบบนี้เลย อ่อ…สำหรับใครที่ไปถึงแค่ชั้น 5 เค้าก็มีให้นะครับ เค้ามีให้เลือกประเภทตั้งแต่ตอนแรกเลยว่าจะเป็นคนที่ไปเที่ยวแค่ชั้นล่าง หรือคนที่ขึ้นไปถึงด้านบน


เข้าไปทำเรื่องขอใบประกาศ ได้ที่นี่นะครับ Japan Mt.Fuji Association Website URL คือ http://www.fujisan3776.com/index_en.html

เข้าใจว่าหลายคนที่อ่านมาตั้งแต่ต้นจนถึงตรงนี้ อาจจะคิดว่า

“ทำไมมันลำบากขนาดนี้ฟะ…แบบนี้จะขึ้นไปทำไม ข้างบนก็ไม่เห็นมีอะไรมากมายเลย”


ผมเคยได้ยินใครบางคนเคยบอกไว้ว่า

“บางทีสิ่งที่มีค่าที่สุดในการเดินทาง อาจจะไม่ใช่จุดหมายปลายทางที่เราไป แต่มันอาจจะเป็นมิตรภาพและประสบการณ์ระหว่างเดินทางก็ได้”


และผมได้พิสูจน์คำพูดนั้นแล้วด้วยตัวเอง และเชื่อว่ามันเป็นจริง เราอาจจะเห็นภาพถ่ายจากที่เค้าไปถ่ายมา มันสวย มันงดงาม แต่บางทีกว่าจะได้มา มันต้องผ่านความยากลำบากมาไม่มากก็น้อย พอได้มาเจอกับตัวแล้วจะยิ่งเข้าใจว่า สิ่งที่ได้รับกลับมา มันมากกว่าภาพถ่ายสวย ๆ ใบนึงมากมายนัก และรูปนี้ถือเป็นรูปที่ผมคิดว่า มีค่าที่สุดในการเดินทางครั้งนี้ครับ


ขอบคุณทุกคนที่ได้อ่านเรื่องราวในการเดินทางครั้งนี้ ไม่คิดเหมือนกันว่า การเดินทางประมาณ 2 วัน 1 คืนในการปีนภูเขาไฟฟูจิครั้งนี้ จะเขียนอะไรได้มากมายขนาดนี้

จริง ๆ แล้ว ต้องขอขอบคุณทุกคนที่ไปลำบากลำบนด้วยกันในทริปนี้ มันทำให้การเดินทางมันมีค่ามากเกินกว่าจะแค่ไปถึงจุดหมาย เพราะเราได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์อันมีค่านี้ด้วยกัน

และหวังว่าประสบการณ์การปีนภูเขาไฟฟูจิของเราและผองเพื่อน จะมีประโยชน์สำหรับคนที่อยากจะไปพิชิตยอดภูเขาไฟฟูจิ ยอดเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น และเป็นมรดกโลกที่ Unesco กำหนดไว้ให้เป็น UNESCO’s World Heritage List


ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านมาโดยตลอดนะครับ สำหรับใครที่มีข้อคิดเห็นหรืออยากสอบถามอะไรตรงไหน สามารถถามมาได้เลยนะครับ หรือสามารถติดตามการท่องเที่ยวของผมกันได้ที่แฟนเพจของผมที่

https://www.facebook.com/naisoop

หรือช่องทาง Social อื่น ๆ

Website : http://www.naisoop.com/

Instragram : https://instagram.com/naisoop

พบกันอีกทีในรีวิวหน้านะครับ

จูงมือกันเที่ยว by NaiSoop

 วันพุธที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 เวลา 15.25 น.

ความคิดเห็น