ทะเลบัวแดง….คือชื่อเรียกของบึงบัวขนาดใหญ่ มีดอกบัวนับหมื่นนับแสนดอก ถือเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นได้ง่าย ๆ และได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในทะเลสาบที่แปลกที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง ในช่วงนี้ก็อยู่ในฤดูกาลที่เหมาะสมที่จะไปชมความงามของความพิเศษนี้

แต่ในทริปนี้นอกจากทะเลบัวแดงที่ผมจะพาไปเที่ยวกันแล้ว ก็ยังมีแหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ ที่ผมได้ไปตระเวนเที่ยวอีก ใช้เวลาทั้งหมด 2 วัน 2 คืน ระยะทางโดยรวม 455 กิโลเมตร กับแหล่งท่องเที่ยวทั้งหมด 6 ที่ ทั้งในจังหวัดอุดรธานี และจังหวัดหนองคาย โดยเที่ยวเป็นลักษณะวงกลม ที่รับรองว่าไปได้ไม่ยากเลย

ข้อแนะนำในการรับชมรีวิวอันนี้ คือ รูปเยอะมากประมาณ 100 กว่ารูป สำหรับผู้ที่ดูผ่านมือถือ และเป็นแบบระบบเติมเงิน กรุณาหา WiFi ต่อซะก่อนนะครับ เดี๋ยวติด FUP (เน็ตหมด) จะลำบากนะครับ ว่าแล้วก็เริ่มกันเลยดีกว่า ตามมาติด ๆ เลยครับผมเดินทางในเย็นวันศุกร์ที่ 8 ม.ค. ครับ เพราะจะได้ไม่ต้องลางานทั้งวัน ด้วยความตั้งใจว่า เราไปถึงกันตอนค่ำเข้าที่พักและออกเดินทางไปทะเลบัวแดงตอนเช้าตรู่ โดยสายการบินไทยแอร์เอเชีย มีเที่ยวบินไปอุดรธานี 2 เที่ยวบิน ทั้งไปและกลับ คือในช่วงเช้าและช่วงเย็นของวัน เวลานี้ผมคิดว่าดีมากครับ ไม่ถึงกับดึกจนเกินไป


หลังจากที่เรามาถึงสนามบินดอนเมือง ก่อนเวลาพอสมควรก็มาทำการ Check-in ครับ ขอแนะนำสำหรับคนที่กำลังเดินทางช่วงนี้เลยนะว่า อาคารใหม่ Terminal 2 นี่ผมรู้สึกว่ายังไม่ลงตัวพอสมควร เผื่อเวลาไว้เยอะหน่อยก็ดีนะครับ สำหรับสายการบินแอร์เอเชียเคาน์เตอร์เช็คอินจะปิด 45 นาทีก่อนเครื่องออกนะครับ (ช่วงนี้เห็นคนตกเครื่องบ่อย ขอเน้นหน่อยแล้วกัน)

พอทุกอย่างเรียบร้อย ก็เดินไปรอขึ้นเครื่องครับที่เกท 41 คราวนี้พอถึงเวลาจริง ๆ ทางการท่าฯ น่าจะมีปัญหานิดหน่อย ทำให้สรุปว่าไม่ได้ขึ้นที่เกทนี้ครับ ย้ายเกท….นี่ถ้าไม่ได้มารอก่อนเวลา มัวแต่เดินเล่น เผลอ ๆ จะกลายเป็นประกาศ Final Call เป็นชื่อเราหล่ะยุ่งเลยนะ จริง ๆ อันนี้ตอนแรกกะจะไม่เล่านะ แต่เห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับหลาย ๆ คน ทางแอร์เอเชียก็ดีนะครับ ให้พนักงานมาคอยดักบอกที่เกทเก่า สุดท้ายก็ไปขึ้นบัสเกทแทนครับ

พอขึ้นเครื่องก็นั่งรัดเข็มขัดรอเวลาเครื่องออกกันหล่ะครับ หยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน ก็เห็นเลยครับ ภาพทะเลบัวแดงเต็ม 2 หน้ากระดาษเลย เราสามารถเอา Boarding Pass ของแอร์เอเชียไปใช้เป็นส่วนลดในการเดินทางไปชมทะเลบัวแดงได้นะครับ แต่ต้องเป็นการเดินทางกับสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยว จ.อุดรธานี โดยจะโดยสารรถมาจากในเมืองเพื่อมาลงที่ท่าเรือนี้ จากราคาคา 499 บาท เหลือแค่ 249 บาท ลดไป 50% เลยนะครับ ถ้าสนใจสามารถติดต่อสำรองที่นั่งได้ที่เบอร์ 094-526-3344 และถ้าเดินทางวันธรรมดา สามารถเอา Boarding Pass ไปรับของที่ระลึกได้ที่ทะเลบัวแดงเลยนะ (เสียดาย…ผมไปวันหยุดอ่ะ)

จริง ๆ แล้วผมชอบบินช่วงเย็นแบบนี้นะครับ เพราะมันมีโอกาสที่เราจะเห็นพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า จากบนเครื่องบินกันเลย ท้องฟ้าสีสวยดี

เครื่องขึ้นได้สักพักนึง ก็เสิร์ฟอาหารสำหรับผู้ที่สั่งจองไว้ครับ มื้อนี้ผมสั่งข้าวเหนียวไก่ย่างพร้อมกับข้าวเหนียวมะม่วงเป็นของหวานนะครับ และอยากบอกว่าสิทธิพิเศษสำหรับผู้ถือบัตรเครดิตธนาคารกรุงเทพฯ – แอร์เอเชีย สามารถแลกเครื่องดื่มร้อนหรือเย็นได้ 1 ที่นะครับ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงนิด ๆ ก็ถึงแล้วครับ สนามบินอุดรธานี


หลังจากรับกระเป๋าเสร็จเรียบร้อย ก็เดินทางเข้าที่พักครับ ผมพักที่โรงแรม Hop Inn อุดรธานี เพราะอยู่ไม่ไกลจากสนามบินมาก เป็น Budget Hotel ที่พักคืนละ 550 ครับ (โรงแรมเครือนี้มีหลายจังหวัด สนนราคาค่าที่พักประมาณ 500-600 บาทครับ) ถือว่าสะดวกสบายคุ้มราคามาก เพราะเราใช้เป็นที่พักกับเก็บสัมภาระระหว่างเที่ยวเท่านั้นเอง


ทะเลบัวแดง อ. กุมภวาปี จ. อุดรธานี

เราออกเดินทางกันตอนประมาณ 05.00 น. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30-45 นาทีครับ สภาพถนนวิ่งไปง่ายครับ ไม่ลำบากเลย ไปถึงประมาณ 6.10 น. ผมนึกว่าผมมาเช้าแล้วนะครับ แต่พอมาถึงก็มีนักท่องเที่ยวมากันบ้างแล้ว บางกลุ่มมากันเป็นรถตู้เลย ถามว่า…ทำไมมากันแต่เช้าตรู่เลย เพราะผมตั้งใจจะมาชมบรรยากาศตอนที่พระอาทิตย์กำลังจะขึ้นครับ และการมาชมดอกบัว มาสายไป บัวก็จะบานมากเกิน แถมร้อนอีกด้วย และถ้ามาสายเกินไป บัวก็จะหุบครับ เหลือแต่แทงยอดแหลม ๆ ขึ้นมาเท่านั้นเอง

เรือที่เราจะนั่งเพื่อชมทะเลบัวแดงจะมีอยู่ 2 แบบครับ เป็นเรือเล็ก กับเรือใหญ่ เรือเล็กเหมาะสำหรับผู้ที่มาจำนวนไม่มาก จะนั่งได้มากสุดแค่ 2 คนครับ สนนราคาก็คือ 100-150 บาท ราคาต่างกันที่ระยะครับ ส่วนเรือใหญ่จะนั่งได้ 10 คน หรือถ้ามากันน้อยแต่อยากนั่งเรือใหญ่ก็ได้นะ ก็เหมาไปเลย ราคาอยู่ที่ 300-500 โดยที่ขนาดเรือจะมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันก็คือ เรือเล็กจะสามารถเข้าไปใกล้ดอกบัวได้ใกล้กว่า เพราะสามารถเข้าไปได้ลึกกว่าพอสมควร แต่เรือใหญ่ก็จะมีความสะดวกสบายในการโดยสาร นั่งสบาย ๆ ไม่อึดอัด อันนี้ก็แล้วแต่จะเลือกเลยนะครับ

จะเริ่มขึ้นเรือประมาณ 6.30 ครับ ผมเลือกที่จำไปลำเล็กระยะไกลครับ เพราะมากันแค่ 2 คน และเรือก็ไม่ได้เล็กจนขยับไปไหนไม่ได้นะ บางทีใครสมดุลดี ๆ นี่ยืนได้เลย คุณลุงคนขับเรือบังคับเรือได้ดีมาก ล่องได้นิ่มเชียว จุดแรกที่คุณลุงจะพาไปก็คือไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน ดอกบัวตอนนี้ก็ค่อย ๆ บานทีละน้อยครับตามแสงพระอาทิตย์ที่กำลังมา คุณลุงว่า “ปีนี้หนาวไม่มาก ดอกบัวเลยขึ้นไม่ค่อยเยอะ" แต่ผมก็ถือว่าเยอะนะแต่แค่มันไม่ขึ้นกันจนแน่นเท่านั้นเอง พอถึงจุดก็ดับเครื่องจอดนิ่ง ๆ รอแสงแรกยามเช้ามา เสียดายอยู่นิดตรงที่วันนี้เมฆค่อนข้างเยอะไปหน่อย แต่ก็พอจะมองออกได้ว่าตอนนี้ดวงอาทิตย์อยู่ตรงไหน เราจอดเรือกันอยู่พักใหญ่ ผมก็ขอให้คุณลุงเลือนเรือเข้าใกล้ดอกบัวอีกนิดครับ อยากจะเก็บภาพใกล้ ๆ คุณลุงก็ใช้ไม้ค้ำค่อย ๆ ดันตัวเรือทีละนิด ตอนนี้รู้สึกสดชื่นมากเลยครับ ลมพัดแผ่ว ๆ รู้สึกคุ้มกับการมาลงเรือเช้านี้มาก

ระหว่างเก็บภาพไปเรื่อย ๆ รอพระอาทิตย์ขึ้น ผมก็คุยกับคุณลุงคนขับเรือเกี่ยวกับบริเวณที่คุณลุงจะพาไปบ้าง คุณลุงก็บอกว่า" เดี๋ยวจะพาไปตรงแปลงที่บัวเพิ่งจะขึ้นมาเมื่อ 3 วันที่แล้ว เป็นแปลงที่ดอกบัวขึ้นหนาอยู่" แต่ต้องเลือกระยะไกลนะครับ ถึงจะได้ไป ก็ดีใจซิครับ มาทั้งทีก็อยากเก็บภาพดอกบัวกอแน่น ๆ บ้าง คุยกันสักพัก ก็เริ่มเห็นแสงแดงเรื่อ ๆ มาละครับ คราวนี้ผมก็เล็งจังหวะกดมารัว ๆ เลย กลัวเก็บพระอาทิตย์ขึ้นเป็นไข่แดงไม่ได้ มองไปที่เรือลำอื่น ก็ยกกล้อง ยกมือถือถ่ายกันให้พรึ่บเลย

อยู่ตรงนี้กันนานพอควรเลยครับ ถ่ายรูปเก็บบรรยากาศรอบ ๆ ถามคุณลุงว่า มันจะขึ้นกว่านี้มั้ย ก็ได้คำตอบว่า ขึ้นนะครับ แต่จะขึ้นเต็มตอนไหน อันนี้ตอบลำบากอยู่ ต้องดูเป็นอาทิตย์ ๆ ไป แต่ที่ผมคำนวณไว้คร่าว ๆ น่าจะประมาณ เกือบปลายเดือน ม.ค.น่าจะขึ้นเยอะครับ

หลังจากนั้นคุณลุงก็พาล่องไปรอบ ๆ แต่จะให้หยุดตรงไหนก็บอกได้นะครับ ใจดีจริง ๆ มาแบบนี้ไม่ต้องรีบร้อนครับ ดื่มด่ำกับธรรมชาติ เพราะเราเองก็ไม่ได้เจอบรรยากาศแบบนี้บ่อย ๆ


ตอนนี้เรือของนักท่องเที่ยวก็เริ่มมาให้เห็นเยอะขึ้นแล้วครับ เราก็ล่องเรือต่อไปเรื่อย ๆ ยิ่งเข้าไปลึกขึ้นก็จะเห็นดอกบัวหนาตาขึ้นเรื่อย ๆ ในบางจังหวะก็จะเห็นนกกระยางบินเป็นฝูง ที่เห็นถี่ ๆ หน่อยก็นกนางแอ่น มาโฉบกินแมลงน้ำเวลาเรือวิ่งผ่าน แหม..แต่มันไวจริง ๆ เก็บภาพไม่ทันเลย ประกอบกับแสงยังไม่เยอะมาก ไม่เป็นไรครับ บางทีกล้องก็เก็บความประทับใจได้ไม่เท่ากับตาเห็นสักเท่าไหร่ มาเรื่อย ๆ ชิว ๆ ครับ

ขณะที่ล่องไปเรื่อย ๆ ก็ยังคิดเลยว่าอยากเห็นบรรยากาศแบบไหน ก็คิดอยู่ว่า ถ้าเจอชาวบ้าน มาจับปลาหรือมาเก็บบัวให้เห็นก็คงดี



ยังถามคุณลุงเลยว่า “แถวนี้ไม่มีใครมาจับปลาเหรอครับ หรือเค้าห้ามครับ?"

คุณลุงก็ยิ้ม ๆ แล้วก็ตอบกลับมาว่า “ถ้าลุงไม่ได้มาล่องเรือ ลุงก็จับเหมือนกันแหล่ะ เพราะลุงก็อาศัยที่นี่หาปลาเหมือนกัน"


แต่ก็เข้าใจว่าคงจะไม่ได้หาบริเวณนี้ เพราะเรือวิ่งไปวิ่งมาตลอด ระหว่างที่คุย ๆ กันอยู่ก็เห็นเรือลำนึงจอดอยู่ครับ น่าจะมาเก็บบัวหล่ะมั้ง บอกคุณลุงให้จอดแทบไม่ทัน มุมดีเลยครับ แสงอาทิตย์ทะลุผ่านเมฆมาเป็นสายบาง ๆ พอดี

บางคนมากันแค่ 2 คนแต่ก็อยากได้บรรยากาศสบาย ๆ ไม่อึดอัด นั่งเซลฟีกันอย่างมีความสุข ก็เห็นนั่งเรือใหญ่กันก็เยอะครับ ที่สำคัญ ไม่ได้มีแต่นักท่องเที่ยวจากกรุงเทพฯ เพียงอย่างเดียวนะ จากจังหวัดใกล้เคียงก็มา ฟังสำเนียงแล้วมันรู้เลย เว้าภาษาอีสานกันม่วนหลายเลย

แล้วเราก็ล่องเรือต่อไปเพื่อไปยังแปลงบัวใหม่ ที่ทางคุณลุงบอกว่า เพิ่งจะเปิดให้เข้าไปแค่ 3 วันที่ผ่านมาครับ ระหว่างทางเราจะมองเห็นเจดีย์อยู่ในระยะไกล ๆ มาหาข้อมูลอีกที เป็นเจดีย์ของวัดมหาธาตุเจติยาราม หรือวัดโนนธาตุ

สักพักเราก็มาถึงแปลงบัวแปลงใหม่ที่เพิ่งขึ้น ดอกบัวขึ้นกันหนาตากว่าบริเวณที่ผ่านมาครับ ถือว่าเยอะสุดที่เจอแล้วหล่ะ แต่ถ้าใครได้กลับไปหาข้อมูลเก่า ๆ จะเห็นได้ว่าจะขึ้นเยอะและหนากว่านี้มาก คนที่มาหลังจากที่ผมไปน่าจะได้เห็นภาพที่ละลานตามากกว่านี้


แล้วผมก็เหลือบไปเห็นดอกบัวอยู่ 2-3 ดอกที่แปลกว่าดอกอื่น เป็นดอกสีขาว ผมรีบให้คุณลุงพาเรือเข้าไปใกล้ ๆ เลย เป็นดอกสีขาวโคนกลีบเป็นสีขมพูอ่อน ๆ สอบถามกับคุณลุงว่ามีตรงไหนที่ดอกบัวสีขาวขึ้นเป็นกอ ๆ ใหญ่ ๆ บ้างมั้ย ก็ได้คำตอบว่า "ไม่มีจ้า" ธรรมดาดอกบัวสีขาวจะหายากมากในบรรดากลุ่มบัวสีชมพูแบบนี้ ถ้าใครได้ไปเห็น กรุณาอย่าทำให้ช้ำนะครับ เก็บไว้ให้เพื่อน ๆ ได้ดูบ้าง


อยู่ถ่ายรูปกันสักพักใหญ่ ๆ ก็เดินทางกลับเข้าฝั่งละครับ ธรรมดาแล้วจะใช้เวลาในการล่องเรือประมาณ 1 – 1.30 ชั่วโมง แต่คงจะเพราะผมอยู่ถ่ายรูปแต่ละจุดค่อนข้างนานหละครับ เวลาเลยใช้ไปเกือบ ๆ 2 ชม. แหน่ะ มารู้ตัวอีกทีก็ขึ้นฝั่งแล้ว อยากจะขอโทษคุณลุงจริง ๆ คุณลุงคนขับเรือก็น่ารักนะครับ ไม่ได้เร่งอะไรเลย คุณลุงจะไม่ออกเรือถ้าเราไม่ได้บอกให้ไปต่อ


พอเราขึ้นมาก็ขอเดินสำรวจบริเวณรอบ ๆ ซะหน่อย มีของกิน ของฝากให้ซื้อกันเพียบเลย เหมือนตลาดนัดย่อย ๆ เลยครับ มีทั้งข้าวจี่, ไก่ย่าง, หมูปิ้ง, ข้าวโพดปิ้ง, ไข่ปิ้ง หรือแม้กระทั่งส้มตำ (ใครสายแข็งเชิญได้เลย) เรียกว่าหิว ๆ มาก็หากินกันได้จนอิ่มเลยแหล่ะ


อันนี้ผมเห็นแล้วแปลกดีครับ ก็เลยถามว่ามันคืออะไร ก็ได้คำตอบว่ามันก็คล้าย ๆ น้ำตาลมะพร้าวครับ ก็คล้ายน้ำตาลปี๊บครับ แต่เป็นก้อนเล็ก ๆ ลองชิมแล้วก็หวานดีหอมนิด ๆ นะ


และผมก็ไม่พลาดที่จะเดินไปสักการะวัดมหาธาตุเทพจินดา หรือวัดบ้านเดียม ที่อยู่ในบริเวณใกล้ ๆ กันด้วย เอาฤกษ์เอาชัย ก่อนเดินทางกันต่อไป



มาถึงอุดรฯ ก็อยากจะหาอาหารเช้าในแบบที่คนแถวนี้ เค้ากินกันหน่อย ของกินที่ขึ้นชื่อของที่นี่ก็คือ “ชุดไข่กระทะ กับขนมปังสอดไส้ (บาแก็ต)" ร้านที่เล็งไว้ชื่อว่าร้าน “เอมโอช" ครับ ก็เลยจัดมาครับ ชุดนึง เป็นไข่กระทะพร้อมกับชาหรือกาแฟร้อนกับน้ำส้มแก้วนึง พร้อมกับขนมปังสอดไส้กุนเชียงกับหมูยอ หรือบาแก็ตมาคู่นึง ขอบอกเลยว่า อยากได้ร้านแบบนี้แถว ๆ ที่ทำงานจัง จะไปกินให้ทุกวันเลย


วัดป่าบ้านค้อ อ. บ้านผือ จ. อุดรธานี

ที่ต่อไป ที่เราจะไปกันคือ “วัดป่าบ้านค้อ" เป็นวัดที่อยู่ในระหว่างทางที่จะไปวัดป่าภูก้อนครับ วัดนี้ได้รับก่อตั้งขึ้นโดยการนำของ “พระอาจารย์ทูล ขิบปปญโญ" (ปัจจุบันมรณภาพแล้วเมื่อวันที่ 11 พ.ย. 2551 ) เป็นวัดที่เน้นในการปฏิบัติธรรม ภายในวัดมี พระมหาธาตุเจดีย์เฉลิมพระบารมีพระนวมินทร์ บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ที่ได้อัญเชิญมาจากศรีลังกา เสียดายอยู่นิดนึงตรงที่ตอนผมไป พระมหาธาตุเจดีย์กำลังบูรณะกันอยู่พอดี แต่ด้านในยังเปิดให้สักการะพระธาตุได้อยู่นะครับด้านในตกแต่งด้วยภาพวาดที่วิจิตรงดงาม ของทศชาติชาดกเรื่อง “พระมหาชนก" และ “พระเวสสันดร" อยู่บนผนังโดยรอบของพระมหาธาตุเจดีย์

ตรงกลางเป็นผอบทองคำในเจดีย์องค์เล็กที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ตั้งอยู่ตรงกลางพระธาตุเจดีย์ และเท่าที่อ่านจากประวัติ จะมีงานสรงน้ำพระบรมสารีริกธาตุช่วงเดือนมาฆมาส หรือเดือนกุมภาพันธ์ อีกด้วย

ในบริเวณด้านข้างมีรูปและหุ่นหมือน ของหลวงพ่อทูล อยู่ด้วย พระปัญญาพิศาลเถร หรือหลวงพ่อทูล เป็นพระที่มีประชาชนศรัทธาเลื่อมใสเป็นจำนวนมาก ปัจจุบันหลวงพ่อทูลได้มรณภาพแล้วโดยมีพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิตติยาภา เสด็จเป็นองค์ประธานในงานพระราชทานเพลิงศพเมื่อต้นปี 2552

ด้านนอกพระมหาธาตุเจดีย์ มีต้นพระศรีมหาโพธิ์ ปลูกอยู่ด้านข้าง ต้นศรีมหาโพธิ์นี้ รัฐบาลแห่งประเทศศรีลังกาได้แบ่งกิ่งพันธุ์มาจากเมืองอนุราธปุระ อันเป็นต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่พระภิกษุณีที่เป็นพระอรหันต์ได้ตอนกิ่งมาจากต้นโพธิ์ตรัสรู้ ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ เมืองพุทธคยา ประเทศอินเดีย เมื่อสองพันปีเศษที่ผ่านมา

นอกเหนือจากนี้ ภายในบริเวณวัดยังมี พิพิธภัณฑ์ของหลวงพ่อทูล ที่รวบรวมเก็บหนังสือ คำสอน และผลงานในทางพุทธศาสนาให้เยี่ยมชม แต่เนื่องจากเรามีเวลาไม่มาก เพราะต้องเดินทางต่อ เลยไม่ได้เข้าไปเยี่ยมชมครับวัดป่าภูก้อน อ. นายูง จ. อุดรธานี


วัดป่าภูก้อน อ. นายูง จ. อุดรธานี

หลังจากออกมาจากวัดป่าบ้านค้อแล้ว เราก็ไปต่ออีกประมาณ 90 กว่ากิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 1.30 ชั่วโมง เพื่อไปที่ พุทธอุทยานมหารุกขปาริชาติภูก้อน หรือวัดป่าภูก้อนครับ เห็นเส้นทางในแผนที่ดูคดเคี้ยวนะครับ แต่เดินทางสะดวก ถนนดีครับวิ่งได้สะดวกครับ สถานที่ผมไปสักการะเมื่อไปถึงคือ พระวิหารพระพุทธไสยาสน์โลกนาถศาสดามหามุนี ตรงจุดนี้ มีเวลาให้เยี่ยมชมแค่ประมาณ 5 โมงเย็นนะครับ ใครจะมาให้เผื่อเวลาไว้ด้วย

ด้านในประดิษฐาน พระพุทธไสยยาสน์หินอ่อนขาว ขนาดใหญ่ ยาว 20 เมตร ใช้ระยะเวลาการสร้าง 6 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549-2555

ตัววัดห้อมล้อมไปด้วยภูเขาและต้นไม้ ทำให้ดูร่มรื่น ในผืนป่าด้านล่างได้เห็นต้นไม้ที่มีใบออกสีแดง ๆ แซมกับต้นไม้สีเขียว ทำให้คิดถึงใบไม้เปลี่ยนสีของต่างประเทศเหมือนกันนะ แต่เข้าใจว่าน่าจะเป็นเพราะฝุ่นทรายที่โดนพัดขึ้นมามากกว่า แต่ก็ดูสวยแปลกตาดี ผมใช้เวลาไม่นานนักหรอกครับ หลังจากสักการะพระพุทธไสยาสน์แล้ว ก็เดินเก็บภาพรอบ ๆ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พระอาทิตย์กำลังจะหลบเข้าเหลี่ยมเขาแล้ว พอดีกับบรรดาญาติโยมที่มาไหว้พระก็กำลังเดินทางกลับกันพอดี เอาไว้ครั้งหน้าถ้ามีโอกาสจะมาทั้งวันเลย เพราะบริเวณโดยรอบของวัดค่อยข้างสงบและล้อมรอบไปด้วยธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์มาก

เมื่อเดินทางออกจากวัดแล้ว ผมก็มุ่งหน้าไปยัง อ. สังคม จ. หนองคายครับ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อเข้าที่พัก วันนี้ผมจองที่พักไว้ที่ “ปูเป้เรือนไม้ไทย รีสอร์ท" เป็นรีสอร์ทที่ตั้งอยู่ริมน้ำโขงเลย แต่เหมือนจะแขกจะเข้าพักเต็มช่วงนี้ ผมเลยได้ห้องที่เป็นห้องพักโซนใหม่ เป็นอาคาร แต่อยู่ชั้น 3 ไม่ได้เห็นวิวน้ำโขงสักเท่าไหร่ ห้องพักราคาคืนละ 500 บาท และมีอาหารเช้าให้ด้วย

หลังจากเก็บของเสร็จเรียบร้อย ก็ไปหาข้าวเย็นกินกันหล่ะ มาริมน้ำโขงทั้งที ก็ต้องมาลองของกินของเด็ดของที่นี่กันสักหน่อย เมนูทีว่าก็คือ “ปลาแม่น้ำโขง" ครับ ร้านที่เลือกเอาไว้ชื่อว่าร้าน “ทานตะวัน" เป็นร้านอาหารและบาร์ ตั้งอยู่ริมน้ำโขงเหมือนกัน

เมนูที่สั่งก็มี ต้มยำปลาบึก, ปลาชังผัดฉ่า แล้วก็เป็ดทอดสมุนไพร ร้านนี้ของสด และรสชาติอร่อยครับ แต่สำหรับใครที่ไม่ชอบทานปลา อาจจะรู้สึกรำคาญกลิ่นของเนื้อปลาบึกหน่อย เพราะยังมีกลิ่นคาวปลาจาง ๆ (ผมเคยไปกินที่จังหวัดอื่นนะ แต่เค้าขจัดกลิ่นคาวปลาได้มากกว่านี้)


ภูห้วยอีสัน อ. สังคม จ. หนองคาย

เราเดินทางออกจากที่พักกันตอน 5.30 น. เพื่อไปที่ครัวไม้น้ำ เพื่อไปนั่งรถ “อีแต๊ก" พาหนะที่จะพาเราขึ้นไปที่ภูห้วยอีสัน รถอีแต๊ก เป็นรถที่มีที่นั่งอยู่ทางด้านหลังและด้านหน้าของคนขับ ใช้เครื่องยนต์รถแทร็กเตอร์ในการขับเคลื่อน ค่าโดยสารคนละ 60 บาทครับ

และก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกันว่า รถคันเล็ก ๆ อย่างนี้ จะบรรทุกคน 5-6 คนแล้วพาขึ้นทางชันประมาณ 30 องศาได้ บอกตามตรงเลยว่าแอบเสียว นั่งรถมาได้สักประมาณ 20 นาทีก็มาถึงจุดชมวิวภูห้วยอีสันแล้วครับ มีนักท่องเที่ยวมาเยอะเลย

บริเวณภูห้วยอีสันนี้ เป็นจุดที่เราจะเห็นพื้นที่ของฝั่งไทยกับฝั่งลาว โดยมีแม้น้ำโขงกั้น เป็นจุดชมวิวที่มีทะเลหมอกเกิดขึ้นถ้าสภาพอากาศเอื้ออำนวย

ผมยังแอบหวังในใจลึก ๆ เพราะเมื่อคืนมีฝนตกปรอย ๆ ลงมาแล้วก็หยุด ยังคิดว่าน่าจะมีโอกาสได้เห็นทะเลหมอกซะหน่อย แต่เหมือนฟ้าไม่เป็นใจเท่าไหร่นะ มาแต่หมอกจาง ๆ ลอยเอื่อย ๆ มาเล็กน้อย ก่อนพระอาทิตย์จะขึ้นมาเต็มที่ น่าจะเป็นเพราะอากาศไม่เย็นพอจะให้เกิดทะเลหมอกได้ แต่ดูดี ๆ แล้ว ก็เป็นทัศนียภาพที่สวยงามไปอีกแบบนึงนะครับ รู้สึกได้ถึงความสดชื่นดี

เหมือนเป็นที่นิยม สำหรับคนหนุ่มสาวเหมือนกันนะครับ สำหรับจุดนี้ เราใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เก็บภาพและบรรยากาศ หลังจากนั้นก็เข้าแถวรอรถในขาลง ขาลงนี่แอบเสียวเหมือนกันครับ เพราะทางลาดชัน แถมดูแล้วถนนก็น่าจะร่วนอยู่ ยิ่งเสียงเบรคที่คนขับเหยียบ นี่ก็ดังเสียดหู นึกว่าช้างมาร้องใกล้ ๆ เลย

พอเราลงมาถึงด้านล่างแล้ว ก็จะกลับเข้าที่พักครับ แต่ถึงที่พักจะมีอาหารเช้าให้ แต่เราก็อยากลองหาอะไรอร่อย ๆ กินกันตอนเช้านี้ ลองหาข้อมูลดูก็ไปเจอร้าน “ข้าวเปียกเส้น" ที่ไม่มีแม้กระทั่งป้ายชื่อ เอาครับลองดูคิดว่าไม่น่าเสียหายนะ ร้านนี้หาไม่ยากแล้วก็ไม่ง่ายครับ ต้องขับรถชลอ ๆ หน่อย ร้านตั้งอยู่ข้าง ๆ ศูนย์จำหน่ายรถจักรยานยนต์ ตัวร้านเป็นห้องแถวไม้ 2 ชั้น

ที่นั่งในร้านมีจำกัดครับ แต่ก็ได้นั่งแทรกกับแขกโต๊ะอื่น อบอุ่นทีเดียว แป็บเดียวก็ได้ครับ ข้าวเปียกพิเศษ ใส่ไข่ด้วย ข้าวเปียกของที่นี่จะใช้เป็นเส้นที่แม่ค้านวดเส้นเองครับ ข้อแนะนำการมากินร้านนี้นะครับ ให้ค่อย ๆ ใส่เครื่องปรุงแล้วชิม ระวังพริกเผาด้วยครับ เผ็ดมากกกก…ขนาดตอนเช้าอากาศเย็น ๆ แต่เล่นเอาผมเหงื่อซึมได้เลย

และพอคิดเงินแล้ว ยิ่งตกใจใหญ่…ข้าวเปียกพิเศษใส่ไข่ ชามละ 25 บาท อร่อยแล้วก็ยังถูกอีก มิน่าคนถึงเข้าคิวทั้งกินที่ร้าน ทั้งสั่งกลับบ้านด้วย มื้อนี้แนะนำครับ ถ้ามีโอกาสได้ผ่านมาทางนี้


วัดผาตากเสื้อ อ. สังคม จ. หนองคาย

หลังจากที่เราจัดการมื้อเช้าเรียบร้อย ก็กลับเข้าที่พักเพื่อเก็บของกลับกันหล่ะ แต่ระหว่างทางกลับ ยังมีที่ให้แวะอยู่อีกนิดหน่อย ที่แรกที่จะไปคือ “วัดผาตากเสื้อ" ครับ ก่อนหน้านี้ชื่อวัดถ้ำพระ เป็นวัดที่มีทิวทัศน์สวยงามมาก บริเวณด้านบนของวัดเป็นจุดชมวิวแม่น้ำโขงที่สวยที่สุดแห่งหนึ่ง เราสามารถเห็นแม่น้ำโขงไหลมาบรรจบกันเป็นตัว Y ครับ

จุดแรก เราขึ้นไปไหว้พระที่พระอุโบสถด้านบนกันด้านบนก่อนครับ เดินเข้าไปตามบันไดทางเดินพญานาคได้เลย ภายในอุโบสถมีพระประทาน และพระสารีริกธาตุ

พอลงมาจากพระอุโบสถ ก็เดินมาบริเวณหอระฆัง จะได้เห็นวิวทิวทัศน์ของแม่น้ำโขงจากมุมสูง ที่สวยแปลกตา ที่เหมือนแม่น้ำรูปตัว Y อย่างที่บอกไว้ด้านบน โดยที่ข้าง ๆ กำลังมีการก่อสร้างกันอยู่ เห็นยึดเสาเข็มกันหลายต้นสอบถามก็ได้ความว่า ทางจังหวัดกำลังมีโครงการจะทำเป็นทางเดินกระจก (คล้าย ๆ ที่จีน) ขนาด 9 x 9 เมตร ตรงริมผาครับ คราวนี้ได้เสียวกันบ้างหล่ะ มีรูปทางเดินเวลาแล้วเสร็จแล้วให้ดูด้วยครับ

จริง ๆ แล้วก่อนถึงวัดจะมีอยู่จุดนึง ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นที่นั่งมองวิวได้สวยครับ เพราะเห็นทัศนียภาพได้ชัดเจนกว่าด้านบน เข้าใจว่าน่าจะทำเอาไว้สำหรับมานั่งดูพระอาทิตย์ตกด้วยซ้ำนะ จากมุมนี้จะเห็นถนนใน อ. สังคม ตลอดเส้นเลย (รีสอร์ทที่พัก เป็นอาคารหลังสีเหลืองในภาพแหล่ะครับ)


วัดอรัญบรรพต อ. ศรีเชียงใหม่ จ. หนองคาย

จริง ๆ แล้ววัดนี้ไม่ได้อยู่ในแพลนนะครับ แต่ในระหว่างทางกลับ ขณะขับรถอยู่ ก็เห็นเจดีย์ตั้งตระหง่ายพ้นยอดไม้มาให้เห็นแต่ไกลเลย เท่านั้นแหล่ะ ผมเลยชะลอรถเพื่อดูว่าที่ตรงนี้คืออะไร สักพักก็เห็นป้ายทางเข้าหน้าวัด

มาขอบอกข้อมูลเบื้องต้นหลังจากที่ได้ค้นหามานะครับว่า วัดนี้มีความเป็นมายังไง วัดอรัญบรรพต วัดแห่งนี้เป็นวัดที่ก่อสร้างโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเพื่อถวายหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ เกจิอาจารย์ที่มีศิษยานุศิษย์มากมาย มีชื่อเสียงด้านวิปัสสนา ซึ่งปัจจุบันได้มรณภาพแล้วเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2548 ภายในวัดมีพื้นที่กว้างขวาง เมื่อเข้ามาด้านในจะเจอกับ มณฑปหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ มณฑปทรงจตุรมุขมีทางขึ้นลงรอบด้าน ทั้งหมดสร้างด้วยกระจกใสมองเห็นภายในได้ชัดเจน ซึ่งจะมีรูปเหมือนขณะยืนของหลวงปู่เหรียญอยู่ภายใน

หลังจากนั้นก็เดินต่อมาอีกนิดจะพบกับ พระสุธรรมเจดีย์วัดอรัญญบรรพต เจดีย์องค์ใหญ่ที่ผมเห็นเมื่อกี้ด้านในจะมีพระประธาน และหุ่นเหมือนของหลวงปู่เหรียญ

และในด้านข้าง ๆ ของพระประธาน จะมีตู้กระจกที่มี แท่นเล็ก ๆ วางเรียงรายกันเต็มไปหมด เป็นแทนที่วาง พระสารีริกธาตุ รวมไปถึงอัฐิของพระเกจิอาจารย์ ชื่อดัง ไม่ว่าจะเป็นหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี แห่งวัดหินหมากเป้ง หรือเส้นผมของหลวงปู่แหวน สุจิณโณ

หลังจากนั้นพวกเราก็เดินทางกลับเข้าตัวเมืองอุดรฯ กันหล่ะครับ ถือเป็นการจบทริปเยือนเมืองอุดรฯ-หนองคาย ครั้งนี้ครับ ขอออกความคิดเห็นส่วนตัวสักเล็กน้อยเกี่ยวกับความประทับใจในทริปนี้นะครับ



ทะเลบัวแดง อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี

จากที่เคยเห็นภาพที่ดอกบัวแน่นขนัด เต็มไปทุกพื้นที่ มาครั้งนี้ผมพลาดไปหน่อย เพราะสภาพอากาศที่ค่อนข้างไม่แน่นอน ตอนที่ผมไปอุณหภูมิประมาณ 20 องศา ในตอนรุ่งเช้านะครับ (ที่เคยรู้มาว่ามันเย็นกว่านี้) แต่คิดว่าหลังจากช่วงที่ผมไปแล้ว ดอกบัวน่าจะขึ้นอีกเยอะครับ และดูท่าทางกอเก่า ก็ยังไม่โรยด้วย เช็คอากาศดี ๆ ครับ ถ้าเริ่มเย็นลงอีกมาเยอะแน่ครับปีนี้ เพราะแปลงบัวจะเริ่มบานเป็นแปลง ๆ ไป



วัดป่าภูก้อน

ศาสนสถานที่ ถ้าได้มาเที่ยวอุดรฯ แล้วอยากให้ลองไปสักการะสักครั้งครับ เหมาะมากสำหรับที่ใครจะมาวิปัสนากรรมฐาน เพราะสภาพแวดล้อมที่สงบร่มรื่น



ภูห้วยอีสัน อ. สังคม จ.หนองคาย

เสียดายที่ไม่ได้เจอทะเลหมอก ที่เยอะจนกลบแม่น้ำโขงให้หายไปทั้งสายน้ำ แต่ทัศนียภาพที่เห็นก็ไม่ได้ทำให้ถึงกับผิดหวังครับ แต่ก็แอบเสียใจนิด ๆ ที่ถ่ายทอดออกมาให้สวยเหมือนอย่างที่เห็นไม่ได้เต็มที่



ทริปนี้ต้องขอขอบคุณ ทางสายการบิน ไทยแอร์เอเชีย ที่อำนวยความสะดวกในการเดินทางมาที่อุดรธานี ได้เป็นอย่างดี

ขอฝากภาพมุมนี้ไว้ด้วยนะครับ ถ้าเพื่อน ๆ ได้ไปเที่ยวตอนทะเลบัวแดงขึ้นกันเต็ม ๆ ฝากถ่ายแบบนี้มาให้ดูสักภาพนะครับ ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านมาถึงตรงนี้ (ขอโทษด้วยที่รีวิวยาวมาก ๆ อีกแล้ว จะบอกว่าถ้าจะให้ยาวกว่านี้ยังได้ครับ แต่กลัวจะเบื่อกันไปก่อน)


อยากฝากทุกคนไว้สักนิดนึงนะครับ

"การออกไปเที่ยว ไม่ใช่แค่การพักผ่อน แต่มันคือการออกไปเจอโลกกว้าง

ถ้าคุณทำได้แค่อ่าน สุดท้ายมันก็จะกลายเป็นแค่เรื่องเล่า

เก็บกระเป๋า แล้วออกเดินทางกัน... Life is journey"



ขอบคุณ ทุกคนที่ติดตามอ่านมาโดยตลอดนะครับ สำหรับใครที่มีข้อคิดเห็นหรืออยากสอบถามอะไรตรงไหน สามารถถามมาได้เลยนะครับ หรือสามารถติดตามการท่องเที่ยวของผมกันได้ที่แฟนเพจของผมที่

https://www.facebook.com/naisoop

หรือช่องทาง Social อื่น ๆ

Website : http://www.naisoop.com/

flickr : https://www.flickr.com/photos/soopphoto/

Instragram : https://instagram.com/naisoop


พบกันอีกทีในรีวิวหน้านะครับ

จูงมือกันเที่ยว by NaiSoop

 วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2559 เวลา 00.03 น.

ความคิดเห็น