หลายที่ที่เคยไปแล้ว เราอาจจะมีโอกาสกลับไปอีกครั้ง ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ได้วางแผนไว้ แต่การได้กลับไปในที่เดิมๆ ความรู้สึกที่ได้อาจจะไม่เหมือนเดิมก็ได้ ทั้งการเดินทางและคนที่ไปด้วย ก็จะทำให้เราได้พบเจอกับอะไรที่ต่างกันอยู่ดี ฉะนั้นการกลับไปที่ที่เคยไปแค่เราวางความคาดหวังครั้งก่อนๆ ไว้ ก็พอ แล้วจะทำให้เรามีความสุขกับการเดินทางครั้งใหม่ แต่จุดหมายเดิม

แค่พูดว่าไปเที่ยว หลายคนคงเป็นเหมือนเรา หัวใจมักจะพองโตทุกครั้ง ยิ่งได้เห็นรูปจากที่ต่างๆ สวย งดงามแตกต่างกันไป มันยิ่งเป็นตัวกระตุ้นให้อยากออกเดินทาง และเราก็ทำแบบนั้นมาหลายปี ออกเดินทางท่องเที่ยว เก็บความทรงจำผ่านภาพถ่ายเหมือนคนอื่นๆ แต่ก็มีหลายต่อหลายครั้ง ที่เราเลือกไปกับกลุ่มคนที่ทำประโยชน์ต่อธรรมชาติ ในหลายๆ ด้าน ทำให้ทริปหลังๆ ของพวกเรามักจะมีกิจกรรมเข้ามาในระหว่างทริปด้วย ได้เที่ยวแถมได้ทำดี สนุกไปอีกแบบ

“เรา คิด ว่า เรา ค้น พบ แนว ทาง ของ เราแล้ว”
“อา สา เที่ยว แค่ อยาก ให้ คน ไป เที่ยว ได้ อะไร มาก กว่า แค่ ไป เที่ยว”

จุดหมายการนัดพบครั้งนี้ก็เหมือนกับครั้งก่อนๆ เพราะเป็นจุดหมายที่นัดกันน่าจะง่ายสุด และสะดวกสุดสำหรับหลายๆ คน เพราะสามารถมารถไฟฟ้าได้ ไม่ต้องไปลุ้น ฟันฝ่ากับการจราจรที่ติดขัดอยู่ทุกวี่วันบนท้องถนน โดยเฉพาะเย็นวันศุกร์แบบนี้ เพราะเราทุกคนรู้เป็นอย่างดีว่าวันนี้ มักจะติดเป็นสองเท่า และครั้งนี้เมย์ก็มาถึงจุดหมายเป็นคนแรก ที่บิ๊กซีสะพานควาย การนั่งรถไฟฟ้ามา ไม่ต้องลุ้นเรื่องรถติดให้หงุดหงิด และมาถึงก่อนเวลาเสียด้วยซ้ำ วันนี้ผู้คนที่บิ๊กซีดูแน่นไปหมด สวุ่นวานทั้งคนที่มาซื้อของ กินข้าว และนักเดินทางอีกหลากหลายกลุ่ม กว่าจะได้ที่นั่งก็ต้องรอ เดินวนไปมาแต่ไม่นานเท่าไร กลุ่มเที่ยวกลุ่มอื่นๆ ที่นัดเจอกันที่นี่เช่นกันก็ทยอยออกไปบ้างแล้ว โต๊ะนั่งโต๊ะไม้ยาวที่เรามักจะมานั่งประจำเวลานัดที่นี่ก็ว่าง เมย์ก็รีบเดินไปจองทันที วางของเรียบร้อย เดินหาของกินรอสมาชิก ซึ่งร้านก๋วยเตี๋ยวสุโขทัยก็กลายเป็นร้านประจำไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ รู้แต่ว่ามาที่นี่จะต้องกิน บะหมี่เกี๊ยวแห้งพิเศษต้มยำไม่ใส่ถั่วบด กากหมูอร่อย และเมย์ก็ไม่ปรุงเพิ่มเลย กินกับซุปร้อนๆ เลิศ!!! ก๋วยเตี๋ยวหมดชามสมาชิกก็ทยอยกันมาทีละคนสองคน ซึ่งที่นี่ก็ยังเต็มไปด้วยผู้คนที่แบกเป้เข้ามาอยู่เรื่อยๆ แต่กลุ่มราก็ยังไม่ได้ออกเดินทางเพราะต้องรอรถตู้ที่ยังมาไม่ถึง เพราะรถติดมากอีกเช่นเคย กว่าจะฝ่าฟันรถบนท้องถนนจนมาถึงจุดนัดได้ก็เลยเวลามามากพอสมควร พร้อมกับหัวหน้าทริปที่มาถึงก็ขอโทษทุกคนก่อนเลย แต่ทุกคนก็เข้าใจและเดินไปขึ้นรถที่จอดอยู่ด้านข้างเรียบร้อยและพร้อมออกเดินทาง ซึ่งเราต้องแวะรับสมาชิกอีก 3 คน ที่รออยู่ระหว่างทางด้วย ก่อนที่จะนั่งรถยาวๆ ไปเรื่อยๆ ด้วยสมาชิก 9 คน

หลังจากนี้ก็หลับกันยาว เก็บแรงเพื่อพรุ่งนี้เดินขึ้นม่อนจองแบบหน้าตาสดใสๆ เหรอ? เพราะทุกครั้งที่เดินทางและตองหลับบนรถก็มักจะหลับๆ ตื่นๆ ตลอด ไม่ว่ารถจะขับดีแค่ไหนก็ตาม แต่เป็นคนหลับยาก อิจฉาคนที่หลับที่ไหนก็ได้จริงๆ เลย แสงไฟริมทางที่ผ่านมาให้เห็นเป็นระยะๆ นั่งนับกันไปประหนึ่งคิดว่าเป็นแกะแล้วกัน แต่สุดท้ายก็ไม่หลับอยู่ดี มีเผลอวูบๆ ไปบ้างบางช่วง คอตกไปบ้างบางเวลา แต่การนั่งหลับก็ไม่ได้สบายสักเท่าไร แต่แล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองเผลอหลับไปตอนไหน และนานแค่ไหนแล้ว รู้สึกตัวอีกทีรถก็กำลังเข้าไปที่ไหนสักแห่ง และจอด เพื่อรับคนสุดท้ายของทริปนี้ แถวๆ ลำปาง

ซึ่งกว่าจะถึงก็เลยเวลานัดมานานพอสมควร จนน้องที่รอคิดว่าเกิดอะไรที่ไม่ดีขึ้น โทรเช็คใหญ่เลย เรามาถึงตอนช่วงตี 3 น่าจะได้ซึ่งหลายคนยังหลับอยู่ ตอนนี้สมาชิกครบ 10 คนแล้ว หลังจากนี้ก็ยิงยาวไปจนถึงอำเภอฮอดและแวะที่ตลาดสดเพื่อซื้อของที่ยังขาด ซึ่งก็สายมากพอสมควร ร้านค้าหลายร้านเริ่มปิดไปละ กว่าเราจะหาร้านกินข้าวเช้าและสั่งข้าวห่อมื้อเที่ยงได้ครบ แดดก็เริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ ดูเวลาก็สายเกินกว่าแผนที่วางไว้มากละ เรารีบขึ้นรถเพื่อไปยังที่ทำการหน่วยพิทักษ์ป่ามูเซอเรามาถึงที่นี่เที่ยงกว่าได้ ก็พุ่งตรงไปติดต่อลงทะเบียนเรื่องลูกหาบกับเจ้าหน้าที่ที่เราติดต่อมาล่วงหน้าก่อนแล้ว 2 เดือน และติดต่อเน้นย้ำ!!! เรื่องขอเจ้าหน้าที่บ่อยมาก แม้แต่วันเดินทางก่อนมาถึงก็โทรบอกว่าเดินทางอยู่ แต่สุดท้ายเจ้าหน้าที่จุดนี้ก็ให้แค่ลงชื่อวันเดินขึ้นและเดินลง ซึ่งเราเจอหัวหน้าหน่วยพิทักษ์ป่ามูเซออยู่ด้วย เราก็เลยสอบถามได้ความว่าที่นี่มีจุดลงทะเบียน 2 จุด และส่วนที่เราโทรไปจองน่าจะอยู่ด้านใน อ้าว!!! ทำไมตอนที่เราโทรไปคุยกะจุดนั้นถึงไม่มีใครอธิบายเรื่องนี้ และเมย์ก็เข้าใจมาตลอดว่าที่เมย์โทรหาคือจุดนี้ เพราะเคยมาครั้งแรกก็รู้จักที่นี่ที่เดียว ต่อไปถ้าจะกลับมาที่นี่จะโทรหาพี่สมบัติ หัวหน้าหน่วยพิทักษ์ป่ามูเซอโดยตรงเลยดีกว่า 085 708 7441

ตอนนี้รู้เลยว่าหน้าเราออกอาการงงๆ และไม่ชอบการจัดการของที่นี่เข้าละ แต่ก็พยายามระงับอารมณ์ให้มีสติที่สุด หลังจากลงทะเบียน และจ่ายค่าเข้าคนละ 20 บาท กับค่าเต็นท์หลังละ 50 บาท ซึ่งปีนี้เป็นปีแรกที่เก็บค่าบริการทั้งสองอย่าง พี่สมบัติหารถโฟร์วิลให้เรา แต่บอกให้ไปติดต่อลูกหาบอีกทีข้างใน จากนั้นเมย์ก็เดินไปจัดของด้วยอารมณ์ที่รู้ว่าไม่ดีนัก จุดนี้สามารถอาบน้ำได้ แต่เราแค่ล้างหน้าแปรงฟัน เปลี่ยนชุดเพื่อเตรียมตัวขึ้นรถกระบะก็พอ หลายคนที่เสร็จแล้ว ก็ทยอยกินข้าวเที่ยง จนทุกคนกินอิ่มแล้ว ในขณะที่เราช่วยกันขนของขึ้นรถกระบะพร้อมกับบทสนทนา และฌออาอยู่นั้น เจ้าหน้าที่ผู้หญิงที่เราไปลงชื่อก็บอกว่าถ้าเสร็จก็เดินทางกันเลยนะเดี๋ยวจะไปไม่ทันด่านปิด เขาปิดตอนบ่าย 2 เราหันไปมองตามเสียงที่ดังมา หน้าเหวอๆ พร้อมกับก้มดูนาฬิกาทันที เย้ย!! เหลืออีกแค่ 10 นาที!!! จะบ่ายสอง แล้วทำไมถึงไม่บอกตั้งแต่ตอนลงชื่อให้พวกหนูรู้หน่อยละคะ ไม่เข้าใจเลย ทำให้เรารีบๆ ขนของ และรีบกระโดดขึ้นกระบะทันที รีบๆ ทุกสิ่ง เฮ่ออออออ

รถค่อยๆ ขับตามทางไปเรื่อยๆ ช้าๆ ผ่านหมู่บ้านจนไปถึงศูนย์บริการท่องเที่ยวดอยม่อนจอง โดยชุมชนบ้านมูเซอปากทาง เราก็ลงไปติดต่อเรื่องลูกหาบอีกครั้ง สุดท้ายสติที่พยายามตั้งมาก็หลุดตรงนี้ เมื่อได้ยินคำตอบว่าลูกหาบไม่มี เจ้าหน้าที่ก็หมด อ้าว!!! จองมาแล้วนะ ติดต่อโทรเน้นย้ำมาตลอด ในขณะที่เราเกิดคำถามมากมาย คนที่รับเรื่องจุดนี้ก็ไม่มีคำอธิบายอะไรเลย นอกจากจะให้เซ็นต์ชื่อเข้าอย่างเดียวเลย ก็เลยถามเขาว่าที่นี่จำกัดคนขึ้นใช่ไหมคะ ครั้งก่อนบอกว่า 200 คน ได้ยินเสียงตอบกลับมาแบบห้วนๆ ว่า ใช่ค่ะ ซึ่งวันนี้เต็มที่ยังไงก็ไม่ถึง โห!!! บอกเลยว่ามันจี๊ด มั่นใจได้ยังไง เพราะรถตู้จอดกันแน่นขนาดนี้ ถ้ามีเวลามาเช็คชื่อคนที่ลงชื่อขึ้นก็คงจะดี แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะคนรับเรื่องก็ดูจะไม่สนใจอะไรนอกจากจะชงแต่กาแฟ ถามกลับไปว่าตอนที่โทรมาใครเป็นคนรับสายคะ เงียบไม่มีคำตอบ ไม่มีใครมองหน้า นี่ไม่ได้ถามหาเรื่องอะไรเลยนะ อยากรู้ว่าที่โทรมาจองคือมีการจดบันทึกอะไรรึเปล่า แล้วที่บอกว่าขอเจ้าหน้าที่ไปทำไมถึงไม่ได้คะ แจ้งมาแล้วนะคะว่านอน 2 คืน เขาสวนกลับมาอย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่ก็นั่งอยู่นี่ก็ถามสิคะ ปี๊ด!!! บอกเลยว่ามาก สวนกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่น่ารักเช่นกัน ก็โทรบอกแล้วและก็รับปากแล้ว แต่นี่ที่พูดเมื่อกี่คืออะไรคะ ลูกหาบก็ไม่ได้เตรียมไว้ให้ บอกว่าใครมาก่อนลูกหาบก็ไปก่อน นี่คือการจัดการเหรอคะ แล้วจะมีการโทรจองล่วงหน้าไว้เพื่ออะไร ไร้ซึ่งคำตอบ ยังคงชงกาแฟต่อ และไม่สนใจเสียด้วยซ้ำ 555 นี่ตกลงฉันมาโวยวายเมื่ออะไร เพราะสุดท้ายไม่ได้อะไรเลย สมาชิกเริ่มมาตามเพราะถ้าไม่ไปตอนนี้ด่านปิด ทุกอย่างอาจจะแย่กว่านี้ เราเดินกลับไปขึ้นรถกระบะ พร้อมกับลูกหาบที่เดินตามมาจากทางไหนไม่รู้ เป็นลุงแก่ๆ ตัวเล็กๆ 1 คน และผู้หญิงอีก 1 คน เลือกไม่ได้ไม่เอาก็ต้องแบกเอง ฉันทำได้เพีบงยิ้มรับอ่อนๆ

เรานั่งเบียดกันไปบนกระบะ รถก็ขับไปตามทางที่เต็มไปด้วยฝุ่น จนถึงจุดหยุดตรวจตรงด่าน เราก็ถามพี่ที่ตรวจบัตรเรานะว่ามีคนไปก่อนหน้านี้เยอะไหม เขาก็ตอบด้วยน้ำเสียงธรรมดาว่า วันนี้น่าจะ 3-4 ร้อยได้นะ อ้าว อ้าว อ้าว แบบนี้ก็เกินจำนวนที่กำหนดสิคะ เงียบ ไม่มีคำตอบใดๆ สุดท้ายก็เหมือนพูดออกมาลอยๆ อีกแล้ว จากตรงนี้ไปถึงจุดเริ่มเดินระยะทางประมาณ 15 กิโลเมตร แรกๆ ก็ยังเป็นถนนคอนกรีต แต่ก็แคบมาก เพียงไม่นาน ทางก็จะกลายเป็นทางดิน ทั้งโค้ง ทั้งหลุม ทั้งบ่อ เรานั่งโยกเยก เอนเอียงไปตามสภาพถนน ฝุ่นกระจายฟุ้งดีที่เราเตรียมการมาดีพอสมควร หลายคนนั่งไปละ แต่หลายคนก็สนุกกับการได้ยืนมองวิวที่จะเจอข้างหน้า ซึ่งไม่ว่าจะนั่งหรือจะยืนก็ปวดมือ ปวดแขนไปตามๆ กัน แม้ระยะทางไม่ไกลแต่สภาพถนนขนาดนี้เราต้องอยู่บนรถนานกว่า 1 ชั่วโมง

จนในที่สุดก็มาถึงลานจอดรถ จากจุดนี้เราต้องเดิน 4.5 กิโล ใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมง อยู่ที่การเดินของแต่ละคน เราช่วยกันขนของลงจากรถ และของกลางทั้งหมดถูกวางอยู่ตรงหน้า ลูกหาบผู้หญิงหยิบก่อน และเลือกเฉพาะอันที่เบาๆ ไม่หยิบเต็นท์ไปสักอัน จนของเต็มตะกร้าละก็เดินออกไปด้านข้าง เราก็ไปลองยกดูน้ำหนักเบากว่ากระเป๋าเราซะอีกแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ยิ้มมุมปากเบาๆ ส่วนลุงผู้ชายก็มาหยิบต่อ เอาเต็นท์ยัดๆ วางๆ ทั้งหมด 5 เต็นท์ และของที่เหลืออีกเพียบพยายามจะใส่ตะกร้าให้หมด ซึ่งเราเห็นก็รู้ว่ายังไงก็ไม่ไหว บอกหลายครั้งว่าเอาไปเท่าที่ได้ แต่ลุงแกก็ไม่ฟัง อัดไปจนล้น พอยกก็รู้ว่ายังไงก็ไม่รอด ลอยจากพื้นได้นิดเดียว แต่ก็ยังจะฝืนไม่ยอมเอาของออก รีบยกตะกร้าทุลักทุเลหนีไปอีกมุม ของที่เหลือบางส่วนเราก็พยายามแบ่งกระจายๆ ให้เท่าๆ กัน ไม่ให้ใครหนักเกินกว่าจะแบกไหว

กลุ่มเราเริ่มทยอยเดินไปเรื่อยๆ ช่วงแรกก็ยังเดินเกาะกลุ่มกันไป เพราะเป็นทางขึ้น และชัน ค่อยๆ ไป ค่อยๆ เดิน ซึ่งพอเราเดินไปจนพ้นเนินและเริ่มเจอทางลง สวนกับคนเดินกลับเป็นระยะๆ จนเจอลูกหาบคนหนึ่งเดินสวนกันเราก็เลยถามว่ารับหาบของขึ้นอีกไหม อยากได้คนเพิ่ม ซึ่งพี่เขาก็ตกลงแต่ขอไปส่งนักท่องเที่ยวกลุ่มที่เขาดูแลก่อนที่จุดจอดรถ โอ๊คก็เดินตามไปด้วย เพราะลุงลูกหาบกลุ่มเราก็ยังไม่เดินมาเหมือนกัน เรารออยู่ตรงนี้นานพอสมควร เมย์ก็เลยบอกให้ทุกคนเดินนำไปก่อน ไม่นานทั้งสามคนก็เดินมาถึง แต่พี่ลูกหาบคนที่เราจ้างต่อเขาบอกยังไม่ได้กินข้าวก็เลยให้พี่เขานั่งกินและแบ่งของใหม่ เพื่อไม่ให้ลุงคนแรกแบกหนักเกินไป เมย์ก็เลยออกเดินมาก่อนและคิดว่าจะตามให้ทันกลุ่มหน้า ทั้งเดินเร็วและวิ่งก็ยังไม่ทัน เป็นช่วงเวลาที่พยายามเร่งสปีดสุดๆ เพราะจะให้รอกลุ่มหลังก็กลัวจะนาน บรรยากาศเงียบ วังเวงทุกครั้งที่ต้องเดินคนเดียวไม่อยากหยุดอยู่กับที่ก็เลยพยายามแข็งใจเดินไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็เห็นว่าอยู่ข้างหน้าไม่ไกลและได้ยินเสียงคุยกัน ก็ยิ่งเร่งเดินมากกว่าเดิมอีกหลายเท่า ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันไม่ได้เร็วขึ้นเลย ขามันล้าเพราะฝืนมากเกินไป พอรู้สึกว่าไม่น่าทันก็เลยตะโกนเรียกคนข้างหน้า ซึ่งก็ดูเหมือนว่าไม่เป็นผล ไม่มีใครตอบรับ แต่เรากลับได้ยินเสียงฝั่งนั้นชัดมาก คุนกันตลอด ทิศทางลมน่าจะพัดมาทางเราทำให้เราได้ยินแต่เขาไม่ได้ยิน เดินไปด้วย สลับตะโกนเรียกเป็นครั้งคราว จนในที่สุดก็เดินมาใกล้จนทุกคนเห็นและได้ยินเสียงเราสักที ทุกคนก็เลยหยุดรอเพื่อเดินไปพร้อมๆ กัน เราค่อยๆ เดินกันไปเรื่อยๆ เพราะทางยังคงเป็นทางขึ้น เมื่อไรจะทางลง หรือทางเรียบสักที

และแล้วเราก็มองเห็นภูหินช่อ ที่ตั้งโดดเด่นอยู่ระหว่างทางและตอนนี้ก็เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว ถ้าจะเบียดขึ้นไปก็น่าจะหวาดเสียวเกินไป เพราะพื้นที่ข้างบนค่อนข้างจำกัด เราก็เลยเดินผ่านจุดนี้ไปก่อนขากลับค่อยแวะอีกที ซึ่งหลังจากที่ผ่านจุดนี้ไปได้ก็เหมือนเดินเข้าป่าอีกครั้ง แต่ทางไม่ได้ชันมาก รอบๆ มีต้นไม้ใหญ่ปกคลุมจนมองไม่เห็นท้องฟ้าแล้ว ทางที่เดินก็ต้องใช้ความระมัดระวังค่อนข้างมาก เพราะเป็นทางเดินแคบๆ เลียบริมเขาไปเรื่อยๆ เป็นดินร่วนๆ ในบางช่วง เราใช้เวลาเดินอยู่ที่นี่นานพอสมควร และเริ่มทิ้งห่างกันแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม

จนในที่สุดก็มาโผล่มาถึงจุดทางขึ้นดอยหมาหอบ หรือดอยวัดใจ แต่ก็เคยได้ยินบางคนเรียกเนินสไลเดอร์ ที่มีความชัน 60 องศา ที่ไม่ว่าจะเรียกอะไรเราก็เข้าใจตรงกันว่ามันต้องใช้เวลาเดินขึ้นค่อนข้างมาก เพราะทางขึ้นเดินช้าทุกคน พอมาถึงจุดนี้ทุกคนทำเหมือนกันเป็นอย่างแรกเลย คือแหงนหน้าหยุดก่อนแล้วมองจุดหมายที่ต้องเดินขึ้นไป สูดหายใจลึกๆ จากนั้นก็ค่อยๆ ทยอยเดินตามกันขึ้นไปทีละคน แม้ว่าทางที่เดินขึ้นจะเลี้ยวซ้ายบ้างขวาบ้างแต่ทุกอย่างก้าวคือทางขึ้น และชันสุดๆ ค่อยๆ ก้าว ค่อยๆ เดินช้าๆ ก้มหน้ามองพื้นน่าจะดีที่สุด จะได้ไม่รู้สึกว่ามันชันและยังอีกไกล แต่บางคนก็เดินแบบรวดเดียวจบนะก็อยู่ที่บุคคล ซึ่งมันไม่ใช่เราแน่ๆ เราไม่รีบ ที่สำคัญตรงนี้มีสัญญานเน็ตยิ่งทำให้หลายคนยิ่งเดินช้าลงไปอีก เหนื่อยก็เหนื่อยนะ แต่ขออัพรูปสวยๆ ของที่นี่ให้คนที่ไม่ได้มาเห็น แดดไม่ร้อน ลมพัดอ่อนๆ ความเหนื่อยไม่ได้มีผลมากในตอนนี้ เพราะความมุ่งมั่นมีมากกว่า อยู่ไม่ไก ลแค่อึดใจเดียว

ตอนนี้กลุ่มเราทยอยเดินตามกันขึ้นมาจนครบแล้ว จุดที่ชันที่สุดก็ผ่านไปได้ด้วยดี แม้ว่าตอนเดินขึ้นจะทั้งเหนื่อยทั้งหอบ แต่มันกลับและหายเหนื่อยไปได้ในทันที ที่มาหยุดยืนอยู่จุดนี้ วิวรอบๆ ตัวเรา มันเป็นของรางวัลในความพยามยามและอดทนของพวกเราในการเดินขึ้นมาถึงที่นี่จนได้ บรรยากาศช่วง 5 โมงเย็นแบบนี้เพิ่งได้สัมผัสครั้งแรก ปกติช่วงเวลานี้จะเดินใกล้ถึงที่พักแล้ว แต่ครั้งนี้อย่างที่รู้ๆ ทุกอย่างผิดเวลาไปหมดทำให้เราได้สัมผัสจุดนี้ในช่วงเวลาที่ต่างกัน ซึ่งก็สวยไปอีกแบบ แสงแดดเริ่มอ่อนแรงลงทุกที ทุกอย่างดูชิว สบาย ยิ่งทำให้เราไม่ได้เร่งรีบที่จะเดินเพื่อไปให้ถึงจุดหมายมากนัก แม้ว่าจะเป็นระยะทางที่ยังต้องเดินอีกไกลพอสมควร แต่การเดินตามสันเขาในช่วงเวลานี้ทำให้รู้สึกดี

แต่เราก็ยังคงเดินไปเรื่อยๆ หยุดดูวิวบ้าง ถ่ายรูปกันเป็นระยะๆ จนถึงจุดที่สามารถมองเห็นหัวสิงห์ได้แล้วเราก็เลือกเดินไปหยุดจับจองหามุมใครมุมมัน เพื่อเก็บภาพผ่านการถ่ายรูปและบันทึกให้อยู่ในความทรงจำ เป็นมุมที่เราสามารถมองเห็นสันเขาทอดยาวดึงสายตาเราให้มองตามไปจนสิ้นสุดที่หัวสิงห์ ซึ่งเป็นอีกมุมที่เต็มไปด้วยผู้คนที่มารอเก็บภาพแสงเย็นจากมุมนี้ บรรยากาศมันชิวดีจริงๆ นะ เมย์ถึงขั้นทิ้งตัวทิ้งเป้ลงนั่งถ่ายรูปเลย ซึ่งหลายคนก็ทิ้งเป้แล้วเช่นกัน ตอนนี้ไม่มีใครสนใจเรืองที่พักเลย วิวขนาดนี้เป็นใครก็ต้องหยุด

พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว เราก็เริ่มเดินตามลูกหาบที่เดินนำไปก่อนหน้านี้เช่นกัน จนถึงสนามกอล์ฟช้างที่เห็นโป่งดินอยู่ข้างหน้า ตอนนี้ตรงนั้นเต็มไปด้วยเต็นท์ที่กางไว้จำนวนมาก ซึ่งในนั้นก็เป็นของกลุ่มเราด้วย จากการถามลูกหาบบอกว่าตรงที่จุดกางเต็นท์ข้างล่างเต็มและเบียดมาก จะให้เราเดินกลับไปตรงจุดกางเต็นท์อีกจุดข้างล่างที่เราผ่านมาก็คงไม่ทันแน่ เพราะแสงพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว เกิดอาการเซ็งๆ เล็กน้อย เนี่ย!!! ก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่คิดไว้เช่นกันว่ามันอาจจะเกิดขึ้น รู้นะว่าตรงนี้ไม่ควรกางเต็นท์นอนอย่างแรกเลยคือเป็นจุดที่โดนลมเต็มๆ แต่ก็จะให้ทำไงลูกหาบกางให้เรียบร้อย ข้างล่างก็ไม่ว่าง เจ้าหน้าที่ที่ขึ้นมาก่อนหน้านี้เห็นรึเปล่า เราไม่รู้ เรารู้แต่เพียงว่า เรา ยัง ไม่ เจอ เจ้า หน้า ที่ บน นี้ สัก คน เลย ผู้คนที่เดินไปหัวสิงห์ทยอยเดินกลับมาเป็นแถวๆ แสงทไวไลท์มา เงาผู้คนที่เดินตรงสันเขาเป็นอีกจุดที่เรามักจะเห็นคนเก็บภาพมุมนี้มา หลากหลายอิริยาบท เราก็เช่นกัน แม้ว่าในใจจะหงุดหงิดเรื่องที่กางเต็นท์ก็ตาม

ตอนนี้เต็นท์กลุ่มเรากางจนครบแล้ว และพวกเราก็ช่วยกันทำมื้อเย็นต่อ ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นจัดจนควันออกจากปาก ลมพัดแรง แบบไม่มีที่ท่าว่าจะลดละหรือเบาลงเลย อุปกรณ์กันหนาว เสื้อหนาๆ ผ้าพันคอ ถุงมือ ถูกหยิบออกมาใช้เรียบร้อย ออฟชั่นแต่ละคนพร้อมป้องกันความหนาวอย่างเต็มที่

กับข้าวง่ายๆ อย่างยำปลากระป๋อง ไข่เจียว และกุนเชียงทอดถูกนำมาวางเรียบร้อยแล้วเรานั่งล้อมวงกินข้าวด้วยกันจนอิ่มท่ามกลางลมที่ยังคงพัดแรง หลังจากที่อิ่มแล้วเราก็นั่งคุยกันอีกสักพัก บางคนแยกไปถ่ายดาวข้างบนแล้ว ส่วนเมย์ก็ว่าจะนอนดูดาวเพลินๆ สักหน่อย สุดท้ายก็ถอดใจ เพราะยิ่งดึกน้ำค้างยิ่งแรง ก็เลยทำให้เข้านอนกันตั้งแต่หัวค่ำ ทำให้ดึกๆ ต้องลุกมาฉี่ท่ามกลางดวงดาวที่ระยิบระยับอยู่เต็มท้องฟ้า เผลอแหงนมองไปพักหนึ่ง สุดท้ายก็สู้ลมไม่ไหวจริงๆ พัดมาแรงเกิน พอกลับเข้าไปนอนอีกครั้งกว่าจะหลับได้ก็ต้องใช้เวลานานเลย เพราะมีอุปสรรคจากผิวขรุขระตรงที่เรานอน บวกกับพื้นเต็นท์เย็นมาก แม้ว่าจะใส่เสื้อกันหนาว ถุงมือถุงเท้า และอยู่ในถุงนอนก็ตาม

เช้าวันรุ่งขึ้นเวลาตี 5 กว่าๆ ผู้คนทยอยตื่นและได้ยินเสียงคนคุยกันผ่านเต็นท์ไปหลายกลุ่มละ แต่สมาชิกกลุ่มเรายังคงนิ่งสนิท ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เมย์เปิดหน้าต่างเต็นท์ดูสภาพข้างนอกพอเห็นหมอกขาวโพลนเต็มไปหมด ก็เลยตัดสินใจนอนต่อสักพัก พอ 6 โมง สมาชิกเราก็ตื่นและหลายคนออกมาจากเต็นท์ แต่ยังคงคุยและดูลังเลกันอยู่ว่า ไป ไมไป ไป ไม่ไป สุดท้ายก็มีกลุ่มหนึ่งที่ตัดสินใจไป ส่วนที่เหลือเลือกที่จะไม่ไปและอยู่เพื่อเตรียมทำอาหารเช้ารออยู่ที่เต็นท์ และเป็นช่วงเวลาที่เราเห็นหลายต่อหลายกลุ่มเก็บเต็นท์เพื่อเตรียมเดินลงจากม่อนจองแล้วเช่นกัน เพราะส่วนใหญ่ผู้คนที่มาที่นี่มักจะนอนแค่คืนเดียว

หมอกยังคงหนามาก อยู่ห่างกันหนึ่งช่วงแขนก็แทบจะมองไปเห็นละ ส่วนลมก็ยังคงแรง อากาศหนาวและเย็นมาก ควันออกปากตลอดเวลาที่พูดกัน ชอบฟิวแบบนี้จริงๆ เลย หนาวนะแต่ก็ยังไหว เราช่วยกันทำกับข้าวเสร็จแล้ว ฟ้าก็เริ่มสว่างขึ้นแล้วเช่นกันแต่ยังเต็มไปด้วยหมอกขาวฟุ้งไปหมด เรายังคงเห็นผู้คนทยอยเดินเพื่อลงจากม่อนจองเป็นระยะๆ สลับกับคนที่เดินมาจากหัวสิงห์เรื่อยๆ แต่กลุ่มเราส่วนที่เดินไปข้างบนก็ยังไม่กลับมา ส่วนคนที่รออยู่เริ่มหิว จนรอไม่ไหว ท้องเริ่มร้องก็เลยกินข้าวเช้ารอไปพลางๆ

พี่ลูกหาบผู้ชายสองคนที่เราจ้างมาขอลงไปส่งนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นเพราะเมื่อวานลูกหาบไม่พอบางกลุ่มเลยต้องแบกของขึ้นเอง คนหนึ่งจะกลับมาหาเราเมื่อไปส่งนักท่องเที่ยวที่จุดจอดรถแล้ว พี่อีกคนเขาจะลงไปเลยเพราะเขาไม่ว่างอยู่กับเราต่อ ส่วนลูกหาบผู้หญิงที่มากับเราก็ขอกลับลงไปด้วย โดยเปลี่ยนให้ผู้หญิงอีกคนอยู่ต่อแทน บอกว่าเป็นญาติกัน เราทำอะไรไม่ได้อยู่แล้วก็คงต้องเป็นไปตามที่ลูกหาบบอก

ในอีกฝั่ง กลุ่มที่เดินขึ้นไปที่หัวสิงห์ ไม่ต้องเดาก็พอรู้ได้ ว่าจะเจออะไร บรรยากาศแบบไหน เพราะจากที่เคยไปเที่ยวถ้าเป็นแบบนี้ ส่วนใหญ่ก็มักจะมองอะไรไม่เห็นอยู่แล้ว เพราะทุกอย่างปกคลุมไปด้วยสีขาวของหมอก มองไม่เห็นวิวที่ไกลกว่ารอบตัวสักเท่าไร แต่กลุ่มที่เลือกเดินไปก็น่าจะรู้ดีว่ามันจะต้องเจอแบบนี้แหละ แต่บางครั้งธรรมชาติก็คาดเดาไม่ได้ ฟ้าอาจจะปลอดโปร่ง ใสสว่างขึ้นมาทันทีก็ได้ ซึ่งเราก็ได้เห็นว่ามันมีช่วงเวลานั้นจริงแม้ว่ามันจะมาแค่เพียงแค่เสี้ยววินาทีจริงๆ แต่มันก็งดงามจริงๆ เช่นกัน ซึ่งภายใต้หมอกที่คละคลุ้งมากมายรอบตัวมากขนาดนี้ แต่ภายใต้นั้นก็มีความสวยงามไปในอีกรูปแบบนะ คนที่ได้ไปสัมผัสเท่านั้นที่จะรู้ว่ามันดียังไง

กลุ่มเรากลับมาจนครบแล้ว และกินข้าวเช้ากันเรียบร้อย หลังจากนั้นเราก็ช่วยกันย้ายของและเต็นท์เพื่อลงไปนอนข้างล่างที่เป็นจุดกางเต็นท์ ตอนนี้ไม่มีใครอยู่แล้วนอกจากกลุ่มเรา กับลูกหาบผู้หญิงหนึ่งคน หลังจากเก็บของเรียบร้อย เราก็เตรียมห่อข้าวเที่ยง และเตรียมตัวออกเดินทางไปยังจุดหมายที่เราตั้งไว้ ตอนนี้เที่ยงกว่าแล้วเราก็เดินขึ้นมาข้างบนตรงสนามกอล์ฟช้างอีกครั้ง เพื่อมุงหน้าไปหัวสิงห์แต่จุดหมายจริงๆ ครั้งนี้คือหัวลิง ที่ครั้งก่อนๆ ได้แค่มอง ยังไงครั้งนี้ก็จะไปให้ถึง ตอนนี้หมอกหายไปจนหมดแล้ว แสงมา ฟ้าเปิด และแจ่มมาก ทำให้เราแวะถ่ายรูปกันตลอดทาง แม้ว่าจะเดินตามสันเขาแต่ก็ไม่ใช่ทางเรียบยังมีทางชันและทางลงบ้างในบางช่วงไปเรื่อยๆ

เห็นหัวสิงห์อยู่ไม่ไกลแต่เดินเท่าไรก็ไม่ถึงสักที แต่พวกเราก็เดินไปคุยไป ยังสนุกสนานเฮฮาแวะถ่ายรูปชมวิว ถ่ายรูปกันไปเรื่อยๆ และแดดก็ไม่ได้ร้อนขนาดนั้น ยิ่งทำให้เราเดินกันเพลินๆ ตามกันไป เพราะตอนนี้ดอยม่อนจองเหลือแค่พวกเราเท่านั้น ซึ่งก็มีแอบคิดแวบๆ ขึ้นมาบ้างบางเวลาว่าแล้วเคยมีกลุ่มอื่นมาเที่ยวแบบนี้ไหม เหมือนมาเที่ยวเอง ในป่าไม่มีเจ้าหน้าที่ แล้วความปลอดภัยละ แต่เราก็ได้แค่คิด และทำได้เพียงช่วยดูแลกันและกันให้ดี เดินไปด้วยกันเป็นกลุ่มๆ

กว่าจะถึงหัวสิงห์ก็บ่ายสองกว่าแล้ว หลังจากนั่งพักจนหายเหนื่อย เราก็กินข้าวเที่ยงที่เลยเวลาเที่ยงมาพอสมควรละกินกันบนยอดหัวสิงห์กันที่นี่เลย ซึ่งเป็นการกินข้าวท่ามกลางวิวอันงดงาม มองได้รอบตัว แม้ว่าแดดจะแรงแต่ลมก็พัดมาช่วยเราเย็นได้เป็นระยะๆ เช่นกันหลังอิ่มแล้วจากนั้นเราก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้งและจุดหมายต่อไปคือหัวลิง ที่เราเริ่มมองเห็นไกลๆ ตั้งแต่ก่อนถึงหัวสิงห์ด้วยซ้ำ และมองเห็นเหมือนลิงจริงๆ ด้วย แต่มีหลายคนก็สละสิทธิ์ไม่ยอมไปต่อกับเรา บอกว่าตรงนี้ก็สวยละ ขอรออยู่ที่หัวสิงห์ดีกว่า แต่แค่เริ่มเดินก็รู้สึกชอบละ สันเขาทอดยาวไปจนสุดปลายตา เหมือนเดินสนามหน้าบ้าน สิ่งที่เห็นก่อนหัวลิงและเราต้องเดินผ่านคือเจดีย์ที่มีองค์พระตั้งตระหง่านอยู่ไกลๆ ซึ่งกว่าจะไปถึงก็ต้องเดินลง และจุดนี้ก็ดึงดูดเราได้เป็นอย่างดี

ทางข้างหน้ายังคงเดินตามสันเขาไปเรื่อยๆ จากจุดนี้มองเห็นจุดที่เราจะไปไกลพอสมควร แต่เราทั้ง 8 คนก็ยังคงไม่หวั่นไม่ต้องแบกเป้หนักๆ มีแค่ขนมและน้ำเอาไว้กินระหว่างทางแค่นั้น เราค่อยๆ เดินตามกันไปเรื่อยๆ ทางที่ช่วงแรกเป็นสันเขาที่ดูจะเป็นแนวเดียวกันก็ถูกตัดลับหายไปประหนึ่งว่าต้องโรยตัวลงไปตามหน้าผา แหมก็จินตนาการไปได้เนอะเมรี เขามีทางเดินให้ลงอยู่ข้างซ้าย ซึ่งจุดนี้ต้องใช้เวลาในการเดินลงช้าหน่อยเพราะว่ามันชันและอาจจะลื่นกันได้ ตอนนี้เราแยกออกเดินกันไปเป็นกลุ่มๆ ละ เก็บภาพกันไปเรื่อยๆ เพลินๆ แดดก็แรงบ้าง ร่มบ้างสลับกันไป

ช่วงเวลานี้เราค่อยๆ ทยอยเดินตามกันมาเป็นแถวเรียงตอนหนึ่ง จนเราเดินมาถึงเจดีย์ที่มีพระธาตุทันใจพญาอาทิตย์ตะราชยืนตระหง่านโดดเด่น ที่เราสามารถเห็นตั้งแต่อยู่ตรงหัวสิงห์ละ ซึ่งเราเคยเห็นเจดีย์นี้มานานตั้งแต่ครั้งก่อนแล้ว แต่ก็ไม่คิดที่จะเดินมา เพราะจากการดูระยะทางมันเหมือนใกล้กว่าที่เราเดินมามาก เพราะกว่าเราจะมาถึงตรงนี้ก็เหนื่อยอยู่ ที่สำคัญแดดกลับมาแรงตรงช่วงเวลานี้พอดี เราก็มีความพยายามที่จะนั่งหลบแดดตรงเจดีย์นี้สักพัก จากตรงนี้เราก็มองเห็นหัวลิงเหมือนกัน แต่ยังต้องเดินไปอีก ซึ่งเป็นทางลงเขาลูกนี้ไปก่อนซึ่งถ้าใครลื่นล้มก็คงกลิ้งถไลไปยาวแน่ๆ จึงต้องใช้ความระวังในการเดินลงอย่างมาก ก่อนที่จะเดินขึ้นเขาอีกลุกหนึ่งนั่นแหละ

ทุกคนพยายามหลีกเลี่ยงการเดินขึ้นเขาโดยตรง ก็เลยเดินอ้อมไปเลาะๆ ไปทางซ้าย เมย์ก็เลยแยกไปทางขวาที่มันพอจะมีทางเดินเลียบริมเขาไปเรื่อยๆ แม้ว่ามันไม่ใช่หน้าผา แต่บอกเลยว่าน่าหวาดเสียวและต้องใช้ความระมัดระวังในการเดินพอสมควร เมย์ดินนำไปก่อนจนมองไม่เห็นคนข้างหลังแล้ว พอเดินไปได้อีกสักพัก จนหัวลิงอยู่ตรงหัวเราพอดี แต่ไม่มีทางเดินตัดขึ้นเลย มีแต่ทางตรงไปข้างหน้า ซึ่งถ้าเดินตามไปเรื่อยๆ มันน่าจะไกลมาก จากการมองต้องเดินไปอีกยาวแน่ๆ ตอนนี้ในใจก็ลังเลว่าจะเอายังไงดี หยุดรอสักพัก คนข้างหลังก็ยังมาไม่ถึง สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินย้อนกลับทางเดิม บรรยากาศเดิม แต่ความรู้สึกไม่เหมือนเดิม ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น มันรู้สึกหวิวและน่าหวาดเสียวกว่าตอนเดินมามากกว่าเดิม

เราตั้งต้นเดินขึ้นยอดเขาหัวลิงกันอีกครั้งจนขึ้นมาถึงมีป้ายบอกว่าที่นี่คือหัวลิง ซึ่งมีระดับความสูงเท่ากับหัวสิงห์เลย และจากตรงนี้พวกเราเดินไปตรงจุดยื่นที่มองไกลๆ เหมือนหัวลิงนั่นแหละ สนุกสนานกับการถ่ายรูปและชมวิวที่เราตั้งใจเดินมาจนถึง

เมย์สงสัยว่ามันสามารถเดินไปต่ออีกได้รึเปล่าจึงเดินตามทางไปหยุดยืนที่เขาอีกลูกเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกล ทุกคนลงความเห็นว่ามันคือหัวลูกลิง จากตรงนี้เมย์มองไปตามสันเขาเรื่อยๆ ก็มีทางเดินต่อไปได้เรื่อยๆ เช่นกัน ที่น่าจะอ้างอิงกับที่เราเคยได้ยินข่าวเรื่องพระเดินธุดงค์จากอำเภอสบเมย จังหวัดแม่ฮ่องสอน เข้าอำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก และมุ่งสู่อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ (เห็นข้อมูลจากเพจเก็บกระเป๋า) ถ้าเราได้เห็นครั้งนั้นกับตาก็คงจะรู้สึกทึ่งมากกว่าการเห็นแค่รูปแน่นอน เรานั่งชมวิวอยู่ที่จน 4 โมงกว่าก็เดินกลับทางเดิม แสงแดดตอนนี้อ่อนแรงลงไปเยอะแล้ว ทำให้พวกเราเดินกันเรื่อยๆ ชิวๆ มากกว่าเดิม แต่ก็ไม่ช้าเกินไปเพราะกว่าจะถึงที่พักระยะทางยังอีกไกล

ทางที่เราเดินกลับก็คือทางที่เราเดินมานั่นเอง เดินตามสันเขา ขึ้นลูกหนึ่งแล้วก็เดินลงลูกหนึ่ง บรรยากาศตอนนี้มันดีมากจริงๆ แสงแดดเริ่มเป็นใจละ ไม่แรง ไม่ร้อน ไม่แสบ วิวดีมาก ชิวๆ เดินตามกันไปไม่รีบร้อน จนเดินผ่านเจดีย์มาแบบไม่รู้สึกเหนื่อยเลย ตอนนี้ลมแรงมากโดยเฉาพบนฟ้าั้พัดพาเอาก้อนเมฆผ่านเราไปเรื่อยๆ ก้อนเมฆสีขาวตัดกับท้องฟ้าที่แจ่มขนาดนี้ ถ่ายรูปมายังไงก็สวย มองด้วยตาก็สวย โอ้ยๆ เส้นทางไปหัวลิงทำให้ฉันหลงรักที่นี่ม่อนจองมากขึ้นอีกหลายเท่า

และแล้วเราก็เดินมาถึงทางขึ้นจุดท้ายก่อนที่จะถึงหัวสิงห์ หลายคนนำหน้าไปแล้วแต่หลานคนก็กำลังเดินมา ตอนนี้ก้อนเมฆไม่มีแล้วเหลือแค่ฟ้าใสๆ ก่อนพระอาทิตย์ตกดินเท่านั้น เราพยายามเดินขึ้นจุดนี้อย่างระมัดระวังเพราะทางค่อนข้างชันอย่างที่บอก

เราใช้เวลาเดินกลับมาหัวสิงห์ประมาณ 1 ชั่วโมง บางคนขอดูพระอาทิตย์ตกตรงนี้ แต่ส่วนใหญ่ขอเดินตามสันเขาเลียบผาไปเรื่อยๆ ค่อยๆ เห็นแสงยามเย็น ส่งพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไประหว่าง แสงสุดท้ายลับขอบฟ้าไปแล้วเรายังคงเดินกันอยู่ แต่ไม่ต้องใช้ไฟฉายเพราะฟ้าไม่ได้มืดสนิท เราเดินมาถึงตรงสนามกอล์ฟช้างตอน 6 โมงครึ่งตอนนี้ท้องฟ้าสนิทและเงียบสงัด ช่วยกันฉายไฟเท่าที่มีเพราะทางที่ต้องเดินลงไปที่พักโดนต้นไม้บังแสงพระจันทร์ยิ่งมืดไปกันใหญ่ กว่าจะถึงที่กางเต็นท์ก็งงๆ ไปถึงลูกหาบผู้ชายกลับมาแล้วและนั่งกินข้าวกันอยู่ พวกเราก็ช่วยกันทำกับข้าวมื้อเย็นด้วยกัน และก็เสร็จในเวลาอันรวดเร็วเพราะทุกคนช่วยกัน

หลังจากที่กินข้าวกันเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็เดินกลับไปหยิบของขวัญที่เตรียมมาจับฉลากปีใหม่ย้อนหลังไปไม่กี่วันยังได้อยู่ ของขวัญถูกนำมาวางไว้ตรงกลาง หัวข้อป่ามาดูกันว่ามันจะเป็นอะไรได้บ้าง มีหลากหลายขนาด ส่วนใหญ่ห่อมาแบบธรรมดา แต่บางกล่องก็ดูเลอค่าทั้งกระดาษห่อแถมมีโบว์อีกต่างหาก มีบางคนออกตัวไว้ก่อนที่จะจับฉลากจัดเจนมากว่าขอขวัญชิ้นเล็กๆ ไม่อยากได้ชิ้นใหญ่พร้อมกับชี้ด้วย

ฉลากถูกเขียนชื่อทุกคนไว้ โดยก่อนเริ่มจับเมย์ก็มอบของขวัญเล็กๆ ให้สามชิกก่อน และเมย์จับคนแรกเลยถ้าจับได้ชื่อใครต้องเอาของขวัญมาให้ กล่องขวัญของตั้มห่อด้วยกระดาษรีไซเคิลก็เลยไม่รู้สึกขัดเขินเมื่อต้องฉีกเบาๆ แกะกล่องออกมาเป็นผ้าพันคอสีเขียวเข้ม ตั้มจับต่อเป็นคนที่สองได้เป้ใบใหญ่สีเหลืองจากหยกอันนี้ไม่ต้องลุ้นแกะ แค่ปิดถุงก็รู้เลยว่าอะไร หยกจับได้ไฟฉายแบบตั้งที่มีลูกเล่นมากมาย ทดสอบใช้เรียบร้อยจากส้ม และตอนนี้ก็วางอยู่กลางวง ไม่ต้องแกะและลุ้นเช่นกัน ส่วนส้มจับได้กล่องของขวัญที่ษาห่อมาอย่างสวยงามและเราก็เห็นจากในไลน์กลุ่มก่อนมาแล้ว พอกล่องของขวัญถึงมือส้มเท่านั้นแหละ มือซ้ายกระชากโบว์ มือขวาก็พยายามฉีกกระดาษที่ห่อมาอย่างสวยงามแบบกระจัดกระจาย โดยไม่ฟังผู้คนที่ห้ามบ้างเลย จนพี่นุบอกว่าส้มเหมือนเด็กหิวขนมเลย ฮากันลั่นทั้งกลุ่ม แต่ส้มก็ยังฉีกจนเห็นของข้างใน มาเป็นเซ็ท ทั้งจาน ช้อน และแก้วน้ำ ได้ใช้ในป่าจริงๆ ส่วนษาค่อยๆ จับฉลากขึ้นมาได้กล่องที่เล็กที่สุดเป็นของเคน แกะออกมาเป็นไฟฉายขนาดพกพาที่ต้องใช้แรงในการหมุนเพื่อให้ไฟสว่าง ต่อมาเคนก็จับบ้างพอเห็นว่าเป็นชื่ออาร์มก็แทบจะไม่สนใจแกะของขวัญเลย เพราะเป็นชิ้นที่ใหญ่ที่สุดและเป็นชิ้นที่เคนชี้บอกตั้งแต่แรกแล้วว่าไม่อยากได้ ซึ่งพอแกะออกมาเป็นเก้าอี้พับก็ยิ่งเซ้งไปใหญ่เลยเพราะน้ำหนักรับตัวเคนไม่ได้ แต่ก็พยายามเอาไปนั่งนะ สุดท้ายเก้าอี้เกือบพัง ฮากันลั่นป่า อาร์มได้จับของตัวเองบ้างหลังจากที่นั่งดูของขวัญของตัวเองแปรสภาพไปขนาดนั้น แต่ก็กลับมายิ้มได้เพราะหมวกที่โอ๊คซื้อมาจับใส่ได้พอดีหัวเลย ส่วนโอ๊คก็สร้างความฮือฮาได้อีกคนเพราะของที่จับได้เป็นของปุ๋ยบอกว่ามันเป็นพุเอาไว้จุดสำหรับหลงป่า ซึ่งมันเหมาะมากๆ ส่วนปุ๋ยจับได้ของแต่งบ้านเป็นกงนกเล็กๆ เก๋ๆ และปิดท้ายด้วยจ๋าไม่ได้จับเหลือเพียงชิ้นเดียวคือของเมย์ เป็นเป้ใบเล็ก 2 ใบ 2 แบบ 2 สี หลายคนยังชื่นชมกับของที่จับได้ แต่บางคนก็ดูทุลักทุเลว่าจะเอาลงยังไงดี กว่าจะเสร็จก็ดึกมากแล้ว หลายคนแยกไปนอน แต่หลายคนก็ขึ้นไปถ่ายดาวแก้ตัวจากเมื่อคืนที่ฟ้าปิด นี่ขนาดมองลอดต้นไม้ก็ยังเห็นดาวเยอะเลย ข้างบนคงดูกันเพลินแน่

รุ่งเช้าเราตั้งปลุกไว้ตั้งแต่ตี 5 ครึ่ง ซึ่งตอนนั้นดาวก็ยังเต็มฟ้า แต่กว่าจะเดินขึ้นไปก็ 6 โมงแล้ว ดาวเต็มฟ้าระยิบระยับไปหมด ลมก็พัดซะแรงเลยดีนะที่เอาถุงนอนติดมาด้วย เราเดินกันไปตรงแถวๆ โป่งดินเก่า ไปตั้งกล้องตรงสันเขา ในขณะที่เมย์นั่งคลุมถุงนอนไม่ให้มีอะไรยื่นออกมาโดนลมเลย โอ๊คก็กำลังชงกาแฟที่เตรียมมา แต่ยังไม่ทันเสร็จ อยู่ดีดีหมอกก็พัดมาระลอกใหญ่ และไม่มีทีท่าว่าจะจางหายไปเลย จนเราต้องถอดใจเดินลงกลับมาตรงจุดที่กางเต็นท์ เพื่อทำมื้อเช้า เก็บของแต่เราก็ไม่ได้เร่งรีบอะไร กว่าจะเสร็จพร้อมออกเดินทางก็เกิน 10 โมงครึ่งแล้ว เราเดินขึ้นมาข้างบนฟ้าก็ยังคงขาวเต็มไปด้วยหมอกที่พัดตามแรงลมไปเรื่อยๆ เราเดินตามสันเขากลับทางเดิมท่ามกลางหมอกที่ยังคงฟุ้งอยู่

จนเราเดินมาถึงทางลงดอยหมาหอบช่วง 11 โมง ซึ่งช่วงแรกที่เราเดินมาถึง หมอกยังคงขาวคละคลุ้งเต็มไปหมด แต่เพียงผ่านไปไม่กี่นาที แดดเริ่มส่องมา ลมเริ่มพัดแรง และค่อยๆ พัด หมอกที่เราเห็นหนาๆ ตั้งแต่ในช่วงเช้าตอนนี้เราเริ่มเห็นวิวและท้องฟ้าบางส่วนแล้ว เราค่อยๆ เดินตามกันลงมาเพราะพื้นบางช่วงจะลื่นมากพอสมควร ในช่วงที่เราค่อยๆ เดินลงมานั้นจนถึงข้างล่างนั้น หมอกก็จางหายไปจนหมดแล้ว

เราเดินผ่านป่าที่ปกคลุมแสงแดดให้เราเป็นอย่างดี ซึ่งช่วงนี้เป็นช่วงที่เราเดินตามกันมาทั้งกลุ่ม เป็นช่วงที่เราเดิน เดิน เดิน แบบไม่ได้หยุดพักกันเลย และแล้วเราก็เดินมาถึงตรงภูผาช่อตอนเที่ยง จุดที่เราไม่ได้ขึ้นในวันแรก พอมาถึงเราก็ทิ้งเป้วางไว้ข้างล่าง และปีนขึ้นไปชมวิวกันทั้ง 10 คน ตอนนี้ท้องฟ้ายังคงอึมครึมเหมือนฝนจะตก

เราพยายามใช้ความระมัดระวังในการถ่ายรูปมุมนี้ ซึ่งก็ไม่มีใครยอมใครซนเป็นลิงกันทุกคนเลย เราอยู่จุดนี้นานมาก จนบ่ายโมงกว่า และเราก็โชคดีที่ฟ้าเริ่มเปิดให้เห็นวิวบ้างแล้ว ไม่ขาวโพลนแบบในช่วงเช้า

หลังจากนั้นเราก็เดินตามทาง เดินตามกันไปเรื่อยๆ หลังจากนี้ก็เป็นทางลงก่อนที่จะเป็นทางขึ้นในช่วงป่าสน เราเจอกองไม้ที่หลายคนใช้เป็นไม้เท้าในการเดินขึ้นม่อนจองและคืนวางไว้ก่อนกลับ ในใจก็คิดว่ามันใกล้จะถึงแล้วแต่สุดท้ายก็ต้องเดินอีกเกือบ 20 นาที ขาที่ล้าทำให้ตอนนี้เริ่มงอแงไม่อยากจะเดินแล้วสักนาทีเดียว แต่ก็ยังต้องฝืนจนถึงจุดที่รถจอดรออยู่ คนอื่นๆ ที่มาถึงก่อนนั่งรอนานแล้ว พอคนครบเราก็เลยขึ้นรถมุ่งหน้าไปยังที่ทำการหน่วยพิทักษ์ป่ามูเซอ แต่กว่าจะถึงก็นั่งระบมก้นกันไปอีกพักใหญ่ พอถึงก็เรียงคิวกันอาบน้ำ และสร็จในเวลาอันรวดเร็ว สดชื่นกันไปทุกคน

มิใช่…แค่ปลายทาง

ม่อนจองแม้ว่าจะมีระยะทางการเดินไม่ไกล แต่ธรรมชาติระหว่างทางที่เราเห็นตั้งแต่เริ่มแรก ไปจนถึงจุดหมายก็จะเห็นความงดงามซุกซ่อนอยู่ อย่างดอกไม้ที่นี่มีให้เห็นเยอะแยะมากมายหลายชนิด หลากสีสัน ก็ทำให้การเดินเหนื่อยๆ ในบางช่วงสดื่นขึ้นมาบ้าง มันก็ทำให้เราเพลินจนทำให้ลืมเหนื่อยไปบ้างบางชั่วขณะ

แต่ท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงาม อย่างที่หลายๆ คนเคยเห็นจนชินตา ในหลายๆจุด ที่เป็นจุดไฮไลท์ รวมทั้งตรงที่กางเต็นท์ด้วยที่เต็มไปด้วยต้นไม้หลากหลายขนาด เล็กใหญ่เต็มไปหมด ยิ่งถ้าได้เห็นมันอยู่ท่ามกลางหมอกที่ลงมาจนขาวปกคลุมไปทั่วทั่วบริเวณที่กางเต็นท์ ซึ่งก็ไม่ได้เห็นบ่อยๆ แต่ใครจะเชื่อว่าในมุมกลับกันห่างไปจากที่เรากางเต็นท์ไปไม่ถึงร้อยเมตรเราจะได้เห็นขยะมากมายที่มีทั้งแบบย่อยสลายได้และย่อยสลายไม่ได้ถูกวางกองไว้บ้าง ใส่ไว้ในถุงดำบ้าง ถูกพิงอยู่ข้างต้นไม้น้อยใหญ่ ที่บางต้นถูกตัดไปเหลือแต่ตอ บางจุดที่ก่อกองไฟยังคงมีควันออกมาซึ่งดูยังไงมันก็ยังไม่ดับ และจากการคุยกับลูกหาบเขาก็บอกว่าเดี๋ยวเจ้าหน้าที่ขึ้นมาเก็บเองซึ่งเป็นข้อตกลงกันระหว่างเจ้าหน้าที่กับลูกหาบที่จะสลับกันขึ้นมาเก็บในแต่ละปี โดยที่เราก็ไม่รู้หรอกว่ามันเป็นแบบนั้นจริงรึเปล่า จริงๆ แล้วทำไมถึงไม่ยอมเอาลงเลย กลุ่มใครกลุ่มมัน ทำไมต้องปล่อยให้เป็นภาระใครกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เอาขึ้นมาเท่าไรเอากลับลงไปเท่านั้นกับสิ่งของที่ย่อยสลายไม่ได้ เพราะยังไงก็น้ำหนักเบากว่าตอนแบกขึ้นมาหลายเท่า

เก็บตก

นอกจากธรรมชาติแล้วในการเดินทางครั้งนี้ยังมีมิตภาพที่ดีที่ไปด้วยกันที่เต็มไปด้วยความสนุก และเสียงหัวเราะตลอดการเดินทางทั้งไปและกลับ ประหนึ่งว่ามีแต่คนบ้ามารวมตัวกัน ซึ่งคนที่โดดเด่นและทำให้ทุกคนหัวเราะได้มากที่สุดก็น่าจะเป็นเคนแม้ว่าจะมาเจอกันแค่ครั้งแรก แต่ทุกครั้งที่โพสถ่ายรูปเคนจะมีท่าเป็นของตัวเอง และเต็มที่มาก

ทริปนี้ก็เหมือนในหลายๆ ครั้ง ที่มีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย แต่ที่มันต่างจากทริปอื่นๆ คือทำไมผู้ชายทริปนี้ดูหวานๆ อ่อนแอ ส่วนผู้หญิงก็ดูแมนๆ ไปนะ แบกขาตั้งกล้อง ดูแลหนุ่มๆ ตลอดการเดินทาง แต่บางครั้งก็หมั่นไส้กับความอ่อนแอมากเกินไปของหนุ่มๆ ก็ดูแลบ้างแกล้งบ้าง แต่สุดท้ายเราก็รักกันนะ เป็นเพื่อนร่วมทางที่ดีต่อกัน ดูแลกันจนจบทริปแบบมีความสุขไปอีกหนึ่งทริป

ส่วนทริปหน้าจะพาไปสนุกที่ไหน ไปทำอะไรที่เป็นประโยชน์ ในแบบฉบับเรา ฉบับอาสาเที่ยว


http://www.rsatieow.com/

ความคิดเห็น