พิพิธภัณฑ์กู้กงหรือชื่อเป็นทางการว่าพิพิธภัณฑ์พระราชวังแห่งชาติ(National Palace Museum) อย่าสับสนกับพิพิธภัณฑ์แห่งชาติไต้หวันล่ะ(National Taiwan Museum) พิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีความน่าสนใจ คือ เป็นสถานที่จัดแสดงสมบัติล้ำค่าของชาติ ซึ่งตามประวัติศาสตร์สมบัติเหล่านี้เป็นสมบัติล้ำค่าของราชวงศ์จีนที่ถูกนำมาเมื่อสมัยท่านนายพล เจียงไคเช็ค บิดา ของชาวไต้หวัน ได้อพยพผู้คนซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้มีฐานะและมีการศึกษาจากจีนแผ่นดินใหญ่มายังเกาะไต้หวัน โดยสมบัติล้ำค่าเหล่านั้นว่ากันว่ามีถึง 6 แสนชิ้นเลยทีเดียว และพิพิธภัณฑ์ไม่สามารถนำออกมาจัดแสดงพร้อมกันได้หมด ปัจจุบันไต้หวันจึงได้ตั้งพิพิธภัณฑ์เพื่อแสดงสมบัติล้ำค่าขึ้นอีกแห่งทางภาคใต้ที่เมืองเจียอี้ และได้นำสมบัติชิ้นที่เป็นไฮไลต์อย่างหินแกะสลักหมูสามชั้นไปไว้ที่นั่นด้วย ส่วนที่ไทเปก็ยังมีชิ้นที่สุดยอดอย่างหยกผักกาดจัดแสดงอยู่เหมือนเดิม สำหรับพิพิธภัณฑ์ที่ภาคใต้เพื่อนๆสามารถนั่งรถไฟความเร็วสูง(HSR) มาลงที่เมืองเจียอี้ (เมืองเดียวกับที่จะต่อรถไปอาลีซานนั่นแหละ) แล้วจะมีรถ shuttle bus นั่งฟรีไปถึงพิพิธภัณฑ์สาขาภาคใต้เลย ขอเพิ่มเติมนิดนึงนะว่าควรจำคำเรียกรถไฟชนิดต่างๆเป็นภาษาของเค้าก็ดีนะ รถไฟความเร็วสูง(HSR)คนไต้หวันเรียกว่า "เกาเถื่ย" ตอนเราไปอาลีซานโชคดีที่จำคำนี้ไปใช้เพราะคนท้องถิ่นถ้าจะพูดว่า HSR หรือ TRA ดูแล้วเค้าน่าจะไม่ค่อยเข้าใจหรอกเพราะไม่ได้ใช้กัน และอีกคำนะรถไฟธรรมดา TRA จะเรียกว่า "ไถเถี่ย" สำหรับรถไฟฟ้า MRT เราไม่ได้จดจำไปคิดว่าคำนี้ง่ายเค้าคงจะเข้าใจ แต่เดี๋ยวเล่าค่อยเล่าต่อในตอนต่อไปตอนที่ไปตลาดปลาไทเปนะ

บริเวณสถานี Shilin (เราหันหลังถ่าย)เดินตรงออกมาจากทางออก 1 จะเห็นร้านวัตสันอยู่หัวมุมขวามือเลย

สำหรับการเดินทางไปพิพิธภัณฑ์กู้กงที่ไทเป เราเดินทางโดยนั่งรถไฟฟ้าไปลงที่สถานี shilin ทางออก 1 พอเดินตรงออกมาจะเห็นร้าน Watson อยู่ทางขวามือ ให้เลี้ยวขวาไปรอรถเมล์ที่หน้าร้านวัตสันได้เลย มีรถเมล์ไปพิพิธภัณฑ์กู้กงได้หลายสาย ที่ป้ายรถเมล์จะบอกไว้เป็นภาษาอังกฤษให้ด้วยว่าสายไหนไปกู้กง สายที่ผ่าน คือสาย R30, 304 และ 815 เราจำได้แค่ 3 สาย เพราะยังไม่ทันไรรถสาย 815 ก็มา นั่งไปประมาณ 10 -15 นาทีได้รถก็มาจอดที่ด้านหน้าของพิพิธภัณฑ์ โดยได้ส่วนลดค่าโดยสารจาก 15 NT เหลือแค่ 7 NT เท่านั้นเอง ที่ได้ส่วนลดก็เพราะว่า ถ้าเราใช้ easycard ในการโดยสารรถไฟฟ้าและรถเมล์ต่อเนื่องกันภายใน 2 ชม. จะได้ ส่วนลดค่าโดยสาร 8 NT


การไปพิพิธภัณฑ์นี้ควรไปแต่เช้า เราไปถึงประมาณ 9.15 น. ซึ่งพิพิธภัณฑ์จะเปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 8.30-18.30 น.(วันศุกร์และเสาร์เปิดถึงสามทุ่ม) ส่วนวันเสาร์หลัง 18.30น.นั้น ยังเปิดให้เข้าชมฟรีอยู่รึเปล่าอันนี้เราไม่แน่ใจนะ ไปแบบเสียเงินชัวร์กว่า ถ้าให้เราแนะนำนะขาไปเพื่อนๆควรนั่งรถเมล์สายอื่นมายังพิพิธภัณฑ์ก่อน เพราะสาย R30 จะไปจอดในตัวอาคารเลย ส่วนสายอื่นๆจะไปจอดด้านหน้าพิพิธภัณฑ์เพื่อนๆก็จะได้ถ่ายรูปวิวสวยๆด้านหน้า ซึ่งตอนเช้าคนยังไม่เยอะและแดดไม่ร้อนด้วย แต่ถ้าใครมีผู้สูงอายุมาด้วยให้นั่งรถสาย R30 มาก็ได้ เพราะจะได้ไม่ต้องเดินเยอะ พอเราถ่ายรูปด้านหน้าเสร็จก็เดินขึ้นบันไดไปและเข้าไปในตัวอาคาร โอ๊ะ! โอ ข้างนอกดูไม่ค่อยมีคนเลย แต่พอเข้ามามีคนเยอะพอประมาณแฮะ เริ่มมีทัวร์มาลงบ้างนิดหน่อย ซึ่งพอเข้ามาก็สามารถซื้อตั๋วเข้าชมพิพิธภัณฑ์ได้ทั้งสองฝั่งมีเคาน์เตอร์ขายอยู่ทั้งทางซ้ายมือและขวามือ สำหรับราคาตั๋วปัจจุบันราคา 250 NT พอเราเข้าไปซื้อเค้าก็ดีนะถามว่ามีบัตร student card มาไหม จะได้รับส่วนลด เอ๊ะเราก็ไม่ได้หน้าเด็กนะ(คิดในใจ 555) พอซื้อเสร็จให้เราเดินมาทางขวามือสุดทางเพื่อที่จะเก็บกระเป๋าไว้ในล็อคเกอร์ เค้าไม่ให้นำกระเป๋าเข้าไปนะ โดยเพื่อนๆจะต้องมีเหรียญ 10 NT ติดตัวไปด้วยนะ เพื่อไว้สำหรับหยอดลงไปตอนเก็บของ และถ้าเราไขกุญแจตู้ออกมาเราก็จะได้เหรียญนั้นคืน หลังจากเก็บของเสร็จถามเจ้าหน้าที่ตรงล็อคเกอร์ว่าเอาปากกากับสมุดเข้าไปได้ไหม เค้าก็พยักหน้าแทนคำตอบว่าโอเค แล้วเราก็เดินออกมาเพื่อเข้าไปชมโบราณวัตถุด้านใน ที่ทางเข้าเมื่อเราแสดงตั๋วเจ้าหน้าที่เค้าก็จะฉีกตั๋วออกไปส่วนนึง และให้เราเก็บไว้อีกส่วนนึง

เราเลือกที่จะเดินขึ้นไปชมด้านบนก่อน เพราะไฮไลท์อย่างหยกผักกาดนั้นอยู่ที่ชั้น 3 เรากลัวคนจะเยอะและไม่ได้ชมใกล้ชิด แล้วการเดินชมจากชั้นบนลงล่างก็น่าจะง่ายกว่าสำหรับเรา โดยถ้าใครจะขึ้นลิฟต์พอผ่านเจ้าหน้าที่ตรวจตั๋วเข้ามาแล้วให้เดินเลี้ยวไปทางขวามือ พอขึ้นมาชั้น 3 เราก็เดินชมจากห้องริมก่อน กะว่าจะไล่ไปทีละห้องเรียงกันไป จะได้ไม่สับสนว่าห้องไหนยังไม่ได้เข้าไปบ้าง ห้องแรกที่เราเข้าไปเป็นห้องจัดแสดงเกี่ยวกับเครื่องโลหะสัมริด เดินชมไปสักครู่หนึ่งก็เห็นมีคนเค้าถ่ายรูปอยู่คนนึง คุยกับน้องว่าทำไมเค้าถึงถ่ายรูปได้ หรือทำเรื่องขออนุญาตมา แต่เอ๊ะเหมือนจะมีอีกสองสามคนที่เดินตามเข้ามาถ่ายรูปอีกเหมือนกัน เลยลังเลเพราะก่อนหน้านี้พิพิธภัณฑ์นี้ห้ามถ่ายรูปเลย จนมาปีที่แล้ว(2016)เค้าอนุญาตให้ถ่ายรูปได้อยู่ช่วงนึง เท่าที่อ่านรีวิวมาเค้าบอกว่าอนุญาตถึงเดือนธ.ค.ปีที่แล้ว แต่พอเริ่มเห็นหลายคนถ่ายรูปแล้วเจ้าหน้าที่เค้าไม่ว่าอะไรสุดท้ายเราเลยเค้าไปถามเค้าให้หายสงสัยดีกว่า เราถามเจ้าหน้าที่ว่าตอนนี้ให้ถ่ายรูปได้แล้วหรอ เค้าก็บอกว่าถ่ายได้แต่ห้ามใช้แฟลต แล้วตามต่อว่าถ้าเราจะออกไปหยิบมือถือมาล่ะ เราออกไปใช้ตั๋วแสดงก็พอใช่ไหม เค้าบอกว่าไม่ต้องใช้ตั๋วแค่ตอนออกไปให้เจ้าหน้าที่ตรงทางออกปั๊มที่มือ วันนี้คุณก็สามารถเดินเข้าออกพิพิธภัณฑ์ได้ตลอดทั้งวัน งั้นก็เป็นโอกาสดีสำหรับเราเลยมาตอนเค้าให้ถ่ายรูปได้ เราเลยเดินออกไปให้เค้าปั๊มมือก่อนออก โดยอาจจะต้องยื่นมือให้เค้าปั๊มหน่อยนะ ไม่งั้นเค้าจะคิดว่าเป็นคนที่ชมเสร็จเรียบร้อยแล้วเลยอาจจะไม่ได้ปั๊มให้


รูปหยกผักกาดถ่ายไม่ได้มุมสวยเท่าไหร่นะ เพราะต้องถ่ายผ่านกระจกและคนรอถ่ายกันหลายคน

หลังจากออกมาเอามือถือเพื่อไปถ่ายรูปและกลับเข้าไปอีกครั้ง เมื่อไปถึงจุดแสดงหยกผักกาด ซึ่งจะอยู่บริเวณห้องตรงกลางของชั้น เราเห็นมีทัวร์คณะนึงต่อแถวอยู่ที่ด้านหน้าห้องและมีไกด์กำลังบรรยายอยู่ เจ้าหน้าที่เค้าก็เว้นเชือกกั้นเป็นช่องเล็กสำหรับให้คนที่ไม่ได้มาเป็นกลุ่มให้เดินเข้าไปชมก่อนได้ พอเราก็เดินเข้าไปไม่นานก็เนิ่มมีคนมารุมดูแต่ก็ยังดีที่ทัวร์กลุ่มนี้เป็นกลุ่มเล็กคนไม่มาก นี่แหละทำไมถึงควรมาที่นี่แต่เช้า เพราะพอเราเดินชมห้องอื่นๆ แล้วเดินผ่านมาห้องนี้อีกรอบคนต่อแถวยาวเลย แล้วไอช่องเล็กที่เค้าเปิดไว้ให้คนที่มากันเองก่อนหน้านี้เข้า เชือกกั้นตรงนั้นก็ถูกปิดไปแล้ว สำหรับชั้นบนนี้นอกจากเครื่องโลหะสัมริด ก็จะมีการจัดแสดงพวกหยกต่างๆ มีการแสดงที่มาที่ไปตั้งแต่การได้หินหยกมาแล้วนำมาแบ่งผ่าได้อย่างไร เนื่องจากหยกนั้นถือว่าเป็นหินชนิดนึงที่มีความแข็งมากทีเดียว


ภายในพิพิธภัณฑ์จะอธิบายรายละเอียดของสิ่งของต่างๆไว้เป็นอย่างดี จากภาพด้านบนจะเห็นว่ามีแผ่นกระดาษจำลองลวดลายที่ปรากฏอยู่บนภาชนะโลหะมาอธิบาย เช่น แผ่นกระดาษทางด้านบนซ้ายมือ จะบอกว่าลวดลายที่พบบนภาชนะโลหะคือ รูปนกฟีนิกซ์ ในรูปจะอธิบายว่าตรงส่วนไหนเป็นหัว ลำตัว ปีก เป็นต้น

เราใช้เวลาชมที่ชั้น 3 ค่อนข้างนานเพราะอ่านรีวิวมาว่าชั้น 2 ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจมากเท่าชั้น 3 จะมีพวกภาพเขียนเป็นส่วนใหญ่ ส่วนชั้น 1 ยิ่งไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ แต่จริงๆแล้วสำหรับเราพอได้ดูจริงๆแล้วมีความน่าสนใจทุกชั้นนะ เครื่องโลหะสัมริดนี่กลายเป็นสิ่งที่เราสนใจน้อยสุดเลย แต่เชื่อรีวิวมากไปเลยอยู่กับหยกที่ชั้น 3 นานเพราะมีหยกจัดแสดงมากจริงๆ และแต่ละชิ้นไม่รู้ว่าเค้าแกะสลักยังไงถึงแกะได้ละเอียดซับซ้อนขนาดนั้น ทั้งๆที่หินหยกแข็งมาก

ถัดจากชั้นบนลงมาที่ชั้น 2 ฝั่งหนึ่งมีการจัดแสดงพวกเครื่องเคลือบ เครื่องเซรามิค และเครื่องปั้นดินเผาเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนั้นก็จะมีพวกของประดับตกแต่งเล็กๆ น่ารักๆ งานdecorationต่างๆและก็มีเครื่องประดับบ้างเล็กน้อย

ส่วนอีกฝั่งจะจัดแสดงเป็นภาพเขียน งานเขียนอักษร บทกลอนสมัยต่างๆ ทั้งแบบบทกลอนที่บัณฑิตต่อกลอนกัน ภาพวาดพร้อมบทกลอน กลอนที่แต่งขึ้นเดี่ยวๆ เป็นต้น เราดูแล้วอยากอ่านภาษาจีนออกเลยอ่ะ มันคงจะเป็นบทกลอนที่ไพเราะและสละสลวยมากทีเดียว และในส่วนนี้ก็ยังมีการแสดงตำราต่างๆ งานแปลอักษรโบราณที่เดิมภาษาจีนเป็นภาษาที่มาจากรูปวาด แสดงให้เห็นว่าปัจจุบันตรงกับตัวอักษรใด แล้วก็ยังมีหนังสือที่เป็นสมบัติล้ำค่าจัดแสดงไว้ และในชั้นนี้ยังมีโซนให้เด็กๆได้สนุกกับการระบายสีผ่านคอมพิวเตอร์ลงบนภาพวาดโบราณที่จำลองมาเป็นภาพกราฟิกอีกด้วย

เดินลงมาจนถึงชั้น 1 ชั้นนี้จะมีการจัดแสดงเครื่องเรือน เครื่องทอง และเครื่องประดับต่างๆ รวมถึงพระพุทธรูป รูปปั้นเทพเจ้า และของอื่นๆที่น่าสนใจอีกหลายชนิด เนื่องจากเราฟินกับพิพิธภัณฑ์นี้มากไปหน่อยทำให้เวลาช้าไปกว่าที่วางแผนไว้คือกลับตอนเที่ยงแต่เที่ยงแล้วเรายังดูไม่ครบเลย(มัวแต่ถ่ายรูปน่ะสิ 555) ที่ชั้น 1 เราเลยรีบดูรีบถ่ายรูปแบบผ่านๆ เพราะน้องรอนานแระ น้องดูเสร็จแล้วไปนั่งรออยู่หลายทีแระ ที่พิพิธภัณฑ์นี้น่าประทับใจอีกอย่างหนึ่งคือจะมีเก้าอี้ให้นั่งพักพอสมควร และมีห้องน้ำให้เข้าทุกชั้น สุดท้ายแล้วกว่าจะดูเสร็จก็บ่ายโมงกว่าแล้ว จากนั้นเราก็ลงมาชั้นล่างสุด ที่ชั้นนี้จะมีร้านจำหน่ายของที่ระลึกขนาดใหญ่กว่าร้านที่อยู่ชั้นบน เราก็เดินไปดูผ่านๆแต่ก็ไม่ได้ซื้ออะไร แล้วก็ออกมาที่ประตูด้านนอก ตอนแรกกะว่าขากลับจะเดินออกมาถ่ายรูปที่ด้านหน้าอีกครั้งแต่หมดแรงแระ ยืนรอรถสาย R30 ดีกว่า โดยถ้าออกมาจากอาคารป้ายรถเมล์จะอยู่ทางซ้ายมือนะ จะเห็นคนรออยู่หลายคนเหมือนกัน ตอนแรกเห็นรถมาคันนึงจอดให้คนลงเราก็คิดว่าสุดสายตรงนั้นต้องรอรถอีกคันออกมา แต่พอเห็นมีคนเดินไปทางนั้นเราก็บ้าจี้เดินตามไปบ้าง 555 คิดว่าจะต้องเดินไปขึ้นรถต้นสายที่ตรงนั้นรึเปล่า พอเดินไปคนขับก็โบกมือประมาณว่าไม่ต้องๆ ไปรอที่เดิมอ่ะถูกแล้ว แง่ว! ไม่น่าเดินตามเล้ย รอต่อจากนั้นอีกไม่นานรถสาย R30 ก็มาจอดที่ป้าย คราวนี้เรานั่งกลับไปลงที่สถานี shilin เหมือนเดิม(สาย R30 ไม่ได้สุดสายที่สถานี Shilin นะ ดูทางกับป้ายไฟบนรถดีๆล่ะ อย่านั่งเพลิน)

จุดที่รถเมล์จอดในรูปคือป้ายสุดสายของสาย R30 ส่วนป้ายรถเมล์รอรถกลับ จะอยู่บริเวณนี้

จุดสังเกตราคาของในไต้หวัน คือ จะมีตัวเลขอยู่ในกรอบสี่เหลี่ยม ตัวอย่างจากรูปด้านบน คือ นมมะละกอ กล่องหนึ่งราคาอยู่ที่ 35 NTซึ่งของส่วนใหญ่ในไต้หวันจะมีป้ายราคาแบบนี้บอกเกือบหมด ทำให้ดูง่ายแม้ไม่ได้ติดป้ายราคาก็ตาม

แต่ก่อนขึ้นรถไฟฟ้าเราแวะเซเว่นเติมพลังซะหน่อยเราดื่มนมมะละกอไปกล่องเดียวก็อิ่มมากแระเพราะเค้าทำกล่องใหญ่ รสชาติก็อร่อยดีนะหอมๆหวานๆแต่ไม่ได้ถึงกับหวานมาก ส่วนน้องเราเดินผ่านวัตสันมาทางขึ้นรถไฟฟ้าจะมีร้านแพนเค้กต้นหอมขายอยู่ซึ่งเค้ามีขายอย่างอื่นด้วยนะ เท่าที่เห็นมี 2 เจ้านะ เจ้านึงดูเก่าแก่กว่าเห็นคนซื้อเยอะตั้งแต่ขามาแระ แต่ด้วยความหิวเลยซื้อเจ้าที่คนน้อยแระกัน เราเองได้ชิมนิดนึงเพราะว่าอิ่มนมมะละกอส่วนรสชาติก็อร่อยดีนะ หลังจากนั้นเราก็ขึ้นรถไฟฟ้ามาลงที่สถานี Xingtian temple และเราก็ได้ส่วนลดค่าโดยสาร 8 NT อีกแล้วเพราะนั่งรถไฟฟ้าต่อจากรถเมล์ แล้วแพลนที่เราวางไว้จุดหมายปลายทางต่อไปของเราคือ ตลาดปลาไทเป(Taipei fish market) ซึ่งเราขอแยกเขียนเป็นอีกตอนนึงแล้วกันนะ

ปล.รูปในพิพิธภัณฑ์ที่เอามารีวิวอาจจะไม่ได้เยอะและสวยเท่าไหร่ อยากให้ไปดูของจริงกันดีกว่า คือของจริงมีของสวยๆเยอะมาก และถ้าใครมีเวลาที่ด้านข้างของพิพิธภัณฑ์จะมีสวนอยู่สวนหนึ่งซึ่งถูกจัดไว้อย่างสวยงามตามหลักฮวงจุ้ยของจีน สวนนี้มีชื่อว่า Zhi Shan garden ค่าเข้าชมสวนราคา 20 NT แต่ถ้าใครมีตั๋วเข้าชมพิพิธภัณฑ์มาแสดงก็สามารถเข้าชมได้ฟรี

ความคิดเห็น