อ่านรีวิวนี้จบคุณอาจจะตัดสินใจได้ว่า "ยอดภูเขาไฟฟูจิ ช้านจะไปยืนบนนั้นให้ได้" หรือไม่ก็ "ยอดภูเขาไฟฟูจิเหรอ บัย" รู้ก่อนไปก็จะได้เตรียมใจก่อนปีน ว่าสิ่งที่คิดกะสิ่งที่คุณต้องเจอแน่ๆ อาจแตกต่างกันลิบลับ สำหรับใครที่อ่านจบและตัดสินใจแพ๊คเป้แบบไปแน่ๆ เมาท์ฟูจิแล้วเจอกัน ท้ายรีวิวจะมีวิธีเดินทางไป จากเมืองไทยสู่โตเกียว จากโตเกียวสู่จุดเริ่มต้นวางเท้าเดิน



พิชิตยอดภูเขาไฟฟูจิ



รีวิวนี้จะมีทั้งขู่ทั้งปลอบ บรรยายกันแบบกิโลต่อกิโลกันไปเลยแบบที่คุณจะไม่เคยเจอมาก่อน สำหรับผมแล้ว เหอะๆ เพราะไม่ได้รู้ก่อนไป และไม่ได้เตรียมใจก่อนปีน ก็เลยมีเรื่องมาเล่าได้เยอะแยะ 5555 มาๆ ผมจะค่อยๆ เล่าให้ฟัง ปะปะ ไปกัน



ภูเขาไฟฟูจิเปรียบก็เหมือนดั่งดาราดังระดับโลก ดาราคนโปรดที่เราคุ้นภาพผ่านสื่อมานมนาม แล้วจู่ๆ วันหนึ่งเหตุการณ์ทำให้เราได้มาเจอตัวจริงนอกจอ มันก็จะมีอยู่สองอย่างล่ะครับ อุ๊ย ดูแย่กว่าในจอ หรือแบบตรงข้ามก็จะเป็น หูย ตัวจริงดูดีกว่าในจอเยอะเลย สำหรับ Mt. Fuji ภูเขาที่สูงอันดับหนึ่งของญี่ปุ่น บนความสูง 3,776 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง จัดเป็นภูเขาชั้นแนวหน้า ดาราใหญ่ระดับโลก ตัวจริงยามเมื่อประจัญหน้าแล้วสำหรับผมถึงกับซู๊ดปาก ร้องอูยยย แม่จ้าววว ยิ่งใหญ่สั่นสะท้านไปทุกห้องหัวใจมาก ตระหง่านค้ำฟ้าทะลุเมฆไปลิบๆ ยิ่งตื่นเต้นทวีคูณเมื่อรู้ตัวว่าวันนี้แล้วสินะเราจะต้องเดินขึ้นไป นอนกลางทางที่ไหนสักจุดและเช้าวันพรุ่งเราจะยืนอยู่ ณ ยอดภูเขาไฟฟูจิเฝ้ารอตะวันขึ้นก่อนใครและชมปากปล่องภูเขาไฟที่ยังไม่ตาย ไม่มีภาพถ่ายใดในสื่อจะให้ความรู้สึกนี้ได้ใกล้เคียงกับการมาเห็นดาราตัวเป็นๆแห่งนี้กับคลองจักษุของคุณเอง หลายคนที่เคยมาญี่ปุ่นและเห็นภูเขาไฟฟูจิย่อมทราบดีว่าคำนี้ไม่เกินความจริง และพิเศษสุดสำหรับใครที่เคยขึ้นไปมาแล้วคุณรู้สึกถึงความพิเศษอะไรบางอย่างเหมือนกับที่ผมเพิ่งได้รับกลับลงมามั้ย ภูเขาไฟฟูจิ before and after hiking เปลี่ยนไปตลอดกาลใช่เปล่า


//ยอดภูเขาไฟฟูจิ 3,776 เมตร มุมมองจากถนนทางด่วนสาย Chuo Expressway (Toll road) 600 เมตรจากระดับน้ำทะเล ทางสายหลักที่จะมุ่งหน้าเข้าหาเส้นทางเดินเทรล

มันจะมี 4 รูทที่ใช้ขึ้นเมาท์ฟูจิ มาจากคนละทิศคนละทาง สำหรับรีวิวนี้ เราจะพูดกันเฉพาะรูทยอดฮิตอันดับหนึ่ง ที่เหมาะกับคนมามาปีนภูเขาไฟฟูจิเป็นครั้งแรก เดินทางสะดวกสุด ที่พักเยอะสุด สิ่งอำนวยความสะดวกมากสุด เดินง่ายสุด ทิศทางการขึ้นอยู่ด้านทิศเหนือ ฤดูกาลปีนภูเขาไฟฟูจิแต่ละปีจะแตกต่างกันเล็กน้อยและจะอยู่ในช่วงเดียวกันคือต้นเดือนกค. - กลางเดือนกย. รวมแล้วสองเดือนเศษๆ ต้องรอฟังประกาศเปิดอย่างเป็นทางการ ซึ่งขึ้นกับหิมะข้างบน สำหรับปี 2017 นี้เปิดเป็นทางการคือ 1กค. - 10 กย. วันสุดท้ายที่จะขึ้นได้คือ 10 กย. เดินลงวันที่ 11



เมื่อฤดูกาลขึ้นภูเขาไฟฟูจิเปิดขึ้น ถนนทุกสายก็มุ่งสู่ที่นี่ การจราจรจะคับคั่งจนทางอุทยานฯจะประกาศให้โดยสารรถสาธารณะกันมานะ เพราะบนนี้จะแออัดจนไม่มีที่จอดรถให้ เราเดินทางกันช่วงต้นฤดูกาล (ต้นกค.) ยังเป็นความโชคดีของทริปนี้ที่นทท.ยังไม่เยอะ แต่ว่าเรามาตรงกับวันอาทิตย์พอดี มันก็จะเยอะๆขึ้นอีกเล็กน้อย มีแบบพวก half day trip ขับรถมาเที่ยวๆ กันที่ฐาน มองยอดเมาท์ฟูจิแล้วก็กลับกันแบบนั้น

ขอแนะนำตัวแสดง ยืนจังก้าสะดือโผล่นั่นคือผม ส่วนเกงชมพูสาวน้อยร่างบางคนซ้ายน้องสาวผม ชีอาศัยอยู่อุซึโนะมิยะ ผมเดินทางมาญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกตามคำชวนของน้องสาวคนนี้ ให้ชวนมาปีนเมาท์ฟูจิกัน



ตอนผ่านด่านเก็บค่าธรรมเนียมรถต่อแถวกันยาวมาก และจนท.ก็แจ้งเตือนให้ทราบ ว่าข้างบนตอนนี้รถติดมากนะครับ หลายคนก็เปลี่ยนใจกลับรถกันหน้าด่าน ไม่ต้องเสียเงินไม่ต้องเสียอารมณ์ ส่วนคนตั้งธงมาแล้วอย่างเราก็เดินหน้าลูกเดียวน่ะสิครับ และสุดท้ายก็โดนหยุดรถไว้ที่จอดรถข้างทางแห่งนึงห่างปลายทางออกมาสองกิโลเมตร ทางอุทยานฯจัด shutterbus หมุนเวียนรับส่งฟรีต่อไปยังปลายทาง Mt. Fuji 5th Station Subaru Lineได้เวลาแบ่งสัมภาระและเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวกันตรงนี้ ผมก็เปลี่ยนจากแตะหุ้มส้น มาเป็นผ้าใบ เพราะดูแล้วพื้นเป็นกรวดแบบนี้ขืนใส่แตะมีหวังเท้าระบบจากเศษกรวดหลุดรอดเข้าพื้นรองเท้าตลอดทางแน่นวล แต่นี่คือความผิดพลาดมหันต์สิ่งที่หนึ่ง รองเท้าผ้าใบไม่เหมาะด้วยประการทั้งปวงมันแผลงฤทธิ์ใส่ผมจนเล็บนิ้วเท้าแทบถอดอีตอนขาลงHiking Shoes เป็นรองเท้าที่แนะนำครับ นอกจากนั้นก็มี -น้ำดื่มพกติดตัว-อาหารระหว่างทาง อาจจะเป็นพวกขนมให้พลังงานสูง อย่างพวกช็อคโกแลต energy -เสื้อกันฝน เพราะมีโอกาสเจอฝน เป็นเรื่องเลวร้ายถ้าคุณโดนฝนหนาวจนเปียกปอนระหว่างทาง มันจะทำให้ร่างกายคุณเย็นเกินไปจนอาจโดนโรคแพ้ที่สูงโจมตีได้ง่ายขึ้น-เสื้อกันหนาว ลองจองพวกฮีทเท็คก็ดี บนนั้นอุณหภูมิอยู่แถว 0 องศา-ถุงมือกันหนาว นอกจากนี้ยังใช้สำหรับยึดเกาะ เพราะระหว่างทางคุณต้องเกาะต้องไต่เชือก โซ่ นอกจากนี้ก็หมวก กระดาษเปียก แปรงสีฟัน ยาสีฟัน เอาแค่นั้น เกงใน กางเกง เสื้อผ้าชุดเดียว ไม่ต้องเปลี่ยนเพราะค้างบนนั้นคืนเดียว อ้อ sun block ด้วยครับ ถ้าแดดมาเปรี้ยงๆเนี่ย มีไหม้ UV แรงแม้อากาศจะโคตรเย็น และอีกสิ่งนึงคือ หมายเหตุ >> ที่นี่ไม่มีลูกหาบ



ที่จอดรถข้างทาง รอชัตเตอร์บัสมารับไปดรอปที่ปลายทาง 5th Station Subaru Line ที่เห็นเป็นอุโมงค์นั่นเค้าทำไว้เพื่อป้องกันลาดเขาพังทับถนน มันจะมีแบบนี้อยู่เป็นระยะๆ

มาละ ถ้ามองเลยหน้าน้องสาวผมไปจะเห็นแถวรถจอดยาวเหยียด ขอสปอยตอนจบนิดนึง ทางจนท.จัดบริการรถชัตเตอร์บัสรับส่งฟรีก็จริง แต่ไม่ยักกะบอกว่าบริการนี้มีถึงเพียงบ่ายสอง วันกลับลงจากยอดฟูจิผมทำเวลาได้บัดซบมาก และลงมาไม่ทันบ่ายสอง สะบักสะบอมจนเท้าแทบจะแยกออกจากร่างยังต้องเดินตุปับตุเป๋สองกิโลกลับมาตายคารถให้น้องสาวขับกลับ T T



Mount Fuji

5th Station SUBARU LIINE

ณ ความสูง 2,300 เมตรจากระดับน้ำทะเล

ความสูงระดับฐานเมฆชั้นล่าง

ความดีงามและใจดีของเส้นทางพิชิตภูเขาไฟฟูจิคือ เราไม่ต้องเริ่มต้นเดินเท้าจากตีนภู เค้าสร้างถนนตัดทางขึ้นมาส่งกันถึงกลางภูเลย คือที่ระดับชั้น 5 เค้าแบ่งภูเขาไฟฟูจิเป็น 10 level หรือ 10 station และที่ชั้นห้านี้ก็ถือว่ามาส่งเราถึงระดับเดียวกับฐานเมฆชั้นล่างสุดละ ไม่ว่าคุณจะวางแผนมาขึ้นจากเทรลไหนในทั้งหมด 4 เทรล ก็จะเริ่มที่ชั้นห้าของแต่ละเทรล

ไม้พลอง หรือไม้เท้าเดินป่า ที่นทท.นิยมมาซื้อกันเพื่อใช้สำหรับเดินขึ้นและปั๊มตราที่ระลึกได้ด้วย ซึ่งจะมีจุดบริการปั๊มตราก็จะอยู่ไปตามฮัทระหว่างทางขึ้นพิชิตยอด ถ้าปั๊มกันไปทุกจุดไม้พลองของคุณก็จะลายพล้อย เปล่งดีกรีนำกลับบ้านไปโชว์เป็นที่รำลึกประสบการณ์อันบากบั่น โดยเฉพาะตราสุดท้ายที่ปั๊มกันบนยอดภูเขาไฟถือว่าโก้สุด แต่ว่าปั๊มทีนึงก็ต้องควักตังค์ทีนึงนะครับ ดังนั้นถ้าจะประหยัดกันสุดๆก็เลือกปั๊มกันที่ summit ไปเลยตราเดียวเอาอยู่



พลังงานเป็นสิ่งจำเป็นที่สุด อาหารแม้จะค่อนข้างแพง แต่จุดนี้แพงน้อยที่สุดแล้ว ต่อจากนี้ไปจะแพงขึ้นตามความสูง ยิ่งสูงของกินยิ่งแพง ดังนั้นก็ตุนครับพี่น้อง เราเลือกกินโปรตีนก่อนเลย ไก่ย่าง ยากิโทริ 5 ไม้ จริงๆให้ถูกเราต้องหม่ำคาร์โบ พลาดไปหนึ่ง แต่ก็ตุนคาร์โบไปอีกสอง คือซาลาเปากะโอโอบังยากิ



และอีกหนึ่งอาหารสำคัญคือ อาหารพลังงาน จัดมาละจากซูเปอร์มาเก็ตย่านบ้านน้องสาว มีหลายยี่ห้อ หลายราคามาก และผมก็หยิบเอายี่ห้อที่แพงที่สุด ไม่ได้รวยไรแต่ไม่อยากเขียมเรื่องนี้ มโนว่าแพงสุดน่าจะดีสุด เพราะเรี่ยวแรงผมก็นับวันจะลดน้อยถอยลง กำลังกายก็ไม่ได้ออกมาซักแอ่ะ Super Energy 248 yen เทียบเป็นบาทก็ซองละ 75 บาทประมาณนี้ จัดไปสามสี่ห้อยัดใส่เป้



เรื่องสัญญาณเนท สิ่งที่ขาดไม่ได้ในโลกยุคโซเชียล เดินไปเล่นเฟสไป ทริปนี้ผมหยิบซิมมาจ่ายค่ายทรู Travel Sim Asia 399บาท ความจุ 4GB ผมมาปุ่น 6 วันใช้ live ด้วยหลายหน หมดไปไม่ถึง 2GB ถือว่าเหลือเฟือ สำหรับเส้นทางขึ้นพิชิตยอดฟูจิสัญญาณจัดว่าดีตลอดทาง ทำให้เช็คกูเกิ้ลแม็บได้ตลอดเวลาเช่นกัน จากภาพ ผมลองนำทางจากจุด start ไปยังที่พักที่จองไว้บนชั้น 8 Taishi-Kan Hut ได้ระยะทางมา 4.1 กิโล ระยะเดินชั่วโมงครึ่ง วะฮะฮ่า หมูไปแล้วเมาท์ฟูจิ 5555 หารู้ไม่ เรื่องราวต่อจากนี้นรกรออยู่!! พิมพ์ๆไปนี่ยังขนลุก



มาถึงแผนที่ครับ รีวิวนี้จะมีแผนที่มากหน่อย (เกินสิบ) เส้นทางเก็บสดจากจีพีเอส เทรลเดิน Yoshida จะแยกทางขึ้นลงไว้คนละเส้น โดยเริ่มต้นใช้ทางเดียวกันไปถึงสถานี 6 จากนั้นก็จะแยก เส้นสีส้มเป็นทางขึ้น ascent route ระยะเดินถึงยอด 7.4 กิโลเมตร ทางลงผมใส่สีเหลืองไว้ descent route ระยะทางลงจากยอดมาถึงสถานี 5 อยู่ที่ 7.7 กิโลเมตร หรือถ้าไม่เจอคนเยอะจะลงทางเดิมก็ได้ แต่ไม่เหมาะจะใช้ทางลงเป็นทางขึ้น อีกอย่าง ทางลงมันไม่มีที่พักด้วย ทุกคนต้องใช้ทางสีส้มอยู่แล้ว บางคนที่แกร่งๆ จะขึ้นรวดเดียวอาจจะขึ้นเย็นๆ ให้ไปทันรอชมพระอาทิตย์ขึ้นก่อนใครบนยอด แต่ทุกคำแนะนำบอกให้คุณต้องพักหนึ่งคืนเพื่อปรับสภาพร่างกายให้เคยชินกับความสูงที่อ๊อกซิเจนจะน้อยลง ผมเคยห้าวมาแล้ว ตอนไปเลห์ลาดักห์ไม่ยอมหยุดพัก โดนอ๊อกซิเจนไปสามถังใหญ่ เข็ดเลย มาคราวนี้ต้องเตรียมตัวหน่อย




Start Hiking

11:25 เริ่มเดิน เริ่มต้นมาก็มีม้าให้บริการ ขี่ไปส่งถึงสถานี 6 ที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 1.7 กิโลเมตร สนนราคาผมเองก็ไม่ได้ถาม ไม่แน่นะ ขากลับลงมาผมอาจจะต้องใช้บริการม้าก็เป็นได้

ที่จุด start นี้ผมก็ตะโกนไล่หลังพร้อมทำท่าชี้มือให้น้องสาวชูมือเอาฤกษ์หน่อย เอ้า ยกมือสูงๆ เป็นท่าประกาศฟามพร้อม วู้ๆ ปรากฎว่านทท.คนอื่นพากันยกมือกันเป็นแถว แฮร่




กิโลเมตรที่ 0

ทางเดินเริ่มต้นด้วยความสวยหรู ลาดลงอ่อนๆ ยาวๆไป แดดร่มลมเย็นอ่อน เมฆพักมาเรื่อยๆ เมฆของแท้ไม่ใช่หมอก เพราะตอนนี้เราอยู่ระดับเดียวกับเมฆแล้ว บรรยากาศฟินไปหมดยกเว้นสีหน้าอาการของคนที่สวนกลับลงมา นั่นล่ะ เหล่าผู้พิชิตยอดภูเขาไฟฟูจิเมื่อเช้าที่เดินกันลงมาถึงข้างล่างแล้ว เร็วโพด แต่ว่าแต่ละคนสภาพที่เห็นกระปลกกระเปลี้ยกันเหลือเกิน คิดอีกทีนี่คือเนินดักขากลับดีดีนี่เอง

900 เมตร ลดระดับความสูงจาก 2,300 มาสู่ 2,290 เราก็มาเจอกับทางแยก มันก็จะไปได้ทั้งสองทาง แต่ผม google streetview มาแล้วแยกขวาขึ้นเนินทางฉลุยกว่า และจุดนี้ก็นับหนึ่งสำหรับการเริ่มต้นทางชัน เส้นทางจะเริ่มเชิดขึ้นละ แต่ยังเชิดกันแบบออเดิ๊ฟเชิ้บๆ เดินไปเล่นเฟสไปได้



ก้อนหินภูเขาไฟ ทางราบหายไปแล้วก็เริ่มหอบ ทำเป็นเดินชมนกชมไม้ชมก้อนหินไปเรื่อยหยิบก้อนหินขึ้นมาทดสอบน้ำหนักดูเล่นๆ โอ๊ะโอ! เบามาก เหมือนก้อนหินปลอมทำจากโฟมแล้วพ่นด้วยแอร์บรัช เบาจริงๆ ... สัมภาระผม น้ำหนักแบกทั้งหมดประมาณ 5 กิโล ส่วนสัมภาระของน้องเหรอ เบากว่าแน่นอน ชีไม่พกกล้อง ><



มองไปตามพื้น พบพืชเล็กๆที่แซมมาตามกรวดภูเขาไฟ มันถูกแซมอีกทีด้วยปุยๆ สีขาว ดูจะชุ่มชื้นๆ เหมือนฝอยลม




1 กิโลป่า

ป่าสวย แปลกตา ลำต้นมันพร้อมใจเอียงลู่แบบนั้นราวกับโดนแรงมหึมาของอะไรบางอย่างกระทำไว้ เอ๊ะ หรือมันเป็นแบบนี้ตอนแผ่นดินไหวหรือตอนภูเขาไฟระเบิด คิดไปเรื่อยในห้วงคำนึง เส้นทางช่วงนี่จะตัดผ่านแนวป่าราวๆ หนึ่งกิโลเมตร



นี่คือช่วงเวลาชื่นชมป่าสวยๆ พอถึงสถานี 6 เราก็จะไม่เจออะไรแบบนี้อีกแล้วนะครับ โลกจะเปลี่ยนเป็นดาวอังคารทันที ดังนั้นใช้เวลากับช่วงนี้ให้เต็มที่ไปเลยครับ ถือเป็นการวอร์มอัพไปในตัว




คนน้อยๆ มันจะฟินๆ หน่อย หายากที่เส้นนี้จะคนเบาบาง บางทีอาจจะเกี่ยวกับเด็กนักเรียนยังไม่ปิดเทอมกัน น้องสาวบอกว่าเด็กจะปิดเทอมปลายกค. เรามาต้นกค. ต้นฤดูปีฟูจิ เด็กปิดเมื่อไหร่จะพากันมาภูเขาไฟฟูจิกันเยอะด้วย เส้น Yoshida นี้ปีๆ นึงตามสถิติจะมีนักท่องเที่ยวขึ้นเส้นนี้ราวแสนห้าถึงแสนเจ็ด ตลอดสองเดือนเศษหรือ 70 วัน เฉลี่ยก็ราวๆ วันละสองพันกว่าคน ลองเรียงตัวเลขนี้ไปถึงยอดเขาฟูจิ จะได้ประมาณ 1 คนทุกๆ สามเมตร !!!




ต้นไม้ใหญ่ที่ดูสวย สง่า ป่าสะอาดตา และดูเงียบสงบ ดูได้อารมณ์เซนๆ ยังไงชอบกล คงเป็นอุปทานเพราะเรากำลังอยู่ในดินแดนเซนแห่งญี่ปุ่น เอาล่ะครับ หมดเวลาชมต้นไม้ละ เครื่องอุ่นพอดี เดินหน้าลุย




พ้นแนวป่าออกมาก็จ๊ะเอ๋กับอุโมงค์กันหินสไลด์อีกครั้ง เป็นอันว่าสิ้นสุดจุดบันเทิงแนวป่าๆ กันแล้วเตรียมตัวเข้าโหมดดาวอังคาร




กิโลเมตรที่ 1.7

KM 1.7

elevator: 2,390 m.

สถานีที่ 6

6th Station

จุดนี้เป็นจุดที่มีหน่วยบริการของอุทยานฯ เป็น first aid center มีข้อมูลแผ่นพับแผนที่ให้หยิบ มีหมวกกันน๊อคให้ยืมด้วย เอาไว้กันหินภูเขาไฟร่วงใส่หัว ซึ่งมีโอกาสที่จะเกิดเหมือนกันแต่ไม่มาก วางค่ามัดจำหมวกนิดหน่อยประมาณ 5000 เยน




แผนที่นี้เส้นทางช่วงแรกที่เราเดินมา

5th station - 6th station

ระยะทาง 1.7 กิโลเมตร ผ่านผืนป่า

900 เมตรแรกลาดลงเนินอ่อนๆ เป็นการเดินวนรอบย้ายจุดไปยังตำแหน่งสันเขาเพื่อจะเริ่มไต่ขึ้นฟูจิ

800 เมตรหลังคือนับจากแยกซ้ายมือ ตัดไหล่เขาขึ้นสู่สถานี 6 hiking กันจริงๆ ที่จุดนี้




ให้นึกภาพอย่างนี้นะครับ เมาท์ฟูจิเป็นหน้าปัดนาฬิกากลมๆ ตำแหน่งของ 5th station subaru line จะอยู่ที่ 12 นาฬิกาพอดี เส้นทางเดินไปยัง 6th station จะเป็นการเดินในลักษณะไต่เส้นรอบวงเพื่อย้ายตำแหน่งไปจุดเริ่มต้นเดินขึ้น เกาะไปตามระดับ 2,300 เมตร ค่อนข้างลาดชันต่ำใน 900 เมตรแรก แล้วแยกขวาตัดไหล่เขาผ่านป่าสวยๆ สูงขึ้นเรื่อยๆ แต่ทีละน้อยๆ มาถึงตำแหน่ง 1 นาฬิกาของหน้าปัด นั่นละครับสถานีที่ 6 เส้นทางต่อจากนั้นก็จะหักศอกขวาไต่สันเขาไปในแนวเส้นรัศมีพุ่งขึ้นสู่ยอดภูเขาไฟ ผ่านชั้น 7 ที่ความสูง 2,700 เมตร ที่จะมี Huts หรือที่พักเรียงรายไป 7 แห่ง แล้วก็เข้าสู่ชั้นที่ 8 เหนือระดับ 3,000 เมตร มีที่พักเรียงรายไปอีก 7 แห่งเช่นกัน ก่อนขึ้นสู่ชั้น 8.5 ที่มีที่พักอยู่แห่งเดียวอันเป็นแห่งสุดท้ายก่อนถึงปากปล่อง จากนั้นก็ผ่านชั้น 9 ที่ความสูง 3,600 เมตร ขึ้นสู่ยอดภูเขาไฟที่ความสูงเหนือ 3,7xx สิ้นสุดเทรล (มีที่พักอีกที่ปลายเทรลนี้)




เอาล่ะครับ ดาวอังคารขอต้อนรับ คนส่วนใหญ่ที่มาเที่ยวแบบ half day trip มาเทรคสั้นๆ เดินเล่นๆ ก็จะมาสุดกันเพียงสถานีนี้แล้วก็เดินกลับ สำหรับ climber ทุกท่านที่แพลนมาพิชิตยอดภูเขาไฟฟูจิต้องจองที่พักกันมาล่วงหน้าแล้ว ไม่มีการ walk in นะครับ ท้ายรีวิวจะแปะลิงค์จองที่พักไว้ให้ สำหรับเราจองที่พักไว้ที่ชั้น 8 หลังแรก Taishi-kan ระยะทางรวมจากจุด start ก็อยู่ที่ 4.4 กิโลเมตร โดยประมาณ 4.4 เองเหรอ โอย สิวๆ จิ๊บมาก ผมคิดอย่างนี้จริงๆ เวลานั้น ก็ดูสิ เดินเล่นๆ ชั่วโมงเดียวเดินมาได้โลเจ็ดแล้ว ทางข้างหน้าเหลืออีกแค่สองโลเจ็ดแค่นั้น เดี๋ยวก็ถึง! ดูเวลาก็ยังไม่บ่ายโมงเลย โถ อะไรจะฟินขนาดนี้ ว่าแล้วก็ก้มหน้าเดินเช็คเฟสบุ๊คฟีดต่อ ปลายทางของ Day1 อยู่ที่ 8th Station ที่พักชื่อ Taishi-kan เหนือเส้นความสูง 3,030 เมตร




ทางเริ่มชัน บันไดล้วนๆ ขั้นบันไดใหญ่ๆ แต่ยังสบาย ก้าวไปเรื่อยๆง่ายๆ ไม่มีแดดไล่ อากาศดี๊ดี ก้าวไปช้าๆ เสบียงชิ้นแรกถูกงัดมาจัดการอย่างชาญฉลาด เพื่อลดน้ำหนักสัมภาระแม้จะลดไปเพียงไม่กี่กรัมก็ตาม บรรยากาศตอนนี้เหมือนเดินอยู่บนกองกรวดยักษ์และมนุษย์เป็นเพียงมดตัวน้อยตัวนิด

เดินไปๆ ชักไม่สนุกแล้ว ชันยาวมาก สับฟันปลาขึ้นไปเรื่อย ทางเป็นขั้นๆ บังคับให้ยกเข่า สบับกับทางลาดที่บั่นทอนกำลังสุดๆนั่น น้องสาวไปนั่งอมยิ้มชูนิ้ว i love u อยู่นั่น ดูเธอว์จะสบายๆ มาก เห็นบางช่วงวิ่งอีกต่างหาก เล่นออกกำลังกายวิ่งวันละสิบกิโลนิ เลยสบาย

ส่วนผมเหรอ เหอะๆ หอบแฮกวางไม้เท้ายืนพักชมดอกไม้ดีกว่า



ทางอย่างที่เห็น สับฟันปลาถี่ยิบ ไต่ระดับขึ้นเรื่อยๆ นับได้ทั้งหมด 13 ฟันปลา กว่าจะขึ้นแตะชั้น 7 ไม่ได้เดินนับหรอก กลับมานับที่บ้านจากแทรคจีพีเอสที่เซพไว้

เทรลนี้ไม้เท้าเดินป่าเดินเขาเป็นสิ่งจำเป็นมาก ต้องมีอย่างน้อยหนึ่งอัน มันจะช่วยเซพกำลังขาได้มาก




1 กิโลครึ่ง จาก 6-7 th Station

และแล้วเราก็มาถึงหน้าชั้นที่ 7 กับระยะทางจากชั้น 6 รวมหนึ่งกิโลครึ่ง

7th Station

elevator: 2,700 m.

แต่แม่เจ้า ทางเหรอนั่น ขาสั่นไปหมด โอย ตายๆ สถานีที่ 7 กับที่พักทั้ง 7 เรียงรายถัดๆ กันขึ้นไป จากระดับ 2,700 m. ถึง 2,900 m. และมองเห็นแถวๆ ยอดฟูจิอยู่เบื้องหลังไกลๆ มีร่องรอยหิมะเป็นแอ่งๆ เหลืออยู่

ที่พักแห่งแรกของชั้นเจ็ดและแห่งแรกของเส้นทาง ...Hana-Goya Hut มีความหมายว่ากระท่อมดอกไม้โคตรเมื่อย กว่าจะมาถึงจุดนี้ ทำระยะมาได้ทั้งหมด 1.7+1.5 = 3.2 กิโลเมตร ใช้เวลาไปทั้งหมด 3 ชั่วโมง 40 นาที!! ที่เท่ากับว่าที่ไต่จากชั้นหกมาโลครึ่งเนี่ยสองชั่วโมงครึ่ง OMG ดูเวลาก็ปาไปบ่ายสามแล้ว _ _"




แผนที่เส้นทาง

6th station - 7 th station

ระยะทาง 1.5 กิโลเมตร

ไต่ระดับจาก 2,400 - 2,700 เมตร ซิกแซกสับ 13 ฟันปลา ถ้าตัดขึ้นตรงๆมีหวังตาย เขาเลยทำซิกแซกลดความชันไว้ให้ แต่ช่วงปลายๆ ทางเริ่มเป็นหินภูเขาไฟใหญ่ๆ ก็ต้องทำเชือกให้เหนี่ยวกันขึ้นไปเริ่มซิกแซกน้อยลง




บริการปั๊มตราลงบนไม้พลอง ที่จะมีไปตลอดน่าจะทุกจุดที่พัก (รวมที่พักตลอดเส้นทาง 16 แห่ง)

ขนมพลังงานที่นี่ก็มีขาย พวกช๊อกโกแล็ต ราคาแพงกว่าชิ้นที่แพงที่สุดที่ผมซื้อมาจากซูเปอร์เมื่อคืนเห็นๆ .... เหลือบไปดูอุณหภูมิ 20 องศา กำลังเย็นสบาย ช่วยให้ทุเลาความเหนื่อยไปได้โข



บรรยากาศรวมๆ ของที่พักจุดแรก

ไต่กันต่อ ทันทีที่พ้นจากที่พักแรกทางช่วงต่อไปก็โผล่มาให้เห็น แม่จ้าว ยิ่งชันขึ้นไปอีกนะนั่น




ไต่ไปร้อยเมตรก็เปลี่ยนระดับมายืนอยู่ที่ 2,720 เมตร ที่พักแห่งที่สอง Hinode-Kan Hut

ของกินต่างๆ และราคา



เทรลเหนือเมฆมันก็จะดีตรงที่มีเมฆลอยอยู่ข้างๆไม่ก็ข้างล่างให้เรามอง เหมือนเทรลสวรรค์



เดินต่อไปก้าวต่อไปอย่างมุ่งมั่น สู้กับร่างกายตัวเองและแรงโน้มถ่วงโลก

ออกจากที่พักที่สองมาอีกเพียง 150 เมตรเราก็มาเจอที่พักถัดไป ติดกันถี่ยิบ



Tomoe-Kan Hut at 7th station

ความสูงมาอยู่ที่ 2,740 แล้ว เหลือความสูงอีก 1,000 เมตรสินะจะลุถึงระดับปากปล่อง แต่เด๋วก่อน นับจากชั้นห้ามาเนี่ยเราเพิ่มทำความสูงมาได้ 400 กว่าเมตร กับจำนวนชั่วโมง สี่ชั่วโมงครึ่ง โอย คิดๆ ไปแล้วใจมันท้อ

วิวด้านล่าง ฮัทที่สองกับฮัทแรกที่เราเดินผ่านกันมา กับทาง 13 ซิกแซกเป็นฉากหลังไกลๆ



สองแม่ลูก ดูเด็กน้อยเดินขึ้นมาแล้วยอมเลย เด็กเดินเก่งกว่าผู้ใหญ่น่าจะเพราะร่างต้านแรงโน้มถ่วงน้อยกว่าผู้ใหญ่นะว่ามะ

แฮร่ น้องสาวผมมานั่งเล่นเฟสคอยอยู่ตรงนี้นี่เอง ชีสบายเดินตัวปลิวงานนี้



เทรลเดินที่นี่เหมือนเกมส์ ที่พักแต่ละที่เหมือน level เหมือนด่าน พอผ่านหนึ่งด่านก็จะเผยให้เป็นเส้นทางสู่ด่านต่อไปที่อัพเวลขึ้น สูงขึ้น และเหมือนจะชันขึ้ไปอีก

ลุยกันต่อครับ อยากไปให้พ้นๆ ชั้นเจ็ดเหลือเกิน จะได้ถึงที่พักเสียที



โอย ยิ่งสูงยิ่งชัน ไม่ชันเฉยๆ วางเท้ายากขึ้นเรื่อยๆ อีกต่างหาก ดูสิ ทางแทบไม่เป็นทางแล้ว นี่คือที่พักจุดที่ 4 Kamaiwa-Kan Hut ณ ความสูง 2,790 เมตร ห่าจวก เดินไม่พ้นสองพันเจ็ดเสียที จุดนี้อยู่ห่างจากที่พักตะกี๊แค่ 180 เมตร แต่ผมใช้เวลาไต่ขึ้นมาถึง 40 นาที โอ้ว ม่ายยย จะห้าโมงเย็นแล้วเนี่ย

ห้องน้ำที่มีบริการอยู่ทุกที่พัก และราคาเท่ากันหมด 200 เยน ป๊าด ฉี่ทีละ 60 บาท!!! ภาพห้องน้ำนี้คือที่พักจุดที่ 5 Fuji-ichi-kan Hut ถัดจาก 4 มาเพียงร้อยเมตร แตะความสูง 2,800 เป็นครั้งแรก



ดูเธอจะลั่นล้ามาก ดูดู๊ดู ไปกันต่ครับ ตามหล่อนไป

เดินไปสองก้าวหยุด ๆ พักเหนื่อยชมดอกม้งดอกไม้ไปตามเรื่อง รองเท้าผ้าใบที่ใส่มายังทำงานได้ดีสำหรับเทรลเดินขึ้น ซึ่งตอนหลังมันไปแผลงฤทธิ์วันเดินลง



เสาโทริอิสีแดง สัญลักษณ์ให้รู้ว่าตรงนั้นคือฮัทที่มีชื่อเดียวกับเสา

Torii-So Hut 7th Station

elevator: 2,860

ห่างออกไปอีก 180 เมตรจากที่พักจุดที่ 5

วิวข้างทาง มันจะมีเมฆลอยๆ



เป็นเพื่อนตลอดทางชมวิวไปพลางๆ นะครับ วิวมันก็จะประมาณๆ นี้ ซ้ำซาก ซ้ำเดิม เพิ่มเติมคือเมฆลอยไปลอยๆ

สภาพเส้นทางที่ขึ้นมา หินภูเขาไฟ หรือเถ้าลาวาก็ไม่รู้



สูงขนาดนี้ยังมีสีสันของเขียวๆ ให้ชมกัน วิวตรงนี้สวยจนต้องยกกล้องมาถ่าย มองเห็นทะเลสาบยามานะกะอยู่ลิบๆ


ซูมใกล้ๆ ดูพลิ้วหญ้าไหวๆ



ผมไต่ผ่านที่พักที่มีเสาโทริอิสีแดงไปอย่างที่ไม่ได้เงยหน้ามองเสา ลืมถ่ายรูปมานะครับ รวบรวมกำลังกาย เรียกกำลังใจยกขาชันเข่าตะกายขึ้นมาเรื่อยๆ เงยหน้าทีไรบอกตรงๆ โคตรท้อ แม่มอยากจะเดินกลับลงก็อายน้อง Toyo-kan Hut ที่พักสุดท้ายของชั้น 7 ณ ความสูง 2,900 เมตร ดูทางสิ อัพเวลขึ้นเรื่อยๆ _ _"



พักเมื่อยกันอีกครั้งตรงที่พักสุดท้ายของชั้นเจ็ด ดูน้องมันยังนั่งยิ้ม ส่วนเราลิ้นห้อย

บรรยากาศยามเย็นๆ ทะเลสาบยามานะกะ ก่อนดวงอาทิตย์ตกดิน นั่งพักยาวๆ ไป เวลาตอนนี้ก็ 17.40 น. ใกล้หกโมงเย็นแล้ว ดวงอาทิตย์ยังไม่ลับฟ้า เนื่องจากเป็นซัมเมอร์ กลางวันยาว กลางคืนสั้น จากจีพีเอสผมตะวันจะตกหนึ่งทุ่ม กลางวันยาวนาน 14.25 ชม.



แผนที่อีกรอบจาก 7th station - 8th station

ระยะทางรวม 1.3 กิโลเมตรแต่เฉพาะนับจากที่พักจุดแรกของชั้นเจ็ด Hana-goya มายังจุดสุดท้าย Toyakan ระยะทางมันเพียง 860 เมตรเท่านั้น แต่ผมใช้เวลาไปถึง 2 ชั่วโมง 20 นาที บอกตรงๆ โคตรอายชาวโลก



ดูจากแผนที่ข้างบนมันจะเหลืออีก 440 เมตรถึงที่พักที่เราจองไว้ แต่เวลานั้นผมไม่รู้หรอก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมื่อไหร่มันจะพ้นๆ ไอ้ชั้น 7 ไปเสียที แล้วก็ไม่รู้มาก่อนด้วยว่าแต่ละชั้นมันจะหน้าตาเป็นยังไง จะมีที่พักเรียงรายกันไปแบบไหน ข้อมูลต่างๆ เหล่านี้มา replay เอาตอนหลัง สถานะการณ์จริงคือแหงนหน้าตั้งกัดฟันก้าว ทีละก้าว เหนื่อยทุกก้าว ที่โหดร้ายคือมองขึ้นไปมันก็เหมือนกันไปหมด ภาพเดิมๆ คือเห็นทางชัน ปลายทางมีกระท่อม แค่นั้น พอเดินขึ้นไปถึงกระท่อม พัก พ้นกระท่อมไปก็เจอภาพเดิมๆ ทางชันยาวๆ ปลายทางมีกระท่อม มันซ้ำๆ อยู่แบบนี้จนท้อแท้ เวลาก็เย็นลงๆ ไปทุกที

ยืนพักเมื่อยชมก้อนหิน เวลานี้ไม่มีดอกไม้ให้ชมแล้ว



และก็เช่นเดิม 440 เมตรจากจุดสุดท้ายของชั้นเจ็ดขึ้นมานี่ ล่ออีกชั่วโมงเศษ กรูจะบ้า

ในที่สุดก็มาถึงชั้นแปดเสียที รวมเวลาขึ้นมาถึงนี่เนี่ย 7 ชั่วโมงครึ่ง จากระยะทางทั้งหมดเพียง 4.4 กิโลเมตร ทำความสูงขึ้นมาจาก 2,300 ถึงตรงนี้ 700 เมตร ยืนเหนือระดับเส้น 3,000 แล้ว

Taishi-kan Hut 8th Station

elevator: 3,030 m. แต่เสาหน้าร้านเขียนไว้ว่า 3,100 m. เลขมันสวยกว่าจำง่ายกว่า



และแล้ว ด้วยความเบลอสุดขีดเหมือนสวรรค์แกล้งเพราะบ่นมาก ผมก็เดินเลยที่พัก!! เดินเลยจนเอ่ะใจ เพราะเปิดเนทเช็คแม๊ปไฉนตำแหน่งที่พักมันเลยมาแล้ว หลังไมค์ถามน้องสาวที่ถึงที่พักแล้วสอบกันไปมาถึงบางอ้อว่าเวรแล้ว กรูสลายแรงโดยไม่จำเป็นเดินเลยขึ้นมาทางก็โคตรชันต้องขาสั่นย่อเข่ากลับลงไปอีก ระหว่างนี้ก็เลยยืนชื่นชมพระจันทร์เต็มดวงคืนวันเข้าพรรษา พระอาทิตย์ตกไปแล้ว 5 นาที

แล้วก็ได้ถ่ายหลังคาที่พักด้วย (ก็เดินเลยนี่หว่าเลยมองเห็นหลังคา เหอะๆ)



ผมน่าจะเช็คอินเป็นคนสุดท้ายแหละ ที่พักที่นี่แม้จะจองมา แต่ต้องมาจ่ายสดที่นี่ คนละ 8500 เยน นอนกันเป็นคอกๆ แบบนี้ แล้วผ่าดันได้ชั้นบนด้วย ปีนขึ้นแทบไม่ไหวขายกไม่ขึ้น

แล้วก็นั่งกินข้าวที่ทางที่พักจัดให้พร้อมจัดเสบียงสำหรับขึ้น summit ให้ด้วยเลยในกรอบสี่เหลี่ยมเล็ก มีน้ำคนละขวด มีขนมปังแล้วก็อาหารสำเร็จที่เวพไว้แล้ว โถ เวพไปก็เท่านั้น เดี๋ยวก็เย็นชืดเหมือนเดิม คืนนั้นก็เข้านอนตอนสองทุ่มกว่าๆ แปรงฟันอย่างเดียว น้ำไม่ต้องอาบ กระดาษเปียกจัดไป อ้อ ก่อนนอนก็ฉี่ให้มันคุ้ม ที่พักเราเราฉี่ฟรี ฉี่ที่อื่นฉี่ละ 60 ไม่ไหวจะเคลียร์

รอเวลาตื่นตีหนึ่งเพื่อเตรียมตัวขึ้น Summit




Day2 NIGHT TRAIL

ได้เวลา พิชิตยอด Mt. Fuji SUMMIT

ตีหนึ่ง เสียงผู้คนก็จ๊อกแจ๊กจอแจ สาละวนกับการเตรียมตัวขึ้น summit ที่ Yoshida trail นี้เนื่องจากทางขึ้นและลงอยู่คนละทาง หลังพิชิตยอดแล้วต้องเดินลงอีกทางนึง ดังนั้นเลยกลายเป็นเรื่องค่อนข้างโหดร้ายที่ต้องเช็คเอ๊าท์เอาสัมภาระติดตัวไปให้หมด เพราะจะไม่ผ่านมาที่พักอีกแล้ว แหงนหน้ามองไปทางยอดมองไม่เห็นยอดแต่เห็นพระจันทร์เต็มดวงลอยเด่น พระจันทร์ที่ขึ้นมาจากเมื่อวานเย็นที่กำลังคล้อยต่ำเตรียมลับฟ้า

1:30 am เราก็พร้อมเดินทางแล้วครับ คนพร้อม สัมภาระพร้อม เครื่องกันหนาวพร้อม และไฟฉายคาดหัว ... พร้อม



แผนที่ Day2 night trail go summitระยะทาง 3 กิโลจากที่พัก อะไรจะรออยู่ข้างหน้าบ้าง เวลานั้นไม่รู้เลย เดินตามทางอย่างเดียว




พระจันทร์ลับเหลี่ยมไปแล้ว ทุกอย่างรอบตัวมืดหมดยกเว้นแสงสว่างจากไฟฉายคาดหัว แสงไฟในเมืองไกลๆ และแสงขอบฟ้าด้านทิศตะวันออก ไฟฉายแนะนำว่าต้องเป็นชนิดคาดหัวเท่านั้นนะครับ แบบใช้มือถือส่องไม่ดีแน่นอน เพราะเราต้องเหลือมือไว้จับไม้เท้าและรั้งเชือก

อ้อ แสงสว่างอีกอย่างในตอนนี้ก็คือแสงจากดวงดาวระยิบระยับ น่าถ่ายดาวจริงเลยถ้ามีเวลากลับมาอีกจะจาถ่ายดาวหมุนที่นี่



ฝ่าความมืดมาสองชั่วโมง ทำระยะมาได้เพียง 1.1 กิโลเมตร ผ่านที่พักมาอีกสามแห่ง ดูเวลาตอนนี้ตีสามครึ่ง ท้องฟ้าด้านทิศตะวันออกเริ่มสว่างแล้ว ข้อมูลคือวันนี้ดวงอาทิตย์จะขึ้นตีสี่ครึ่งจุดนี้ยังคงเป็นชั้น 8 ณ ความสูง 3,285 มีป้ายบอกทางแยกลงเขา เป็นจุดที่จะไปเชื่อมกับ descent route

Fujisan Hut ที่พักที่ใหญ่สุดอันดับต้นๆ ของเทรลโยชิดะ ตีสี่แล้ว ฟ้าสว่างขึ้นเรื่อยๆ



มาถึงตรงนี้

Main 8th Station

Fujisan Hut

elevator: 3,350 m.

ห่างจากจุดเริ่มต้นมาเกือบหนึ่งกิโลครึ่ง ใช้เวลามาเกือบสามชั่วโมง

ทั้งเหนื่อย ทั้งล้า ส่วนน้องสาว ผมบอกให้ล่วงหน้าไปเลยไม่ต้องรอคนแก่ 555 ตูจะได้อู้พักนานๆ ไม่ไหวแล้ว อยากจะถอดใจ อยากนั่งมองดวงอาทิตย์ขึ้นตรงนี้พอ เอาจริงๆ เวลานั้นไม่อยากพิชิตแล้ว แล้วกลับบ้านน แงๆ แต่เสียงฝ่ายค้านในใจก็แย้ง ลงไปมรึงอายแน่ คุยเฟื่องในเฟสไว้เยอะ



ท้องฟ้าสว่างขึ้นเรื่อยๆ สวยจัง ป่านนี้คนบนยอดเขาคงปลื้มปริ่มกันใหญ่เฝ้ารอตะวันที่จะโผล่พ้นฟ้านับถอยหลังไปอีกไม่เกินสิบห้านาที ส่วนผม.. ได้แต่ยืนทอดฮุ่ย นานๆทีก็จะขยับขาก้าวไปสักก้าวสองก้าวแล้วก็พักอีก

เหนือที่พัก Fujisan จะมีที่พักอีกสองแห่ง ติดๆ กันคือ Tomoe-Kan ชื่อเดียวกันกับอีกอันนึงที่อยู่ชั้น 7 เจ้านี้มีอยู่บนนี้สองสาขานั่นเอง อีกแห่งทางซ้ายคือ Edoya Hut เรียกว่าบริเวณนี้เป็นชุมชนใหญ่จริงๆ จุนักท่องเที่ยวรวมกันน่าจะได้ราวๆ ห้าร้อยคน ก็สมละที่เรียกจุดนี้ว่า Main 8th station หรือชั้นแปดหลัก ออ นี่คือตรูพักอยู่ปากประตูชั้นแปดนั่นเอง โถ เดินไกลเลย คนที่พักตรงนี้ป่านนี้คงเดินไปค่อนทางละ



นอกจากนี้แล้วตรงนี้ยังเป็นจุดเชื่อมสำคัญของอีกเทรลนึง คือ Subashiri Trail ที่จะมาบรรจบกันและใช้เส้นทางร่วมกันจากจุดนี้ขึ้น summit คนก็เลยจะเยอะๆ หน่อย นอกจากนี้ยังเป็นจุดให้แวะห้องน้ำได้ในช่วงขาลงที่เราลงกันอีกทางนึง ทางจะมาใกล้ๆ กับจุดนี้ ซึ่งทางขาลงมันจะมีห้องน้ำอยู่แค่ตรงนี้กับอีกจุดคือใกล้ๆ ถึงข้างล่าง



หน้าฮัทที่อยู่เหนือหลังคา Fujisan อันที่ชื่อ Tomoe-kan ป้ายบอกว่าความสูง 3,400 เมตรแล้ว วัดจริง 3370

เดินไปมองเทอร์โมมิเตอร์ใกล้ๆ ตัวเลขอยู่ที่ 0 องเศา



ก้มหน้าเดินกันไป ป้ายบอกว่าเหลืออีก 1.2 กิโลจะถึงยอด พร้อมเวลาเฉลี่ยว่า 50 นาทีถึง ถรุยเสะ 100นาทียังไม่รู้จะถึงรึเปล่า

ฟ้าสว่างจนไม่ต้องไปสนเรื่องทันไม่ทันแล้วครับ ดวงตะวันขึ้นตรงไหนก็ยืนชมมันตรงนั้น ที่เหลือคือหอบสังขารขึ้นให้ถึงปากปล่อง เอาแค่นั้นพอ



และแล้ว ตะวันก็ขึ้นกลางทาง โผล่พ้นฟ้ามาในทิศตะวันออกเฉียงเหนือเล็กน้อยตำแหน่งสองนาฬิกาเหนือทะเลสาบยามานะกะ ตอนนี้เหรอผมอยู่ ณ ความสูง 3,420 m. เรียกว่าเพิ่งขึ้นมาจากที่พักได้แค่สี่ร้อยเมตร! พระเจ้าช่วยกล้วยทอดเอ๊ย ผลาญเวลาไปสามชั่วโมงเศษ

เพิ่งสังเกตเห็นว่าอยู่บนที่สูงขนาดนี้เราเห็นดวงตะวันขึ้นก่อนเวลาที่ระบุในจีพีเอสนิดหน่อย นาทีสองนาที


บอกแล้ว ตะวันขึ้นตรงไหนก็ยืนดูมันตรงนั้น คิดในแง่ดียืนตรงนี้ไม่เบียดคนอารมณ์ได้ 55555 หงืด

ขาตั้งกล้องไม่ได้พกขึ้นมาไม่เป็นไร อาศัยวางไปตามเหลี่ยมหิน


แดดเริ่มจ้า เงาเริ่มเข้ม มีแต่เรากะเงาเป็นเพื่อน คนอื่นคงไปอยู่บนยอดกันหมดละ

และแล้ว ก็ถึงชั้น 9!! แต่เดี๋ยวนะ ม่ายยยยยย นี่มันชั้น 8.5!!! มาจากไหน ให้ตายสิ นี่ล้อเล่นกันใช่มั้ย คือเดินมาสามชั่วโมงครึ่ง เดินมา 1.8 กิโล (ทำระยะโคตรน้อย) นี่เพิ่งไต่มาครึ่งชั้น!!! อารมณ์ตอนนั้นแปรปรวนมาก อยากจะโยนไม้เท้าทิ้ง นั่นมันตรงนี้เลย

8.5th station ชั้นแปดครึ่ง ชั้นทำลายขวัญ



บนความโกรธ ความท้อ ความเหนื่อย เวลานั้นอยากจะล้มภารกิจละ โกรธไอ้ชั้นแปดครึ่งนี่มาก ว่าจะไลน์ไปบอกน้องที่ป่านนี้น่าจะอยู่บนยอดแล้ว ว่าเฮียลงไปรอข้างล่างนะ แต่ศักดิ์ศรีมันก็ค้ำคอ ไม่ๆๆๆ แพ้ผู้หญิงได้ไง กัดฟันต่อดีกว่า และแล้ว พอพ้นชั้นแปดจุดห้าบ้านี่กำลังใจกลับมาอีกครั้งยอดเมาท์ฟูจิอยู่ในระยะสายตาแล้ว ใช่เลย นั่นเลย ใช่มันแน่นอน ปลุกพลังในตัว ก๊อกที่สิบ แล้วก้าวเดินหน้าต่อไปเทรลภูเขาไฟฟูจิ มันคือเทรลทดสอบจิตใจยิ่งกว่าร่างกายเสียอีก



ดูแผนที่อีกสักแผ่น เส้นทาง go summit เดินออกจากที่พัก Taishi-kan ที่ต้นชั้น 8 เดินมาสุดชั้นแปดที่ Fujisun ตรงที่มีแท่งแดงๆ สามแท่งซึ่งแท่งแดงแต่ละแท่งหมายถึงที่พักแต่ละแห่ง ตรงนี้มีกระจุกกันสามแท่งคือมีที่พักสามแก่ง และจะเห็นว่าเป็นทางเชื่อของเส้นม่วงๆ ด้วยซึ่งเป็นเส้นที่จะใช้กันตอนขาลงจากยอด สามารถเชื่อมมาใช้ห้องน้ำแถวนี้ได้ เส้นทางเดินผมไปสว่างตรงก่อนถึงชั้นแปดครึ่ง ไม่รู้ที่นี่เค้าเอาอะไรเป็นเกณฑ์แบ่งชั้น ผมล่ะงงจริงๆ และอยากรู้มากๆด้วย ดีที่ชั้น 8.5 นี่มีกระจึ๋งเดียว มีที่พักแห่งเดียว ถัดจากแปดจุดห้าไปครึ่งกิโลก็แตะชั้นเก้า และไปอีกครึ่งกิโลก็ถึงยอดฟูจิ รวมระยะทาง 3 กิโลเมตร ทั้งนี้ทั้งนั้นระยะทางใกล้ไกลก็สุดแต่ใครจะเลือกจองที่พักมากันตรงไหน



เอาล่ะครับ มะ มาสู้ต่อ ฟ้าสว่างสดใสพร้อมความหวังใหม่ อย่างน้อยเห็นยอดอยู่ใกล้ตาละ แม้ความสูงชันที่เห็นจะบั่นทอน แต่บางอารมณ์มันก็มานะขึ้นมาสลับๆไป

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ยังเห็นคนอื่นเดินตามมาข้างหลัง ยังไม่ถึงเหมือนเราก็เป็นสิ่งที่ช่วยปลอบขวัญ ดีกว่าเดินอยู่คนเดียวเปล่าเปลี่ยวโดยที่ใครๆเค้าก็ขึ้นไปกันถึงยอดหมดแล้ว ... แต่เดี่ยวก่อนนั่น อย่าเพิ่งแซงปายยย ห้อยท้ายตามเคย



หิมะที่ยังหลงเหลือบนยอดฟูจิต้นซัมเมอร์ ภาพนี้ถ่ายตอนตีห้า

นทท.ที่พิชิตยอดกันแล้วกำลังทยอยเดินลงบนเส้นทาง descent route ฉากหลังเมฆอลังแบบนั้นตอนนี้เมาท์ฟูจิทั้งลูกคงจมอยู่ใต้ม่านเมฆหมอกสำหรับคนข้างล่าง



ไม้เท้าเดินป่า ได้มาจากร้าน pathwild อันละพันกว่า ตัดสินใจถูกต้องที่ซื้อมา ตอนแวะไปซื้อคนขายพอรู้ว่าจะมาปีนเมาท์ฟูจิก็ทักว่า ไปทำม้ายยไม่มีไรเลย เหอะๆ ตอนนั้นฟังแล้วอยากจะคืนไม้เท้า แต่ทำไงได้ตีตั๋วบินมาแล้วนิ คนขายอีกคนบอกว่าไปเหอะพี่ ไปสร้างเร็คคอร์ดให้ตัวเอง เออ จริงด้วย เร็คคอร์ดเนี่ยแหละสำคัญนัก 555 รู้หรอกฟูจิมันสวยไกลๆ ขึ้นมาก็วิวอย่างที่เห็น ปักไม้เท้าไว้กะหิมะสักหน่อย ดีใจได้เห็นหิมะ อิอิ



เห็นสิงห์คู่แบบนี้ถึงชัวร์ละ

ซุ้มโทริอิ สิงห์คู่

กับขั้นบันไดปากประตูสู่ปากปล่องยอดภูเขาไฟฟูจิ

เนินสุดท้ายแล้วสินะ ธงญี่ปุ่นโบกสไว ดีใจน้ำตาจะไหล ในใจบอกว่าขอแค่ยืนตรงนั้นก็พอแล้วมั้ง อนุมานว่าพิชิตยอดฟูจิได้แล้วปากปล่องไม่ต้องเดินไปดูหรอก เหอะๆ



ตีห้า45 ถึงแล้วปลายทางของ Yoshida Trail

ณ ยอดภูเขาไฟฟูจิ ความสูงตรงนี้ 3,725 เมตร

เริ่มเดินตอนตีหนึ่งกว่า เท่ากับว่าใช้เวลาไปทั้งหมด 4 ชั่วโมงกว่า กับระยะทาง 3 กิโลเมตร เอ้อ ก็ไม่เลยนะ กิโลละชั่วโมงเศษ ว่าแต่ว่าน้องสาวคงลงไปแล้ว ผู้คนโหรงเหรงซะขนาดนี้ เคยดูรีวิวมาแบบบนนี้มันต้องคนแน่นๆ ก็นี่ตะวันโด่งแล้ว คนเค้ามาเฝ้าชมแค่ Sunrise แล้วก็ลง เออ ดีเหมือนกันไม่ชอบคนเยอะ



บนนี้ก็มีที่พักด้วยหลังนึง (เส้นที่ขึ้นมาจากจุดอื่นอย่าง Fujinomiya Trail ด้านนั้นก็มีที่พักเหมือนกัน) อันนี้ชื่อ Yamaguchi-Ya Hutมีเครื่องดื่มต้มขายอยู่หน้าร้าน ที่บ้านเรานิยมแช่เย็นกัน อันนี้ลงหม้อต้มเลย



มีของที่ระลึกพิชิตยอดฟูจิขายหลายอย่าง แต่ผมมองๆ ดูแล้วก็ไม่มีอันไหนโดนใจ เลยไม่ซื้อ



แน่นอน ต้องมีที่รับปั๊มตราลงไม้พลองด้วย แต่มองไม่เห็นว่าอยู่ตรงไหน เห็นแต่ตรงนี้กำลังรับทำแฮนเมดอะไรสักอย่าง แต่ยืนดูไม่ไหวละ เมื่อยขามากกก ต้องหาที่พักร่างก่อน



นั่งตากแดดคลายหนาว งัดโอโอบังยากิมากินแพ๊บ หิว

สักพักก็มีฝรั่งมานั่งข้างๆ งัดอ๊อกซิเจนกระป๋องมาสูดปรี๋ดๆ เลยขอเค้าถ่ายภาพหน่อย ให้รู้ว่าบนนี้อ๊อกน้อยนะเฟ้ย มิน่าที่ก้าวขาไม่ออกสงสัยเพราะอ๊อกไม่พอนี่เอง เวลาเจอที่สูงๆ อ๊อกซิเจนน้อยๆ คนจากพื้นราบอย่างเราจะเกิดอาการทำอะไรช้าลง เพราะมันเหนื่อยเร็วขึ้น ดีแค่ไหนแล้วไม่โดยโรคแพ้ที่สูงเล่นงานเหมือนคราวไปเลห์



ในที่สุด ผมก็พาร่างมายืนอยู่ ณ ยอดภูเขาไฟฟูจิพิชิตปากปล่องไปก่อน ส่วนยอดสูงสุดอยู่โน่น ฝั่งตรงข้าม ตายๆๆ ถามคนแถวนั้นว่าเดินไกลแค่ไหนเค้าบอกเดินไปกลับน่าจะสักสองชั่วโมง ไม่ไหวครับ ผมไปไม่ไหวจริงๆ เอาแค่นี้พอละ

ยอด Mount FUJI .... I am here

ณ เวลานั้นเมื่อรู้ว่าไม่ต้องก้าวขาขึ้นไปไหนอีกแล้ว เรายืนอยู่บนยอดแล้ว ทุกอย่างมันก็ตื้อตันจนช๊อตไปเฉยๆ มารู้ตัวเองตอนกลับบ้านนั่งดูรูปว่าทำไมตรูถ่ายภาพบนนั้นน้อยจริงๆ น้อยมาก มีเพียงภาพเป็นที่ระลึกแค่นี้ล่ะครับ ก็แปลกใจตัวเองเหมือนกัน คงเป็นสภาวะของคนที่หมดแรงจริงๆ ;(

เบียร์ฉลองชัย แทนเหล้าไวน์ คว้ามาจากหน้าที่พักตะกี้ ป๋อง 600 เยน ( 90 บาท ) ซดได้ละ ไม่ต้องกลัว AMS ( โรคความสูง ) โจมตี เพราะเด๋วเราก็จะลดระดับความสูงลงไปเรื่อยๆ ละ เอ้า Cheers!



เส้นทางสู่ยอดสูงสุด Mount Fuji ถ้าใครยังคิดจะเดินไปต่อ สำหรับบนนี้จุด peak ต่างๆ มีอีกประมาณ 9 peaks รอบปากปล่อง แต่ละพีคล้วนมีชื่อและความสูงกำกับไว้อย่างจุดสูงสุดจะมีชื่อว่า KENGAMINE PEAK ความสูงจริงๆ คือ 3,776.24 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลางและเหมือนจะเป็นที่ตั้งของสถานีตรวจอากาศ ลงไว้ให้ดูในภาพ 5 พีคครับ



อ้อยอิ่งได้ไม่นานก็ต้องได้เวลาเดินลงแล้วครับ หนทางที่เหลือยังอีกยาวไกล ตอนนั้นไม่รู้หรอกว่าต้องเดินอีกกี่กิโล รู้แต่ว่าเรื่องลงเขาหน่ะเหรอ โถ จิ๊บๆ ถนัด เผลอๆ ถ้าน้องสาวผมซึ่งตอนนี้คงอยู่ที่ไหนสักแห่งระหว่างขาลงดีไม่ดีผมจะสปีดแซงได้ละ เรื่องสเต๊บลงเขาไว้ใจผม ภาพเทรลลงเขาเราใช้อีก route นึงอย่างที่บอกไว้ตอนต้น คือเค้าทำไว้ให้สำหรับไม่ต้องเบียดกันเพราะตามปกติคนมันจะเยอะมากจนเรียกได้ว่าเป็นฝูงชน ลงกันตามเส้นเหลืองๆ ไปครับ ปะไปกัน (ผมหารู้ตัวไม่ นรกยิ่งกว่าตอนขึ้น)** มีห้องน้ำอยู่สามจุด ทำสัญลักษณ์ไว้ในแผนที่




แต่เดี๋ยวนะ นั่นมัน รถ!! เห้ย โห มีถนนขึ้นมาถึงนี่ ป๊าดดิโถถังกะละมังหม้อไห มันน่าจะมีบริการตักคนขึ้นมาบนนี้นะ แต่ก็นะ ถ้าได้อย่างนั้นความหมายที่ได้ตะเกียกตะกายขึ้นมาถึงบนนี้ได้คงไร้ความหมาย รถตีนตะขาบพวกนี้คงเอาไว้ใช้ในงานขนถ่ายเสบียงให้ตามร้านค้า และขนวัสดุก่อสร้างสำหรับซ่อมบำรุงสิ่งก่อสร้างต่างๆ บนนี้ และเส้นทางที่มันไต่ขึ้นมานี่ล่ะจะเป็นเส้นทางลงของ Yoshida trail นั่นเอง

ตามซอกหินที่ยังมีแท่งหิมะที่ค่อยๆ ละลายหยดติ๋งๆ



คงมีก้อนเมฆเท่านั้นที่บ่งบอกว่านี่เป็นเทรลทะลุฟ้าขนาดไหน แต่วิวตัวฟูจิเองเนี่ยหินล้วนๆ เราขึ้นมาทำไรบนนี้นะ ใครต้องการชมความงามกรุณาถอยห่างๆ ออกไปชมฟูจิจากระยะไกลเท่านั้น แล้วคุณจะพบความงามของเมาท์ฟูจิ สำหรับบนนี้นั้นค้นไม่พบ ... ไม่มี มีแต่อย่างอื่น และเป็นอย่างสำคัญที่ต้องขึ้นมาคว้าเอาลงไปเอง ซึ่งตอนที่ผมอยู่บนนี้นั้นยังไม่รู้ตัวหรอก ว่าได้คว้าอะไรบางอย่างที่ว่านั้นติดตัวลงมาแล้ว!!




Descend route ลงทางรถตีนตะขาบ ทางโคตรร่วน เดินไปต้องเบรคเท้าไปตลอด ตอนนี้เบียร์กิเลนกระป๋องที่ดื่มฉลองเริ่มออกฤทธิ์ เริ่มปวดฉี่ จริงปวดหน่อยๆ มาตั้งแต่ตอนอยู่บนยอดละ แต่อั้น! เพราะว่าค่าเข้าห้องน้ำบนยอดนั่น 300 yen แม่เจ้า เบียร์ป๋องละ 180 บาท แล้วยังต้องฉี่อีก 90 บาท รับไม่ได้ เลยอั้นฉี่ อีทีนี้คนก็ลงมาเรื่อยๆ ไม่มีมุมเปลี่ยว เลยตัดสินใจกึ่งวิ่งกึ่งเดินแล้วครับ เพื่อค้นหาห้องน้ำให้ได้ ตอนนั้นก็รู้ล่ะว่าขาลงจะแทบไม่มีห้องน้ำ โอยๆ สุขาอยู่หนใด ย่ำลงไปโลกว่าๆ ทางถึงไปเชื่อมกับ Main 8th station กลุ่มที่พักแถว Edoya, Tomoe, Fujisan ที่ผมบอกว่าตอนแรก ว่าเป็นจุดที่เราใช้ห้องน้ำได้ในตอนขากลับ โล่งไปที เป่าปากเลย จริงๆ ตรงนี้ไม่ใช่ห้องน้ำทางผ่านหรอก มารู้อีกที ลงไปอีกหน่อยเส้นทางจะผ่านห้องน้ำเลย มันจะมี Edoya อีกสาขาดักอยู่ตรงที่เรียกว่าทางแยกรูท ( yoshida รูทเหลือง กับ subachiri trail รูทแดงเริ่มแยกออกจากกัน ) แต่จุดที่ผมแวะนี่คือขึ้นบันไดไปอีก ทีนี้ทรมานทั้งเล็บทั้งน่องเลย

หลังจากปลดปล่อยจนโล่งแล้วปัญหาใหญ่ตามมาอย่างไม่คาดคิดแล้วครับ ด้วยความที่จ้ำลงมาอย่างเร็วอย่างต่อเนื่อง นิ้วเท้าเริ่มเจ็บจี๊ด เริ่มเดินแทบไม่ได้ ก้าวแต่ละก้าวเจ็บเล็บมาก เหมือนเล็บใกล้จะถอด! รองเท้าผ้าใบเริ่มทำพิษ เริ่มรู้สึกว่าเทรลนี้มันต้องลงทุน hiking shoes จริงๆ


คลิบสั้นๆ สภาพการลงครับ เดินๆ ไปขาขวิดเป็นเรื่องปกติเลย ผิวทางร่วนๆ และชันด้วยแบบนี้มันกินกำลังขาอย่างมาก



ลงมาได้ 1.7 กิโล หรือพ้นตรงจุดแวะเข้าห้องน้ำมาได้ 350 เมตร จะเป็นจุดสำคัญที่ต้องใส่ใจกันหน่อย ทางแยกรูท ถ้าเดินเพลินไม่ทันมองป้ายนี้เราจะกลายเป็นเดินต่อไปเรื่อยๆ เข้าสู่เส้นทาง Subashiri Trail หรือว่าเทรลสีแดง จะทำให้เราลงฟูจิไปอีกด้าน ต้องแยกซ้ายไปตามรูทเหลือง Yoshida trail ระวังกันให้ดีสำหรับใครที่แพลนจะมานะครับ และพอแยกตรงนี้ก็จะเจอ Shita-Edoya Hut ที่ัพักแห่งเดียวของเส้นทางนี้

เมฆ ที่บ่งบอกว่าเรายังอยู่กันบนระดับสูงมาก ตราบใดยังเดินอยู่เหนือเมฆแบบนี้ก็แปลว่าต้องเดินต่อไป ปลายทางยังอยู่อีกห่างแสนไกล


คลิบสั้นๆ เพลินๆ กับเทรลเมฆ ที่ตอนนั้นผมไม่มีความเพลินเลยสักนิด ปวดขายังดีกว่าเจ็บเล็บ ในใจตอนนั้นแทบไม่กล้าถอดถุงเท้ามาดู กลัวเล็บจะติดออกมาด้วยข้างละ 3 เล็บ




เส้นทางลงก็จะมีแผนที่เป็นระยะนะครับ ทางไม่ยาก สำคัญแค่จุดแยกรูทที่บอกข้างบน อย่าหลงไปลงรูทแดงเป็นใช้ได้ และ เพิ่มเติมคือ มันจะมีจุดกลับใจไปใช้เส้นทางขาขึ้นเป็นทางลง (ใช้เฉพาะกรณีที่คุณเจอทริปที่คนไม่เยอะ ไม่งั้นมันจะลงสวนคนที่ขึ้นมาไม่สนุกแน่ จุดที่ว่าคือจุดที่แวะห้องน้ำก่อนถึงป้ายทางแยกแหละ ผมว่าลงด้วยเส้น ascend จะทรมานเล็บน้อยกว่าเส้นนี้เพราะทางไม่ร่วน ไม่ต้องจิกเท้า แต่ผมก็พลาดไง เพราะตอนนั้นยังไม่เจ็บ และการลงทางนี้นอกจากทางร่วนกว่า กินกำลังขากว่าแล้ว ยังไกลกว่าด้วย ส่วนถ้าลงย้อนทางขึ้นนึงมันก็คงจะปวดหัวเข่ากว่า เหอะๆ



มุมเดิมๆ ซ้ำๆ หินภูเขา ลูกรัง ทางเฉียงๆ สับฟันปลา และเมฆลอยอยู่ข้างล่าง กับเล็บเท้าที่เจ็บมากขึ้นๆ เดินเท่าไหร่ก็เหมือนยังอยู่ที่เดิมภาพทางที่สับฟันปลาเป็นฟันเลื่อย ซิกแซกลงมาแบบนี้เกินครึ่งร้อย (นับแล้ว มีตัวเลขปักตามหัวมุมให้เรานับด้วย แต่! เป็นการ count up ไม่ได้ count down ทำให้เราไม่รู้ว่ามันจะไปสิ้นสุดที่เท่าไหร่กันแน่ ซึ่งสุดท้ายก็ไปจบที่ 52 หรือ 53 เนี่ยแหละ นับว่าโหดมากๆ เพราะว่ามันไม่ได้เดินง่ายๆ เลย เหมือนในคลิบข้างบนที่ถ่ายมาให้ดู



ระบมหมดแล้วครับ พักถี่ขึ้นเพื่อถอดรองเท้าให้คลายปวด T T



นี่ครับ เสาตามหัวโค้งที่จะมีตัวเลขบอกไว้ว่าผ่านมากี่ซิกแซกแล้ว อยากจะรีเควซให้นับถอยหลัง ไม่อยากรู้ว่าผ่านมาเท่าไหร่ แต่อยากรู้ว่าเหลืออีกเท่าไหร่มากก่า สุดท้ายผมนับมาได้จนสุดที่เสา no.53 ครับถึงจะเข้าสู่ทางตรงพุ่งเข้าหา 6th station โหดมาก

ในที่สุดก็เริ่มลงมามุดใต้เมฆ บ่งบอกว่าลดระดับลงมาใกล้แตะฐานเดียวกับชั้นห้าแล้ว อันเป็นจุดสิ้นสุดเทรล แต่จากตรงนี้ยังต้องเดินไปอีกราว 3 กิโลเมตร เซ็ง



ทางเริ่มราบขึ้น ชันน้อยลง ตอนนี้เป็นช่วงที่ทำระยะตัดเข้าหาสถานี 6 ทางตรงยาว ลาดลงเรื่อยๆ 1.1 กิโลเมตรทางจะไปเชื่อมเข้ากับ ascend route เหนือสถานี 6 แล้วลงไปหาสถานี 6อีก 200 เมตร เราเฉียงออกมาไกลมาก ดูแผนที่ด้านบนๆ ประกอบ

แหม่ ฟันปลายังมีอีกเรื่อยๆ นึกว่าหมดแล้ว เฮ้อ พักขาอีกรอบ



ในที่สุดก็ตัดมาบรรจบทางขึ้น ascend route เหนือสถานี 6 ใกล้ความจริงเข้าไปทุกที เวลานั้นน้ำหยดสุดท้ายก็หมดไปแล้ว คอแห้งมาก คิดถึงโค้กเย็นๆ ที่คุณน้องสาวถ่ายส่งหลังไมค์มาให้ดู เธอรออยู่ปลายทางเรียบร้อยแล้ว ฮือๆ ;(



กลับเข้าสู่เขตเส้นทาง 1 กิโลป่ากันอีกครั้ง

และในที่สุด 7.7 กิโลเมตรกับจำนวนชั่วโมงที่เดินลงมาทั้งสิ้น 6 ชั่วโมงครึ่ง!! สงสัยจะทำลายสถิติเดินลงนานที่สุดตลอดกาล ตั้งแต่เปิดเมาท์ฟูจิมา แงๆ



ณ Mt. Fuji 5th Station Subaru Line

กลับมายืนที่เดิม มองย้อนไปยังยอด 2 day 1 night จะไม่มีวันลืมเลย บายนะ ลาขาด เข็ดขรี้แตรก ปิดท้ายตบตรูดด้วยกันตกรถ เพราะชัตเตอร์บัสหมดบ่ายสอง ตอนนี้มันสี่โมงครึ่งแล้ว นี่ผมเดินตั้งแต่ตี่หนึ่งครึ่งยันสี่โมงเย็นกะอีกครึ่งเหรอเนี่ย 15 ชั่วโมง มิน่า แม่มโคตรกรอบไปทั่วร่าง ต้องเดินกลับไปลานจอดรถข้างถนนที่ห่างไปอีก 2 กิโล เอาให้หนักให้ร่างพังไปเลย

เย็นวันนั้นเราก็ขับรถมุ่งหน้าไปเมือง Fujiyoshida ชื่อเดียวกันกับเทรลขึ้น เมืองนี้ใกล้ๆ กับเมืองคาวาคูชิโกะ โรงแรมที่จองพักร่างคือ Fujisan Station Hoterl ใกล้สถานีรถไฟ Fujisan statin และก็ใกล้สวนสนุก Fuji Q Highlad ด้วย โรงแรมดี ราคาไม่แพง คนละ 7000 yen



สิ่งอัศจรรย์ใจเกิดขึ้น ในเช้าวันรุ่ง

ภาพฟูจิซังที่เห็นผ่านหน้าต่างมากับความรู้สึกใหม่ ภูเขาไฟฟูจิที่เปรียบไปเหมือนดาราดังระดับโลก ที่เห็นผ่านสื่อจนเจนตา และมาเห็นต่อหน้าในวันแรกๆ บัดนี้ เพิ่มเติมคือสิ่งหนึ่งที่ติดตัวผมลงมาจากข้างบน มันผนวกความทรงจำถาวรลงไปแล้ว ยืนมองยอดเมาท์ฟูจิวินาทีนี้ มันมีภาพที่ครั้งหนึ่งเราเคยยืนอยู่บนนั้นติดมาด้วย ภูมิใจเหมือนเราเคยออกเดทกับดาราดังคนนี้ นับแต่นี้ทุกครั้งที่เห็นยอดมัน ไม่ว่าจะของจริงหรือผ่านสื่อไหน ตื้นตันใจอย่างประหลาด

อ้อ และหลังจากแช่น้ำอุ่นในห้องพักเมื่อคืนความปวดเมื่อยต่างๆ ก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง ไม่น่าเชื่อ และก็โชคดีที่เล็บนิ้วเท้ายังอยู่ครบไม่มีหลุดไม่ช้ำมาก ภารกิจสำคัญที่อยู่ถัดจากนี้ไปอีก 11 วันเป็นอันไม่ต้องล้มเลิก นั่นคือ พิชิตยอดเขา Kinabaru แห่งเกาะบอร์เนียว ความสูง 4,095 เมตร แล้วจะมารีวิวให้ชมกันครับ นรกกว่าฟูจิเยอะ 555 ไม่เจียมบอดี้จริงๆ ตรู



ต่อไปจะเป็นข้อมูลการเดินทางนะครับ

ข้อมูลการเดินทาง พิชิตยอดภูเขาไฟฟูจิ

จากไทยไปโตเกียว

ผมใช้บริการสายการบิน Thai Airasia X

มีเที่ยวบินไปกลับวันละสองไฟล์ท

กรุงเทพ(ดอนเมือง) - โตเกียว (นาริตะ)

DMK - NRT

บิน 6 ชม.

รายละเอียดเพิ่มเติม http://www.airasia.com

ขาไปมีไฟล์ท 11:15น. กับ 23.45น. ผมเลือกไฟล์ทแรก

ขากลับมีไฟล์ท 9:15น. กับ 20:55น. ผมเลือกไฟล์หลัง



วิธีเดินทางจากนาริตะ เข้าโตเกียว

วิธีที่สะดวกคือนั่งรถไฟ Narita Express จากสนามบินตรงเข้าโตเกียว หรือจะเลยลงย่านชินจูกุเลยก็ได้ จะเดินทางต่อไปฟูจิสะดวกขึ้นแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นกับคุณจองโรงแรมไว้ที่ไหนนะครับ ค้างหนึ่งคืนในโตเกียวจะได้ไม่เหนื่อยเกินไป แต่ถ้าคุณแกร่งจริงอึดเป็นพิเศษจะจองไฟล์ทบินเที่ยวค่ำมาลงนาริตะแปดโมงเช้า นั่ง NEX. เข้าชินจูกุแล้วต่อบัสไปฟูจิเลยก็ได้ถ้าไหว ประหยัดงบที่พักได้อีก

รถไฟ NEX ใช้เวลาวิ่งประมาณ 50 นาทีหรือไม่เกินชั่วโมงก็ถึงโตเกียว บนรถไฟมีทีวางสัมภาระพร้อมห่วงคล้องล็อคเข้ารหัสอย่างดี มีมอร์นิเตอร์ในตู้โดยสารแจ้งข้อมูล realtime ว่าอีกกี่นาทีจะถึงจุดหมาย แถมข้อมูลไปต่อเครื่องสำหรับขากลับด้วยว่าเดินไปทางไหนในสนามบิน

ราคาค่าโดยสารไปลงโตเกียว

ผู้ใหญ่ 3,020 เยนเที่ยวเดียว ถ้าซื้อแบบไปกลับก็ 4,000 เยน

ราคาค่าโดยสารไปลงชินจูกุผู้ใหญ่ 3,190 เยนเที่ยวเดียว ถ้าซื้อแบบไปกลับก็ 4,000 เยน

เที่ยวแรก 7.44 เที่ยวสุดท้าย 21.44 ถ้าจับไฟล์ทบินเที่ยวสิบเอ็ดโมงแบบผม ไปถึงนาริตะทุ่มสี่สิบ ผ่านตม.ออกมายังไงก็ทันเที่ยวสุดท้าย ขากลับก็เช่นกัน ส่วนใครซื้อ JR pass ก็นั่งได้เลยไม่ต้องเสียคชจ.เพิ่ม ส่วนการเดินทางโดยวิธีอื่นก็มี หาดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เวปนี้ ChillchillJapan.com

รายละเอียดเพิ่มเติมของ NEX JREast.co.jp




วิธีเดินทางจากชินจูกุไปพิชิตภูเขาไฟฟูจิ

มันจะมีสองวิธีนะครับ

1. นั่งรถไฟสาย JR Chuo Line ที่สถานีชินจูกุ สายปลายทาง Kofu ไปลงกลางทางที่ โอสึกิ Otsuki station > ต่อรถไฟสาย Fujikyu Railways ไปลงสถานี Fujisan หรือ Kawaguchiko > แล้วต่อรถบัสไป 5th Station Subaru line

2. นั่งรถบัสจากสถานีรถไฟชินจูกุ ต่อเดียวไปลง 5th Station Subaru Line เลย แนะนำวิธีนี้ครับ สะดวกกว่า ต่อหลายต่อมันเมื่อย



ตารางบัส และราคา

รายละเอียดเพิ่มเติม http://www.japan-guide.com/bus/fuji_season.html



สำหรับที่พัก

จะมีบ้างบางท่านที่แกร่งพอจะเดินรวดเดียวขึ้นลงโดยไม่ต้องพัก ที่โดยส่วนใหญ่แล้วพักเถอะครับ นอกจากพักร่างให้เหนื่อยน้อยลงแล้วการปรับตัวกับความกดอากาศสูงที่อ๊อกซิเจนเบาบางลงยังเป็นผลดีลดความเสี่ยงจากโรคแพ้ความสูง AMS

ที่พักตามเส้นทาง Yoshida trail ถือเป็นเส้นที่มีจำนวนที่พักหนาแน่นสุดแล้วเมื่อเทียบกับเทรลอื่น

เริ่มจากชั้น 7 จะมีที่พักรวมกัน 7 แห่ง

ชั้น 8 จะมีที่พัก 7 แห่งเช่นกัน

ส่วนชั้น 8.5 มีที่พักแห่งเดียว

และบนยอด มีที่พักอีกแห่งนึง คงไม่มีใครจองบนยอดมั้ง เอ๊ะแต่ก็ดีถ้ามีเวลาเยอะ 3D2N ซะเลยก็ดีเหมือนกัน

สำหรับการจองนั้นมันจะมีแค่ 3 แห่งที่เปิดให้ทำการจองได้ คือ

Kamaiwakan Hut ตรงชั้น 7

Taishikan Hut ตรงชั้น 8

และ Fujisan Hut ตรงชั้น Main 8

โดยจ่ายค่ามัดจำการจอง 1,000 yen มันต้องแย่งกันจองหน่อยเพราะคนเยอะ ถ้าจองไม่สำเร็จเค้าจะคืนเงินให้

ยิ่งพักได้สูงยิ่งเดินขึ้นซัมมิทสั้น ซึ่งหมายความว่ามีโอกาสทันดูพระอาทิตย์ขึ้น เพราะหน้าร้อนพระอาทิตย์ขึ้นเร็วมาก ตีสี่ครึ่งในช่วงต้นกค. และเขยิบไปเรื่อยๆ เป็นตีห้าครึ่งช่วงต้นกย.

ยกตย. ถ้าคุณพัก Kamaiwakan คุณต้องเดินเกือบสี่โลถึงยอด

ถ้าพัก Taishikan แบบผม ต้องเดินสามโล

ถ้าพัก Fujisan เดินโลเดียว

รายละเอียดเพิ่มเติม www.FujiMountainGuides.com

สำหรับเวปไซค์ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการปีนภูเขาไฟฟูจิค่อนข้างละเอียดสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้สองลิงค์ล่างนี้ครับเวปไซค์ข้อมูลเพิ่มเติม www.Fujisan-climb.jp/enwww.japan-guide.com

บทสรุป

  1. ภูเขาไฟฟูจิ เป็นภูเขาไฟที่สวยงามเมื่อมองจากระยะไกล และขี้เหร่เมื่อขึ้นไป
  2. มีโอกาสเจอคนเยอะจนต้องต่อแถวกันเดิน จนอาจหงุดหงิด
  3. ราคาของกินของใช้ แพงขึ้นเรื่อยๆ ตามความสูง และถือว่าค่อนข้างแพงมากด้วย อย่างค่าเข้าห้องน้ำก็ 200 yen พอถึงบนยอดกลายเป็น 300 yen
  4. อย่าปล่อยให้ร่างกายเย็นเกินไป ควรมีเครื่องแต่งกายที่ให้ความอบอุ่นเพียงพอ เพื่อลดความเสี่ยงโรคแพ้ความสูง
  5. เดินให้ช้าแต่ถึง ชัวร์ก็เร่งขึ้น โดยเฉพาะตอนใกล้ๆ ยอด เพราะอ๊อกจะน้อยลง (พกอ๊อกกระป๋องไปด้วยก็ดี)
  6. ไม้เท้าเดินป่า ควรมีทุกคน อย่างน้อย 1 อัน
  7. รองเท้าอย่าเขียม จัดไป hiking shoes เจ็บขาขึ้นมามันโคตรทรมาน
  8. เทรลเดินที่นี่มันคือด่านทดสอบร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะด้านจิตใจจะถูกทดสอบหนักกว่า ท้อเมื่อไหร่ร่างกายยิ่งออกอาการ มุมานะเมื่อไหร่ร่างกายมันก็ฮึดขึ้นได้เรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก
  9. อันนี้สำคัญที่สุด บนความไม่มีอะไรเลยและอุปสรรค์ต่างๆ ทั้ง 8 ข้อ สิ่งที่จะได้กลับลงมาคือความประทับใจและภาพภูเขาไฟฟูจิที่เคยมีตัวเรายืนอยู่บนนั้นจะอยู่กับความทรงจำเราไปตลอดกาล อันนี้ถือว่าโคตรคุ้มละ

ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันมาจนจบครับ รูปภาพเยอะไปหน่อยขออภัยด้วย และขอให้โชคดีสำหรับทุกท่านที่คิดว่าจะลองไปสักครั้งครับ




ความคิดเห็น