2เท้าหมดแรงก้าว ณ ยอด Mount KINABALU


จั่วหัวไว้แบบนี้ เดาว่าผมพิชิตยอดคินาบาลูสำเร็จหรือล้มเหลว!ย้อนหลังไปเพียง 11 วันผมยังยืนอยู่บนปากปล่องภูเขาไฟฟูจิอยู่เลย ตอนนี้ผมยืนมายืนอยู่อีกยอดแล้ว เหนือระดับ 3,9xx m. ฉากหลังเป็นยอด South Peak ยอด Icon ของคินาบาลู จุดซัมมิท 4,095 m. อยู่ด้านหลังห่างไปอีกเพียงสุดสายตา ด้วยระยะทางที่เหลืออีกไม่ถึง 800 เมตร!

ภูเขาคินาบาลู หนึ่งในเส้นทางสายฝันของหลายคน รวมทั้งผม ภูเขาที่เมื่อมองจากด้านล่างโคตรยิ่งใหญ่ ท้าทุกสายตา กับยอดที่สูงถึง 4,095 เมตรจากระดับน้ำทะเล สูงที่สุดบนเกาะบอร์เนียวอันเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เกาะที่มีถึง 3 ประเทศตั้งอยู่ บรูไน อินโดฯ และมาเลเซีย คินาบาลูตั้งอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ Kinabalu รัฐซาบาห์ มาเลเซีย เป็นยอดสูงสุดของเทือกเขา Crocker เทือกอันเป็นที่รู้จักแพร่หลายทั่วโลกในด้านความหลากหลายทางชีวภาพด้านพืชและทางชีววิทยาอันยิ่งใหญ่ของพืชที่มีต้นกำเนิดจากเทือกเขาหิมาลัย ออสตราเลเซียและอินโดมาลายัน แต่ผมไม่ได้สนใจพวกพันธุ์พืชพันธุ์ไม้ความหลากหลายอะไรนั่นหรอก ความสนใจทั้งหมดพุ่งตรงไปเรื่องเดียว คือครั้งหนึ่งในชีวิต ขอพิชิต Mt.Kinabalu พิกัด Mt. Kinabalu https://goo.gl/maps/DVapWGZhND32

ปะปะ ไปกัน เอนทรี่นี้จัดเต็ม


ฝันเป็นจริงเมื่อสายการบิน Thai Smile จัดไฟล์ทบินตรง กรุงเทพ-Kota Kinabalu !! เฮ้ย เด๋วๆ หูผึ่ง ใจเต็นรัว เที่ยวบินปฐมฤกษ์เปิดศักราชกันไปเมื่อ 26 มีนาที่ผ่านมานี้เอง จากเดิมจะต้องบินอ้อมกันกัวลาลัมเปอร์ ตอนนี้ไม่ต้องละ ทำให้ค่าบินถูกลง ใช้วันลางานน้อยลงได้อีกสองวัน ร่นระยะทางลงเกือบพันโล!

จากเดิมต้องบินร่วม 6 ชั่วโมง ก็เหลือสามชั่วโมงเศษ สามเดือนให้หลังจากไฟล์ทปฐมฤกษ์ ผมก็ได้มีโอกาสมาทำตามความฝันสักที ทริปนี้เกิดขึ้น ณ เดือนกค. 2017 เดือนที่เริ่มเข้าสู่ต้นฤดูฝนของที่นี่ เป็นไฟล์ทที่ฟลุ๊คมาก เพราะขณะนั่งทำรีวิวอยู่นี่ผมหาข้อมูล Thai Smail เส้นทางนี้ไม่ได้แล้ว เลิกไปแล้วเหรอ! งงเลย








Day 1 ณ ท่าอากาศยานนานาชาติกรุงเทพ BKK สุวรรณภูมิ 21 July 2017 วันศุกร์ depature time 7:50 (UTC+7)




Kota Kinabalu International Airport (BKI)

12:10 (UTC+8) arrived at ท่าอากาศยานนานาชาติโกตากีนาบาลู เมือง Kota Kinabalu รวมเวลาบิน 3 ชม. 20 นาที สนามบินตั้งอยู่ริมทะเล ซึ่งก็คือทะเลจีนใต้



**มีรถชัตเตอร์บัสจากสนามบิน Airport shutter bus วิ่งรับส่งระหว่างสนนามบิน-เมืองโกตา ค่าโดยสารคนละ 5 RM.


จากสนามบิน สู่ Mt.Kinabalu National Park Headquater

ที่ทำการอุทยานฯ Kinabalu อยู่ห่างจากสนามบินลึกเข้าไปในฝั่ง ระยะทางตามทางถนน 94 กิโลเมตร ถ้านับเส้นตรง off-course ก็ห่างไปเพียง 55 กิโลเมตร ไม่ใกล้ไม่ไกล ถ้าฟ้าแจ่มๆ สามารถมองเห็นยอดคินาบาลูได้จากที่นี่เลย

มีทางเลือกสองทางสำหรับที่พักในวันแรกที่มาถึง

1.พักในเมืองโกตา และ

2.หาที่พักตีนอุทยานฯเลย เราเลือกช้อยที่สอง เพื่อที่จะได้มีเสพภาพ Mt.Kinalalu มุมใกล้ตาให้ชื่นใจก่อนเทรค

สำหรับใครจะเลือกช้อยไหนแน่นอนว่าคุณต้องเลือกมาจากบ้านแล้วไม่ใช่มาเลือกที่นี่ ความยากที่ยากกว่าปีนคินาบาลูก็คือแย่งจองโควต้ามาปีนให้ได้นั่นเอง

เนื่องจากที่นี่จำกัดนักท่องเที่ยวที่จะขึ้นไว้เพียงวันละไม่เกิน 135 คนต่อวัน (เร็วๆ นี้ อาจจะในฤดูกาลหน้า (2018-2019) จะขยายโควต้า อาจจะเกินสองร้อยคนต่อวัน เนื่องจากกำลังมีการขยายจำนวนที่พักบน basecamp ขึ้นอีกกว่าเท่าตัว

มีเว็บไซต์รับจองมากมาย แต่มีคำเตือนว่าระวังเว็บหลอกลวง เว็บที่ไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นทางการจากการท่องเที่ยวซาบาห์ ตัวเลือกที่ชัวร์สุดคือเว็บไซต์เป็นทางการของเมาท์คินาบาลู ลิงค์จอง https://www.mountkinabalu.com/book


หมายเหตุ packages ปีนคินาบาลูมีหลายแบบ ที่นิยมที่สุดคือ

2D1N (code ABK-MK01) โดยจะมีรถมารับจากโรงแรมที่เรานอนไปส่งที่อช.

3D2N (code ABK-MK02) โดยนอนที่ข้างล่างอช. 1 คืนก่อนปีน รถจะมารับที่สนามบินหรือจากโรงแรมที่เราพักไปส่งที่อช.



Mount Kinabalu Lookout

ระหว่างเส้นทางสู่อุทยานฯ 12.5 กิโลเมตรก่อนถึง Mt.Kinabalu Headquater จะมีจุดชมวิวริมทาง

พิกัดจุดชมวิว N6.02746° E116.46392° ความสูง 1,010 เมตรจากระดับน้ำทะเล

google maps https://goo.gl/maps/a1xQ46YDjkS2

อ่อ ถ้าให้ดีถ้าคุณนั่งรถประจำทางขอให้เลือกหน้าต่างฝั่งซ้ายให้ได้นะครับ มันจะเสริฟวิวเม้าท์คินาบาลูให้ได้ระทึกใจไปเกือบตลอดทางโดยเฉพาะช่วงยี่สิบโลสุดท้าย



ปลุกความฮึกเหิมก่อนปีน กับภาพภูเขาคินาบาลูเบื้องหน้า มุมใกล้ชิด โคตรยิ่งใหญ่ ดูจากตรงนี้แล้วไม่อยากเชื่อว่าเราจะเดินขึ้นไปได้ สูงปรี๊ดทะลุฟ้าจริงๆ ยอดเขากลืนอยู่ในกลุ่มเมฆมิด ต้องใช้เวลานานพอควรถึงจะได้จังหวะฟ้าเปิดให้ได้ถ่ายภาพ หลังจากนั้นก็กลืนหายเข้าไปในเมฆอีก ได้เวลาเดินทางต่อยังจุดหมาย




Mount Kinabalu National Park Headquater

gps: N6.00577° E116.54260° elevator: 1,574 m.

google maps: https://goo.gl/maps/bR7Ai81qjTL2

ถึงแล้ว เย็นวันแรก เฮดควอเตอร์อยู่ริมถนน เลี้ยวเข้าไปนิดเดียว




อันที่จริงรอบบริเวณนี้มีที่พักบริการหลายเจ้า ทั้งในพื้นที่อุทยานและนอกอุทยานฯ ส่วนผมจองที่พักในอุทยานฯมาครับ Rock Twin ในเครือของ Sutera Sanctuary Loadge ที่พักที่กระจายอยู่บริเวณนี้เป็นของเจ้านี้หมดเหมือนจะกินสัมปทานจากอุทยานฯมาอีกที รวมไปถึง resthouse หลังใหญ่สุดบน base camp ข้างบน นั่นคือ Laban Rata ด้วย

สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.wavetune.com/sslweb/sslwww/index.php แต่เวปนี้ผมอ่านก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่อง เอาไปอีกลิงค์ครับ mountkinabalu official website ในส่วนของที่พักซึ่งจะมีเจ้าอื่นปนอยู่ด้วย https://www.mountkinabalu.com/stay สามารถคลิกที่ชื่อที่พักเพื่อดูรายละเอียดต่อได้เลย โดยจะแบ่งส่วนเป็น

Panalaban Assorted Huts หรือที่พักบน basecamp ที่ที่เราจะพักคืนพรุ่งนี้ก่อนวันซัมมิท

Kinabalu Park ที่พักเชิงเขาด้านล่าง ที่ที่เรามาพักคืนแรก

Kundasang Ranau ที่พักในโซนรอบนอกรัศมีไกลออกไปอีกหน่อย

และ Kota Kinabalu ที่พักโซนในเมือง



ระหว่างคุณคลิกดูรายละเอียดที่พักผมขอตัวแป๊บนะครัช ติดต่อน้องเจ้าหน้าที่ก่อน หวัดดีจ้ะ น้องน่ารักอย่างนี้พี่นี้ขอมาปีนเมาท์คินาบาลูทุกวันเลยจะได้มั้ยจ๊ะ 55555 ..อิอิ




ถามน้องว่าพรุ่งนี้เช็คเอาท์ขึ้นเขาแล้วสัมภาระที่จะไม่ติดตัวขึ้นไปจะทำไง น้องชี้มาห้องข้างๆ ห้องนี้เลย Luggage room ห้องฝากสัมภาระ ค่าฝาก 12RM ต่อชิ้น




Rock Twin Hostel

รายละเอียด https://www.mountkinabalu.com/stay/kinabalu-park/rock-hostel

ที่พักของเรา มองไม่เห็นเขาหรอก แต่เดินออกจากที่พักมาแล้วเดินขึ้นเนินมานิดก็มุมว้าวเลย ยอดภูเขาคินาบาลูตระหง่ายอยู่เบื้องหลัง




ชมภาพไปเพลินๆ ก่อนฟ้าจะมืด จนท.บอกว่าจากจุดนี้ทุกๆ เช้ามืด ตีสองตีสามตีสี่ คุณจะมองเห็นแสงไฟฉายจากนักท่องเที่ยวที่ขึ้นซัมมิทสว่างเป็นสายขึ้นไปถึงยอด




ตกค่ำฝากท้องไว้ที่นี่ห้องอาหาร Balsam อยู่ตรงข้ามที่ทำการอุทยานฯเลย อาหารค่อนข้างแพง โดยเฉพาะเครื่องดื่ม ผมกินเสร็จค่อยนั่งรถออกไปนอกอช. ไม่ถึงโลก็มีร้านของชำ ไปหาซื้อเบียร์แถวโน้นถูกกว่าเยอะ เพื่อนร่วมทางซื้อสตั๊ดดอยจากที่นี่ด้วย แบบเดียวกับของบ้านเราแหละ ราคานับเป็นเงินไทยก็ไม่ถึงร้อย ถูกๆ แต่โคตรดี ลูกหาบที่นี่ก็ใช้ทุกคน




ห้องอาหารอีกมุมหนึ่ง ฉากหลังเป็นยอดคินาบาลูซึ่งอยู่ทางทิศเหนือ




ร้าน minimart ที่อยู่นอกอุทยาน ขับรถออกมาไม่ถึงโล เดินมายังได้ หาซื้อของขาดเหลือได้ที่นี่ ถ่ายไฟฉาย ถุงมือถุงเท้า หมวก สแน๊ค เบียร์ รวมถึงรองเท้าสตั๊ดคู่ละ 7-8 RM เท่านั้น หรือ 60 บาท




Day 2 Treking Day

22 กค. 2017 เช้าวันนี้ฝันที่รอคอยกำลังจะเริ่มก้าว เข้าสู่เทรลเดินขึ้น Mount Kinabalu ที่ยิ่งใหญ่

ภาพภายในและบรรยากาศนอกห้องนอน ร่มรื่น




ป้ายนี้ที่คุ้นตามาจากรีวิวแทบทุกรีวิวที่อ่านมา วันนี้เราได้มายืนหน้าป้ายนี้มั่งละ มีแผนผัง แผนที่ คำเตือน กฏ และคำแนะนำเพื่อความปลอดภัยต่างๆ




สำหรับคำแนะนำต่างๆ มีดังนี้

รูปคำแนะนำ

รายละเอียดเพิ่มเติมตามลิงค์นี้ไปเลย https://www.mountkinabalu.com/tips/important-tips




ตาชั่ง สำหรับชั่งสัมภาระกรณีจะจ้างลูกหาบ

ที่นี่มีลูกหาบบริการ แต่ละคนแบ่งน้ำหนักจำกัดกว่าของบ้านเราเยอะ ราคาก็ไม่แรงมากนะ ตารางราคาแสดงอยู่ในภาพ แต่เนื่องมาจากผมมากันแค่สองคน สัมภาระที่นอกเหนือจากอุปกรณ์ถ่ายภาพที่ต้องติดตัวไประหว่างทางแล้วก็แทบไม่มีอะไรแล้ว เสื้อผ้าเบาๆ ทั้งนั้น ก็เลยไม่ใช้บริการ แบกเองดีกว่า




มื้อเช้ากับห้องอาหารเดิมที่กินเมื่อคืน พร้อมเสบียงติดตัวระหว่างทาง จัดใส่ถุงกระดาษมาให้ มีน้ำหนึ่งขวด (กลางทางมีจุดเติมน้ำ) มีขนมปัง แซนวิช ไข่ต้ม ไก่ทอด และขนมปังแครกเกอร์ อ้อ ผลไม้อีกลูกนึง




ก่อนเริ่มต้นเดินทางเราก็แวะสำนักงานลงทะเบียนผู้ที่จะขึ้นอีกรอบ พร้อมรับแจกบัตรแข็งห้อยคอ ID Tag มีชื่อเราอยู่ บัตรนี้จะต้องห้อยคอติดตัวไปตลอดทาง ห้ามหาย

2.7 โล จากที่ทำการ เรามาถึงอนุสรณ์สถานรำลึกถึงผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่นี่เมื่อสองปีก่อน 5 มิย. 2015 เหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดขึ้นตอนเช้า 7.15 am คร่าชีวิตผู้คนบนนี้ไปกว่า 18 ชีวิต ไกด์ 4 คน นักท่องเที่ยว 14 คน

Earthquake Monument




บริเวณอนุสรณ์สถานเป็นจุดชมวิวไปในตัว ถ้าอากาศดีดีก็มองเห็นยอดคินาบาลู รวมถึงมองเห็นน้ำตกขนาดใหญ่ที่ตกลงมาตามหน้าผาสูงด้วย น้ำตกนี้มองเห็นได้ไกลจากจุดชมวิวริมทาง Mt.Kinabalu Lookout เช่นกัน




4.3 กิโล ระยะทางถนนจากที่ทำการถึงจุดเริ่มต้นเดินเท้า

Timpohon Gate

จะมีรถมาส่งทุกคนที่นี่

แต่เดิมเส้นเทรลขึ้นคินาบาลูมีสองเส้น แต่หลังจากเหตุแผ่นดินไหวปัจจุบันนี้เหลือเส้นนี้เส้นทางเดียว ส่วนอีกเส้นปิดตาย



TIMPOHON GATE จุดเริ่มต้นเดินเทรล กม.0

คำว่า pondok ที่เห็นเหนือประตูเป็นภาษามาเลย์ แปลว่า shetter หรือศาลา เราจะเจอศาลาไปตลอดทางขึ้น 7 ศาลา จะเจอคำว่า pondok นี้ไปตลอดทาง

Timpohon Gate เป็นจุด check point แรก ลงชื่อที่นี่เพื่อเริ่มต้นเดิน ใครลืมบัตรห้อยคอ ID Tag ก็ม้วนเสื่อกลับบ้านได้เลยคุณไม่ได้รับอนุญาตให้ไปต่อ




3D map แผนที่ google earth แสดงเส้นทางเดินขึ้น รวมเส้นถนน (สีส้ม) ที่มาจากที่ทำการด้วย โดยระยะเทรลเดินวันแรกนี้จะอยู่ที่ 6 กิโลเมตร (สีฟ้า) ไต่จากคามสูง 1,866 เมตรที่ Timpohon gate สู่ Panalaban basecamps และขึ้นซัมมิทตีสองวันถัดไป ด้วยระยะทาง 2.72 กิโลเมตร (สีแดง)




Terrain view map เส้นทางเทรลขึ้น Mount Kinabalu




KM. 0 ก้าวแรกที่ย่างก้าว (เริ่มจับเวลา 8:53 น.)

เดินทะลุ Pondok Timpohon Gate หลังสีเลือดหมูออกมาก็จะเจอกับบันไดเดินลง ต่อด้วยเทรลลาดลงเนินยาวๆ ไป เทรลแบบนี้สบายตอนเริ่มถือเป็นก้าวอุ่นเครื่อง แต่มันจะตายตอนจบ ตายวันกลับ คงคลานขึ้นเนินกันล่ะ




น้ำตก Carson

เดินเพียง 100 เมตรแรก เราก็เจอน้ำตก Carson ไกด์บอกว่าเป็นสายน้ำที่แยกมาจากน้ำตกสูงๆ ที่เราเห็นจากจุดชมวิวอีกที Carson Fall เป็นน้ำตกเล็กๆ ริมทางเทรล ถือเป็นออเดิ๊ฟให้ได้ชื่นใจก่อนที่เส้นทางจากนี้ไปเส้นทางจะมีเดินขึ้นละ






จากน้ำตกสู่ กม.1 (จาก elev. 1,860 m. สู่ 2,039 m.)

700 เมตรแรก ลาดชันธรรมดา เดินสบายๆ ก้าวยาวๆ ได้ ทางค่อยๆ ชันขึ้นๆ ในอีกร้อยเมตรแล้วหักศอกซ้ายกลายเป็นบันไดแหงนหน้าตั้ง เตรียมสูดหายใจไต่บันไดยาวๆ




พ้นบันไดก็ปลอบใจด้วยทางราบๆ แข็งใจไปอีกอึดใจ ข้างหน้าใกล้ๆ จะเป็น pondok หรือศาลาพักใจหลังแรกของเส้นทาง

Pondok Kandis




มาถึงตรงนี้ก็ถือว่าพิชิตกิโลเมตรแรกกันไปโดยปริยายเพราะถัดจากศาลาไปไม่กี่ก้าวจะมีเสาหลักกิโล KM.1 (2,039m.) ปักอยู่โอย จิ๊บๆ เดินแป๊บๆ กิโลแรกใช้เวลาไปชั่วโมงเดียว!! ตัยร้าว ค่าเฉลี่ยสำหรับเทรลช่วงแรกสู่เบสแคมป์ 6 กิโลเมตรแรกจะอยู่ที่ 5-7 ชั่วโมงตามที่เค้าติดป้ายบอก ตอนนี้ขอปลดเป้หลังพักเมื่อยชมนกชมไม้ไปก่อนนะ เด๋วจะเร่งสปีด




KM.1 สู่ KM.2 (2,039 m.- 2,252m.)

Pondok Ubah ศาลาพักใจจุดที่สอง

หลังหยุดพักหนแรกที่ Kandis เราก็ออกสาวเท้าต่อ ทางไม่ชันเป็นบันไดไต่เหมือนช่วงที่ผ่านมาแต่ก็ยังคงชันฟันหน้าดินเป็นขั้นๆ ยิงยาว 400 เมตรสลับทางราบนิดหน่อยก็ลุมาถึง Ubah ศาลาปลดเป้จุดต่อไป เหงื่อเริ่มซึม ขาเริ่มเกร็งนิดๆ Ubah จุดนี้อยู่เหนือระดับน้ำทะเล 2,081 m. อ้อ อากาศเย็นๆ ตลอดทาง พักไม่นานเนื่องจากเดินห่างจากศาลาแรกมาไม่ไกล ยังไม่มีเค้าฝน ซึ่งถือว่าฟลุ๊คมาก เพราะเมื่อคืนนี้ก็ตกมาทั้งคืน อย่างไรก็ตามชุดกันฝนก็พร้อมอยู่ในเป้สัมภาระแล้ว




กิ่ว
ออกจาก Ubah ทางราบๆ สบายๆ อยู่พักนึงก็กลายเป็นบันไดอีก ชันยาวจนจะหมดแรงอยู่รอมร่อก็มาเจอภาพที่ทำให้หายเหนื่อยเลย นั่นคือยอดเมาท์คินาบาลูมองเห็นอยู่ใกล้ๆ เบื้องหน้า ชัดใส วิวเปิด ฟ้าเปิด บริเวณนี้เป็นสันกิ่วแคบๆ แคบจนต้องมีรั้วกั้นทั้งสองฝั่ง ซึ่งเป็นเหวชัน เหมือนสันคมมีด แต่อยากจะเรียกว่าสะพานไต่ฟ้ามากกว่า




มองย้อนกิ่วกลับไป




สุดกิ่วก็เจอกับหลักกิโลที่ 1.5 ความสูง 2,164 m.




ทางที่เหลือก็ราบๆ ครึ่งนึง สลับบันไดชันๆ อีกครึ่งนึง ก็ถึงป้ายหลักกิโลเมตรที่ 2 ณ ความสูง 2,252 เมตร อีกนิดเดียวจะทำลายความสูงของดอยหลวงเชียงดาวละ และตอนนี้ก็ใช้เวลาไป 2 ชั่วโมงกับอีก 15 นาที นี่แปลว่ากิโลเมตรที่สองผมใช้เวลานานกว่ากิโลเมตรแรก ฮือๆ สงสัยตรูสร้างสถิติใหม่ที่นี่แน่แล้ว




ก้มหน้าสาวเท้าต่อไป ผมชอบที่นี่อย่าง คือราวจับเค้าทำดีมาก ไม้ขัดผิวเรียบเนียนมือมาก งานดี อ้อ แปลกใจอย่างด้วย คือตั้งแต่เดินมาเนี่ย มดแมลงอะไรไม่มีเลย ปกติป่าชื้นๆ แบบนี้ผมมักจะต้องเจอมดเดินกันเป็นเส้นๆ บางทีจะจับราวก็ต้องมองกลังมือไปทาบเอาแถวมาร์ชของมด แต่ที่นี่ไม่เจอเลย




จาก KM.2 - KM.3 (2,252 m.-2,455 m.)

ทางช่วงพ้นกิโลสองมาเป็นทางเดินราบๆ ชันน้อยๆ ซะส่วนใหญ่ เดินง่ายๆ สบายๆ ไม่กินแรงขามากนัก เดินสักพักเดียวก็มาถึงอีกศาลานึงแล้ว นั่นคือ Pondok Lowii ผมไม่ยอมเสียเวลาหยุดพักละ ขืนพักทุกศาลามีหวังค่ำก็ยังไปไม่ถึงเบสแคมป์

ตอนนี้เริ่มเจอคนสวนลงมา ดูหน่วยก้านลุงแล้วถ้าลุงเพิ่งขึ้นซัมมิทเมื่อเช้ามาผมก็สบายละ แต่ลุงลงมาเร็วชะมัด ถ้าออกเดินพร้อมกันผมเพิ่งทำระยะมาสองโลกว่า แต่ลุงลงมาถึงนี่ก็ต้องมีสามโลกว่าแล้ว เอ หรือว่าลุงไม่ได้ขึ้นซัมมิท!




สตั๊ดดอยของลูกหาบ ที่พิสูจน์ตัวเองทุกดอยในไทยรวมทั้งที่นี่ ถ้าไม่เกี่ยงว่าขี้เหล่เด๊ะไปหน่อยก็ใส่ตั๊ดดอยดีกว่า ถูกกว่าด้วย หาซื้อแถวนี้ใส่เส้นมอบให้ลูกหาบไปเลยก็ได้ไม่ต้องพากลับไทย




เริ่มมีคนสวนลงมาเรื่อยๆ แดดยังมี อากาศยังเย็น ดูความกดอากาศบนนาฬิกาข้อมือแล้วปลอดฝนอย่างน้อยสองสี่ชั่วโมง ไกด์บอกบ่ายแก่ๆ ไม่แน่ ยิ่งขึ้นสูงอากาศจะยิ่งแปรปรวนรวนเร




ผ่านหลักกิโลที่ 2.5 (elev. 2,350 m.)




แตะ KM.3.0 elev. 2,455 m. ใช้เวลาไปอีกหนึ่งชั่วโมงเต็มๆ มาตรฐานต่ำจริงๆ ตรูเอ๊ย




ตอนนี้เริ่มเดินได้ช้าลง เริ่มแวะชมใบไม้ใบหญ้ามากขึ้น แทคติกในการพักเมื่อย




จริงแล้วพอเราเดินช้าลงเราก็มีเวลามองรอบตัวมากขึ้น ช่วงนี้สายตาก็เลยพาไปเจออะไรๆ น่าถ่ายมากขึ้น




ต้นนี้ก็เช่นกัน ขึ้นได้แปลกตามาก สวยดี




ใบนี่ยิ่งแปลก ไม่เคยเห็น ป่าเริ่มแปลกตาไปกว่าที่คุ้นเคยในไทยละ ใช่สิ นี่ป่าบอร์เนียวนี่นา




สภาพทางแบบนี้ปกติค่าเฉลี่ยผมอยู่ที่ 40 นาทีต่อกิโลเมตรนะ ไหงมาที่นี่เดินได้ช้าลงก็ไม่รู้ อาจจะเพราะแบกหนักเกินไปก็ได้ ต้องนี้เริ่มล้าไหล่เพราะขาตั้งกล้อง และเริ่มมีความคิดว่าจะยกให้ไกด์แบก โดยว่าจ้างไปเลย ให้สินน้ำใจหน่อย ให้เค้าเรียกราคามา ไกด์ผมก็เลยขอคิดราคาสองช่วง ช่วงแรกขึ้นเบสแคมป์ และพรุ่งนี้อีกช่วง คือซัมมิท จัดไป รีบๆ เอาไป แต่เดี๋ยวก่อน ผมบอกเงื่อนไขไปว่าอย่าห่างตัวผมมากนักนะ คือเกิดไอจะใช้ขาขึ้นมาจะได้มีใช้ การเจรจาเป็นไปแบบง่ายๆ ขาตั้งมันก็ไม่ได้หนักอะไรแค่โลครึ่ง แต่ผมรู้สึกเหมือนตัวเบาขึ้นสามโลเห็นจะได้ อิอิ ว่าแล้วก็ส่งมอบไป จำไม่ผิดรู้สึกจะคิดช่วงละ 10 หรือ 20RM นี่แหละ ลืมๆ ไปละ




ใบไม้นี่ก็แปลกตาอีก อ่ะ จอดถ่ายไปเรื่อย ถือคติค่อยๆ ไปไงก็ถึง เร่งไปเดี๋ยวแรงหมด




มุมเงย




ดอกไม้ป่า




ลูกหาบ แบกกันอย่างนี้เลย ไม่ต้องมีคานหาบ เข่งชะลอม หรือกระสอบเฉพาะกิจอะไร




จาก KM.3 ทางเริ่มโหดขึ้น หาที่ราบไม่เจอเลย แถมบันไดยาวๆ ร่วมสองร้อยเมตร ขางี้สั่นเลย ทุกก้าวมันกินกำลังเหลือเกิน ถือเป็นช่วงที่ชันที่สุด ณ ตอนนี้




เกือบจะหมดแรงแล้วก็มาเจอศาลาช่วยชีวิต Pondok Mempenning กรู แทบทรุด น่าตกใจมาก ระยะทางจากกม.3 เดินมาศาลานี่เพียงแค่สามร้อยกว่าเมตร แต่ใช้เวลาไป 3/4 ชั่วโมง !!! OMG!

บ่ายโมงแล้ว ปลดเป้และจัดการมื้อเที่ยงที่นี่ เพื่อลดน้ำหนักสัมภาระลงไปอีกหน่อย อีกอย่าง... หิวมาก




ช่วงกินข้าวก็เรียกว่าพักขายาวๆ ไป หลังจากนั้นเริ่มเดินต่อทางก็ยังไม่ได้ลดความชันลงเลย ยังคงโหดเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือกรูอิ่มอยู่ และก็มาถึงหลักกิโลที่ 3.5 ในเวลาบ่ายสอง สรุปจาก 3 มา 3.5 ครึ่งกิโลล่อไป เกือบสองชั่วโมง เวลารวมที่ใช้ไปคือ 5 ชั่วโมง นี่เพิ่งเลยครึ่งทางเทรลมาครึ่งกิโล ไอ้หวังตายแน่!







จาก KM.3.5 สู่ KM.4 ( 2,634m. - 2,745 m.)

ทางราบถ้าจะมีก็เป็นเพียงราบแบบขำๆ แต่มันขำไม่ออกมานานแล้ว ก้มหน้าหายใจลึกๆ เดินต่อไป ยังดีว่าเห็นคนอื่นเดินไปหยุดไปเหมือนเรา เอ่อ ค่อยยังชั่วนึกว่าเป็นอยู่คนเดียว




Pondok Layang Layang

จุดพักที่ใหญ่ที่สุดบนทางเทรล ตรงนี้มีทั้งศูนย์อำนวยการหย่อมๆ ของทางอช. ไกด์ผมหยุดกินข้าวที่นี่ ไม่ได้กินต่อหน้านะ แอบเข้าไปกินในครัว แหมๆ รู้เพราะว่าเราเปิดประตูเข้าไปตาม กำลังนั่งหม่ำอย่างโคตรสบายเลย เหมือนกินข้าวบ้าน เราก็เลยพักเหนื่อยอยู่ตรงนี้อีกพักใหญ่ มีนกสองสามชนิดที่ค่อนข้างเชื่องคนโดดเหยงๆ ไปมาอยู่ใกล้ๆ ตัวนึงสีสดถ่ายไม่ทัน ไอ้ตัวสีดำๆตัวนี้ถ่ายไม่สวยดันไม่หนีกล้องซะงั้น มีกระรอกวิ่งไปวิ่งมาด้วย ถ่ายไม่ทันอีกเช่นกัน เวลานี้กำลังวังชาหมด ก็ดูอย่างภาพยังหมดแรงหมุนโฟกัส ตอนนี้หมดแรงข้าวเที่ยงไปอีกแล้ว ต้องงัดช็อกโกแล็คพลังงาาน Energy food ขึ้นมากินต่อ




พ้นศาลา Layang Layang ชันๆ ขึ้นไปอีก 40 เมตร เราก็ถึงกม. 4.0 ณ ระดับความสูง 2,745 m. เหนื่อยว่ะ ขาดอีกตั้งสองกิโล ตอนนี้ใช้เวลาไป 6 ชั่วโมงแล้ว แงๆ ยิ่งเดินยิ่งแย่




สามแยก

ถัด กม.4 มาอีกเพียง 40 เมตร ทางก็มาบรรจบกับ Mesilau Trail ที่อดีตเป็นเทรลเดินอีกเส้นที่ไกลกว่า แต่ธรรมชาติสวยกว่า ซึ่ง ณ ตอนนี้ปิดตายโดยไม่มีกำหนดเปิดแล้วอันเนื่องมาจากทางเสียหายจากเหตุแผ่นดินไหวใหญ่ในครั้งนั้น ผิวทางเดินตอนนี้เริ่มเปลี่ยนลักษณะไปอย่างชัดเจนแล้ว กลายเป็นดินเหลืองๆ




สองข้างทางเริ่มเห็นดอกไม้มากขึ้น




เดินไปหยุดถ่ายภาพไปเป็นวิธีพักเมื่อยที่ไม่เสียเวลาไปเปล่าประโยชน์






ป่าบอนไซยักษ์!!

พ้นสามแยกมาเพียงร้อยเมตรก็ต้องตะลึงนะจังงังกับภาพป่าเบื้องหน้าที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ป่าบอนไซยักษ์ บอนไซที่ผมนึกว่าจะเป็นต้นไม้แคระเล็กๆ ที่รูปร่างเหมือนต้นไม้ใหญ่ ไกด์บอกเราว่านี่แหละป่าบอนไซ หูยยย สวยอ่า สวยมาก ลืมความเหนื่อยไปชั่วขณะใหญ่เลย แม้เส้นทางที่เห็นอยู่ตรงหน้าจะเป็นทางชันขึ้นไปอีกก็ตาม




ใจละลายไปกับภาพป่าบอนไซ ประกอบกับอุณหภูมิตอนนี้ก็เย็นลงเรื่อยๆ ด้วย ยิ่งเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในอีกมิติหนึ่งของโลกที่ไม่คุ้นเคย




เจอใบไม้แดง




สังเกตเข้าไปยังอณูเล็กๆ รอบตัวก็เริ่มไม่คุ้นตามากขึ้น อย่างใบไม้นี่ก็ดูใบหนาๆ กลมๆ สวยแปลก




แหงนหน้ามองไปยังยอดบอนไซยักษ์ที่ห้อมล้อมไปทุกทิศทุกทาง ณ เวลานี้




หูยยย ดูสิครับ มันสวยจริงๆนะผมว่า ทรงต้นก็แปลก ตามกิ่งลำมีฝอยลมเกาะอยู่เต็มพืดไปหมดอีก บวกกับตอนนี้ฉากหลังปรากฏยอดคินาบาลูโผล่ขึ้นมาให้เห็นอีกครั้ง ใกล้แล้ว ใกล้ถึงเบสแคมป์แล้ว




เหลี่ยมเขาค่อยๆ โผล่มาให้เห็นรอบตัวอย่างชัดเจน เรียกว่าจุดนี้พ้นเงาป่าเป็นครั้งแรก มองเห็นภูมิประเทศกว้างไกล พรรณไม้แปลกๆ ตารอบตัวก็มีให้เห็นถี่ยิบจนต้องเหวี่ยงกระเป๋ากล้องลงเปลี่ยนเลนส์มาสาละวนถ่ายภาพ พร้อมกับถือโอกาสหยิบเสื้อกันหนาวมาสวมเพิ่ม




เมฆที่ลอยอยู่ต่ำกว่าระดับสายตาสิ่งยืนยันว่าตอนนี้เราอยู่ระดับเหนือเมฆแล้ว




เหลี่ยมเขาค่อยๆ โผล่มาให้เห็นรอบตัวอย่างชัดเจน เรียกว่าจุดนี้พ้นเงาป่าเป็นครั้งแรก มองเห็นภูมิประเทศกว้างไกล พรรณไม้แปลกๆ ตารอบตัวก็มีให้เห็นถี่ยิบจนต้องเหวี่ยงกระเป๋ากล้องลงเปลี่ยนเลนส์มาสาละวนถ่ายภาพ พร้อมกับถือโอกาสหยิบเสื้อกันหนาวมาสวมเพิ่ม




เมฆที่ลอยอยู่ต่ำกว่าระดับสายตาสิ่งยืนยันว่าตอนนี้เราอยู่ระดับเหนือเมฆแล้ว




บอนไซยักษ์โดดเดี่ยวเท่ๆ ไกลๆ สักรูป วิวตอนนี้มองเห็นไกลลงไปถึงหมู่บ้านข้างล่าง จุดไหนสักแห่งข้างล่างนั่นอาจจะเป็นจุดชมวิวริมทางที่เมื่อวานเราจอดมองขึ้นมาบนนี้ก็เป็นได้




ป่าบอนไซยักษ์ top view อลังการสายตามาก




ยิ่งใหญ่มาก


ป่าฝนเกาะบอร์เนียว




มาต่อครับ

จุดที่ถ่ายดอกไม้อย่างสนุกปักหลักอยู่บริเวณ Pondos Villosa ณ ความสูง 2,961 m. นั่นเอง ตรงนี้ใกล้ๆ กับ กม.5 เราใช้เวลาอยู่บริเวณนี้กว่าครึ่งชั่วโมงจึงเก็บกระเป๋ากล้องเดินทางต่อ ห้าโมงครึ่งแล้ว ช้าไม่ได้แล้ว เดี๋ยวจะมืดกลางทาง




เก็บกระเป๋าแล้วยังเจออีกดอก ชะช่าเมื่อไหร่จะได้ไป




KM.5.0 ขึ้นสู่ความสูงเหนือ 3,000 เมตร เหลือระยะทางอีกหนึ่งกิโลเมตรสุดท้าย จีพีเอสในมือบอกเวลาดวงอาทิตย์ตก 18:33 เหลือเวลาฟ้าสว่างอีกเพียงชั่วโมงเดียว

ผู้ชายสองคนนี้เป็นกลุ่มบ๊วยเหมือนผม สองพี่น้อง คนเดินนำคือพี่ชายอายุหกสิบกว่า ส่วนน้องชายเดิมตามเทคแคร์อยู่ไม่ห่างตลอด คนน้องสี่สิบกว่า ตามมาทันผมได้เพราะผมจอดถ่ายดอกไม้อยู่นาน

ต้องเร่งเดินแล้ว




ยอด Mount Kinabalu ทะมึนอยู่ตรงหน้า ภูเขาหินแกรนิต ดูท่าต้องตัดป่าบอนไซนี่ไปอีกนานกว่าจะพ้น พ้นเมื่อไหร่นั่นแหละเบสแคมป์




ณ เวลานี้กลับมาเดินอยู่คนเดียวอีกครั้ง เพื่อนที่เดินนำตลอดเดินหายไปอีกครั้ง ป่านนี้คงถึงที่พักแล้วมั้ง ไกด์แม่มก็หายไปอีกคน สงสัยซุ่มนั่งเล่นเกมส์อีกตามเคย เพราะเห็นควักเครื่องเล่นเกมส์มานั่งเล่นบ่อยๆ ขาตั้งกรูล่ะ ที่จ้างไว้แล้วตกลงให้เดินอยู่ใกล้ๆ เป็นอันไม่ต้องใช้ขาตั้งกันพอดี ตะวันลับฟ้าไปแล้ว เมฆเยอะไปหน่อยกลบแสงทองที่จับขอบฟ้าเกือบมิดพร้อมหยดแม่ะลงมาจากฟ้าสามสี่เม็ด ม่ายยยยย ไม่จริง! อย่าเพิ่งตกตอนนี้นะเฟ้ย




ช่วงเวลาต่อจากนี้คือก้มหน้าเดินอย่างเดียว ความมืดทำให้ป่าแลดูเหมือนรกชัฏฝ่าป่าบอนไซที่มืดลงเรื่อยๆ ไฟฉายคาดหัวถูกหยิบขึ้นมาใช้ ฝนไม่มีวี่แววจะตกละ เดินจ้ำๆ อยู่คนเดียวในป่า โหวงเหวงดี แต่รู้ว่าอยู่ในสายตาไกด์ตลอดแหละ และในที่สุด หนึ่งทุ่มพอดี ผมก็มาถึง Panalaban Basecamps และภาพที่พักก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า ห่าจวก เดินตามหาซะตั้งนานรู้มั้ยแกร

Laban Rata resthouse ณ ความสูง 3,273 m.

ความสูงระดับเดียวกับเมือง Leh Ladakh ที่เราเคยไปแพ้ความสูงมา




10 ชั่วโมงเต็ม เจ้าประคุณเอ๊ย โคตรอายชาวโลกเลย วะฮะฮ่า แต่ก็นะ ไม่ได้บ๊วย ยังมีคนบ๊วยกว่ายังขึ้นมาไม่ถึงถึงซักทีพ่อแก้วแม่แก้ว เกือบหมดแรง เจอเจ้าไกด์หนุ่มอีกครั้งเลยบอกเอาขาตั้งกล้องมานี่เลย หึหึ แล้วก็ถ่ายวาดแสงสักหน่อย โพสเฟสบุ๊คบอกเพื่อนๆ ที่ส่งกำลังใจจากเมืองไทยกันว่า " ถึงแล้ว " นะ น้ำตาจะไหล




เข้ามาถึงที่พัก โล่ง! เพื่อนนั่งรออยู่พร้อมตักอาหารเย็นใส่กล่องไว้ให้ คือถ้าไม่ได้เพื่อนล่วงหน้าขึ้นมา ตรูอดตายแน่ เพราะครัวปิดแล้ว ซัดทันทีข้าวหน้าเป็ดที่โคตรอร่อย ... เพราะว่าหิวมากด้วย








ที่หลับที่นอนของเรา เตียงสองชั้น สองชุด นอนได้สี่คน แต่เรานอนกันสองคน ( เอ๊ะยังไง แสดงว่าวันนี้โควต้า 135 คนต่อวันก็ยังถูกใช้ไปไม่ครบงั้นสิ





บนเบสแคมป์นี่มีที่พักหลายเจ้านะ ทั้งหมดเป็นเจ้าเล็กๆ ราคาก็ budget กันไป ดีที่สุดแพงที่สุดออปชั่นเยอะสุดก็ต้องที่นี่ล่ะ Laban Rata

ระหว่างเดินถือแปรงสีฟังไปหาห้องน้ำจะได้รีบนอนเอาแรง นี่ชาวบ้านเค้าก็นอนกันหมดแล้ว ก็ต้องขอบอกว่าภายในของ Laban Rata resthouse ฝาผนังช่างน่าสนใจมากๆ เต็มไปด้วยคำขวัญคำคมปลุกพลังเหล่านักล่าฝัน มีอะไรบ้างนั้น คัดมาให้อ่านกันครับ ด้านล่างใต้ภาพนี้



Forgive Quickly, Kiss Slowly, Love Truly, Laugh uncontrollably.

It always seems impossible until it is Done.

Never never never … give up.

Don’t wait, the time will never be right, Make it happen.

It’s always easy to think small, but you get better results when you Think BIG.

Work hard stay humble.

Never lose your sparkle.

Push your fears aside, Keep your Dreams alive.

Enjoy the little things.

Believe in yourself.

Dream big, Live simply, Laugh of Ten, Love Lots.

Live every minute, Cherish every memory, Love every moment, Embrace every possiblility.

Don’t let yesterday take up too much of today.

We can’t spell s_ccess without "u".



———————— ราตรีสวัสดิ์ทุกท่าน ตอนนี้จะสามทุ่มแล้วได้เวลานอนเอาแรงเพื่อตื่นอีกทีตีหนึ่ง สำหรับภารกิจ Summit Trail พิชิตฝัน พิชิตยอด Mt.Kinabalu ________________


Day 3 Summit Day วันที่รอคอยมานานแสนนาน

23 Jul. 2017 1:35 am (UTC+8)

ตีหนึ่งครึ่ง เพิ่งนอนไปประมาณสี่ชั่วโมง

สัมภาระที่แบกขึ้นมาเมื่อวานเกือบทั้งหมดคือชุดสำหรับขึ้นซัมมิท เริ่มจากหมวกกันหนาว ผ้าบัฟชนิดกันหนาว เสื้อฮีทเทค สวมทับด้วยเสื้อกันหนาวอีกชั้น กางเกงลองจอนฮีทเทค สวมทับด้วยกางเกงเดินป่าตัวเดิม ถุงมือกันอุณหภูมิติดลบ 5 องศาที่เพิ่งซื้อมา อุปกรณ์ถ่ายภาพ เพิ่มเติมคือขาตั้งกล้องเอากลับมาแบกเองแล้ว เพราะกลัวไกด์หายตัวไปซุ่มนั่งเล่นเกมส์อีก อ้อ ไฟฉายคาดหัวก็พร้อมอยู่บนหัวแล้ว พร้อมเสบียงติดตัวที่สำคัญอย่างน้ำดื่มและช็อกโกแล๊คพลังงาน ที่ขาดไม่ได้อีกอย่างที่ติดตัวตลอดคือชุดกันฝน แม้จนถึงตอนนี้จะยังไม่เจอฝน แต่อากาศฤดูนี้โดยเฉพาะที่นี่ ไว้ใจไม่ได้

ส่วนอาหารบุฟเฟ่ที่เค้าเสริฟให้กินบอกตรงๆ แม้รู้ว่าสำคัญมากแค่ไหน ร่างกายเราต้องการใช้พลังงานอย่างมหาศาลในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า แต่แล้วผมก็บอกตรงๆ กินลงไปได้ไม่กี่คำ เพราะว่าไม่อร่อยและมันไม่ใช่เวลากิน และมันก็ไม่ใช่เวลาเดินซะด้วย แง

2:35 am (UTC+8) Summit time begins

ฝ่าความมืดขึ้นสู่เส้นทางไต่ยอดเขาคินาบาลู กลางความหนาวลมแรง คืนแรม 15 ค่ำฟ้ามืดสนิท มีแต่แสงดาวบนดินเป็นสายจากแสงไฟฉายคาดหัวของเหล่า climbers กับเสียงหายใจหนักๆ ของตัวเอง เหนื่อยมาก ก้าวขายาก มันก้าวไม่ออก ทุกก้าวมันคือชันเข่าขึ้น ก้าวไม่พ้นสองก้าวก็ต้องหยุดหอบ หายใจหนักๆ ทำไมมันเหนื่อยเร็วอย่างนี้!!




เฟสแรกของซัมมิทเทรลคือ ต้องไปให้ทันจุด check point แรกก่อนตีห้า ซึ่งอยู่ห่างจากเบสแคมป์ไป 1.4 กิโลเมตร (ลืมบอกไปว่าตอนนี้เทรลขึ้นซัมมิทช่วงแรกจะมีสองเส้้น รูทเก่ากับรูทใหม่ที่ชื่อว่า new Ranau trail ซึ่งจะไกลกว่ารูทเดิมสามสี่ร้อยเมตรเนี่ยแหละ แต่คงชันน้อยกว่า มั้ง!) ทั้งสองรูทจะตรงเข้าหาจุดเช็คพ็อยท์เดียวกัน ถ้าไม่ทันจะไม่ได้รับอนุญาตให้ผ่านขึ้นไปต่อ!! ด้วยระยะทางเพียงโลกว่ากับระยะเวลาเกือบสองชั่วโมงครึ่ง ตอนแรกก็นึกว่ายังไงก็ทันแน่ แต่นาทีนี้หวั่นใจสุดขีด คิดว่าไม่ทันแน่ๆ คือเดินไปสองชั่วโมงก็แล้วทำไมยังไม่มีทีท่าว่าจะถึงซักที เวลาตอนนั้นตีสี่กว่าๆ มันจวนเจียนจะตีห้าเต็มทีก็ทำใจไปเกินครึ่งแล้วว่าเราคงต้องกลับบ้านเป็นคนแรก ระยำมากใจมันไปแต่ขามันมันไม่ยอมเดิน




เฮือกสุดท้ายเมื่อเริ่มเห็นแสงเลาๆ เหมือนไฟสว่างจากบ้าน เดาได้ว่าน่าจะเป็นจุดเช็คพ็อยท์ ร้อยเมตรสุดท้ายนั้นผมก็รวบรวมกำลังทั้งหมด ตายเป็นตาย ฝืนก้าวทั้งที่ก้าวแทบไม่ไหวมาทันเวลา 4:52 นาที เฉียดเส้นยาแดงไปเพียง 8 นาทีก่อนที่เค้าจะลั่นดานปิดประตู

Km. 7.0 Sayat Sayat Huts Checkpoint ( elev. 3,668 m.)…. สวรรค์เปิดอีกครั้ง




ไกด์หันมาส่งกำลังใจให้พร้อมแนะนำให้พักสักห้านาทีค่อยไปต่อ เพราะเห็นว่าเราหน้าซีดมากแล้ว สำหรับผมกำลังใจมันกลับมาอีกครั้งอย่างน้อยก็เพราะว่ายังไม่ใช่ผู้แพ้ ลองคิดดูมันจะเลวร้ายขนาดไหนถ้ามาไม่ทันและต้องหันหลังกลับ นี่คือความโหดร้ายของเทรลคินาบาลู คือการที่ต้องเดินแข่งกับเวลา ซึ่งสเต็ปของแต่ละคนบางทีมันไม่เท่ากันนะ การที่ต้องเร่งขึ้นมาช่วงครึ่งกิโลสุดท้ายตะกี๊นี้ส่งผลให้ผมแทบชาร์ตกำลังกลับมาไม่ได้ เส้นทางส่วนที่เหลือเลยกลายเป็นยากยิ่งขึ้นไปอีก

ตีห้า กัดฟันเดินต่อ Sayat Ckeck point พอจะนับว่าครึ่งทางแล้ว แต่อีกครึ่งที่เหลือนี่สิ ไอ้ครึ่งแรกเนี่ยผมใช้เวลาเป็นเกือบสามชั่วโมงเต็มๆ! แล้วครึ่งหลังล่ะ จะเป็นยังไง ความโหดร้ายเรื่องปัจจัยเวลายังตามมาหลอกหลอน เมื่อไกด์บอกว่าจุดเช็คพ็อยท์ที่สองก็คือยอดซัมมิท ต้องไปให้ทันก่อนเจ็ดโมงเช้า ใครไม่ทันไม่ให้ขึ้นซัมมิท ห่วย!! เหลือเวลาเพียงสองชั่วโมงสินะ นั่นคือต้องเดินให้เร็วขึ้นกว่าเดิม แต่ผมยังคงไปได้ช้าและช้าลง อัตราความเร็วอยู่ที่เพียงเฉลี่ย 9-14 นาทีต่อร้อยเมตรเท่านั้น พูดง่ายๆ ก็คือเพียง 0.5 km./h ผมก้าวเร็วกว่านี้ไปไม่ได้

//ภาพอันเบลอๆ ถ่ายขณะพักระหว่างไต่เชือกขึ้น ขอบฟ้าเริ่มสว่างแล้ว




และแล้ว ยอด South Peak ก็ลอยอยู่ตรงหน้า ตอนที่ความท้อจะมาถึงจุดต่ำสุด มันคือยอดสัญลักษณ์ ที่เด่นกว่ายอดซัมมิทซะอีกนะ แต่มุมสัญลักษณ์ไม่ใช่มุมนี้ ต้องเดินเลยมันขึ้นไปแล้วมองย้อนกลับลงมา แต่เท่านี้ก็เพียงพอที่จะปลุกก๊อกสามก๊อกสี่ออกมาแล้ว




มองย้อนกลับลงไป จนท.เดินปิดท้าย บ๊วยสุดสินะเรา งามไส้

เป้าหมายซัมมิทผมลางเลือนไปนานแล้วด้วยลอจิกง่ายๆ ตอนนี้ขอแค่ไปยืนตรงหน้า South Peak ก็พอ




6:37 ดวงอาทิตย์ขึ้นไปแล้วครึ่งชั่วโมงแต่ยังไม่พ้นเหลี่ยมมุมประการบังทางซีกซ้าย บริเวณที่แสงตะวันยังอาบมาไม่ถึง

South Peak ที่รัก ในที่สุดผมก็มาเห็นมุมนี้ตรงหน้า สบายใจละ

ที่มาของชื่อคงจะไม่มีอะไรมากไปกว่ามันคือยอดสูงที่สุดทางทิศใต้ของยอดเขาคินาบาลูนั่นเอง ซึ่งตอนนี้รายล้อมรอบตัวผมเต็มไปด้วย peak ต่างๆ ประมาณ 10 peaks จากตรงนี้ขวามือเยื้องไปข้างหลังหน่อยจะเป็น St.John Peak ข้้างซ้ายก็จะเป็น Donkey’s Ears Peak และ Tunku Abdul Rahman peak ถ้ากลับตัวไปด้านหลังจากเห็น Ugly sisters peak และยอดสูงสุด Low’s Peak อันเป็นจุดซัมมิท




สองเท้าก้าวไม่ออก ณ ยอด Mount Kinabalu

ผมก้าวมาถึงเพียงเท่านี้ KM.8.0 ที่ความสูง 3,929 m.

อุณหภูมิ ณ ตอนนี้ -5 องศาเซลเซียส ความหนาวทะลุถุงมือจนฝ่ามือเจ็บไปหมด

เป็นอันว่าสิ้นสุดเทรลของผมลง ณ ตรงนี้ 6:46 น เหลือเวลาเพียง 14 นาที โดยคำแนะนำของไกด์ด้วยว่าไปไม่ทันเจ็ดโมงแน่นอน

เอ่อ ไม่ต้องแนะนำก็ได้มั้ง ตรูทำใจนานแล้ววว รู้งี้จ้างแบกขาตั้งกล้องเสียแต่แรกก็ดี ฮือๆ




ระหว่างนี้ก็พักครับ นั่งมอง South Peak จ้องมัน มอง ๆๆ แล้วก็มองให้สมอยาก ไกด์ให้รอตรงนี้เค้าจะไปตามเพื่อนผมให้กลับลงมาได้แล้ว รายนั้นสบาย เก็บภาพอยู่บนซัมมิทเป็นชั่วโมงแล้ว

ลิงค์รีวิวของเพื่อนผม ใครสนใจตามไปเสพต่อได้ กับบรรยากาศบนยอด Low’s Peak (4,095.2 m.) https://pantip.com/topic/36724341




หลากอารมณ์

เหนื่อย ดีใจ เหม่อลอย อยากตะโกนดังๆ คินาบาลู~~~~~กรูมาถึงแล้ววววววว วู้ๆๆๆๆ ... ไม่มีเสียงออกมาจากลำคอหรอก มันก้องกังวานอยู่แค่ในใจ






นั่นครับ ยอด Low’s Peak จุดสูงสุด ระยะทางจากตรงนี้ไปก็ราวๆ 720 เมตรตามข้อมูลหลักกิโล




เซลฟีตัวเองสักรูปก่อนโบกมือลายอดเขาหินแกรนิต Mount Kinabalu




แผนที่ 3D อีกสักภาพ มุมมองย้อนกลับลงไปข้างล่าง เดี๋ยววันนี้เรายังต้องเดินลงรวดเดียวถึงข้างล่างโน่น




วิวทางลง ซึ่งก็คือทางเดียวกับที่เราฝ่าความมืดขึ้นมานั่นเอง




Sayat-Sayat Huts Check Point จุดที่ต้องขึ้นมาให้ทันก่อนตีห้า




นทท.กำลังเกาะเชือกกลับลงไป




ความจริงหลักดีดีหน่อยก็เดินหน้าลงได้นะ แต่ถ้าฝนตกเนี่ยจำเป็นต้องยึดเชือกไว้ เพราะพื้นจะลื่นมาก




มุมมันจะแลดูเสี้ยวๆ หน่อย แต่จริงๆ ไม่เสี้ยวขนาดในรูปนะ




แต่อันนี้เสี้ยวจริง ของจริง เห็นกลุ่มคนเล็กๆ นั่นมั้ย นี่แหละ เส้นทางพิเศษ via ferrata สำหรับใครที่ซื้อแพ๊คมา ใครสนใจเดินไต่ผาแบบนี้ ลิงค์อยู่นี่ครับ https://www.mountkinabalu.com/map/ferrata-route-mapส่วนราคาแพ็คเกจลิงค์อยู่ด้านบนตรงลิงค์จอง อ่ะ ให้ไว้อีกทีละกัน https://www.mountkinabalu.com/book

ซึ่ง via Ferrata นี่จะมีสองรูปแบบ วงเล็กกับวงใหญ่ วงเล็กคือ Walk The Torq ส่วนวงใหญ่คือ Low’s Peak Circuit




Panalaban Basecamps กับซากกองหินถล่มเมื่อคราวแผ่นดินไหวใหญ่




จุดชมวิวหรือจุดพักกึ่งกลางทางระหว่างเบสแคมป์กับ Sayat Sayat Huts Check pt.




พาชมเทรลซัมมิทนะครับ เนื่องจากขาขึ้นนั้นมืดสนิทไม่ได้ถ่ายไว้เลย

นอกจากบางจุดต้องเกาะเชือกขึ้นแล้ว บางจุดก็ทำเป็นบันไดแบบนี้




และแบบนี้




มองย้อนกลับขึ้นไปบนยอด

Tunku Abdul Rahman peak ที่มีร่องลอยกระเทาะของหินที่ถล่มลงมาคราวแผ่นดินไหว และยอด Donkey’s Ears Peak ที่หูข้างซ้ายหักแหว่งโค่นไปครึ่งหู




ทางลงช่วงถึงยอดป่าจะเต็มไปด้วยพรรณไม้สวยๆ




ดอกไม้บริเวณนี้มีความหลากหลายสุดขีด




เก็บภาพดอกไม้ไปเรื่อย




พรรณไม้งามๆ




กลับลงมาถึงเบสแคมป์อีกครั้ง 9:52 น. เฉียดฉิวกับ time limit อีกครั้ง ที่มีกฏว่าทุกคนต้องกลับลงมาเช็คเอาท์ก่อนสิบโมงครึ่ง มิฉะนั้นจะโดนค่าปรับเช็คเอาท์เลทอีกชั่วโมงละ 100 RM อะไรจะโหดนักที่นี่ เดินเอื่อยเฉื่อยแฉะไม่ได้เลย พลังหมดแล้วหมดอีก




เราเช็คเอาท์อย่างไว กินข้าวหน่อยนึงก่อนไลน์อาหารจะถูกเก็บ ก่อนจากก็ไม่ลืมที่จะฝากลายเซ็นไว้ที่บอร์ด แล้วก็เริ่มเทรคลง จับเวลา 10:50 น.




ตอนนี้รองเท้าหุ้มข้อที่ผมซื้อมาใหม่ก็เริ่มแผลงฤทธิ์ ตรงที่หุ้มข้อมันเริ่มเสียดสีเอ็นร้อยหวาย จนต้องร่นสนับเข่าลงมากองที่เท้าแทนเพื่อลดการเสียดสี กำแล้วตรู




ตามลำต้นบอกไซยักษ์ที่เกี่ยวเกี่ยวไปด้วยกล้วยไม้และฝอยลม มหัศจรรย์ธรรมชาติ




Helipad ณ elev.3,052 m. ลานจอดฮ.สำหรับใช้ในกรณีฉุกเฉิน บริเวณนี้เป็น Hidden place เขตต้องห้ามที่บังเอิญเรามาพบเข้า จริงๆ เพื่อนผมพบและหลังไมค์มาบอกให้ผมตามมา




มุมมองยอด Mount Kinabalu จากลานจอด ฮ. ถ่ายได้แพ๊บเดียวก็เจอกลุ่มเจ้าหน้าที่รุดหน้าเข้ามาตระโกนสั่งให้ถอดยวงออกจากบริเวณนี้ทันที ถึงได้รู้ว่าเป็นบริเวณต้องห้าม




แชะสุดท้ายก่อนประจัญหน้ากับกลุ่มจนท. แหม่ บ่องตง ตรงนี้มันน่าตั้งร้านกาแฟจริงๆ




อ้อ มีอีกแช๊ะนึง อิอิ




ป่าบอนไซสวยมาก




เหนือเมฆ ใจนึงก็อยากอยู่เหนือเมฆนานๆ นะ แต่ไม่เข้าทีแน่ เพราะจุดหมายปลายทางที่เราต้องเร่งทำเวลาไปมันอยู่ต่ำกว่าเมฆนี่สิ




และมาถึง Time Limit สุดท้าย ทุกคนต้องกลับลงไปถึง KM.0 Tiimpohon Gate ให้ทันก่อนสี่โมงเย็น มิฉะนั้นจะต้องเสียค่าปรับอีก เป็นค่าเลทรถที่ต้องอยู่รอเพื่อส่งเรากลับออกไป Headquater บัดซบ




ผมลงมาถึง Gate 15:30 เฉียดฉิวไปครึ่งชั่วโมง ใช้เวลาลง 4 ชั่วโมงครึ่งโดยประมาณ แบบขาพังมาก เพราะกึ่งเดินกึ่งวิ่งเป็นระยะทางกว่าสองสามกิโลก่อนจะแทบขยับขาไม่ได้ในช่วงกิโลเมตรสุดท้าย แบบแทบลากขาเดิน งานนี้พังมาก พังยาวนานกว่าครึ่งเดือน ผิดกับตอนลงจากฟูจิที่ตอนนั้นพังคืนเดียว แช่น้ำอุ่นก็หาย

บัตร ID Tag ที่ห้อยคอมาตลอดทางเอามาใช้สิทธิแช่น้ำแร่ที่ Poring Hot Spring จุดแวะพักฟื้นยอดนิยมของหลายๆ คนที่มาขึ้นเขาคินาบาลู เป็นเครือเดียวกับ Sanctuary Lodge ที่เราใช้บริการที่พักตีนเขากับบนเบสแคมป์ บัตรนี้มาใช้แช่น้ำแร่ที่นี่ไม่เสียค่าบริการ




ใครสนใจก็ พิกัดนำทาง https://goo.gl/bVNwWs อยู่ห่างอุทยานฯไปทางทิศตะวันออก ออกจากอุทยานแล้วเลี้ยวซ้ายไปตามทาง 39 กิโลเมตร

Poring Hot Spring
Ranau Sabah Malaysia



หวังว่าแช่เป็นชั่วโมงลุกขึ้นมาแล้วมันจะฟื้นคืนสภาพ .... แต่เปล่าเลย ตรูเดี้ยงเหมือนเดิม ขาเขย่งกลับที่พัก คืนนี้เรานอนนี่



สายน้ำใสไหลเย็น ที่ Poring Hot Spring









Day4 departure day

24 Jul 2017

รุ่งขึ้นก็ได้เวลาอำลาซาบาห์ เกาะบอร์เนียว นั่งรถกลับตาก็มองยอดเมาท์คินาบาลูทุกบ่อยๆ เพราะไม่รู้ว่าชาตินี้จะมีโอกาสกลับมามองอีกมั้ย นี่อาจเป็นภาพสุดท้ายก็ได้ ถามว่าเข็ดมั้ยตอบเลยว่าไม่ ชีวิตก็ยังคงต้องเดินทางต่อไป สะสมเป็นความทรงจำวัยชรา ทำไงได้ สถานที่สวยมหัศจรรย์ตาในโลกนี้มักเข้าถึงได้แค่ด้วยสองเท้าก้าวไป ก็เลยต้องเหนื่อยหน่อย



สรุป นี่เป็นทริปที่เดี้ยงที่สุดในชีวิต ถามว่าโหดมั้ย ไม่หรอกถ้าไม่ถูกจำกัดด้วยเวลาห่าจวกพวกนั้น คนขาสั้นๆ อย่างผมเนี่ยโคตรกล้ำกลืน ขาสั้นไม่พอยังแกร่อีกต่างหาก .... แต่ว่า มาเถิดครับ หากคุณเป็นอีกหนึ่งที่หลงรักเหลี่ยมเขา Mount Kinabalu คือ The Must หนึ่งใน destination ระดับไฮเอ็นด์ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตคุณควรหาโอกาสมาเพิ่มความทรงจำให้ได้

จบบริบูรณ์ครับ แฮร่ ขอบคุณที่ติดตามชมจนบรรทัดสุดท้ายนี้

พบกันใหม่รีวิวหน้าครับ เดินทางไปเจออะไรดีดีจะเก็บมาฝากกันอีก

ความคิดเห็น