พอเข้าสู่เดือนสิงหาคม กลางฤดูฝนของทุกปี ผมจะนึกถึงที่นี่เลย "ภูสอยดาว" มันอดใจไม่ได้เลยจริงๆ ไม่รู้มันมีอะไรดี นี่ก็เป็นครั้ง ที่ 4 แล้วครับ ผมจะเล่าความเปิ่นของผมให้ฟังนะ ครั้งแรกที่ไป ฝนดีมากตกแบบสุดๆ ดอกหงอนนาคบานแน่นมาก แต่ถ่ายรูปไม่ได้เลยเพราะไม่ได้เอาร่มมาด้วย ได้แต่เดินตากฝนดูความงามกันไป ปีที่ 2 ถัดมา แล้งเกินไป ฝนไม่ตก ดอกหงอนนาคน้อยมาก หมอกก็ไม่มี (ที่เคยรีวิวไปแล้วครับ) ปีต่อมาครั้งที่3 ไปถึงอุทยานฯ แล้วปรากฏว่าลืมหยิบกระเป๋ากล้องมาด้วย (อันนี้พีคสุด หมดเรี่ยวแรง โมโห โกธรตัวเองมาก ไม่ขึ้นก็ได้ว่ะ ขับรถกลับ 5555) จนมาครั้งนี้ เป็นครั้งที่ 4 ที่ผมเตรียมความพร้อมมากๆ และเห็นมีคนแชร์อัพเดทการบานของดอกหงอนนาค ที่สวยและบานแน่นเต็มไปทั่วลานสนบนยอดภู ก็เลยไม่รอช้าชวนเพื่อนผู้ร่วมทริปแบบด่วนจี๋ไปรษณีย์จ๋า รวมแล้ว 3 คน บอย น้องอ้อมและอ้ายกึ่มเอง ขับรถไปกันเองนี่แหละครับ พร้อมแล้วก็ไปชมความงามของภูสอยดาว กับอ้ายกึ่มจาก "ดีแต่เที่ยว" กันเลย
“ภูสอยดาว” หรือ อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว ครอบคลุมพื้นที่ 2 จังหวัด คือ พิษณุโลกและอุตรดิตถ์ การขึ้นไปพิชิตลานสนภูสอยดาวจะต้องเดินเท้าด้วยระยะประมาณ 6.5 กม. ใช้เวลาเดินเฉลี่ย 5-6 ชม. ฝ่าด่านทั้ง 5 เนินที่ส่งต่อความสูงชันไปเรื่อยๆ เนินส่งญาติ เนินปราบเซียน เนินป่าก่อ เนินเสือโคร่งและเนินมรณะเป็นเนินสุดท้าย หากผ่านจุดนี้ไปแล้วทุกคนจะได้รับรางวัลแห่งชีวิต “ผู้พิชิตลานสนภูสอยดาว” ที่ระดับความสูง 1633 เมตร จากระดับน้ำทะเล สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ ทะเลภูเขาสุดลูกหูลูกตา รับลมดอยเย็นสบาย ถ้ามีหมอกมาปะทะบนใบหน้าเราอีก รับรองว่าหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง ส่วนยอดสูงสุดของภูสอยดาวอยู่ที่ 2102 เมตร จากระดับน้ำทะเล สูงเป็นอันดับ 4 ของประเทศ ซึ่งจะเปิดให้ขึ้นไปพิชิตได้หลังพ้นช่วงฤดูฝนไปแล้ว
----------------------------------------------------------------------------------------
โปรแกรมเที่ยวของผม 3 วัน 2 คืน
19-21 ส.ค. 2560
วันแรก : เดินเท้าจากน้ำตกภูสอยดาว ฝ่าด่าน 5 เนิน – ลานสน
วันที่ 2 : ชมทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้น – เดินเที่ยวน้ำตกสายทิพย์ - ทุ่งหญ้าหงอนนาคบนลานสน – หลักเขตแดน - ชมตะวันตกดิน
วันที่ 3: ชมทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้น – เดินทางกลับ
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
วันแรก : เดินเท้าจากน้ำตกภูสอยดาว ฝ่าด่าน 5 เนิน – ลานสน
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ขับรถยนต์ส่วนตัวออกจากกรุงเทพประมาณ 1 ทุ่ม (รถติดตามเคย) ไปแวะรับเพื่อนที่อยุธยา มุ่งหน้าไปยัง จ.นครสวรรค์ - พิษณุโลก และไปแวะซื้อเสบียงที่ตลาด อ.ชาติตระการ ประมาณตี 3 สำหรับนำขึ้นไปทำอาหารกินกันบนภูพร้อมทั้งซื้อข้าวเหนียวกับหมูทอด น้ำพริกสำหรับมื้อกลางวันระหว่างเดินเท้าขึ้นภู ที่ตลาดจะมี 7-11 กับ Lotus Express นะครับ สามารถซื้อเสบียง เครื่องดื่ม ขนมต่างๆ ได้เลย จากนั้นขับรถต่อไปยังอุทยานแห่งชาติภูสอยดาว ถึงประมาณตี 4 จ่ายค่าธรรมเนียม แล้วนอนในรถพักเอาแรงสักหน่อย
ค่าเข้าอุทยานฯ 40 บาท / คน, รถยนต์ 30 บาท/ คัน
ตื่นเช้าล้างหน้าแปลงฟัน เตรียมสัมภาระที่จะไปชั่งหาบ ลงทะเบียนต่างๆ เวลาทำการอุทยานฯ เริ่ม 8.00 น. เราต่อคิวได้หมายเลขที่ 37 (วันเสาร์แบบนี้ นักท่องเที่ยวเยอะมากครับ) กว่าจะต่อคิวลงทะเบียน จ่ายค่าหาบสัมภาระ (30 บาท/ กก.) ก็ปาไป 9.30 น. มีรถรับส่งฟรี ไปยังจุดเริ่มเดินเท้าคือ น้ำตกภูสอยดาว ส่วนรายการเช่าอื่นๆ เราจะได้รับใบรายการเช่าของพร้อมซองซิปพลาสติก ไปยื่นให้เจ้าหน้าที่ด้านบนที่ทำการฯ บนลานสนภูสอยดาว ว่าเราจะเอาอะไรเพิ่มบ้าง แล้วกลับลงมาจ่ายเงินยังหน่วยฯ ด้านล่างตอนกลับ (ด้านบนไม่ต้องใช้เงินนะครับไม่ต้องเอาเงินขึ้นไปก็ได้) ปล. วางบัตรประชาชนตัวจริงของตัวแทนที่ลงทะเบียน 1 คน พร้อมมีค่ามัดจำขยะ 200 บาท ถ้าเอาขยะกลับลงมาทิ้งจะได้รับเงินมัดจำคืน
อัตราค่าเช่าอุปกรณ์ต่างๆ
เต้นท์พร้อมเครื่องนอน ถุงนอน แผ่นรองนอน หมอน
- สำหรับ 1 คน
1 คืน ราคา 700 บาท 2 คืน ราคา 1000 บาท
- สำหรับ 2 คน
1 คืน ราคา 800 บาท 2 คืน ราคา 1300 บาท
- สำหรับ 3 คน
1 คืน ราคา 900 บาท 2 คืน ราคา 1500 บาท
เช่าแยกตามรายการ
- เต้นท์
1 คืน ราคา 705 บาท 2 คืน ราคา 930 บาท
- ถุงนอน
1 คืน ราคา 120 บาท 2 คืน ราคา 150 บาท
- แผ่นรองนอน
1 คืน ราคา 80 บาท 2 คืน ราคา 100 บาท
- หมอน
1 คืน ราคา 40 บาท 2 คืน ราคา 50 บาท
อุปกรณ์อื่นๆ (ราคา / คืน)
- เตาแก๊ส 100 บาท - หม้อต้มทำอาหาร 20 บาท
- แก๊สกระป๋อง 80 บาท - เหล็กคีบถ่าน 10 บาท
- เตาถ่าน 50 บาท - ถ่าน 50 บาท
- สามขาตั้งเตา 20 บาท - ถังน้ำ 10 บาท
- กาต้มน้ำ 30 บาท - ขันน้ำ 10 บาท
พร้อมแล้ว เราก็ขึ้นรถปิคอัพรับส่ง จากอุทยานฯ ไปยังน้ำตกภูสอยดาว ระยะทางแป๊บเดียวคับ ไม่ไกล เราก็พร้อมเริ่มเดินทางกันเลย
เราจะเดินไปตามแนวลำธาร ฟังเสียงน้ำตกไปเรื่อยๆ น้ำตกภูสอยดาวมีหลายชั้น ดังนี้ ภูสอยดาว สกาวเดือน เหมือนฝัน กรรณิการ์ และสุภาภรณ์
เดินเท้าด้วยระยะประมาณ 6.5 กม. ใช้เวลาเดินเฉลี่ย 5-6 ชม. ฝ่าด่านทั้ง 5 เนินที่ส่งต่อความสูงชันไปเรื่อยๆ เนินส่งญาติ เนินปราบเซียน เนินป่าก่อ เนินเสือโคร่งและเนินมรณะเป็นเนินสุดท้าย
พ้นเนินส่งญาติที่สูงชันพอสมควร ก็จะหยุดพักกันเยอะเลย ดื่มน้ำเติมน้ำตาลกันก่อนจะไปสู่เนินถัดไปคือ เนินปราบเซียน
ตัดภาพไปเนินสุดท้ายเลยละกัน ข่อยเบิดแฮงแล้วววว แต่เพื่อนๆ ของผมยังยิ้มได้ ครั้งแรกของพวกแกเป็นไงละ 5555
จากนั้นก็หยุดพักหายใจ ถ่ายรูป ชมวินกันก่อนนะ เพราะจุดนี้วิวสวยมาก ลมพัดเย็นสบาย ก่อนจะถึงป้ายผู้พิชิตฯ
พักดื่มน้ำพอมีแรงเดินต่อไปยังลานสน แวะถ่ายกับป้ายกันสักหน่อย วันนี้คนเยอะ เลยต้องนั่งรอคิวกันสักหน่อย น้ำดื่มก็หมดพอดี ใจอยากไปดื่มน้ำฝนเย็นๆ ที่แทงค์น้ำที่เจ้าหน้าที่สำรองไว้ให้พวกเราได้ดื่มกัน
สรุประยะเวลาที่เราเดินกัน เริ่ม 9.30 น. ถึง 15.30 น. รวม 6 ชม. เป๊ะเลย
ไม่ควรพลาด ถ่ายกับป้ายผู้พิชิตฯ เช็คอินให้เพื่อนได้อิจฉา
พอเราพักให้หายเหนื่อยและถ่ายรูปกับป้ายผู้พิชิตฯ เราก็เดินไปจุดกางเต้นท์พักแรมที่บริเวณศูนย์บริการนักท่องเที่ยวที่เรียกว่า ลานสน เพื่อเตรียมตั้งแคมป์และทำอาหารเย็น ระยะประมาณ 500 เมตร เตรียมพร้อมพักผ่อนเก็บแรงไว้เที่ยววันต่อไป วันนี้ดูฟ้าแล้วฝนน่าจะตก
เริ่มเห็นดอกหงอนนาค บานทั่วลานสนรอต้อนรับพวกเราให้หายจากความเหน็ดเหนื่อย
เดินไป ถ่ายรูปไปด้วย เพราะวันข้างหน้าไม่รู้ฝนจะตกกระหน่ำหรือเปล่า รีบเก็บภาพไปด้วยละกัน
พอถึงแคมป์เราก็ไปจับจองพื้นที่สำหรับตั้งแคมป์เพราะวันนี้นักท่องเที่ยวเยอะพอสมควร แล้วไปรอรับสัมภาระจากลูกหาบ พร้อมเช่าถังน้ำและขัน สำหรับใช้ตลอดทั้งทริป 2 คืน ส่วนอุปกรณ์ทำครัวอื่นๆ พวกผมเอามากันเองไม่ต้องเช่า เต้นท์ก็เอามากันเอง เสียค่าธรรมเนียมกางเต้นท์ 30 บาท/คน/คืน
ไม่นานเกินรอ ลูกหาบก็มาถึงพวกเราไม่รอช้ารีบตั้งแคมป์ เนื่องจากฟ้ามืดมาแล้ว ฝนตกแน่ๆ พูดยังไม่ทันขาดคำ ฝนก็ตกมาช่วงที่กำลังกางเต้นท์ ชลมุลอลหม่านมันทีเดียว 555 สนุกไปอีกแบบครับ วันนี้ก็ไม่ได้ไปเที่ยวไหนละเพราะฝนตก และดอกหงอนนาคก็เริ่มหุบสะงั้น เอาเป็นว่าพักผ่อนละกัน เรายังมีเวลาอีกตั้ง 2 วัน
พอฝนหยุดตก เราก็เดินสำรวจสักหน่อย อ้าว ดอกหงอนนาคหุบแล้ว ฮ่าๆๆ
ดอกหงอนนาค ล้อมลานกางเต้นท์ไปหมดเลย พรุ่งนี้ค่อยดูตอนนางบานเต็มๆ เนอะ
ค่ำคืนแรก ก็นอนฟังเสียงฝน เสียงลม บรรยากาศการกินข้าวกับความหนาบเหน็บและพูดคุยกันกับเพื่อน พร้อมกับมิตรภาพที่มาจากกลุ่มอื่นอีกอย่างสนุกสนาน ก่อนแยกย้ายกันเข้านอน
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
วันที่ 2 : ชมทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้น – เดินเที่ยวน้ำตกสายทิพย์ - ทุ่งหญ้าหงอนนาคบนลานสน – หลักเขตแดน - ชมตะวันตกดิน
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตื่นเช้ามา ไร้ซึ่งแสงแดด แถมยังฝนยังไม่หยุดตกเลย เพื่อนๆ จากกลุ่มอื่นที่มาแค่คืนเดียวก็กินข้าวเตรียมตัวเดินกลับกันเเล้ว เห็นแล้วเสียดายแทนจัง คงยังเที่ยวไม่ทั่วเลย ทั้งทุ่งดอกหงอนนาค ทั้งน้ำตก แต่ก็อย่างว่าแหละ ความสุขของบางคน แค่ได้มากินบรรยากาศแค่นี้ก็มีความสุข เติมพลังกลับไปสู้งานเป็นมนุษย์เงินเดือนกันต่อไป ส่วนผมและเพื่อนๆ ลางานวันจันทร์ไว้แล้ว เลยขอเที่ยวให้สะใจอีกคืนละกัน
พี่โชค กับแอ้นท์ มิตรภาพจากโลกออนไลน์พึ่งจะได้เจอกันโดยไม่ได้นัดหมาย ขอบคุณสำหรับอาหารอร่อยๆ ที่แบ่งปันให้พวกผมนะครับ
หลังจากกินข้าว ดื่มกาแฟร้อนๆ เติมพลังกันแล้ว เรามีแพลนจะไปเดินเที่ยวน้ำตกสายทิพย์ หลักเขตแดน 2 แผ่นดิน ไทย-ลาว และทุ่งดอกหงอนนาค พร้อมแล้วตามมาเลย ถึงฝนจะตกผมก็พกร่มมาด้วยแหละปีนี้ ฮ่าๆๆ ฝนตกก็เที่ยวได้
เราเดินย้อนกลับไปยังป้ายผู้พิชิตฯ อีกครั้ง เพื่อไปถ่ายป้ายกับสายหมอกสวยๆ
ถือว่ามาส่งเพื่อนๆ ซึ่งส่วนใหญ่นอนกันแค่คืนเดียวเอง
เริ่มสายแล้ว ดอกหงอนนาคก็เริ่มบานอีกครั้ง
เที่ยวน้ำตกเสร็จก็ได้เวลาไปทำอาหารกินมันมื้อกลางวัน พักสักหน่อย ก็ไปเดินชมทุ่งหงอนนาคกันต่อเลยนะครับ ฝนตกก็ไม่กลัว เที่ยวสิครับ 555
นักท่องเที่ยวเริ่มหายไปกันเกือบหมดเลย เหลือไม่กี่กลุ่มเองวันนี้ ภูสอยดาวเป็นของพวกเราแล้ววันนี้
รอบๆ แคมป์เราก็มีดอกหงอนนาคเพียบเลย
รูปเยอะหน่อยนะครับ ลบทิ้งไม่ลงจริงๆ เลยเอามาฝากเพื่อนๆ เน้อ
เวลายังเหลือเยอะ เราไปเดินทุ่งอื่นๆ แถวชายแดนลาวกันต่อครับ มีทุ่งดอกหงอนนาคกว้างมากๆ แต่โชคร้าย เจอฝนตกอีกแล้ว
ปีนี้ดอกหงอนนาคช่างออกดอกเยอะจัง แน่นสวยไปหมดเลย
จากนั้นก็ไปดูทะเลหมอกยามเย็นกันดีกว่า ฝนตกแบบนี้น่าจะสวย แถมวันนี้เริ่มเห็นแสงสีส้มๆ สงสัยฟ้าจะเปิดให้เราได้เห็นดาวบ้างละ แหม่ มาภูสอยดาวผมขอเห็นดวงดาวมั่งนะครับ
เที่ยวจนทั่วแล้ว พวกผมก็กลับแคมป์ ไปทำอาหาร วันนี้พวกผมอาบน้ำด้วยละครับ เมื่อวานมันหนาว นักท่องเที่ยวก็เยอะ เลยไม่อาบ ฮ่าๆๆ วันนี้อาบน้ำแล้ว ก็มานั่งกินข้าวที่เต้นท์ สักพักเจ้าหน้าที่ก็เรียกให้พวกเราไปนั่งผิงไฟด้วยกัน วันนี้คนน้อยด้วยละ เป็นกันเองมากๆ ขอบคุณมิตรภาพจากเจ้าหน้าที่และลูกหาบทุกคนครับ
พอพวกเราผิงไฟสักพัก ก็มีกลุ่มน้องอั้ม ที่ได้ยินพวกเราบ่นว่าอยากเห็นดาว ก็เดินมาเรียก และบอกว่าพี่ครับผมมีอะไรจะบอก เห็นดาวแล้วครับ ฮ่าๆๆ แค่นั้นแหละ พวกผมรีบพุ่งวิ่งไปเอากล้องและขาตัั้งที่เต้นท์ ออกไปถ่ายดาวกัน ถึงแม้จะมีเมฆบัง ก็ยังดีใจที่ยังเห็นบ้าง เลยเก็บมาฝากครับ
มาเที่ยวในครั้งนี้ ได้ครบทุกฤดูกันเลยทีเดียว ครบรสอิ่มใจมากๆ พรุ่งนี้เช้าแอบมีลุ้นเบาๆ ว่าจะได้เห็นแสงตะวันสวยๆ ก่อนกลับ
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
วันที่ 3: ชมทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้น – เดินทางกลับ
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
รุ่งสางของเช้าวันสุดท้าย ผมลืมตั้งนาฬิกาปลุกไว้ สะดุ้งตื่นตอนปวดฉี่ คิดว่าสายมากแล้วคงไม่ทันแสง รูดซิปเปิดหน้าต่างเต้นท์ออกมาดู โอ๊ววว แสงเช้านี้สวยมาก ผมรีบปลุกเพื่อนไปถ่ายรูปๆๆ
ทริปนี้ได้ครับแล้วมั้ง ทั้งหมอก ทั้งฝน ดาว ทะเลหมอก ดอกหงอนนาค แสงเช้า แสงเย็น มีความสุขที่สุด เพื่อนที่มาด้วยก็มาครั้งแรกด้วย คงประทับใจไม่แพ้กัน
วันนี้ก็ได้เวลากลับแล้ว พวกเรากินข้าวเสร็จ ก็เตรียมสัมภาระส่วนกลางไปชั่งให้ลูกหาบ กรอกน้ำฝนไว้ดื่มระหว่างทาง สิ่งที่ลืมไม่ได้คือ นำขยะกลับไปด้วยนะครับ ซึ่งพวกผมก็ทำกันแบบนี้ประจำอยู่แล้ว เลยอยากฝากเพื่อนๆ ที่ชื่นชอบมาเที่ยวแนวนี้ ให้รักษ์ป่าและดูแลป่าไปด้วยกัน โดยเริ่มจากสิ่งง่ายๆ นำขยะมาด้วยก็ต้องนำกลับไปด้วยเด้อ ได้ค่ามัดจำคืนด้วย ตั้ง 200 บาท ไปซื้อกาแฟกันได้ด้วยครับ อีกทั้งตอนนี้มีกิจกรรมดีๆ "เที่ยวด้วยหัวใจสีเขียวและเก็บขยะลงมา" จาก ททท.สำนักงานสุโขทัย ทำตามกติกาดังรูป รับไปเลยเสื้อยืดเป็นของที่ระลึก ร่วมด้วยช่วยกันนะครับ
สรุปค่าใช้จ่าย ทริป 3 วัน 2 คืน
- ค่าธรรมเนียม เข้าอุทยาน 150 บาท (40 บาท/คน, รถ 30 บาท/คัน)
- ค่ากางเต้นท์ 180 บาท (30 บาท/ คน / คืน)
- ค่าจ้างหาบสัมภาระส่วนกลาง เต้นท์และเสบียง ไป- กลับ 1740 บาท
- ค่าอาหาร เครื่องดื่ม เช่าถัง ขันตักน้ำ 2445 บาท
- ค่าน้ำมัน ไป-กลับ 2400 บาท
รวม 6910 บาท
หาร3 คนละ 2305 บาท
------------------------------------------------------------------------------------
ข้อมูลเพิ่มเติม
อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว
สามารถโทรสอบถามและแจ้งความประสงค์จะจ้างลูกหาบ http://park.dnp.go.th/visitor/nationparkshow.php?P...
หน้าฝนปีนี้ ลองเปลี่ยนบรรยากาศไปสัมผัสธรรมชาติแบบใกล้ชิด ยิ้มรับแสงตะวันให้สุขใจกันไป เชื่อว่าหลายคนที่ไปแล้วจะอยากกลับไปอีกครั้ง พร้อมได้ประสบการณ์ที่แปลกใหม่และบันทึกความทรงจำไว้เล่าอย่างไม่รู้จบ
พร้อมแล้วก็แบกเป้ พร้อมกล้องคู่ใจไปเปิดมุมมองใหม่ๆ กันที่ "ภูสอยดาว"
"ประสบการณ์ใหม่ ไม่ออกไปหา ไม่มีทางเจอ"
Life is a journey
ผมมีเพจเล็กๆ ฝากติดตามและให้กำลังใจพวกเราด้วยนะครับ เพราะพวกเรา "ดีแต่เที่ยว"https://www.facebook.com/travelwithphotographer/
อ้ายกึ่มมักเล๊าะ
วันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2560 เวลา 14.49 น.